สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมีนาคม ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  (ถามเรื่องการใช้กริช) ?
      ตอบ :  พวกนี้ก็ใช้ลักษณะของมีดหมด ถ้าตามสายหลวงพ่อใช้มีดหมอนี่ถ้ารักษาโรคใช้คาถา ทุกขา ทุกขัง ปติฏฐิตัง สัมปฏิจฉามิ ถ้าหากว่าใช้ไล่ผีให้ใช้ว่า นะโมพุทธายะ แต่จริง ๆ ถ้าพกมีดหมอของหลวงพ่อไม่ต้องเสียเวลาไล่หรอก เดินเหยียบบ้านมันก็เปิดแล้วไม่อยู่หรอก
              วันก่อนไม่ได้ตั้งใจแกล้งยายเขียวเขาหรอก ยายเขียวแกเป็นผีที่น่ารักมากเลย อายุ ๙๔ ปีถึงจะตาย พอตายเสร็จเขาเผาก็มาบอกหวยลูกหลาน
              แต่คราวนี้แกเล่นประเภทว่าวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน ลูกหลานกลัวเลยเอากระดูกไปฝากไว้ที่วัด เราก็เอากระดูกไปวางไว้บนชั้นวางของ วันนั้นจะออกไปกิจนิมนต์ก็ไม่ได้เจตนา กำลังจะไปกิจนิมนต์ไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อน ตัวเองสะพายย่ามอยู่คว้าย่ามได้ก็ยัดเข้าไปชั้นล่างยายเขียวเผ่นกระเจิง เราลืมไปว่าในย่ามมันมีมีดหมอ เล่นเอาผีเดือดร้อนโดยไม่รู้ตัว
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  มีอย่างไรก็แล้วแต่ ๆ ว่าคาถากำกับในการใช้มันอย่างนั้น คือว่ามีดหมอนี่ในสมัยก่อนเขาใช้ในทางหมอจริง ๆ คือ รักษาโรค โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากไสยศาสตร์ เป็นโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ ถ้าไปบ่อย ๆ หมอเขาจะว่าเป็นอุปาทานเพราะเขาตรวจหาไม่เจอ
              เคยเจอมากับตัวเอง ตอนแรกเป็นอยู่ที่บริเวณท้อง พอเอ็กซเรย์ที่ท้องมันเลื่อนไปที่หัวเข่า เลื่อนให้เรารู้ ๆ เลยล่ะ แล้วเราไปบอกหมอเขาว่าเอาแน่ ๆ เลยต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ ถึงเวลาเราก็ต้องมารักษากันเอง
              สมัยก่อนเขาใช้เป็นหมอจริง ๆ พอมาถึงยุคของหลวงพ่อเดิม วันหนองโพธิ์ หลวงพ่อเดิมเป็นครูบาอาจารย์ร่วมสมัยกับหลวงปู่ปาน ท่านคงได้รับพรจากพระหรือจากเทวดา ท่านเลยทำมีดหมอลักษณะเล่มเล็ก ๆ เอาไว้ติดตัวได้ ติดตัวเป็นมหาอำนาจป้องกันคุณไสยได้ทุกอย่าง
              นั้นล่ะโดยเฉพาะสมัยนั้นพวกโจรเป็นเสือปล้นเขาจะหนังเหนียว เจอมีดหมอหลวงพ่อเดิมนี่สยอง เหนียวแค่ไหนก็เข้า ทุกขา ทุกขัง ปติฏฐิลัง สัมปฏิจฉามิ ตัวนี้เขาแปลว่าสำเร็จทุกประการ ไม่ต้องไปแปลหรอก คาถาแปลแล้วไม่ขลัง
