สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ที่บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔

      ตอบ(เล่าเรื่องดูนายทหารพม่าที่สูบบุหรี่บนรถทัวร์ แล้วเห็นใจตัวเองมัวลง)
      ถาม :  แต่ว่าเป็นการเหมือนแต่สักแต่ว่าทำไม่มีเจตนาหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  เราเผลอนะซิ ตอนที่ทำมันสักแต่ทำ เราเผลอตัวปฏิฆะมาจับตอนไหนไม่รู้ยังดีว่าของเรายังสำรวจใจเองอยู่ทุกระยะ พอด่าไปเสร็จก็นั่งดูตัวเองอ้าวใจเรามัว ไล่ต้อนไล่จับมันอยู่พักหนึ่ง ตัวปฏิฆะแอบมาเกาะตอนไหนไม่รู้ มันไวจริง ๆ
      ถาม :  ไล่ต้อนไล่จับมันอยู่พักหนึ่งนี่ กี่วินาทีครับ ?
      ตอบ :  ลืมจับเวลา จำไว้ว่าเผลอไม่ได้ในทุกอารมณ์ เผลอเมื่อไหร่ มันเอาเรา เจตนาของเราคือดูให้มันรู้ตัว ทางพม่านี่ทหารเขาใหญ่มากโดยเฉพาะพวกนายทหารนี่จะกร่างเป็นพิเศษ พระอื่นเขาไม่ด่ามีแต่เราด่า พอมาดูใจของตัวเอง ขาดทุนใจมัวไปหน่อย ตัองมาจับกำลังใจให้ใสใหม่ เผลอเมื่อไหร่มันก็เอา ประมาทมันไม่ได้หรอกใครคิดว่าดีแล้วเตรียมตัวตายได้เลย
      ถาม :  เรื่องยานที่ไปลงดาวอังคาร แล้วอเมริกาจะไม่รู้หรือครับ ว่าเป็นเยอรมันหรือมนุษย์ต่างดาว ?
      ตอบ :  เรื่องยานไปลงดาวอังคาร สืบเนื่องมาจากหนังเรื่องหนึ่ง ที่ชายผู้มาจากดาวอังคาร ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ติดค้างในใจของพวกเขาอยู่ตลอดว่าดาวอังคารมีคน ในเมื่อดาวอังคารมีคนก็ต้องเป็นมนุษย์ต่างดาว เขาไม่ได้คิดว่ามันจะไปจากโลกมนุษย์ของเราเอง เขาเผลอไปหน่อย เผลอตรงที่ว่าตัวที่เขียนไปเป็นภาษาอังกฤษชัด ๆ มนุษย์ต่างดาวคงไม่ได้ศึกษาภาษาอังกฤษไปหรอก
      ถาม :  แล้วเขาก็ไม่เชื่อ
      ตอบ :  ไม่เชื่อเพราะคิดว่าตัวเขาเองสามารถควบคุมได้หมด ทั่วทั้งโลก ไม่ว่ายานอวกาศจะขึ้น-ลงที่ไหนของเขาจะต้องจับได้ จะต้องรู้ใครจะไปเชื่อว่าพวกจะลักไก่ไปได้
      ถาม :  เขาลักไก่ไปได้ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ หรือเปล่า ?
      ตอบ :  ตั้งแต่ก่อนนั้น
      ถาม :  ถ้าแบบนั้น โอกาสที่ท่านฮิตเล่อร์ท่านจะชนะได้ในตอนนั้น ?
      ตอบ :  ยัง เพราะวิทยาการความก้าวหน้าพอที่จะไปท่องอวกาศได้ แต่ว่าพวกแร่ธาตุที่สำคัญต่าง ๆ ที่เอามาเขายังไม่สามารถจะศึกษาวิจัยและใช้ประโยชน์มันได้
      ถาม :  คือมาจากดาวอังคารไม่ใช่มีอยู่บนโลกนี้ ?
      ตอบ :  แร่ธาตุต่าง ๆ นั้นดวงดาวอื่นมันมีเยอะ บนโลกเรายังไม่มี
      ถาม :  ที่เอาไปฉาบบนเครื่องบินนะครับ ?
