ช่วงแรกของเล่ม "อดีตที่ผ่านพ้น ๕๔-๖๐"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมิถุนายน ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  นั่งแล้วบางทีจะมีทำสมาธิเหมือนวิญญาณจะมาอยู่ แผ่อุทิศส่วนกุศลให้การที่นั่งสมาธิครั้งนี้ให้เขาหมดเลย ?
      ตอบ:  ได้อยู่ แต่ว่ามีบางรายที่เขาไม่ได้ต้องการอย่างนั้น เขามาเพื่อดูแลเรา มาเพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยของเรา แต่อย่างว่าเขามาในเมื่อเราทำความดี ขอให้เขายินดีโมทนาด้วยเขาก็เต็มใจรับอยู่แล้ว มาโดยไม่ได้คิดต้องการผลประโยชน์แต่ให้ก็เอา แต่มีพวกที่เข้ามาขอส่วนกุศล ขออะไรก็มี
      ถาม:  ของหลวงพี่มาบ่อยซิครับ แต่เปรตน่ะไม่เคยเห็น อยากเห็นเหมือนกันว่าตัวใหญ่ขนาดไหน ?
      ตอบ:  ไม่เป็นไรจ้ะเดี๋ยวนาน ๆ ไปเห็นเอง
      ถาม:  กำลังนั่งสมาธิอยู่มีวิญญาณมารออยู่นอกหน้าต่าง แผ่อุทิศส่วนกุศลให้แล้วก็ไป แล้วนั่งสักพักหนึ่งหลวงพ่อท่านมา ผมก็ไม่ได้คิดถึงหลวงพ่อนะครับ หลวงพ่อมาองค์ใหญ่มากเลยมานั่งอยู่ต้นห้อง ผมก็หันไปมองท่าน ทีแรกผมจำไม่ได้ท่านก็ขยับแว่น แล้วท่านก็บอกว่าจำฉันไม่ได้เหรอ ฝึกมาก ๆ นะ เดี๋ยวเจอกัน โอกาสเป็นนิมิตหรือเปล่าครับ กราบท่านแล้วผมก็ร้องไห้ด้วย โอกาสเป็นนิมิตไหมครับ ?
      ตอบ:  โอกาสอย่างนั้นหายาก ครูบาอาจารย์ที่ท่านจะมาสงเคราะห์เราจริง ๆ งานของท่านเยอะ เวลาของเราเองถ้าหากไม่ตรงกัน ท่านก็สงเคราะห์ไม่ได้
              มีอยู่เที่ยวหลังจากที่หลวงพ่อท่านมรณภาพไปแล้ว อาตมาเองก็ไปอยู่ทองภูมิโน่น...ตอนเช้า ๆ ก็ว่าจะขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน ปรากฏว่าไปเจอหลวงพ่อไล่เคาะประตูบ้านนั้นบ้านนี้ป๊อก ๆ ไล่เคาะไปเรื่อยเดินเหงื่อท่วมเลย ก็เลยไปกราบท่าน ขำก็ขำ ถามว่าหลวงพ่อครับตายแล้วมันเหนื่อยขนาดนั้นเลยหรือครับ? ท่านบอกว่าตายนี่มันแย่กว่าเดิมหลายเท่าเลย เพราะว่าก่อนหน้านี้มันเรียกทำเป็นไม่ได้ยินก็ได้ แต่ตายแล้วมันเรียกได้ยินทุกทีเลย
              คราวนี้หลังจากลักษณะนั้น ก็แสดงว่าถ้าหากว่าใครที่มีกำลังใจส่งถึงท่าน คิดถึงท่าน นึกถึงท่าน ในช่วงนั้นจะสามารถพบท่านได้ไม่วิธีใดวิธีหนึ่ง อาจจะฝันเห็นหรือว่านิมิตเห็นในขณะทำกรรมฐาน หรืออาจจะเห็นมาทั้งตัวเลย
      ถาม:  แต่ท่านมาคล้าย ๆ กายทิพย์ครับ ใส ๆ ?
