ถาม :  ที่ให้ไปซื้ออุปกรณ์ จะซื้อถุงใส่ด้วยหรือเปล่า เพราะกระเป๋าเป้เขาจะดูแข็งแรงกว่าปกติและก็ใบยักษ์มาก ?
      ตอบ:  แล้วมันราคาเท่าไหร่ละจ๊ะ ถ้ามันไม่โหดร้ายมากนักก็เอา
      ถาม:  ไม่เคยดูเลย เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าอุปกรณ์เยอะปานนี้ ?
      ตอบ:  มันคงยัดไปไม่ได้หรอก คือเจตนาว่าจะทำรถคันหนึ่ง เรียกว่ารถอุปกรณ์สำหรับเก็บพวกเครื่องดับเพลิง คีมถ่าง หัวตัด ค้อนปอนด์ ชะแลง อะไรพวกนี้โดยเฉพาะเลย ถึงเวลาโดดขึ้นรถไปได้ถึงที่ไม่ว่า มันจะมารูปแบบไหนต้องรับมือได้ เดี๋ยวรอให้งานก่อสร้างให้มันเบา ๆ ก่อนเดี๋ยวจะดาวน์อีซูซุดีแมกซ์ (พูดเล่น) และอีกอย่างหนึ่งสำคัญก็คือรถตู้พยาบาล รถตู้ก็ล้านกว่าเข้าไปแล้ว ถ้าไปต่อเตียงพยาบาล พวกเครื่องมือ เครื่องไม้ เสาแขวนน้ำเกลือ สายอ๊อกซิเจน ท่ออ๊อกซิเจน ก็คงหลายสตางค์ แต่มันเป็นของที่ต้องมี
      ถาม:  ต้องให้น้องกาญจน์ไปประจำรถหรือเปล่า ?
      ตอบ:  ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก
      ถาม:  ........................................
      ตอบ:  ทางเส้นเมืองกาญจน์ – ทองผาภูมิทองผาภูมิ-สังขละ มันเป็นทางภูเขา และจากทองผาภูมิก็ยิ่งเขาหนักเข้าไปใหญ่ อุบัติเหตุมันบ่อย โดยเฉพาะช่วงเสาร์-อาทิตย์ รถท่องเที่ยวเยอะมากเลย เพราะมันไปกลับวันเดียวได้ไง หรือไม่ประเภทไปวันเสาร์ค้างคืน แล้ววันอาทิตย์กลับ ก็เลยมีอุบัติเหตุอยู่เรื่อย
              ถ้าหากว่าเรามีรถอุปกรณ์มันจะมีราวสำหรับแขวน ถึงเวลาก็เกี่ยว ๆ ขึ้นไป ตีนกบก็เกี่ยวเอาไว้เตี้ย ๆ หน่อย มูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ มันเป็นสาขาของร่วมกตัญญู และของเราที่เป็นศูนย์แหลมทองนี่มันเป็นสาขาของพิทักษ์กาญจน์เขาอีกทีหนึ่ง
              ตอนนี้เขากลัวมากเลยกลัวเราจะแยกตัวออกมา เพราะว่าพอเข้าไปบริหารปุ๊บปั๊บ ๆ ตอนนี้มันมีรถเป็นของตัวเอง มีอาคารที่ตั้งเป็นของตัวเองหมดแล้ว แล้วยิ่งได้ข่าวที่เราจะซื้อกระทั่งชุดมนุษย์กบ นี่มันหนาวเลย วันก่อนพลเอกอะไรก็ไม่รู้ที่เป็นตัวประธานมูลนิธิ พยายามเกลี้ยกล่อมท่านพงษ์ว่ามีอะไรจะให้ช่วยเหลือบ้าง เราก็รู้ท่าอยู่แล้วว่ามันต้องมาไม้นี้ ก็เลยบอกท่านพงษ์ไปตั้งแต่แรกที่ไปร่วมประชุม บอกว่าถ้ามันพูดไม่ดีบอกไปเลยนะว่าอาจารย์เล็กเขาจะแยก ขู่ให้เข็ด ปรากฏว่าได้โลงมา ๒๐ ใบ ตอนนี้รู้จักข่มขู่ผู้อื่นนะ ได้โลงฟรี ๆ มา ๒๐ ใบ
      ถาม:  พวกมูลนิธินี้อยู่ได้ด้วยเงิน ?
      ตอบ:  จริง ๆ ก็คือเงินบริจาคและเกิดจากสมาธิ อยู่ด้วยใจ นึกออกไหมต่างคนต่างเสียสละเพื่องาน ตอนนี้พวกนักการเมืองท้องถิ่นก็พยายามอิง ๆ เข้ามา แต่มันอาศัยชื่อมันอย่างเดียวไม่ได้ดีอะไรขึ้นมา ก็เลยต้องบอกว่าอยากจะโละมันทิ้ง ๆ ไปเลย แล้วเราก็ดำเนินการกันเอง ศูนย์ใหญ่เขามีสมาชิก ๒๐๐ กว่า แต่ของเราที่เป็นหน่วยย่อยมีตั้ง ๗๐ กว่า ตัดของเราออกนี่เขาหายฮวบ ๑ ใน ๓ เลย
      ถาม:  หายรายจ่าย ?