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  ทุกวันนี้เวลาอยู่ที่วัด เวลาทดสอบกับพวกพระ เขาเอาของมาถวายในหีบในห่อนี่จะถามเขาว่าอะไร เขาจะตอบกันไม่ได้ บอกรู้มั้ยทำไมคุณตอบไม่ได้ คุณกลัวเสียฟอร์ม คุณกลัวว่าตอบผิดแล้วจะขายหน้า จำไว้เลยว่าจะผิดหรือถูกเรามีแต่ได้ไม่มีเสีย ตอบถูกได้กำไรกำลังใจมันมี ตอบผิดได้บทเรียน เราจะได้รู้ว่าเราตั้งกำลังถูกหรือผิดยังไง เสร็จแล้วก็บอกให้เขาว่ามันมีอะไร แล้วแกะออกมาก็จะตรง บอกว่าถึงผมตอบผิดผมก็ไม่เสียกำลังใจ ผมถือว่าผมเฮงซวยเองที่รู้ผิด มันจะเป็นอย่างนั้น ส่วนใหญ่จะไปกลัวผิดกลัวเสียฟอร์ม
      ถาม :  อย่างสมัยนี้มีอินเตอร์เน็ตเข้ามาแล้ว เราเข้าไปดูในเว็บไซต์นั้น เป็นข้อความก็ดีหรือเป็นรูปภาพแล้วเราไปดูรูปภาพหรือข้อความในนั้นแล้วถูกใจ ผมก็ไปก๊อปปี้ของเขามาโดยที่ผมไม่ทราบเจตนาเขาว่าเขาจะให้หรือไม่ให้ จะถือว่าเป็นการละเมิดศีลข้อ ๒ มั้ยครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเขาไม่ได้ระบุชัดเจนว่าต้องเป็นสมาชิก ต้องเสียค่าสมาชิก ก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาระบุชัดเจนว่าต้องเสียค่าสมาชิกจะมีระบบป้องกันเราอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ให้รหัสผ่านมาเราเจาะเข้าไปไม่ได้หรอก ได้แต่ดูแล้วก็น้ำลายยืดอยู่นั่นล่ะ
      ถาม :  ไม่ได้ตั้งใจไม่ผิดใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ :  ลองกินยาพิษดูไม่ตั้งใจ ตายมั้ยล่ะ ? ประเภทเดียวกัน
      ถาม :  ที่หนูฝึกมโนดูมันไม่ชัดเลยค่ะ ?
      ตอบ :  มันไม่จำเป็นต้องชัด จำไว้ว่ามโนมยิทธิจริง มีแบบเดียวก็คือ ชัดเจนแจ่มใสเหมือนอาทิตย์ยามเที่ยง เพราะว่าเราขอบารมีพระพุทธเจ้าท่าน ถ้าหากว่าเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ท่านจะชัดเจนแบบพระจันทร์วันเพ็ญ คือจะมีเงามืดอยู่บ้าง เงามัวอยู่บ้าง แต่ว่าก็สว่างสดใส ถ้าเป็นพระอัครสาวกเหมือนคบไฟดวงใหญ่ ถ้าหากว่าเป็นพระอรหันตสาวกทั่ว ๆ ไปเป็นเหมือนอย่างกับเทียนดวงน้อย ถ้าเป็นผู้ที่ทรงฌานโลกีย์อย่างพวกที่ได้อภิญญาได้สมาธิเหมือนกับยามโพล้เพล้ใกล้ค่ำ
              คราวนี้เราขอบารมีพระสงเคราะห์มันจะชัดอย่างนั้น แต่เนื่องจากว่ากำลังใจของเราก่อนที่เราจะใช้มโนมยิทธินี่ ครูฝึกเขาจะสอนให้เราตัดร่างกายเสียก่อน ตัดความเกาะในโลก ตัดความอยากในร่างกายเพื่อให้จิตมันผ่องใส ทีนี้ถ้าเรายังตัดไม่ได้จริง ๆ นี่มันไม่ค่อยผ่องใสไม่ค่อยชัดเจน ขอให้เรามั่นใจว่าตรงหน้าเราใช่ ถ้าความรู้สึกบอกว่าตรงหน้าเราคือพระพุทธเจ้าถึงไม่เห็นเลยก็ขอให้น้อมจิตกราบลงไป