      ตอบ:  ท่านจะต้องมีวิธีให้รู้ว่าท่านมา แต่คราวนี้จะเป็นแบบไหนเท่านั้นเอง เล่นไปไล่เคาะทีละบ้านเลย เอาไม้เท้าเคาะป๊อก ๆ เดี๋ยวไปบ้านโน้นก็ป๊อก ๆ เหมือนว่ามาแล้วอะไรอย่างนี้ คือว่าตัวคนที่อยู่นั้นเขาจะรู้เองว่า มาอย่างไร เขาอาจจะฝันเห็นเก็บไว้เป็นกำลังใจตัวเอง หรือนั่งกรรมฐานนิมิตเห็น หรือว่าอาจจะมาด้วยกายเนื้อเป็นองค์มาเลย นั่นเป็นวิธีของท่านที่ท่านจะทำ แต่ขำก็คือว่า แหม...ในนิมิตท่านเล่นเหนื่อยเหงื่อโทรมมาเลย มันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ท่านทำให้ดูว่างานเยอะขึ้นขนาดไหน
      ถาม:  นี่ขนาดท่านไปจุดนั้นยังต้องมีหน้าที่ทำงานขนาดนี้ไม่ได้อยู่ อยู่สบายเลย ?
      ตอบ:  ท่านจึงบอกว่าตอนเป็นมันเรียกทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ตอนตายใครเรียกก็ได้ยิน
      ถาม:  ไม่อยากให้ท่านทำกลัวท่านเหนื่อย ?
      ถาม:  เคยเห็นพระพิฆเนศ...?
      ตอบ:  อยู่ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาชื่อ...............ฮินดูเขาตั้งเทวดาได้ แล้วก็จะกำหนดคุณสมบัติขึ้นมาว่าเทวดาองค์นั้นชื่อนั้นมีความสามารถอย่างนั้น ๆ
              คราวนี้บังเอิญไปตรงกับเทวตานุสติที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ระลึกถึงความดีเทวดาใช่ไหม แต่คราวนี้การระลึกของเขา ๆ ไม่ได้มาดู ว่า เออ! เทวดาต้องมีหิริ – ละอายแก่ใจ โอตัปปะ-กลัวความชั่ว อย่างน้อย ต้องมีศีล ๕ ทรงตัวถึงจะใช้ได้ เขาไม่ดูในจุดนั้น และไม่ทำในจุดนั้นด้วย เขาเล่นมาอ้อนและร้องขอเอา แต่ก็ยังเป็นการยึดเทวดาเป็นอนุสติอยู่ เบื้องบนก็เลยต้องลำบากหาเทวดาที่มีความสามารถใกล้เคียงกับที่เขาว่าเอามารับหน้าที่นั้นแทน
      ถาม:  ที่บ้านมีรูปพระพิฆเนศอยู่ ในจิตตอนนั้นบอกว่าเป็นพระพิฆเนศ ผมก็ โอ๊ย...เห็นอีกทีทำไมเศียรเป็นพระด้วย ผมก็เลยสงสัย ?
      ตอบ:  เหมือนอาตมาไปเจอท่านปู่พระอินทร์ ขึ้นไปถึงไม่ได้เจอพระอินทร์ในความคิดของเราเลย เจอลุงแก่ ๆ อ้วนพุงปลิ้นนั่งสูบบุหรี่ เราก็ไปนั่งดูอยู่หน้าแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ นี่หรือพระอินทร์? ท่านก็ลุกขึ้นนั่งพรึ่บเอ็งอยากดูแบบไหน ? และท่านก็เปลี่ยนให้ดูเป็นร้อย ๆ แบบเลย และแบบสุดท้ายก็คือต้องตัวเขียว ๆ เราถึงจะว่าใช่ บางทีท่านทำตัวตามสบายมา ลักษณะที่ท่านมาถ้าท่านมาตามปกติขอให้ใจของเราบอกว่าท่านเป็นใคร ตอนนั้นให้เชื่อตามนั้น เพราะว่าความเป็นทิพย์รายงานหมดว่าเป็นอะไร
      ถาม:  ตอนเด็ก ๆ สวดมนต์เสร็จแล้วมานั่งดู เราอยากทำให้ถูกไม่รู้จะทางไหนดี ?