      ตอบ:  ค่าสมาชิกเขาก็หดไปเลยแหละ คนละ ๑๕๐ บาท
      ถาม:  ....(ไม่ชัด)...ภารกิจของสงฆ์หรือว่าทำอะไรภายในวัด แล้วถ้าเกิดว่าถ้าพระออกไปข้างนอก แล้วทำอะไรแปลก ๆ แล้วดิฉันคิดนี่ถือเป็นการปรามาสหรือเปล่า ?
      ตอบ:  จริง ๆ ก็คือควรจะศึกษาศีลของพระเอาไว้นะ ศีลของพระจะระบุชัดเลยว่าเป็นพระต้องทำอะไรบ้าง สิ่งต่าง ๆ ที่พระทำน่ะ ถ้าหากว่ามันเป็นส่วนที่ผิดพระธรรมวินัยจริง ๆ ที่เราคิดอย่างนั้น ไม่เป็นการปรามาสพระรัตนตรัย แต่ว่ามีบางประเภท...ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพระอรหันต์ พระประเภทนี้จะปิดบังตัวเอง ไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ก็จะทำจริยาแปลก ๆ บางทีเราก็เห็นในลักษณะเหมือนอย่างกับคนบ้า ๆ บอ ๆ อย่างเช่นหลวงพ่อขี้วัว หลวงพ่อขี้วัวนี่วัน ๆ ไม่มีอะไรหรอก...โน่นน่ะ วิ่งกระเตง ๆ เล่นอยู่กับเด็กเลี้ยงวัว บางคนเห็นว่าเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ ก็ไม่ไปสนใจยุ่งกับท่าน ท่านก็สบายไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับชาวบ้านเขามาก แต่ภายหลังหลวงพ่อไปจุดธูป...บอก อธิษฐานว่าถ้าหากว่าเป็นพระดีจริงพรุ่งนี้ให้มา ปรากฏว่าฟ้ายังไม่ทันจะสว่างเลย มาโวย ๆ อยู่ตีนบันไดน่ะ บอกว่าแน่จริงไปท้าแล้วหลบทำไมวะ โผล่มาตีกันซิ หลวงพ่อท่านก็ออกมากราบ บอกว่าเลิกบ้าได้แล้วครับ บ้าลักษณะนี้ผมรู้ มันเป็นการบ้าดี ท่านก็เลย เออ...เลิกก็ได้วะ จีวรที่เอาเคียนหัวอยู่ก็เปลี่ยนมาห่มแล้วก็ขึ้นไปคุยกัน คือลีลาแบบนี้จะแปลกในสายตาของพวกเรา แต่ว่าจะไม่ผิดพระธรรมวินัย เพราะท่านต้องการปิดบังตัวเอง
              มีบางองค์คนไปกวนท่านมาก ท่านก็ฉี่ใส่กระโถนแล้วก็ราดมันเต็มพื้นนั่นน่ะ จนกระทั่งเหม็นตลบยังกับส้วมแตก พอหลวงพ่อขึ้นไปถึงท่านก็รีบต้มน้ำร้อนมาราดพื้น บอกว่าเดี๋ยว ๆ ขอให้กลิ่นมันน้อยลงหน่อย ถามว่าแล้วหลวงพ่อราดเอาไว้อย่างนี้ทำไม ? บอกว่าไม่ไหวหรอก ไอ้พวกมาแล้วพูดไม่รู้เรื่อง มันจะเอาหวยท่าเดียว ท่านก็ต้องแกล้งทำไปอย่างนั้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่แต่มันน้อย
              ปัจจุบันน่ะ ส่วนใหญ่ที่เป็น เพราะว่าอุปัชฌาย์อาจารย์สมัยนี้บวชให้แล้วบวชเลย ไม่มีการแนะนำสั่งสอนกันต่อเนื่องไป สมัยก่อนระเบียบพระพุทธเจ้าบังคับไว้ว่า ต้องอยู่ในสำนักอุปัชฌาย์อาจารย์อย่างน้อย ๕ ปี คือ ๕ พรรษา เพื่อศึกษาความรู้ต่าง ๆ ทั้งทางโลกทางธรรม เมื่อถึงเวลาแล้วจะได้ไม่ปฏิบัติผิดพลาด ท่านเรียกว่าอยู่นิสัย คืออยู่อาศัยพระอุปัชฌาย์ ถ้าหากว่าพ้น ๕ ปีแล้วยังเอาดีไม่ได้ก็ให้อยู่ต่อ แต่ถ้าพ้น ๕ ปีแล้วมีความรู้พออาศัยได้เรียกว่าได้นิสัยมุตตะกะ คือพ้นจากการอาศัยอุปัชฌาย์แล้ว สามารถจะออกไปยืนหยัดด้วยตัวของตัวเองได้