              อาตมาเองบางวันป่วยหนัก ๆ ร่างกายมันแย่ เรื่องของฌานสมาบัตินี่ถ้าร่างกายเจ็บป่วย หิว กระหายมาก ๆ เหนื่อยมาก ๆ มันไม่เอากับเราเลย บางวันป่วยหนัก ๆ นี่ตั้งใจกำหนดเต็มที่เห็นยอดเกศเแหลม ๆ นิดเดียวเอง นิดเดียวก็นิดเดียวถือว่าพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนั้น เราก็น้อมใจกราบลงไป
              คราวนี้ความรู้สึกแรก ๆ เหมือนกับหลับตาคลำของ เขาส่งของมาชิ้นหนึ่ง เขาถามว่าเป็นอย่างไร ? เราก็บอกตามสภาพว่า ลักษณะอย่างนี้ อันนี้มันน่าจะเป็นปากกา หรือไม่ก็อาจจะเป็นเศษไม้อันหนึ่ี่ง ตอบไปตามความมั่นใจของเรา ถ้าครูฝึกเขายืนยันปุ๊บ ความมั่นใจมันเพิ่มขึ้น ๆ จิตมันจะนิ่ง
              แหม ! แรก ๆ ใจเต้นตึ้กตั้ก ๆ จะถูกหรือเปล่า ? พอตอบไปตอบมา เออ.....เราเก่งนี่ แม่นเหมือนกัน ใจมันชักจะนิ่ง พอชักจะนิ่งตอนนี้ภาพจะเกิด เพราะจิตนิ่งแล้วมันเหมือนกับน้ำที่นิ่ง พอไม่กระเพื่อมเราชะโงกเห็นหน้าตัวเองชัดมั้ย ? ภาพเกิดปุ๊บเราก็ตั้งใจมองให้ชัดปั๊บก็หายปุ๊บ เพราะว่าจิตต้องไปถึงสถานที่นั้น
              ตอนนี้เรานึกถึงบ้าน คนที่ได้อภิญญาสมาบัติคนที่ได้มโนมยิทธิจะเห็นเราอยู่ที่บ้านแล้ว เราต้องไปที่บ้านเราถึงเห็นบ้านนั้น แต่ที่เราเห็นบ้านนั้นเพราะความเคยชินของเรา ๆ จึงนึกออก บอกได้มั้ยว่าเราเห็นด้วยตา ไม่ใช่หรอกแต่ทำไมมันชัดล่ะ นั่นล่ะคือตัวมโนมยิทธิ
              คราวนี้เมื่อเราไปถึงตรงนั้นเราถึงเห็น พอเราเห็นภาพปุ๊บเราต้องเพ่ง พอเราเพ่งปุ๊บเราใช้อะไร ? สายตากล้ามเนื้อตาใช่มั้ย ? ก็คือเรานึกถึงตัวก็ดึงจิตกับ เราดึงออกมาจากตรงนั้นแล้วเราจะเห็นอะไรล่ะ ? มันก็หายวับไป ในเมื่อมันหายวับไป เราเอาใหม่ตั้งท่าใหม่ พอไปถึงเห็นอีก เพ่งอีก หายอีก บางคนติดอยู่ตรงนี้เป็น ๑๐ ปีก็มี ขอให้เราทำความเข้าใจว่า ก่อนหน้านี้แค่เราคลำ ๆ ไม่เห็นแค่ความรู้สึกอย่างเดียวก็แม่นแล้ว รถมาสีอะไรบอกได้หมด คนนั่งมากี่คนบอกได้หมด เห็นไม่เห็นช่างหัวมันปะไรเราพอใจของเราแค่นี้ ถ้าทำใจสบาย ๆ อย่างนี้ได้ภาพจะอยู่ได้นานเท่าที่เราต้องการ สำคัญอยู่ตรงจุดนี้เอง
              เพราะฉะนั้นแรก ๆ มันเหมือนกับเราหลับตาคลำของ ตอนแรกก็กิ่งไม้ ผิดนี่หว่าคลำไปคลำมามีห่วงอยู่หน่อยหนึ่งมีที่กดอยู่นิด ปากกานี่ พอครูฝึกเขายืนยันว่าใช่ ต่อไปคลำใหม่ปากกา คลำอีกครั้งก็ปากกา ต่อไปคลำปุ๊บก็ปากกา มันจะยิ่งแม่นยิ่งคล่องขึ้นเรื่อย ๆ ในเมื่อเราไม่เห็นมันคล่องแล้ว ไม่จำเป็นต้องเห็นก็ได้ ถ้าเราวางกำลังใจอย่างนี้ ภาพก็จะเริ่มปรากฎ
      ถาม :  โยมนี่หลับตาจะมืด ๆ ลืมตาจะเห็นชัดค่ะ ?