      ตอบ :  เป็นตัวที่ดูดกลืนรังสีทุกอย่างได้ อย่างเช่นว่า เรดาร์โซนาร์ ส่งไปโดนดูดเกลื้ยงเหมือนกับไม่มีเลย เพราะมันไม่สะท้อนกลับกลายเป็นล่องหนได้ แต่จริง ๆ ถ้าเรามองไปก็เห็น ๆ
      ถาม :  โดยทางวิทยาศาสตร์สารตัวนั้นมันค่ามิลล์สูง ค่าเอ็กซิดอนหรือค่า ?
      ตอบ :  เรียกไม่ถูกเพราะว่าไม่ได้ศึกษาเรื่่องนี้มา รู้อยู่อย่างเดียวว่ามันมีคุณสมบัติแบบไหนเท่านั้น
      ถาม :  แต่หาบนโลกไม่ได้ ?
      ตอบ :  บนโลกไม่มี
      ถาม :  แสดงว่าเยอรมันมีเจ้าเดียว ?
      ตอบ :  ไม่รู้ คนอื่นอาจจะมี
      ถาม :  เผื่อเมืองไทยมี จะได้เสาะหาครับ
      ตอบเมืองไทยมีอยู่ตัวหนึ่ง เป็นภูเขาเป็นลูก ๆ เลย ที่อเมริกาต้องการจะเอาไปหุ้มเปลือกกระสวยอวกาศ สารตัวนี้พอป่นเป็นผงแล้วจัดทำเป็นสี่เหลี่ยมลูกบาศก์เผาด้วยความร้อนสูงหลาย ๆ พันองศา แดงโร่เลยนะ แต่ถ้าจับถูกมุมไม่ร้อน คนหยิบไม่เป็นไร มุมด้านนั้นจะป้องกันความร้อนได้ เขาต้องการเอามาทำเป็นเปลือกกระสวยอวกาศ พอเอามาแล้วมาติดไว้ด้านนอก วิ่งผ่านอวกาศไปด้วยความเร็วสูง จะทำให้ข้างในมันไม่ร้อน อยู่ได้สบายเมืองไทยมีเยอะ เคยสอบถามราคากับสถานฑูตอเมริกาแล้ว เขาให้กิโลกรัมละ ๑ ล้านดอลล่าร์ นี่ราคาเมื่อปี ๒๕๓๒
      ถาม :  นี่คือยังไม่ได้ไปสกัดเอาออกมา ?
      ตอบ :  ลองดูแล้วเนื้อมันใช้ได้เลย เขาแค่ไปบดให้เป็นผง แล้วอัดเป็นลูกบาศก์เท่านั้นเอง แต่ว่าลักษณะที่สายตาเราเห็นมันก็คือหินชนิดนึง เท่าที่ใช้เลื่อยเลื่อยดูเนื้อข้างในมันเหมือนเนื้อกระเบื้องเราเป็นผง ๆ ไม่ใช่เนื้อผลลักษณะหินนะ แต่เป็นเนื้อผงลักษณะเนื้อกระเบื้อง
      ถาม :  กระเบื้องหลังคาแบบนั้นเลย ?
      ตอบ :  ใช่ แต่ว่าประกอบไปด้วยแร่ธาตุอะไรไม่รู้ ถึงเวลาที่อัดเข้ามาเป็นรูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ แล้วจะมีอยู่ด้านหนึ่งที่กันความร้อนได้ ถ้าจับอีกด้านก็พัง รายการข่าวต่างประเทศเขาหยิบให้ดูเลย หยิบให้ดูแดง ๆ นั้นแหละไม่เป็นไร
      ถาม :  อยู่แถวไหน ?
      ตอบ :  ในประเทศไทย ถ้ามีคนสนใจก็ชี้ให้ได้แต่ราคาแพงหน่อย
      ถาม :  แต่ว่าคนไทยยังไม่รู้ค่า ?
      ตอบ :  ยังไม่รู้ซะด้วยซ้ำ ที่รู้น่าจะมีบ้างแต่ว่าเขาก็คงเห็นว่ามันเป็นทรัพย์ของแผ่นดิน ในเมื่อเป็นทรัพย์ของแผ่นดินก็ไม่ควรไปยุ่งกับมัน ที่ไม่รู้ก็คือคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่รู้ว่าประเทศเราจริง ๆ ทรัพยากรมันมหาศาลขนาดไหนต่างประเทศถึงอยากได้บ้านเรานักหนา

      ถาม :  วิทยาการตรงนี้ครับอีกกี่สิบปีถึงจะใช้สามารถเอาเพชรพังงาออกมาใช้ได้ ?