              สมัยก่อนเขาเข้มงวดหน่อย สมัยนี้ประเภทบวชเอาสตางค์ ถึงเวลาเขานิมนต์ไปเป็นอุปัชฌาย์นั่งบวชพระ บวชแล้วเขาก็ถวายสตางค์มาก็ตั้งหน้าตั้งตาเมคมันนี่กันไป แต่ลูกศิษย์ของตัวเองบวชมาเท่าไหร่ ๆ ไม่มีการไปตามควบคุมตามดูแลตามสั่งสอน ก็เลยกลายเป็นพิลึกพิลั่นอย่างที่เห็น ส่วนใหญ่ปัจจุบันจะเป็นอย่างหลัง อย่างแบบหลวงพ่อขี้วัวนั่นมีน้อยเต็มที
              สมัยอาตมาเด็ก ๆ ก็มีหลวงปู่เจ๊ก อยู่นครปฐม แบกไหน้ำตาลเมากินเมาแอ่นอยู่ทั้งวัน เสร็จแล้วทางกรุงเทพฯ พอได้ข่าวก็ส่งสังฆาธิการ ๒ องค์ไปเพื่อไปจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ไปถึงท่านก็เข้าไปหาหลวงปู่เจ๊ก กราบปฏิสันถารอะไรกันเสร็จเรียบร้อยก็... เทไหที่แบกอยู่ให้กลายเป็นน้ำชาคนละถ้วย พอฉันน้ำร้อนน้ำชากันเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่เจ๊กก็ถามว่า ๒ องค์ท่านมาทำไม ? สังฆาธิการนั้นก็บอกว่าท่านได้รับคำสั่งมาว่าหลวงปู่เจ๊กกินเหล้าเมาอยู่ทุกวัน ถ้าหากว่าพระกินเหล้าน่ะ ให้อยู่ไม่ได้หรอกต้องจับสึก หลวงปู่เจ๊กก็บอกว่าถ้าหากผมต้องสึก คุณ ๒ องค์ก็ต้องสึกด้วย ถามว่าทำไม ? บอกว่าคุณก็เพิ่งกินเหล้าเข้าไป เสร็จแล้วพระ ๒ องค์นั้นดูแก้วที่เมื่อกี้ซดน้ำชาแท้ ๆ ไอ้ที่ติดก้นแก้วมันเป็นเหล้าหมดเลย ท่านก็เลยกราบ ๆ ลากลับไปเลย รู้แล้วว่าหลวงปู่เจ๊กท่านทำเพื่อปิดบังจริยาตัวเอง
              พระระดับท่านคิดให้เป็นยังไงมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นที่คนเห็นท่านแบกไหน้ำตาลเมา จริง ๆ แล้วก็น้ำเปล่านั่นแหละ เพียงแต่ว่าถ้าคนมาท่านคิดให้เป็นน้ำตาลเมามันก็เมา แต่ท่านก็ไม่ได้กินมันหรอก คือ หลอกชาวบ้านเขา ไปเจอลูกศิษย์รู้ทันเข้ารายหนึ่ง มันตื๊อให้หลวงปู่เจ๊กสอนวิชาให้มัน หลวงปู่เจ๊กรำคาญก็ปีนหนีขึ้นไปบนพระปฐมเจดีย์ พระปฐมเจดีย์ด้านข้างจะเป็นบันไดเล็ก ๆ ขึ้นไปจนถึงคอระฆังนั่นน่ะ มันก็ปีนตามขึ้นไป เอากะมันซะมันบ้าพอ หลวงปู่เจ๊กรำคาญก็ราคาญ กูไม่รู้จะสอนอะไรให้มึง อยากเป็นลูกศิษย์กูมึงก็โดดลงไปซิ มันโดดลง ลงไปจริง ๆ ความสูงขนาดนั้น ๕๐-๖๐ เมตรได้มั้ง มันน่าจะคอหักตาย...เปล่าหรอก ลูกศิษย์มันบ้าโดดจริง ๆ ท่านก็ต้องช่วยมัน ลงไปไม่เป็นไรท่านก็เลยตกลง เลยไอ้นั่นได้เป็นลูกศิษย์หลวงปู่เจ๊ก คนอื่นไม่ได้เป็น
              พระที่ลักษณะอย่างนี้มี...แต่ไม่มาก ถ้าหากว่าเห็นผิดปกติ ให้ระแวงเอาไว้ก่อนว่าอาจจะไม่ดีจริง มันมีหลักการที่จะทดสอบเหมือนกัน แต่ว่าต้องเป็นพระที่ทันกันถึงกันถึงจะสอบกันได้ ถ้าเราเป็นฆราวาสไปลองสอบท่านดีไม่ดีท่านต้องตายเลย เพราะฉะนั้น...ถ้าไม่มั่นใจก็อยู่ห่าง ๆ เอาที่เรามั่นใจดีกว่า
