ถาม :  ..........................................
      ตอบ:  บุญฤทธิ์ เป็นบุญที่เกิดจากกำลังบุญ ไม่ใช่ฤทธิ์ในลักษณะของอภิญญา มีอยู่ครั้งหนึ่งพระยามารแกล้งพระพุทธเจ้า รายนี้มีโอกาสเมื่อไหร่ก็แกล้ง ๆ จนถึงวาระสุดท้าย ทูลพระพุทธเจ้าอาราธนาให้นิพพาน พระพุทธเจ้าแสดงนิมิตให้พระอานนท์ทราบถึง ๑๖ ครั้ง แต่ว่าด้วยกรรมบังและพระยามารตั้งใจแกล้งจริง ๆ พระอานนท์ก็ไม่เข้าใจที่พระพุทธเจ้าท่านเปรียบว่า ถ้าหากว่ามีเกวียนอยู่เล่มหนึ่ง เก่าคร่ำคร่าเต็มทีแล้ว ดุมก็หลวม กงก็คลอน พื้นก็ผุ ถ้าหากว่าเป็นพระอานนท์มีเกวียนอย่างนั้นอยู่จะเปลี่ยนใหม่ดีหรือว่าจะซ่อมเกวียนเก่าไว้ใช้ต่อไป พระอานนท์บอกว่าเปลี่ยนใหม่ดีกว่าพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกครั้งเดียว ท่านแสดงนิมิตว่าท่านใกล้จะไปแล้วถึง ๑๖ ทีด้วยกัน ตั้งแต่ปาวาลเจดีย์ ไปจนกระทั่งถึงเมืองกุสินารา ๑๖ ระยะด้วยกัน พระอานนท์ถูกมารดลใจด้วย ขณะเดียวกันเขาตั้งใจแกล้ง จากคนที่ฉลาดที่สุดก็เลยกลายเป็นว่านึกไม่ถึงขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านก็เลยตัดสินใจปลงอายุสังขาร พอพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร แผ่นดินก็ไหว พระอานนท์แปลกใจทูลถาม ว่า ทำไมแผ่นดินถึงไหว พระพุทธเจ้าตรัสว่าแผ่นดินไหวด้วยสาเหตุ ๘ ประการด้วยกัน
              ประการที่ ๑ : เกิดจากลมกำเริบ คือใต้โลกของเรานี้เป็นหินเดือด ๆ พอเดือดมาก ๆ ไอร้อนมารวมตัวกันเกิดเป็นความดันสูง พอความดันได้ที่ก็ผลักพื้นโลกข้างบนให้โยกคลอนได้ เขาใช้คำว่า ลมกำเริบ
              ประการที่ ๒ : เกิดจากผู้มีฤทธิ์บันดาล ผู้ได้ฤทธิ์ได้อภิญญาบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างไรก็ได้
              ประการที่ ๓ : พระโพธิสัตว์ในชาติที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตเข้าสู่ครรภ์พุทธมารดา
              ประการที่ ๔ : พระโพธิสัตว์ประสูติ
              ประการที่ ๕ : ตรัสรู้
              ประการที่ ๖ : แสดงปฐมธรรมเทศนา
              ประการที่ ๗ : ปลงสังขาร
              ประการที่ ๘ : ปรินิพพาน พอพระอานนท์ได้ยินใจหายแวบเลยรู้แล้ว แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว เลยทูลพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าบุคคลผู้ทรงอิทธิบาท ๔ สามารถอธิษฐานร่างกายให้อยู่ได้ถึง ๑ กัป ขออาราธนาพระพุทธเจ้าอยู่ต่อในลักษณะนั้น พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าไม่ทันแล้ว ท่านรับคำอาราธนาของมารปลงอายุสังขารไปแล้วว่า แต่นี้ไปอีก ๓ เดือนเราจะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ของเมืองกุสินารา แล้วท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินทางไปเมืองกุสินาราเลย
              เพราะฉะนั้นเรื่องมารแกล้งเป็นเรื่องปกติ ท่านแกล้งตั้งแต่วันแรกที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จออกบวช พระพุทธเจ้านั่งอยู่หลังม้ากัณฐกะพร้อมทั้งนายฉันนะมหาดเล็ก เรื่องนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์ เป็นเรื่องของกำลังบุญ ๆ ที่บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พระอานนท์ก็ดี นางวิสาขามหาอุบาสิกาก็ดี นางบุญทาสีก็ดี มีกำลังได้ ๗ ช้างสารนับว่าเป็นกำลังบุญ มาเห็นได้ชัดตอนที่พระพุทธเจ้าท่านเสด็จออกบวช (ถ้าใครอ่านรายละเอียดตรงนั้น) พระพุทธเจ้าพอทราบว่าพระราหุลประสูติ ถ้าขืนอยู่ต่อไปเห็นหน้าลูกแล้ว ตัดใจออกบวชไม่ได้แน่ เลยตัดใจหนีคืนนั้นเลย เสด็จออกกลางดึกปลุกนายฉันนะ มหาดเล็กขึ้นมาให้ไปผูกม้า บอกว่าเราจะออกมหาภิเนษกรมณ์ นายฉันนะก็ดีใจรอเวลานี้มานานแล้วก็ไปเตรียมม้า ม้ากัณฐกะคอดำ เขาบอกว่าเป็นพญาม้าอาชาไนยตัวประเสริฐ กายขาวปลอดเหมือนดังสีสังข์ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายหาง วัดได้ ๑๘ ศอก มีศีรษะอันดำประดุจขนนกกาน้ำ เขาเรียก กัณฐกะ (ดำแต่คอ) ม้ากัณฐกะเป็นหนี่งในเจ็ดสหชาติที่เกิดพร้อมพระพุทธเจ้า และอยู่ ๆ มาผูกม้ากลางดึกด้วยสัญชาตญาณรู้ว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จออกบวชแน่แล้ว เลยร้องเสียงลั่นด้วยความดีใจ แต่อรรถกถาบอกว่าเทวดาตั้งใจปิดเสียงไว้ เสียงเลยไม่ได้ยินไปถึงมนุษย์ทั้งหลาย ไม่เช่นนั้นไม่ได้บวชแน่
              เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นม้าตรงไปถึงประตูเมือง ปรากฏว่าประตูเมืองปิดอยู่ (อย่าลืมว่ากำแพงเมืองสมัยก่อนทั้งสูงทั้งใหญ่ ถึงจะกันศึกเสือเหนือใต้ได้) พระพุทธเจ้าคิดว่าถ้าประตูเมืองไม่เปิดเราจะใช้เท้าหนีบม้ากัณฐกะ พร้อมกับจับมือนายฉันนะกระโดดข้ามกำแพงไป เป็นเรื่องหมู ๆ ของท่าน ไปถึงพันธุรเสนาตอนที่แสดงศิลปศาสตร์ที่เรียนมาจากเมืองตักศิลา ไผ่หนึ่งพันลำวางต่อกันแล้วกระโดดฟันทีเดียวขาดหมด กำลังขนาดไหน และไม่ใช่ฟันไม้ไผ่ธรรมดา เพราะคนจะแกล้งเอาเหล็กสอดไว้ในปล้องไม้ไผ่ด้วย พอท่านฟันแล้วเสียงดังผิดปกติท่านก็ถามว่ามีอะไรอยู่ เขาก็บอกให้ว่ามีเหล็กสอดอยู่ข้างใน พันธุรเสนาบอกว่าถ้าบอกให้รู้ก่อนว่ามีเหล็ก จะฟันให้ขาดโดยไม่มีเสียงเลย พระพุทธเจ้าท่านคิดอย่างนั้น นายฉันนะมหาดเล็กก็คิดว่าถ้าหากว่าประตูเมืองปิด เราจะให้พระลูกเจ้าขี่คอแล้วก็จูงม้ากัณฐกะกระโดดข้ามไป