      ตอบ :  สำหรับประเทศเราคงจะลำบาก ถ้าอย่างสหรัฐหรือว่าญี่ปุ่นเครื่องมือเครื่องใช้ในปัจจุบันของเขาสามารถใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ ได้อย่างสบาย แค่วิจัยค้นคว้าเพิ่มเติมว่าวัตถุที่มีความแข็งขนาดนั้น ต้องใช้พลังงานขนาดไหน ? ยิงเข้าไปเพื่อสลายโมเลกุลของนิวเคลียสมันออกมาให้เป็นพลังงาน เขาศึกษาค้นคว้าแล้วทำเพิ่มเติม สำหรับเขาภายใน ๑๐ ปีน่าจะได้ แต่สำหรับของเราในปัจจุบันนี้ ๑๐ ปีนี้ คงประเภทยังไม่ได้ติดฝุ่นเลย ไม่ได้ติดฝุ่นในปัจจุบันของเขานะ
              เพราะฉะนั้นมันก็เลยกลายเป็นว่าเรามีของดีอยู่แต่ว่าใช้งานได้ไม่คุ้มราคามันเลย พลังงานมันมหาศาลถึงขนาดหลวงพ่อท่านบอกว่าถ้าสามารถทำเครื่องยนต์ขึ้นมารองรับพลังงานอันนี้ได้ อยู่ขั้วโลกเหนือแค่สตาร์ทเครื่องถึงขั้วโลกใต้ความเร็วมันสูงขนาดนั้น ปัจจุบันนี้เขาใช้แค่เป็นเครื่องประดับเท่านั้น เรารู้จักกันในนามของเพชรพังงา หรือเพชรภูเก็ต เขาไม่รู้หรอกว่าเพชรที่ว่า คือสารกัมมันตภาพรังสีที่มีอานุภาพสูงมาก เพียงแต่ว่ามันยังไม่แตกตัวเท่านั้นเอง
      ถาม :  แล้วความรุ่งเรื่องคือประชาชนทั่วไปจะได้มีโอกาสใช้สิ่งนี้เมื่อไหร่ ?
      ตอบ :  เมื่อไหร่ ? ก็น่าจะอยู่ในช่วงปลาย ๆ รัชกาลที่ ๑๐
      ถาม :  กว่าจะชาวประชาวิไล ?
      ตอบ :  น่าจะอยู่ตอนปลาย ๆ รัชกาลที่ ๑๐ คือ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คนดีจะเริ่มมากขึ้นเรื่อย ความจริงคนดีเขาดีเป็นปกติอยู่แล้ว แต่คนดีที่มีอำนาจในการปกครองประเทศ มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆ ให้มันสมบูรณ์พร้อมหน้ากัน มันเพิ่งจะเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย
              โดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่มันบังคับในตัว ถ้าหากไม่ดีจริง กกต. จะแจกใบแดง เลยกลายเป็นว่าคนดีเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ พอคนดีเริ่มมากกว่าอยู่ในระดับที่พอควร เมื่อนั้นทรัพย์สินต่าง ๆ ของประเทศชาติเราจะปรากฏขึ้นมาก ในปัจจุบันนี้แค่ทองคำอย่างเดียว ประเทศเรานี้ พูดง่าย ๆ ว่าจะซื้อโลกนี้เรื่องเล็กเลย
      ถาม :  ปล่อยปูมีอานิสงส์ ? คำว่าอานิสงส์นี่...