              นครปฐมมีพระแบบนี้เยอะ อีกองค์หนึ่งก็หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง วัน ๆ ก็เอาแต่ทำไร่ไถนา พูดง่าย ๆ คือว่า เช้าขึ้นมาก็จูงวัวออกไปนาเลย ไปทำไร่ไถนาสนุกสนาน ชาวบ้านเขาก็นินทาเอา แล้วสังฆาธิการพอมีเรื่องโจทย์เข้าไปถึงแล้ว ก็เกิดอธิกรณ์ขึ้นมา ท่านก็ต้องส่งคนไปสอบ ไปถึงก็เห็นหลวงพ่อแช่มกำลังไถนาอยู่กลางนาเลยล่ะ หลักฐานคาตาเลย เข้าไปถึงถามว่าท่านทำอย่างนี้ได้อย่างไรเป็นพระเป็นเจ้า? หลวงพ่อแช่มบอกว่า พระพุทธเจ้าบอกว่าสิ่งใดก็ตามที่ญาติโยมมีศรัทธาอยู่ ถ้าหากว่า เราทำสิ่งนั้นให้เจริญงอกงามขึ้นมาก็รักษาศรัทธาไทยให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ผู้ที่ไม่เลื่อมใสก็จะเลื่อมใส ผู้ที่เลื่อมใสแล้วก็ยิ่งเลื่อมใสขึ้นไป พระสังฆาธิการท่านก็ถามหลวงพ่อแช่ม แล้วท่านทำตรงไหน ? ท่านก็บอกว่าที่นี่โยมเขาถวายมาให้เป็นที่กัลปนา คือเป็นที่ที่ให้วัดหาดอกผล จากพื้นที่ได้ เพื่อเอาเงินไปบำรุงวัด เขาให้มาแล้วถ้าผมปล่อยมันรกเป็นป่าไปเฉย ๆ ก็ไม่มีประโยชน์ ผมทำนาถึงเวลามีข้าวมาผมก็เอาเลี้ยงพระ ถ้าหากว่ามันเหลือเฟือ ผมก็ขายเงินมาช่วยสร้างวัดซ่อมแซมวัด ตกลงข้อนี้ตกไป ก็บอกว่าเขาว่าท่านน่ะไม่ยอมทำกิจของสงฆ์ สวดมนต์ทำวัตร อะไรไม่เอาเลย ท่านบอกว่าผมเอานะครับ แล้วบอกว่าก็ชาวบ้านเขาฟ้องมาอย่างนั้น หลวงพ่อแช่มก็เลยสวดปาฏิโมกข์ให้ฟังตรงนั้นเลย ปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อนี่คนสวดเก่ง ๆ มันตั้ง ๔๐-๕๐ นาทีน่ะ หลวงพ่อแช่มว่าเดินหน้าเสร็จถอยหลังให้ฟังอีกต่างหาก เอาไหมล่ะ ๒๒๗ ข้อ ว่าขึ้นหน้าแล้วถอยหลังให้อีก ตกลง ๒ รูปนั้นต้องกราบแล้วกราบอีกเหมือนกัน รู้สึกว่าพระแถวนั้นจะมีจริยาคล้าย ๆ กัน เชื้อสายคงจะสืบกันมา น่าเสียดาย พอมาถึงสมัยนี้ท่านก็ล่วงลับดับขันธ์กันไปหมด
              สมัยก่อนนี้อาตมาอยู่ใกล้ ๆ บ้านกับหลวงพ่ออินทร์ โธ่! หลวงพ่ออินทร์นี้ดุเด็ดขาดเลย สมัยก่อนมันจะมีวิทยุ กระบะโต ๆ ถ่าน ๑๒ ก้อน รุ่นโยมนี่ต้องทันแน่เลย ที่เขาเรียก ๘ หลอด ๑๒ หลอด พอถึงเวลาก็ไปหมุนหาเอาว่าจะฟังคลื่นอะไร และก็จะมีแผ่นเสียงที่เขาใช้แผ่นครั่ง แล้วก็จะมีเข็มอันหนึ่งวางลงไป พระเขาแอบเอามาฟัง หลวงพ่ออินทร์ก็ฟังเหมือนกัน ฟังอยู่หน้าประตู ถือหางกระเบนด้วยซิ (หัวเราะ) ไปถึงก็ยืนอุดประตูไว้แล้วก็ตีกระจายอยู่ตรงนั้น พระต้องโดดหน้าต่างหนีล่ะ ใคร ๆ เป็นลูกวัดหลวงพ่ออินทร์นี่เตรียมตัวได้เลย ทำผิดนี่ท่านตีเอาจริง ๆ เขาเรียกว่าอาญาวัด เจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายมีสิทธิ์ลงโทษผู้กระทำผิดภายในเขตวัดได้ แล้วสมัยก่อน ใครทำผิดก็ถ้าหากว่าอยู่ในวัดนี่ก็บางทีก็โดนพระตีหัวร้างข้างแตกไปเลย
      ถาม:  แบบว่าที่บ้านใช้หางปลาประเบน ?