      ตอบ:  อันดับแรก ศีล ๕ ข้อให้ครบถ้วนสมบูรณ์เลยจ้ะ ถ้ารักษาด้วยตัวเองได้ก็อย่ายุให้คนอื่นทำ รักษาด้วยตัวเองได้ไม่ยุคนอื่นทำได้ เห็นคนอื่นทำก็อย่าไปยินดีด้วย
      ถาม:  เห็นคนอื่นก็อย่าไปยินดีด้วยหรือคะ ?
      ตอบ:  ประเภทที่เรียกว่าเราเองไม่ฉีดยาฆ่ามดแล้ว ไม่บอกให้คนอื่นฉีดแล้ว พอเขาคว้ามาฉีดปุ๊บ แหม...มันน่าจะทำซะนานแล้ว มีส่วนด้วยจ้ะ พยายามให้มันละเอียดขึ้นไป ศีลทรงตัวลักษณะเดียวกัน ถ้าหากศีลทรงตัวเราปฏิบัติภาวนาอยู่สมาธิตั้งมั่นได้ง่าย สมาธิตั้งมั่นได้ง่ายปัญญาจะเกิด ปัญญาเกิดจะมีสติ สมาธิที่จะไปควบคุมศีลให้ละเอียดยิ่ง ๆ ขึ้นไป ศีลยิ่งละเอียดสมาธิยิ่งทรงตัว สมาธิยิ่งทรงตัวปัญญายิ่งเกิด
      ถาม:  ทีนี้ทำงานต้องติดต่อลูกค้าอย่างนี้เรียกว่าโกหกไหมคะ ?
      ตอบ:  ถ้าหากว่าเรารับสินค้ามา สมมุติว่าราคาหนึ่งแต่ว่าเราต้องการขายลักษณะนี้ เราก็บอกว่าเขาแล้วกันรับมาแพงต้องขายราคาแพง ต้องขายราคานี้ราคาอื่นไม่ได้ แต่อย่าไปบอกเขาว่ารับมาเท่านั้นบาทเท่านี้บาท ถ้าประเภทนั้นโกหกตรง ๆ แต่รับมาแพงนี่ไม่รู้มันแพงเท่าไหร่ ๓ บาท ๕ บาทมันก็แพงของเรา
      ถาม:  ตัวเองเป็นคนตรง ๆ แล้วสงสารลูกค้าด้วยค่ะ ?
      ตอบ:  ถ้าหากว่าอันไหนหนักใจเรา ๆ คิดว่าเราไม่สามารถจะแก้ไขได้ มันจะต้องศีลขาดแน่ ๆ เราโกหกเขาแน่ ๆ ก็เอาเป็นว่าตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งไปถึงที่ทำงานเราต้องไม่โกหกเด็ดขาด รักษาเป็นเวลาแทน หลังจากนั้นก็ว่ามันไปเลิกงานเมื่อไหร่จนถึงกลับบ้านจะไม่โกหกเด็ดขาดอะไรอย่างนี้ ใช้วิธีรักษาเป็นเวลาแทน อย่างน้อย ๆ ๒๔ ช.ม. เราก็ไม่ขาดทุนตลอด มันมีส่วนของความกำไรอยู่
      ถาม:  ตอนนอนก็ไม่ได้ทำค่ะ ?
      ตอบ:  ก่อนนอนก็ตั้งใจสมาทานศีล หลับยาว
      ถาม:  คือว่าแต่ก่อนสวดมนต์ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้สวด เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?
      ตอบสวดมนต์นี่เหนื่อย ๆ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน ให้ใช้เป็นภาวนาแทน นอนภาวนาตามแบบของหลวงพ่อหากินทางนอนง่ายดี ถึงเวลาตั้งใจเรานอนลงไปแล้วร่างกายที่เหยียดยาวก็เหมือนศพดี ๆ นี่เอง ถึงเวลามันจะตื่นขึ้นมาเห็นตะวันขึ้นหรือเปล่าก็ช่างมัน ถ้าตายตอนนี้เราจะไปพระนิพพาน เราก็จับตัวภาวนาหลับไปเลย
      ถาม:  มีปัญหาเรื่อง ๓ ฐานของลมหายใจ หลวงพ่อบอกว่าพอเข้าปั๊บ มาที่อกแล้วท้อง เวลาลมหายใจออกไม่เห็นรู้สึกเลยครับตรงหน้าอก ?