      ตอบผลที่จะได้รับจากการกระทำ ผลที่เขาหวังว่าจะได้คือการปล่อยชีวิตสัตว์ คือ เห็นแล้วสงสาร มันโดนมัดอยู่ ปล่อยชีวิตสัตว์ให้ได้รับความสุขความสะดวกสบาย ถ้าเรามีอุปฆาตกรรมอยู่ก็สามารถที่จะตัดอุปฆาตกรรมนั้นได้
              แต่บังเอิญว่าการปล่อยปูนั้น หลวงพ่อท่านช่างสังเกต ปล่อยไป ๒ ครั้ง อาการที่เคยปวดเคยเมื่อร่างกายรู้สึกมันหายไปเฉย ๆ ท่านพิจารณาไปพิจารณามาก็คิดว่าน่าจะเป็นจากการปล่อยปูเพราะว่าปูมันโดนเขามัดอยู่ทั้งวัน ปล่อยให้ได้รับความสบายมันไม่ปวด ไม่เมื่อยของมัน คนเลยพลอยได้ไปด้วย ดังนั้นจริง ๆ แล้ว อานิสงส์คือสิ่งที่ต้องได้รับแน่ ๆ แต่เราคิดไม่ถึง ถึงได้ใช้คำว่ามันเป็นอานิสงส์พลอยได้ แต่ความจริงมันเป็นของที่ต้องได้อยู่แล้ว ใช้คำพูดผิดไปนิดเดียว
      ถาม :  ถ้าในกรณีที่ต้องการที่จะปล่อย เขาก็ได้รับในส่วนนี้ แต่ถ้าผมไปแนะนำเขาว่ามันมีของดีกว่านั้น คือการปล่อยจิตปล่อยใจของเรานี่เอง จะดีกว่าไหมครับ ?
      ตอบ :  มันดีกว่า แต่มันดีในด้านของปฏิบัติ ในด้านของอามิสคือผลที่จะได้รับของเรามันขาดไป มันเหมือนกับว่าเขาจะให้ทาน แล้วเราไปบอกเขาว่าภาวนาอานิสงส์สูงกว่าทานเป็นหมื่นเท่าเกิดชาติใหม่ฉลาดแต่จนเพราะขาดทานบารมี
              เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาทำเราแนะนำให้เขาทำต่อได้เลย แต่เสริมไปด้วย แบบเดียวกับพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้ขัดแย้งใคร ชฎิล ๓ พี่น้อง พร้อมกับบริวารเป็นพันบูชาไฟ ท่านก็บอกการบูชาไฟนะดีแต่การบูชาไฟภายในจะดีกว่า ท่านถามว่าไฟภายในคืออะไร ? คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ท่านบอกว่าถ้าหากว่าสามารถบูชาไฟภายในคือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะด้วยการทำ เราทำให้ไฟทั้ง ๔ กองนี้ดับลงได้ ก็จะสามารถพ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง
              พระพุทธเจ้าท่านไม่ขัดใคร ท่านมีแต่เสริม เพราะถ้าหากว่าขัดของเก่าเขาจะไม่ได้มัน ถ้าหากว่าทิฏฐิเขามาในลักษณะนั้น คือว่าเขายึดมั่นถือมั่นในการปฏิบัติของเขา เขาจะเห็นเราเป็นศัตรูไปเลยไม่ใช่พวกเดียวกัน คราวนี้เรื่องที่เขาจะฟังเราก็ยากแล้ว
              ฉะนั้นการเผยแพร่ศาสนาพระพุทธเจ้าท่านระบุไว้ชัดเลยจะไม่ขัดคอใคร จะไม่ทับถมใคร เผยแพร่ศาสนาด้วยเจตนาต้องการให้เขาพ้นทุกข์ ไม่ใช่เพื่อลาภยศชื่อเสียงเกียรติคุณอะไรของตนทั้งสิ้น
      ถาม :  แล้วเราก็เสริมเขาไป