      ตอบ:  จ้ะ อันนี้ก็เหมือนกันหลวงพ่ออินทร์ก็หางกระเบน โอ้โห! ฟาดกระจายเลย แล้วสมัยนั้นก็มีม้ามีเกวียน แล้วก็มีมอเตอร์ไซด์เก่า ๆ รุ่นฮอนด้าที่เขาเรียกไอ้ม้ามีเขา เก่างั่กกั่กเลย ถ้าหากวันไหนมีกิจนิมนต์แล้วโยมเอาพวกรถ พวกเกวียน พวกม้ามารับ ถึงเวลาท่านไปกลับกี่กิโลท่านจะจำไว้ แล้วกลางคืนท่านจะมาเดินจงกรมใช้หนี้ (หัวเราะ) ใช้เครื่องทุ่นแรงไประยะเวลาเท่าไร ระยะทางเท่าไร ถึงเวลาท่านจะมาเดินใช้หนี้ใช้ครบแล้วถึงได้นอน ฮึ...เอามั้ย ? ใคร ๆ ว่าหลวงพ่ออินทร์ดุเป็นบ้าเป็นหลัง โดยเฉพาะพวกหนุ่ม ๆ ที่จะต้องบวช แต่พ่อแม่ชอบจริง ๆ เลย ยัดให้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่ออินทร์กัน
              สมัยนี้ปัจจุบันที่วัดท่าขนุนนั้น เขาก็บอกกันว่า อาจารย์เล็กดุยังกะหมา บังเอิญมีเชื้อสายมาเหมือนกัน เป็นพระเป็นเจ้าน่ะ มันจริง ๆ ก็คือลูกชาวบ้าน เพียงแต่ว่าเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเปลี่ยนกติกาการดำเนินชีวิตมา ทันทีที่บวชเข้ามาตัวเองเป็นลูกแท้ ๆ พ่อแม่ปู่ย่าตายายต้องมาไหว้ล่ะ ถ้าหากว่าศีลไม่ดีความดีไม่พอจะเอาอะไรไปให้เขาไหว้ล่ะ ? ถึงเวลาญาติโยมใส่บาตรสาธุทูนหัวทูนเกล้าให้ กินของของเขาเข้าไปโดยไม่ได้ทำความดีอะไรเลย มันหาเรื่องลงนรก เพราะฉะนั้นมันต้องฟัดกันให้จมเขี้ยวหน่อย แรก ๆ อาจารย์สมพงษ์ เจ้าอาวาสท่านหนักใจ เขาบอกว่าอาจารย์ทำอย่างนี้เดี๋ยวพระก็ไม่เหลือ บอกให้มันไม่เหลือก็ช่างมันเหลืออยู่องค์เดียวก็พอวะ ไปอยู่ใหม่ ๆ พระเขาเกือบ ๓๐ เราอาละวาดพักเดียวเหลือ ๑๑ องค์ ตอนนี้ได้มาอีกเกือบ ๓๐ แล้ว คือพอโยมเขาเห็นว่าระเบียบมันเข้มงวด เขาก็ยัดลูกมาให้บวช นี่รออยู่สิบกว่าองค์ ในพรรษานี้ก็คงบวชอีกประมาณเป็นสิบ ระยะหลังนี้ลำบากใจอยู่อย่างคือพวกติดยาบ้า พ่อแม่จับมาหักยาให้บวชอยู่ในวัด บางองค์สวดมนต์ไปก็ด่าไป มันกำลังอยากยาขึ้นมา เออ...เอ็งนั่งด่าไปตรงนั้นแหละ คืออย่างน้อย ๆ มือมันไหว้พระอยู่ใช่มั๊ย ปากมันอยากด่าด่าไป ใจมันอยากคิดคิดไป กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อย่างน้อยมันห้ามไปได้ ๑ ใน ๓ คือกายกรรมมันทำไม่ได้แล้ว และ เออ...ถ้ามันไม่ด่าด้วยวจีกรรมมันทำไม่ได้แล้ว ใจอยากคิดให้มันคิดไป สวดมนต์ทำวัตรอย่างน้อย ๆ ก็ห้ามความชั่วทางกาย ทางวาจาได้ ใจอยากคิด ๆ ไป แค่ส่วนเดียวมันน้อย ถ้าหากว่าใครตั้งใจสวดจิตก็เป็นสมาธิ ถ้าหากว่าคนที่อารมณ์ใจรวมตัวได้เร็วก็เป็นฌานไปเลย ถ้าหากว่า ใครตั้งใจทำทิพจักขุญาณนึกถึงตัวหนังสือที่เราสวดขึ้นมาเป็นคำ ๆ ได้ยิ่งดี ถึงเวลาเห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นผี เห็นเทวดา ก็เห็นได้ชัดเหมือนกับเห็นตัวหนังสือนั่นน่ะ หรือถ้าหากว่าใครยกจิตไปนิพพานได้ ไปสวดถวายพระพุทธเจ้าข้างบนนู่น เป็นการตัดกิเลสอัตโนมัติอีกอย่าง บางคนถามบอกแค่สวดมนต์ได้อะไร? บอกอย่าคิดว่าแค่สวดมนต์ ทำเป็นไปนิพพานได้
      ถาม:  .................................
      ตอบ:  จ้ะ...ให้มันได้เถอะ หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า มีเจ๊กคนนึง...เจ๊กขายหมู แกก็ท่องคาถงคาถาอะไรไม่ได้หรอก ได้ยินพระสวดแกก็จำได้ นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ แค่นั้นแหละ วันนั้นผีหลอกแกไม่รู้จะนึกยังไงขึ้นมาหาที่พึ่งไม่ได้ แกก็นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ ผีมันก็เผ่นน่ะซิ ถึงเวลาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อีนะโมตัสสะอย่างเดียวนะ แกเชื่อแล้ว ผีหลอกยังหนี (หัวเราะ) คือกำลังใจมันยึดมั่นจริง ๆ
      ถาม:  หลวงพ่อคะ เมื่อก่อนตอนเป็นเด็กเวลาทำสังฆทานนี่เขาก็จะมีพิธีครบหมดเลย แต่ว่าเดี๋ยวนี้ก็บางที่นะคะ แค่ยกไปวาง เอาเงินใส่ถัง จะมีผลเหมือนกันไหมคะ ?