      ตอบ:  ถ้าใจยังไม่ละเอียดมันจะไม่รู้สึก มันต้องไปสักพักถึงจะรู้สึก
      ถาม:  ลมละเอียดขนาดไหนครับถึงจะรู้สึก ?
      ตอบ:  เราเอาความรู้สึกตาม ตอนนี้เราหายใจเข้าไป ตอนนี้เราหายใจออกมา หายใจเข้ามันผ่านจมูก ผ่านกึ่งกลางอกลงไปสุดที่ท้อง ออกจากท้องผ่านกลางอกมาสุดที่จมูก ตามความรู้สึกไปแค่นั้นเอง ว่าตอนนี้มันเข้า ตอนนี้มันออก
      ถาม:  รู้สึกภายในใช่ไหมครับ ผมนึกว่าให้ลมพัดผ่าน ?
      ตอบ:  ไม่ใช่ ๆ มันอยู่ข้างในจ้ะ ลมมันอยู่ข้างใน
      ถาม:  แล้วเอาแค่ปลายจมูกนี้ได้ไหมครับ ?
      ตอบ:  ได้ เอาที่เดียวก็ได้ ๓ ที่ก็ได้ ๗ ที่ก็ได้ ไม่เอาสักที่เลยก็ได้ ไม่เอาสักที่นี้มันยากนะ เพราะมันรู้ตลอด หายใจเข้ามันรู้ยาวไปเลยเท่ากับสัมผัสตลอดเส้นทาง ออกก็รู้ยาวออกไปเลย ถ้าจิตไม่ละเอียดจริง ๆ จะรู้ไม่ตลอด
      ถาม:  กำหนดลมหายใจแล้วมันคิดโน่นคิดนี่เยอะ ตานี้หลวงพ่อก็ให้กำหนดภาพพระไปด้วย ไม่ตีกันใช่ไหมคะ ?
      ตอบ:  ไม่เป็นไรจ้ะ ไปด้วยกันได้ลื่น
      ถาม:  นึกภาพพระหลายองค์ล่ะคะ ?
      ตอบ:  ก็ดีจ้ะ เอาเรียงไว้ตลอดตั้งแต่หัวถึงท้องกี่องค์ก็ได้ หายใจเข้าให้ผ่านทุกองค์เลย ลงมา สว่างตลอด ถึงเวลาก็ออก หรือไม่ก็พระท่านไหลเข้าไหลออกเป็นขบวนตามลมหายใจเลย สนุกดีอีกต่างหาก ขยายท่านให้ใหญ่ พออกมาองค์ใหญ่เบ้อเร่ออยู่ข้างนอก ถึงเวลาจะเข้าก็หดข้างในเหลือนิดเดียวอยู่ข้างใน ให้มันใหญ่ให้มันเล็กอย่างนี้สนุกดีจ้ะ
      ถาม:  เวลาทำงานเราทำอย่างนี้ได้ไหมคะ ?
      ตอบ:  ทำได้จ้ะ จำเป็นต้องทำไปด้วย เพราะถ้าหากสติอยู่กับลมหายใจเข้าออกงานจะมีคุณภาพ เพราะสมาธิมันจดจ่ออยู่ตรงหน้า
      ถาม:  อย่างนี้มโนมยิทธิเห็นเขาทำได้ ทำไมเราไม่ได้ ?