      ตอบ :  ของเขาดีอยู่แล้ว บอกเขาได้เลยว่าทุกอย่างดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ที่ดีกว่านั้นยังมีอยู่แบบเดียวกับ พระวังคีสะเถระท่านมีมนต์ เรียกว่า ฉวะสีสะมนต์ คือเคาะศีรษะของคนหรือสัตว์ที่ตาย กะโหลกจะรู้ว่าคนและสัตว์นั้นตายแล้วไปไหน พระพุทธเจ้าก็ให้ทดลองดู ตอนนั้นท่านยังเป็นพราหมณ์อยู่ ถ้าเคาะศีรษะ อันนี้ตายไปแล้วลงนรก พระพุทธเจ้าท่านก็รับรองว่าถูกต้อง เคาะอันนี้ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน พระพุทธเจ้าท่านก็รับรองว่าถูกต้อง เคาะอันนี้ไปเป็นพรหม เป็นเทวดา ถูกต้องท่านก็รับรอง เคาะพระอรหันต์เงียบ...ไม่รู้ ความรู้ไม่ถึงพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าแต่ตถาคตรู้ ในเมื่อตถาคตรู้ขออนุญาตเรียนมนต์บทนี้ได้ไหม ? พระพุทธเจ้าก็บอกได้ แต่การเรียนต้องเป็นพวกเดียวกันถึงจะสอนให้
              เพราะฉะนั้นต้องแต่งตัวเหมือนกันก่อน ก็ขอบวช ท่านวังคีสะพราหมณ์ท่านคิดว่ามนต์บทหนึ่งมันไม่ยากสำหรับคนฉลาดอย่างท่าน ก็เลยบอกลูกศิษย์ว่ากลับไปก่อนเดี๋ยวขอเรียนมนต์บทนี้จบแล้วจะไป พระพุทธเจ้าท่านบวชให้ เสร็จแล้วให้อาการ ๓๒ ไปท่อง ไล่ขึ้นมาเลยตั้งแต่เส้นผมลงปลายเท้าปลายเท้าขึ้นไปเส้นผมประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ท่องไปท่องมาเกิดรู้แจ้งขึ้นมาว่า ทั้งหลายทั้งปวงมันก็ไม่เที่ยง มันก็เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือได้เลยสักอย่าง กลายเป็นพระอรหันต์ไป ของเขาดีอยู่แล้วแค่เสริมเขา พระพุทธเจ้าท่านเผยแพร่ลักษณะนี้
      ถาม :  ผมผิดไปนิดนึงที่จิตคิดพลาดไปนิดพังเลย คือใจเราอยากให้เขาได้ดีมากที่สุดเพียงแต่ว่าลืมของเดิมเขาไป
      ตอบตัวนี้ต้องระวังให้มากที่สุดเลยสำหรับนักปฏิบัติทุกคน เราทำไปถึงตรงไหน ด้วยจิตที่เมตตานะ แต่บังเอิญมันใช้ผิด ด้วยจิตที่เมตตาหวังจะให้เขาได้เหมือนอย่างเราก็แนะนำเขาไป แต่มันกลายเป็นว่าถือเอาทิฏฐิคือความรู้ ความเห็นของตนไปปนกับธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้า ไม่ใช่ธรรมะบริสุทธิ์ กลายเป็นกิเลสของเราครึ่งหนึ่ง ระวังให้จงหนักเลย
              หลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านต้องไปตามแก้เทศน์อยู่เป็นปี ๆ ไอ้เรื่องนิพพานสูญ ท่านเป็นมหาท่านเรียนมานิพพานัง ปรมังสุญญัง นิพพานสูญ เทศน์ไปหลายจังหวัดเลยต้องมานั่งไล่ว่าไปเทศน์ไว้ที่ไหนบ้าง แล้วย้อนกลับไปแก้เทศน์ให้ ถ้าแก้ไม่หมดเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ซวยหนักเลยนะ ทำคนเป็นมิจฉาทิฏฐิโทษหนักถึงขนาดลงนรกโลกันต์ได้ ไม่ใช่อเวจีเฉย ๆ ก็แปลกใจทำไมโทษหนักถึงลงนรกโลกันต์ได้
              ท่านบอกว่าทำให้คนเป็นมิจฉาทิฏฐิ คนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิโอกาสที่จะลงนรกมีมากเกินร้อยเปอร์เซนต์ เมื่อลงนรกไปกว่าจะกลับขึ้นมาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นถึงมนุษย์แล้วได้เข้าถึงธรรมนะ มันนานแค่ไหน ถ้าหากว่าเป็นมนุษย์ บังเอิญว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิต่อ ทำความชั่วอีกลงนรกอีก เราทำให้เขาห่างความดีขนาดนั้น โทษมันก็เลยหนักมหาศาล
ไม่น่าเชื่อเลย สอนคนผิดหน่อยเดียวตัวคนสอนลงโลกันต์ไปเลย