      ตอบ:  มันขึ้นอยู่กับกำลังใจของเราจ้ะ คำถามนี้เคยมีญี่ปุ่นคนหนึ่ง เขาไปที่วัดท่าซุงแล้ว เขาข้องใจมากเลย เขาหาคนตอบเขาไม่ได้ บังเอิญเปะปะไปเจอกัน เขาก็ถาม คราวนี้เจ้าประคุณเถอะมันพูดไทยฟังยากเป็นบ้าเลย ต้องแปลเป็นไทยอีกทีหนึ่ง คือมันพูดไทยสำเนียงญี่ปุ่น เร็วปรื๋อเลยนั่นน่ะ เขาถามว่าที่ประเทศญี่ปุ่นของเขานี่เวลาคนจะทำบุญ เขาจะมีกล่องบริจาคอยู่ เราก็ไปยืนอธิษฐานเอาจนกว่าเราจะพอใจเสร็จแล้วก็โยนเงินใส่กล่อง แต่ที่วัดท่าซุงนี่คุณมีโอกาสยืนอยู่หน้า หลวงพ่อไม่ถึง ๓ วินาที มันเหมือนยังกับวิ่งทำบุญกันเลย ทำไมมันต่างกันขนาดนี้ ? ก็บอกกับเขาบอกว่าคุณเคยเห็นเด็กเล็ก ๆ มั้ย ? เขาบอกว่าเคยครับเคยเลี้ยงน้องมา บอกนั่นแหละตอนที่เขาหัดเดินใหม่ ๆ เราต้องจูงเขาใช่ไหม ? บอกใช่ ก็เลยบอกเขาบอกว่า ประเทศญี่ปุ่นของคุณนั่นน่ะ ทำบุญมาจูงเด็กเดิน แต่ที่นี่เขาผู้ใหญ่วิ่งกันแล้ว มันขึ้นอยู่กับกำลังใจ ถ้าหากว่ากำลังใจของเรายิ่งดีเท่าไร ผลบุญจะมากเท่านั้น ถ้ากำลังใจของเราเศร้าหมองผลบุญจะลดลง ดังนั้นการที่ทำให้ง่ายที่สุด สะดวกที่สุด จะทำให้กำลังใจของเราดี อย่างเช่น มาถึงนี่ ก็คือผาติกรรมแลกเปลี่ยนกันไป เอาสตางค์วางลงได้ก็ยกมาถวายเลย แต่ขณะเดียวกันลองนึกดูว่า อันดับแรกถ้าเราต้องไปซื้อเอง จำนวนเงินที่เราทำมันซื้อไม่ได้ อันดับที่สองถ้าหากว่าขายแพงไป ต่อรองกันไม่ได้ เดี๋ยวจะไปด่าคนขายเขาอีก กำลังใจมันแย่มั้ย ? ถ้าเกิดขึ้นรถเมล์รถแท็กซี่มาข้าวของมันเกะกะเขาบ่นเราหน่อย เราก็ไปยัวะเขาอีกก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ตกลงว่าทำให้ง่าย ทำให้สะดวกเข้าไว้ ผลบุญก็ได้ง่ายได้สะดวก
              ขณะเดียวกันบางที่ถ้าหากกำลังใจของเขาไม่ดี ไม่ได้ทำเต็มพิธีเขาไม่ยอม แบบเดียวกับเมื่อตอนวิสาขที่ผ่านมา จะมีโยมเขาเอาผ้าป่าไปถวายหลาย ๆ กอง คราวนี้ทางบ้านลาวเขายกมาทีหลัง ขณะที่คนอื่นสมาทานศีลกล่าวคำถวายอะไรไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว บอกให้เขาถวายเลยเขาไม่ยอม ก็ต้องตั้งต้นมาให้ศีลกันใหม่ พอให้ศีลครบเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต้องมาขึ้นนะโมแล้วว่าคำถวายอีกทีหนึ่ง คนอื่นก็รอเงกไปกว่าจะจบอีกรอบหนึ่ง
              ถ้าหากว่ากำลังใจเขาน้อย ไม่มีพิธีกรรมเขารู้สึกว่าเขาไม่ได้บุญก็ทำให้เขา แต่ถ้าหากว่ากำลังใจของเขาดีแล้ว ประเภทวางแปะลงเป็นอันว่า ฉันได้ถวายแล้วก็จบกันแค่นั้น การทำบุญสำคัญอยู่ตรงตัวปิติ เพราะว่าปิตินั้นมันจะทำให้ไม่อิ่ม ไม่เบื่อ ไม่หน่ายในการทำบุญ
              แต่ขณะเดียวกันพวกเราจำนวนหนึ่งมาทำไป ๆ ตัวปิติมันไม่มี มันเหมือนกับตายด้านไปเฉย ๆ บางคนว่า เอ๊ะ...ผลบุญเราลดลงไปหรือเปล่า ? ทำไมระยะหลัง ๆ เราทำบุญแล้วมันไม่ชื่นใจอย่างตอนนั้น ? ความจริงมันไม่ใช่ การที่เราทำบ่อย ๆ ทำจนชินมันเลยตัวปิติไปกลายเป็นฌานแล้ว เป็นฌานในจาคานุสติที่ก้าวข้ามตัวปิติไป ก็เลยกลายเป็นว่ารู้ว่าดีเราก็ทำ ตอนนี้มันสักแต่ว่าทำ เห็นว่าดีก็ทำ ๆ กำลังใจมันสูงกว่าตอนปิติเยอะมาก ก็แปลก ก็บอกว่าเอ๊ะ...ทำไมมันไม่ชื่นใจเหมือนสมัยก่อนที่ทำ ก็มันอยู่เรื่อยไม่เลิกทำเสียที คือมันกลายเป็นฌาน มันเคยชินไปเสียแล้ว สรุปได้ว่าขึ้นอยู่กับกำลังใจคน ถ้าหากว่ากำลังใจดียังไงก็ได้ ถ้ากำลังใจไม่ดีก็ต้องมีพิธีกรรมให้เขาหน่อย