      ตอบ:  ถ้าหากทำลักษณะที่ว่านี้ได้ นึกถึงภาพพระเข้าไปออกมาได้ ก็เป็นมโนมยิทธิดี ๆ นี่เอง ถึงเวลาเราก็แค่เปลี่ยนจากภาพพระ รู้เห็นสิ่งที่ต้องการแค่นั้นเอง ทำง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่ใช่เรื่องยากเลย มโนมยิทธิคิดง่าย ๆ สบาย ๆ ตอนนี้ตรงหน้าเรามีพระองค์หนึ่ง ขนาดที่เรารู้สึกกำลังสบายสำหรับเรา หายใจเข้าก็ไหลตามลมเข้าไปท่านก็เล็กลงมา จากใหญ่ก็เป็นเล็ก ๆ ลงมา เล็กสุดตรงสุดของลมประมาณบริเวณท้อง หายใจออกท่านก็ค่อย ๆ โตจนขนาดเท่าเดิมจนมาอยู่ข้างหน้า จับภาพพระได้ชัดเท่าไหร่การใช้มโนมยิทธิเพื่อดูอย่างอื่น ก็จะรู้เห็นได้ชัดเท่านั้น
      ถาม:  ถ้าเรื่องกสิณควรจะฝึกกองไหนก่อนครับ ?
      ตอบ:  ตามที่หลวงพ่อท่านบอก ท่านบอกว่าเอาตำรามาอ่านดูก่อน ชอบกองไหนมากที่สุดให้ทำกองนั้น ถ้าหากว่าชอบหลายกองให้ตั้งใจจุดธูปกราบพระ อธิษฐานว่ากองไหนที่ข้าพระพุทธเจ้าทำแล้วได้ผลเร็วที่สุดให้ชอบกองนั้นมากที่สุด ส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะมีพื้นฐานเดิมอยู่เยอะ เพราะฉะนั้นบางทีชอบหลายกอง
      ถาม:  เคยไปถามพวกที่ฝึกมโน เขาบอกว่าชาติที่แล้วผมน่าจะได้กสิณไฟมาก่อนครับ เพราะตอนนั่งสมาธิถึงจุดหนึ่งมันเหมือนกับมันแตกเป๊ะ ๆ จากข้างล่างมาถึงข้างบน แล้วก็พอนั่งเป็นประจำจะได้ยินเหมือนอะไรดังปั้ง ?
      ตอบนั่นไม่ต้องไปใส่ใจมัน คือถ้าหากว่าเป็นกรรมฐานในอดีตที่จะได้ ถึงเวลาตัวนิมิตจะปรากฏขึ้นเอง อย่างเช่นว่าเคยได้กสิณไฟมันจะปรากฏเป็นเปลวไฟขึ้นมาเอง ถึงเวลานั้นเราก็จับภาวนาต่อไปเลย แต่ถ้าหากว่ายังไม่ถึงตรงจุดนั้นกำลังยังไม่พอ อารมณ์ใจเรายังไม่เข้าถึงที่สุดของกรรมฐานกองที่ทำอยู่ นิมิตใหม่มันก็ยังไม่มา พอมันเข้าถึงที่สุดกำลังมันเต็มแล้วได้กองใหม่ก็จะมาเอง
      ถาม:  อย่างหนูไม่รู้ว่าจะชอบอะไร ไม่ต้องฝึกก็ได้ใช่ไหมคะ ?
      ตอบ:  ไม่ต้องฝึก...ได้จ้ะได้ แต่คราวนี้ลุงพุฒ แกจะตกลงหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดโอกาสที่เราจะพลาดลงอบายภูมิมันเยอะ อย่างน้อย ๆ จะต้องลมหายใจเข้าออกเป็นเครื่องยึด ลมหายใจเข้าออกป้องกันความฟุ้งซ่านได้ดีที่สุด ขณะที่จิตใจฟุ้งซ่านไปอารมณ์ที่อื่น ถ้าเราผูกอยู่กับลมหายใจเข้าออกมันก็ไม่ไปหาความลำบากเดือดร้อนให้กับเรา ไม่อย่างนั้นมันก็ให้เราคิดโน่นคิดนี่พาให้เราทุกข์ ไปนั่งซ้อมเอาทุกวัน ๆ ตรวจสอบความก้าวหน้าตัวเอง
      ถาม:  เพื่อนโทรมาบอกว่ามีลูกสาวคนเดียวต้องไปใส่บาตรด้วยขนมจีนพระ ๙ องค์ ไม่อย่างนั้นลูกจะตาย ?