      ตอบมโนมยิทธินี่ จะลืมตาหรือหลับตามีผลเหมือนกัน เพียงแต่ว่าที่เขาให้หลับตาเพราะว่าบางคนตัดประสาทตาที่รับภาพอื่นออกไม่ได้ อย่างเช่นว่า เห็นคนนั่้งอยู่ เห็นคนเดินอยู่ เห็นรถวิ่งไปวิ่งมา ไม่สามารถจะตัดออกจากภาพที่ตัวเองต้องการได้ ยิ่งภาพพระนิพพานนี่ถ้าหากว่าใช้ตายแบบลืมตาดูนี่ มันเหมือนกับเห็นลมเป็นตัว อธิบายยากมากบอกไม่ถูกหรอก เหมือนกับเห็นลมเป็นตัว รู้สึกว่าอยู่ตรงหน้าเรานี่สว่างเจิดจ้าสดใสมากเลย ลักษณะวิมานเป็นยังไงรู้หมด พระพุทธเจ้าอยู่ยังไงรู้หมด
              แต่ว่าจริง ๆ แล้วก็คือไม่ได้เห็นอะไรเลยทั้ง ๆ ที่เราลืมตาใส ๆ อยู่ อยู่ในห้วงความนึกที่เรียกว่า มโนเท่านั้น แต่ว่าเราสามารถอธิบายได้ถูกหมดว่าเป็นอย่างไร คราวนี้เมื่อคนที่ชำนาญอย่างนี้ไม่ถือว่าผิดปกติ เก่งซะด้วยซ้ำไป แต่ถ้าคนทั่ว ๆ ไปแล้ว ถ้าลืมตามันไม่มีความคล่องตัวเขาตัดประสาทตาไม่ได้เห็นภาพอะไรจะไปสนใจ ภาพที่เราต้องการจะหายไป เขาถึงได้บอกว่าให้หลับตาซะก่อน ถ้าคล่องตัวแล้วค่อยลืมตา พอลืมตาขึ้นมาต่อไปคล่อง ๆ ตัวมากลืมตาหลับตาอารมณ์ใจมันเท่ากัน
      ถาม :  คือว่าทีแรก ๆ พอฝึก ๆ ไปแล้วจะวิปัสสนารู้สึกเหมือนว่าตรงนี้มัน....(ไม่ชัด).....?
      ตอบ :  ไม่จำเป็นหรอกขึ้นไปกราบพระบนนิพพานแล้วอยู่บนนั้นให้ได้นานที่สุด เป็นวิปัสสนาชัดเลย
      ถาม :  คือตอนนี้ขึ้นไปกราบพระอย่างเดียวแล้วก็ลงมาดูใจตัวเองข้างล่าง ?
      ตอบ :  อันนั้นพอแล้ว ดูใจก็ไม่ต้องลงมาดูข้างล่างดูต่อหน้าพระข้างบนนั่นล่ะถ้ามีสิ่งที่ไม่ดีอยู่ก็ขับไล่มันออกไป เอ็งไม่ต้องเข้ามาอีกข้าไม่ต้องการแล้ว ถ้ามีสิ่งที่ดี ๆ อยู่พยายามสร้างให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เราอยู่กับพระเป็นการตัดรัก โลภ โกรธ หลง ไปในตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาไปคิด ไปพิจารณาอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่หาวิธีให้อยู่ตรงนั้นให้นานที่สุด คราวนี้เมื่อเราทำอย่างนี้บ่อย ๆ พอจิตมันเคยชินมันจะอยู่ได้นานขึ้น ใหม่ ๆ นี่ไม่ชินกับพระนิพพานยังไม่ทันรู้ตัวเลย เพ่ิงรู้ว่าเราจะกราบพระ อ้าว...ลงมาอยู่ข้างล่างแล้ว พวกเราส่วนใหญ่จะมีประสบการณ์อย่างนี้
              สมัยก่อนที่ฝึกใหม่ ๆ อาศัยว่าสวดมนต์ได้เยอะ ในเมื่อสวดมนต์ได้เยอะก็หาวิธีการทำอย่างไร เราจะล็อกกำลังใจของเราให้อยู่กับพระให้นานที่สุด ก็ตั้งใจว่าเราจะสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา ถ้าไม่จบข้าไม่ลงล่ะ
              คราวนี้ในเมื่อมีงานให้ก็เท่ากับว่ามีที่ให้เกาะ มันก็อยู่ได้แม้จะหยาบไปหน่อยแต่ก็สามารถจะเกาะพระนิพพานได้นาน อารมณ์เคยชินจะมากขึ้น ๆ ต่อไปอยู่ได้นานเท่าที่เราต้องการ