              อานุภาพของพระขึ้นอยู่กับคนทำ สมัยก่อนครูบาอาจารย์ ที่สอนสืบ ๆ กันมาตามสายของบูรพาจารย์แต่ละสายจะมีความสามารถที่ต่างกันไป ยกตัวอย่างของเมืองกาญจน์ กาญจนบุรีช่วงที่ผ่านมาเขาบอกว่า อยากเจ้าชู้ให้ไปวัดเหนือ อยากเป็นเสือให้ไปวัดใต้ วัดเหนือคือวัดเทวสังฆาราม วัดเทวสังฆารามนี่เขาถนัดทางเมตตามหานิยม ส่วนทางด้านวัดใต้คือวัดไชยชุมพลชนะสงคราม เขาถนัดในทางคงกระพันชาตรี
              คราวนี้ตามสายครูบาอาจารย์ที่สืบ ๆ กันมาแล้วส่วนใหญ่ ก็เป็นเพราะว่าใช้กำลังใจกำลังสมาธิของตัวเองทำ ในเมื่อคนที่นิยมเหมือนกันกำลังใจกำลังสมาธิไปแบบเดียวกัน ถึงเวลาทำมันก็จะออกมาแบบเดียวกัน มันก็เลยมีผลต่างกันไป แต่ว่า จะมีบางประเภทที่ท่านรู้จริงแล้วจะไม่ใช้กำลังของตัวเอง แต่ว่าถึงเวลาแล้วจะอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ให้ ถ้าประเภทนี้นี่ได้ทุกทาง ทำยังไงก็ได้ แต่ว่าถ้าหากเป็นไปตามสำนักตามรูปแบบที่เขาสืบทอดกันมาแต่โบราณ ๆ ส่วนใหญ่เขาลุยเดี่ยวกัน ที่เขาเรียกว่า นั่งปรกคนเดียวปลุกเสกเดี่ยวอะไรกันประเภทนั้นน่ะ คือว่ามันก็จะมีอานุภาพไปตามที่ตัวเองศึกษามา
              คราวนี้แต่ละอย่างในเมื่อไม่เหมือนกัน แขวนหลาย ๆ องค์ มันก็เผื่อเหนียวไว้ได้ล่ะนะ ประกันความเสี่ยง วันนี้จะไปจีบสาวก็ขอองค์ขุนแผนช่วยหน่อย วันนี้จะไปตีกับชาวบ้านเขาก็อาจจะเล่นโน่น... ยอดธงหรือ พระมเหศวรเศียรกลับ อะไรทำนองนั้น คราวนี้พระหลาย ๆ องค์ บางคนบอกว่าบางทีท่านทะเลาะกันก็เลยไม่ช่วยเรา ไอ้นั่นมันเอากิเลสชาวบ้านไปปนกับพระได้ยังไงก็ไม่รู้ ตัวเองไม่ค่อยสามัคคีกับคนอื่นเขาก็เลยพลอยคิดว่า คนอื่นก็อาจมีนิสัยเหมือนกับตัว สรุปรวมกระทั่งพระเจ้าก็จะให้มีนิสัยเหมือนกับตัว ก็เลยแปลว่าหลาย ๆ องค์อาจจะทะเลาะกัน นั่นเป็นความคิดของเขานะ ไม่ใช่เรื่องจริง
              แต่ด้วยอานุภาพของพระที่ต่าง ๆ กันไป มันเนื่องจากว่าท่านที่ทำท่านถนัดแบบไหน หรือต้องการให้เด่นไปทางไหนก็จะกำหนดใจให้เป็นไปตามด้านนั้น ถ้าอานุภาพของพระด้วยกันทั้งหมดแล้ว ด้านเมตตามหานิยมทำยากที่สุด เพราะว่าตัวเมตตาต้องออกมาจากใจของคนทำจริง ๆ ถึงจะมีผล คราวนี้ว่าถ้าหากว่าใช้ในลักษณะแบบที่เรียกว่าไสยศาสตร์มันมีผล มันไม่นาน แต่ว่าถ้าหากว่าจะเอาในลักษณะได้ผลนานเลยจริง ๆ ต้องเป็นเมตตาที่เกิดจากกำลังใจของตัวเองเข้าถึง ในเมื่อกำลังใจของตัวเองเข้าถึงจุดนั้น อธิษฐานให้เป็นอย่างนั้นมันก็เป็นไปได้ ถ้าถามว่าอันไหนทำยากที่สุด ขอยืนยันว่าตัวเมตตาทำยากที่สุด ต้องเป็นกำลังใจแท้ ๆ ของเรา
      ถาม:  กำลังใจแท้ ๆ ของเรานี่หมายถึงคนทำหรือคะ ?