      ตอบ:  ไม่เป็นไรหรอก ปล่อยมันตายไปเหอะ เจอบ่อยจ้ะ ใส่บาตรที่ไหนก็ได้
      ถาม:  เขาสร้างกระแสหรือคะ ?
      ตอบ:  มันเป็นกระแสที่ดีจ้ะ คนกลัวก็วิ่งไปทำบุญ ตอนสมัยอยู่วัดท่าซุงมีอยู่ ๒ ครั้ง ช่วงที่บวชเป็นพระ ๗ ปี ที่บวชอยู่วัดท่าซุงมีอยู่ ๒ ครั้ง ครั้งหนึ่งเขาว่าคนที่เกิดมันก็มีปีมะ...ไปขอเงินเขามาให้ได้ ๒๙ บาทแล้วเอาไปถวายสังฆทาน ขอต้องให้คนละไม่เกิน ๑ บาท อย่างน้อย ๆ คุณต้องตากหน้าไปเจอคนอื่น ๒๙ คนแต่ไม่ได้เอาเงินมาใช้นะ ต้องเอาไปถวายพระเป็นสังฆทานถึงจะพ้นเคราะห์ ไม่อย่างนั้นจะตาย โอ้โห...ตานี้เจอแต่ขอทานเต็มเมือง เจอหน้าเอ็งขอข้า ข้าขอเอ็ง ห้ามซ้ำเดิมด้วยนะ ให้เกินบาทก็ไม่ได้ด้วย
              แล้วอีกทีก็ว่า หลวงพ่อธรรมจักร วัดธรรมมูล มาเข้าฝันว่าใครมีลูกคนหัวปี คือคนโตเป็นผู้ชายให้ถวายข้าวต้มมัด ๔๐ มัด ไม่อย่างนั้นลูกชายจะตาย ปรากฏว่าอาตมาเจอบ้านแรก ๔๐ บ้านที่สองก็หิ้วมา เขาว่าเอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ มันจะตายเอา ๔๐ มัด มันก็ตะกร้าเบ้อเร่อเลย เราก็หิ้วมาแล้วใช่ไหมล่ะ ไอ้บ้านที่สองอีก ๔๐ เขาก็บอกว่าเอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้ งวดนั้นฉันข้าวต้มมัด ตาเหลือกตาปลิ้นกันทั้งวัดเลย แต่ว่าดีอยู่อย่างคือว่าอันนี้เข้าใจเลยว่าอย่างหลวงพ่อธรรมจักร ท่านเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำชัยนาทอยู่ที่วัดธรรมมูล พระองค์นั้นลอยน้ำมา วันดีคืนดีก็จะลงไปเล่นน้ำก็ศักดิ์สิทธิ์มาก ทีนี้เทวดาที่ท่านรักษาองค์พระท่านคงเห็นว่า นาน ๆ กระตุ้นให้คนมันทำบุญซะทีหนึ่ง อย่างเห็นว่าไปขอเงินอย่างนี้ ก็จะได้จาคานุสติใช่ไหม ต้องสละออก แล้วก็ลดมานะ เพราะว่าต้องไปขอเขาและยังได้ถวายสังฆทานด้วย กุศโลบายท่านดูแล้วยอดเยี่ยมมากเลย แต่ข้าวต้ม ๔๐ มัดนี่ไม่ไหว พระแทบตายเลยกว่าจะหิ้วถึงวัด โอ้โห...อย่างที่บิณฑบาตเส้นทางบิณฑบาตกว่าจะเดินครบตั้งชั่วโมงกว่า
      ถาม:  .................................
      ตอบ:  ถ้าหากว่าพูดถึงชัยนาทก็โน่นน่ะจ้ะ วัดธรรมมูล แล้วตรงนั้นมีเกจิอาจารย์อยู่องค์หนึ่งก็คือหลวงพ่อผล วัดดักคะแนน วัดดักคะแนนกับวัดธรรมมูลที่ห่างกันอยู่นิดเดียว ไปไหว้พระสงฆ์ก็ได้ ไหว้พระพุทธด้วย ไปไหว้พระพุทธก็ได้ไหว้พระสงฆ์ด้วย
      ถาม:  ...............................