      ถาม :  ถ้าเรารู้สึกว่าเราขึ้นไปนี่อยู่ที่อารมณ์แล้วเราจะให้รู้สึกนี่ ให้เชื่อว่าเราอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องให้เชื่อ มันอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ทำอย่างไรจะให้เราอยู่ตรงนั้นให้นานที่สุด ให้เราอยู่บนพระนิพพานไม่ต้องไปไหนหรอก น้อมเชิญพระพุทธเจ้าเข้ามาอยู่ในวิมานของเราด้วยตั้งใจนึกถึงท่านตลอดเวลาตั้งใจว่าถ้าเราหลับก็ขอให้หลับในลักษณะนี้แหละ กำหนดใจนึกถึงภาพของท่านสว่างไสวเฉพาะหน้าของเรา จะองค์ใหญ่องค์เล็กแค่ไหนแล้วแต่เราชอบใจ ตัวเราข้างบนจะนอนท่าไหนแล้วแต่เขาชอบใจ ส่วนข้างล่างปล่อยมันหลับไป
      ถาม :  ถ้าไปให้ไปนิพพานที่เดียวที่อื่นต้องไปหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องไปหรอก ให้ไปนิพพานที่ดียวก็พอแล้ว เพราะว่าส่วนใหญ่ถ้าหากว่าไปที่อื่นกำลังจะเกาะจุดนั้น ๆ ถ้าเราตายตอนนั้น ดีไม่ดีก็เป็นได้แค่พรหม เพราะว่าไปด้วยกำลังของสมาธิสมาบัติ แต่ถ้าหากว่าเราไปนิพพานนี่มันได้แน่นอนว่า ถ้าตายก็อยู่ตรงนั้น ไม่จำเป็นต้องเก่ง คนอื่นเขาเก่งปล่อยเขาเที่ยวไปเถอะ เดี๋ยวมันหลงทางไปเองแหละ เที่ยวมาก ๆ หลง
      ถาม :  ส่วนใหญ่จะไปได้....?
      ตอบ :  อันนั้นไปได้ อาตมาทำอะไรตรงร่องอยู่เสมอ มันเหมือนกับโบราณที่ว่า ขี้ตรงร่อง สมัยก่อนจะเป็นบ้านใต้ถุนสูง เขาจะมีร่องกระดานอยู่ กลางค่ำกลางคืนลงไปข้างล่างไม่ได้หรอก พวกสัตว์ร้ายมันมีเขาก็จะเอาโอ่งเอาไหไว้ข้างล่างถ่ายอุจจาระปัสสาวะลงไป
              เพราะฉะนั้นกลางคืนคลำ ๆ ไปคลำ ๆ มาบังเอิญถ่ายตรงร่องได้ ก็จะไม่เลอะข้างบน อาตมาเองสมัยใหม่ ๆ ทำอะไรหลายอย่างตรงร่อง อย่างเช่นว่าเราชอบนิพพานอย่างเดียวที่อื่นไม่ค่อยอยากไป ขี้เกียจขึ้นมาก็ใช้วิธีอาราธนาขอบารมีพระ ขอให้พรหม เทวดาผู้มีพระคุณของเราทั้งหมดขึ้นมาบนนิพพาน แล้วเราก็กราบท่านทีเดียวพร้อมกับพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหมด ทำไปทำมาเสร็จกูบ้าหรือเปล่าวะทำไมทำอย่างนี้ได้ ? พอมาตอนท้าย ๆ ก่อนหลวงพ่อมรณภาพไม่นาน ท่านบอกว่าท่านพาพรหม พาเทวดาไปนิพพานหมดเลย นั่นก็คือขี้ตรงร่อง
              ส่วนอีกยกหนึ่งก็คือว่า เรื่องของคาถาเงินล้าน เคยท่องคาถา สัมปจิตฉามิ กับ สัมปฏิจฉามิ ต่อเนื่องกันมาตลอด พอมาเจอคาถาเงินล้านมี สัมปฏิจฉามิ มันก็สัมปจิตฉามิไปด้วย ๒ อย่างรวมกันไปเลย มาตอนหลังก่อนหลวงพ่อมรณะไม่นาน ท่านก็บอกให้เอาสัมปจิตฉามิใส่ลงไปด้วย ของเราใส่ไปหลายปีแล้ว เลยกลายเป็นว่าทำอะไรฟลุค ๆ ถูกเข้าพอดี อันนี้ถือว่าบังเอิญโชคดี
      ถาม :  การเดินทางขึ้นรถขึ้นอะไรก็แล้วแต่เราจะเอาจิตไปเกาะ...(ไม่ชัด)....?