      ตอบ:  คนทำ คนที่ปลุกเสก ถ้าหากว่ากำลังใจท่านประกอบไปด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เต็มเปี่ยมจริง ๆ ละก็ ต่อให้ไม่ตั้งใจให้เป็นเมตตามหานิยมมันก็เป็น บุคคลที่ละรัก โลภ โกรธ หลงได้ แล้วไปไหนมีเสน่ห์ทั้งนั้น ในเมื่อไปไหนมีเสน่ห์อยู่แล้ว อย่างพระพุทธเจ้าเสด็จไปไหนมีแต่คนรัก มีแต่คนกราบไหว้บูชาเป็นปกติ ก็ไม่เห็นจะต้องไปตั้งหน้าตั้งตาทำอะไร มันเป็นโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว
      ถาม:  งั้นพระที่ไม่ได้รับการปลุกเสกล่ะคะ ?
      ตอบถ้าหากว่าเป็นรูปพระพุทธเจ้าจะมีเทวดารักษาอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่จำเพาะเจาะจงเหมือนกับสาธารณะสมบัติ ตู้โทรศัพท์หนึ่งตู้สมบัติของคนทั้งประเทศพักเดียวพังใช่มั้ยล่ะ แต่พระที่ผ่านการปลุกเสกนี่ถ้าหากว่าตามแบบที่หลวงพ่อท่านสอนมา ถึงเวลาจะอัญเชิญบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหมเทวดาช่วยสงเคราะห์
              คราวนี้ถึงเวลา ท้าวสหัมสบดีพรหม ที่เป็นใหญ่เหนือพรหมทั้งหลายกับ พระอินทร์ที่เป็นใหญ่เหนือเทวดาทั้งหลาย ก็จะมารับคำสั่งจากพระว่า วัตถุมงคลแต่ละชิ้นจะจัดสรรปันส่วนให้เทวดาองค์ไหนรับผิดชอบส่วนนั้นไป เทวดาแต่ละองค์อายุอย่างต่ำ ๆ ก็เป็นร้อยปีทิพย์ คราวนี้ร้อยปีทิพย์ของท่านนี้ต่ำสุดของท่านนี่วันหนึ่งเท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์ เอา ๕๐ ปีคูณ ๓๐ คูณ ๑๒ คูณ ๑๐๐ นับตัวเลขยากจัง อายุท่านยืนยาวขนาดนั้น เลยกลายเป็นว่าเมื่อดูแลวัตถุมงคลชิ้นนั้น เลยมีอานุภาพที่ขลังและยาวนาน สามารถที่จะให้ผลในด้านต่าง ๆ ที่ผู้ติดตัวไว้ตั้งใจอธิษฐานหรืออาราธนาขอ
              เมื่อทำดังนั้นแล้ว สิ่งที่พระหรือพรหมหรือเทวดา ท่านสงเคราะห์จำเป็นต้องอาศัยพื้นฐานทางจิตใจของเรามากที่สุด ถ้าหากว่ากำลังใจของเราดีเป็นผู้มีศีลมีธรรมเป็นปกติอยู่แล้ว ตั้งใจอาราธนานึกถึงด้วยความเคารพ ก็เหมือนกับว่าเราเปิดเครื่องรับ พระเครื่องเป็นเครื่องส่ง เครื่องส่ง ๆ กำลังเต็มที่เป็นปกติอยู่แล้ว สำคัญตรงเครื่องรับว่ารับได้แค่ไหน ? ก็เลยกลายเป็นว่าพระรุ่นเดียวกัน บางคนเอาไปใช้ โอ๊ย อยู่ยงคงกระพัน ยิงไม่เข้า ฟันไม่เข้า แต่บางคนเอาไปใช้โดนเขาจ้วงมาเลือดโชกไปเลย มันขึ้นกับกำลังใจของคนรับว่าเปิดรับได้แค่ไหน
              หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ท่านเคยเปรียบเทียบว่า ถ้ากำลังใจสูงสุดปืนยิงไม่ออก ท่านเรียกว่า มหาอุตม์ ถ้าต่ำลงมาหน่อยหนึ่งยิงออกไม่ถูก เขาเรียกว่า แคล้วคลาด ต่ำลงมาอีกหน่อยหนึ่งยิงถูกไม่เข้านี่คงกระพัน ยิงถูกไม่เข้านี่ห่วยแตกแล้วนะ ต่ำลงมาอีกยิงเข้าไม่ตาย คือผ่อนจากหนักเป็นเบา เคราะห์หนักก็เป็นเคราะห์เบาได้ ข้อสุดท้ายเฮงซวยหน่อยถึงตายก็ยังไปสวรรค์เพราะจิตเกาะพระอยู่ ก็เลยแบ่งออกเป็นระดับ ๆ อย่างนี้ ขึ้นกับเราเอง