      ตอบ:  ลองดูไหมถ้าเจอใครให้ถวายทุเรียน ๑๐๐ ลูก นี่อาตมาวิ่งหนีแน่ เป็นคันรถ ใครจะไปขนมันไหว วันก่อนบิณฑบาตอยู่ในทองผาภูมิ ก็มีโยมคนหนึ่งถือทุเรียนมาจะถวาย คราวนี้บังเอิญพระ ๒ สายมาชนกันพอดี สายของวัดทองผาภูมิกับสายของวัดท่าขนุนมาจ๊ะเอ๋กัน เราก็เลยชี้ไปทางด้านสายของวัดทองผาภูมิ โน่นแน่ะ...ถวายวัดโน้นก็แล้วกันท่านไม่ค่อยได้อะไร คือวัดโน้นเขาไม่ค่อยปฏิบัติ คนไม่ค่อยศรัทธาจะไม่ใส่บาตร เราก็กะงานนี้กูรอดแน่ ที่ไหนได้...พอพ้นโค้งไปเจอกองเบ้อเร่อ อาจารย์สมพงษ์ก็บอกว่านี่อานิสงส์ตีกลับฉับพลันเลย ที่หลวงพ่อสพฤกษ์บอกให้เขาไปลูก... ตัวเองได้มากองเบ้อเร่อเลย เขาเตรียมไว้ ๙ ลูกเขาใส่บาตร ๙ องค์ ตกลงหิ้วกันกระโตงกระเตง
              อานิสงส์ตีกลับฉับพลัน บางทีชาวบ้านเขาไม่ค่อยเข้าใจ คือเห็นวัดอื่นเขามาเราจะบอกให้ไปใส่ของเขา เพราะของเราได้เกินแล้วเกินอีก บางทีฉันเหลือเฟือ เหลือจากเด็กวัดก็ยังเหลือ เหลือจากหมาก็ยังเหลือ เลยเห็นวัดอื่นเขาไม่ค่อยได้ก็ให้เขาไป บางทีโยมเขาเตรียมอาหารไว้ ๒ ชุด อย่างนี้ใส่ปุ๊บ ก็ว่าอีกชุดไปใส่วัดโน้นนะ เขากำลังเดินมา บางทีเขาก็ทำหน้างง ๆ ว่าเขาอยากใส่วัดเราทำไมไม่ให้เขาใส่ แบ่งให้เขากินบ้าง
      ถาม:  วัดที่ทางจะไปเขื่อนเขาแหลม อยู่ซ้ายมือนั้นวัดอะไรคะ ?
      ตอบวัดเขื่อนเขาแหลมจ้ะ วัดเขื่อนเขาแหลมไม่ได้ออกมาบิณฑบาต ที่บิณฑบาตนั่นก็จะมีวัดป่าผาตาดทางสวรรค์ วัดป่าผ่าตาดทางสวรรค์จะอยู่ทางด้านหินดาด เขาจะมีรถมาส่งให้บิณฑบาติ มีวัดท่าขนุน วัดทองผาภูมิ แล้วก็วัดเขารวก และอีกหนึ่งวัดป่าสุนันทาวราราม เขตไทรโยค แต่ว่าแถวที่ท่านอยู่ก็คงบิณฑบาตไม่พอกินละมั้งก็เลยเอารถปิกอัพ มาส่งพระบิณฑบาตในตลาดเหมือนกัน
              เคยถามโยมที่ใส่บาตรทุกวัดช่วงเข้าพรรษานี้พระเยอะไหม ? เขาบอกว่าถ้ามาครบทุกวัดก็ร่วม ๒๐๐ องค์ โยมเขาต้องหุงข้าวต่างหากไว้เป็นหม้อ ๆ เลยแหละ เอาไว้ใส่บาตรอย่างเดียว กำลังใจเขาดีจัง แต่ว่าส่วนใหญ่ก็จะเลือกใส่เฉพาะวัดที่ตัวเองศรัทธา มันก็เลยจะเป็นวัดท่าขนุนกวาดมาเกลี้ยง
      ถาม:  หลวงพี่คะ ไม่ค่อยได้ตื่นใส่บาตรเลย ?