      ตอบ :  อาตมาจะยกจิตขึ้นไปกราบพระ ตั้งใจว่าถ้ามันเกิดอุบัติเหตุอันตรายอะไรถึงแก่ชีวิตขออยู่กับท่านที่นั่น แล้วอีกอย่างหนึ่งเวลามีอะไรตอนนั้นจะกราบทูลถามท่านเลย
              มีอยู่เที่ยวหนึ่งภาวนายกจิตขึ้นไปกราบเห็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาอ้วนสวยเลย ไม่เคยเห็นมาก่อนเหลืองอร่ามอย่างกับทอง กราบทูลถามว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใด ท่านตอบว่าจำสมเด็จพ่อของเธอไม่ได้เหรอ ? คำว่าสมเด็จพ่อหมายถึงพระพุทธกัสสป เพราะว่าเคยเกิดเป็นพ่อเป็นลูกกันมา บอกว่าตามที่ตกลงกันมา ถ้าสมเด็จพ่อมาต้องมาในลักษณะพระพุทธรูปปางลีลา แล้วทำไมถึงมาในลักษณะอย่างนี้ ท่านบอกว่าให้เธอจำไว้นะ ถ้าหากว่าพ่อมาในลักษณะนี้เธอจะมีลาภมาก งวดนั้นรวยจริง ๆ
      ถาม :  ทำถูกต้องใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  คือว่าอย่างไรก็อย่าประมาท แต่ว่าอีกเที่ยวหนึ่งนั่นประเภทที่เรียกว่าตั้งหลักไม่ทัน เพราะว่าหัวหน้าป่าไม้ไปกับเขา ๆ ไปส่งก็ชวนคุยถามเรื่องโน้นเรื่องนี้ จนกระทั่งเรื่องงานเรื่องการเรื่องการโยกย้ายของเขาไปเรื่อย เพราะว่าเวลาชวนคุยบางทีเราก็เผลอหลุดให้เขาเหมือนกัน เขาก็ได้ประโยชน์ของเขาอยู่ คุยไปคุยมาจนกระทั่งหมดเรื่อง เราก็พิงพนักหลับตานึกถึงพระของเรา พอนึกปั๊บเห็นภาพพระเหมือนกับพระแตกลายงาร้าวทั้งองค์เลย ก็เลยเอ๊ะวันนี้พระเป็นอะไร พอเราพึ่งจะเอ๊ะเท่านั้นเสียงดังเปรี๊ยะ กระจกหน้าหมดเกลี้ยงเลย ร้าวลักษณะที่เราเห็นชัด ๆ เลยตั้งหลักไม่ทันเลย ยังไม่ทันได้ถามพระเลยว่าเป็นเพราะอะไร วิ่งตามรถอื่นหรือไงไม่รู้ มันดีดหินใส่หรือไงไม่รู้ อันนั้นตั้งหลักไม่ทันมัวแต่คุยอยู่ สมน้ำหน้าหมดไป ๒,๕๐๐ (หัวเราะ)
      ถาม :  เวลาใส่บาตรเราไม่ได้ใส่บาตรเองน่ะค่ะ เราให้แม่ใส่เราจะได้บุญไม๊คะ ?
      ตอบ :  เราได้ ๒ ต่อ อันดับแรกถ้าหากว่าเราทำด้วยตัวเอง เสียเิงินเสียทองด้วยตัวเอง อันนี้เป็นทานบารมีของเรา ถ้าหากว่าให้แม่ใส่จะได้ตัวปัตตานุโมทนามัย พลอยยินดีในบุญของคนอื่นด้วย แล้วก็ได้่ตัวเวยยาวัจจมัย คือช่วยงานบุญคนอื่นเขาให้สำเร็จด้วย คือแม่เขาจะทำได้้อย่างนั้นเพราะเรา ได้เพิ่มขึ้นอีกเยอะ ดีกว่าใส่เองมั้ย ?