      ตอบ:  ไม่เป็นไรจ้ะ เพราะว่าอย่างไรล่ะ ทานเกิดมารวย ศีลเกิดมาสวย ภาวนาเกิดมาฉลาด เลือกเอา เอามันทุกอย่าง
      ถาม:  แล้วทำทานอย่างอื่นได้ไหมคะ ?
      ตอบ:  ได้จ้ะ ทานเยอะแยะไป ทานเกิดมารวย รักษาศีลเกิดมาสวย ภาวนาเกิดมาฉลาดมีปัญญา ทำให้ครบไปเลย ไม่จำเป็นต้องไปทำทุกวันก็ได้ มีโอกาสช่วงวันสำคัญหรือวันหยุดก็ไปทำ แต่ถ้าหากได้ทำทุกวันได้ดี เพราะว่าโยมหลายคนอย่างหมอสุวรรณ โอ้โห! แก่ก็แก่แล้ว เกษียณแล้วเกษียณอีก เกษียณมาสัก ๒๐ ปีได้แล้วมั้ง ใส่บาตรอยู่ทุกวัน ฝนตกแดดออกอย่างไรหมอสุวรรณก็ต้องเข็นรถเข็นมาใส่บาตร จนกระทั่งลูกชายต้องต่อคานและก็เสียบร่มเอาไว้ให้ เพราะว่าเวลาฝนตกแกก็ใส่เสื้อกันฝนแล้วก็มุดอยู่ใต้ร่มแล้วก็เข็นออกมาใส่บาตร ลักษณะอย่างนั้นแหละทำให้เราขี้เกียจไม่ได้ วัดอื่นเวลาฝนตกบางทีเขาไม่บิณฑบาตเลย แต่วัดท่าขนุน ฝนตกแดดออกต้องไปเพราะโยมมา โยมมารออยู่ ถ้าเราไม่ไปนี่เราเสียเลย
              สมัยอยู่ท่าซุง ๒ องค์กับท่านสมปองจะเป็นพระพี่พระน้องที่เขาเบื่อที่สุด ฝนตกแดดออกอย่างไรออกบิณฑบาตท่าเดียว แล้วระเบียบของหลวงพ่อก็คือ ถ้ายังกลับมาไม่ครบยังฉันไม่ได้ เขาก็ต้องรอจนกว่าเราจะกลับมา กลับมาถึงก็มาบิดจีวรสะบัด ๆ หน่อยแล้วก็ห่มฉันกันไป แต่เขาก็บ่นไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่ออก
              แต่ขณะเดียวกันของเราพอเดินไปถึงสุดทางแล้วนี่ คุณยายแก่ ๆ หลังก็ค่อม ผมก็ขาว ถือใบกล้วยบังหัวออกมาใส่บาตร ถ้าเราไม่ไปเราจะทำอย่างไร เขาก็ยืนอยู่นั่นแหละ นั่นแหละตอนสมัยอยู่โน่นมีอยู่ไม่กี่องค์หรอกที่บ้าแบบระเบียบ
              ตอนนี้ก็ออกกันเยอะแยะ หลวงตาสมชายก็มรณภาพไปแล้ว หลวงตาวัชระชัยก็ไปอยู่เขาวง อาตมาก็มาอยู่ที่นี่ ท่านปองก็ได้ยินว่าก็ออกไปแปะที่วัดท่าซุงนั่นแหละ ตกลงพวกรักษาระเบียบไปกันหมดแล้ว เขาคงอยู่กันสบายขึ้น
      ถาม:  ยายแก่ ๆ เขาอาจจะคิดว่าพระมาเดี๋ยวมาเก้อ เขาก็เลยต้องออกมารอ ?
      ตอบ:  เขามารอจริง ๆ ในเมื่อโยมยังมีกำลังใจมา แล้วเป็นพระอย่างนี้เขาให้เราแท้ ๆ ยังไม่ไปรับมันก็น่าเกลียดเต็มที ก็ลองคิดดูแล้วไอ้สายที่ไม่เกรงใจ เขามาเปียกฟรีแล้วเป็นยังไง ไม่แช่งชักหักกระดูกก็บุญโขแล้ว