      ถาม :  เราไม่ได้ใส่เองนี่คะ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไร ขอให้สิ่งนั้นเป็ของเราเท่านั้น แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าถึงไม่ใช่ของเรา แม่หามาเอง แม่ใส่เองเราก็สาธุพลอยยินดีไปด้วย เป็นปัตตานุโมทนามัยไป ได้บุญเหมือนกัน ปัตตานุโมทนามัยนี่ถ้าหากว่าออกจากจิตของเราจริง ๆ ๘๐% ของคนทำเลย เพียงแต่ว่าถ้าหากว่าจะได้รับผลอันนั้นจะรับผลช้ากว่าคนที่เขาทำเองหน่อยหนึ่ง ต้องให้คนที่ทำเองได้รับผลอันนั้นแล้ว ตัวปัตตานุโมทนามัยนี่เป็นกำลังใจที่ยินดีที่คนอื่นเขาได้บุญที่เราไม่ได้ทำ มันเป็นมุทิตาจิตที่ออกจากำลังจิตกำลังใจจริง ๆ
              ตอนนั้นเห็นว่าคนทั้งสัตว์ทั่วโลก มันล้วนแต่น่ารัก น่าสงเคราะห์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทีนี้เราไม่สามารถจะทำได้แต่มีคนอื่นเขาทำมันน่ายินดีจริงหนอ มันจะอยู่ในลักษณะอย่างนั้น แต่ปัจจุบันพวกเราเห็นเขาทำแล้วสาธุ สาธุของเรามันแฝงความหมายว่า กูเอาด้วย ตรงนี้ตั้งกำลังใจผิดไปนิดหนึ่ง ให้เปลี่ยนกำลังใจนิดหนึ่งจะเป็นปัตตานุโมทนามัยที่แท้จริง อย่างนั้นไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ ดี เพราะถือว่ากำลังใจของเราเกาะด้านดีอยู่ แต่ว่ามันประกอบไปด้วยตัวความอยากได้อยู่หน่อย ๆ
      ถาม :  ผู้เป็นลูกปฏิบัติ แต่เป็นผู้หญิง ปฏิบัติได้ถึงที่สุดแล้ว พ่อแม่จะได้ด้วยมั้ยคะ ?
      ตอบ :  ได้ พ่อแม่ได้ด้วยเพราะว่าเรื่องของการบวช ถึงคุณบวชเข้าไปก็เถอะ ถ้าไม่เป็นพระซะอย่างก็แย่เลย แต่ว่าเราเป็นลูกผู้หญิงไม่จำเป็นต้องบวชเองก็ได้ เห็นคนอื่นบวชเราร่วมเป็นเจ้าภาพ คนที่บวชเองได้ผลบุญ ๖๐ กัป ตัวคนเป็นเจ้าภาพล่อไปซะ ๑๕ กัป พ่อแม่ได้ ๓๐ กัป คนเป็นเจ้าภาพได้ ๑๕ คนช่วยงานบวชได้ ๖ เราได้ ๑๕ ก็บวชซะ ๑๐ องค์เป็นไงล่ะ ล่อไปซะ ๑๕๐ เยอะกว่า ๖๐ ของเขาตั้งเยอะ หรือไม่ก็ทำตัวเองให้เป็นพระอริยเจ้า จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียอกเสียใจ พอเราทำตัวเป็นพระอริยเจ้าตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่สบายบอกแล้วว่า ถ้าหากว่าทำได้เท่าไหร่ คนที่ได้เขาได้ด้วยอย่างน้อย ๆ ก็ ๘๐% ในเมื่อเขาโมทนา ถ้าถึงที่สุดเขาไปนิพพานด้วย
              หลวงพ่อบอกว่าเจอหลายคน เขาไปคอยอยู่ข้างบน บอก เฮ้ย...มาได้ยังไง ก็โมทนาบุญของท่านไงครับหลวงพ่อ บอก แหม...เสียท่า เราปล้ำอยู่เป็น ๑๐ ปีแป๊บเดียวมันเอาไปซะแล้ว
      ถาม :  มโนมยิทธิปีที่แล้วเหมือนมีพระพุทธเจ้ามาที่วิมานหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อก็กราบท่านเหมือนว่าจะประกาศให้เทวดาทั้งหมดรู้ว่าลูกคนนี้จะได้ไปนิพพาน เทวดาก็โมทนาแต่โยมทำไมไม่รู้สึกดีใจ ?
      ตอบ :  ตอนนั้นอารมณ์ใจมันปล่อยหมดแล้วนี่ ดีชั่วมันไม่เกาะแล้ว มันต้องประกอบด้วยสังขารุเบกขาญาณอย่างสูงสุด ทีนี้มันไม่ปรุง ไม่แต่งอะไรแล้ว ไปรู้สึกดีใจอะไรก็เฉยไปเฉย ๆ