              ส่วนม้ากัณฐกะคิดว่าถ้าประตูเมืองปิดอยู่ เราที่มีพระลูกเจ้าอยู่ข้างหลังและมีนายฉันนะเกาะหางอยู่เราจะกระโดดข้ามไป ทุกคนคิดเหมือนกันหมด ปรากฏว่าเรื่องมันยุ่งมาก เทวดาก็เลยช่วยกันเปิดประตูให้
              เราลองมาคิดดูว่าตัวคน ๆ หนึ่งปกติจะกระโดดข้ามกำแพงก็แย่แล้ว คราวนี้ยังหนีบม้าอีกตัว และก็จูงบริวารอีกคน กำลังของท่านจะขนาดไหน ส่วนนายฉันนะท่านก็ตั้งใจให้พระพุทธเจ้าขี่คอและจูงม้ากระโดดข้ามไป ม้าท่านก็ว่าถ้าหากว่าประตูเมืองปิดอยู่ จะจัดการกระโดดข้ามไปเองพร้อมกับเจ้านายและคนรับใช้ เมื่อออกไปจากกำแพงเมืองแล้ว ก็ด้วยธรรมดาของคนที่เคยอยู่ เคยผูกพันกันมานาน ท่านต้องการดูเป็นครั้งสุดท้าย ในอรรถกถากล่าวว่า แผ่นดินหมุนเหมือนกับกงล้อ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยหันไปเพื่อจะดูบ้านเมือง พอหันไปก็เจอพระยามาราธิราชโผล่ออกมาและบอกว่า สิทธัตถะราชกุมาร อีกเจ็ดวันจักรรัตนะคือ จักรแก้ว อันเป็นเครื่องหมายของพระเจ้าจักรพรรดินี้ จะปรากฏแก่เธอแล้วอย่าออกบวชเลย ถ้าจักรแก้วปรากฏขึ้นเมื่อไหร่เธอจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลกทั้งโลก สิทธัตถะราชกุมารหรือพระพุทธเจ้ากล่าวว่า ปาปิมะ ดูก่อนมารผู้มีบาป เราก็ทราบว่าอีก ๗ วันจักรรัตนะจะปรากฏขึ้น แต่เราตั้งใจเสียแล้วจะออกบวช เธอจงหลีกไป พระยามาร ไม่อาจจะทานความดีของพระพุทธเจ้าได้ ก็ต้องถอยไป ตั้งแต่วินาทีนั้นพระยามารตามติดเลย มีโอกาสเมื่อไหร่กูเอาแน่
              คราวนี้กล่าวถึงเรื่องของบุญคน พระเจ้าจักรพรรดิจะต้องปกครองโลกทั้งโลก ปราบได้ทวีปทั้ง ๔ คืออย่างน้อย ๆ ดาวอีก ๓ ดวงที่มีคนอยู่ ท่านต้องปราบได้ ในจักกวัตติสูตร อังคุตตรนิกาย กล่าวถึง สัตตรัตนะ แก้วทั้ง ๗ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิ มี...
              ปริณายกรัตนะ (ขุนพลแก้ว) ทำหน้าที่แทนทุกอย่าง รบที่ไหน ไม่เคยแพ้ ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิสละราชสมบัติออกบวช ขุนพลแก้วจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแทน
              คหปติรัตนะ (ขุนคลังแก้ว) มีทิพจักขุญาณที่แจ่มใส สามารถเห็นขุมทรัพย์ทุกแห่งที่อยู่ใต้พื้นดินได้ มีหน้าที่ขนมาใส่ท้องพระคลัง เพื่อให้พระเจ้าจักรพรรดิเลี้ยงดูคนทั้งโลก
              หัตถิรัตนะ (ช้างแก้ว) เป็นช้างเผือกตัวประเสริฐจากป่าหิมพานต์ แม่ช้างเมื่อตกลูกแล้วจะพาลูกมาอยู่ในโรงช้างเอง รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่อทำอะไร
              อัสสะรัตนะ (ม้าแก้ว) เป็นม้าอาชาไนยตัวประเสริฐจากลุ่มแม่น้ำสินธุ มีกำลังวิ่งได้ถึงวันละ ๑,๐๐๐ โยชน์ เป็นผู้ไม่มีความกลัวเกรงในสิ่งใด ๆ ถึงแม้ศึกเสือเหนือใต้ เสียงมันจะดังขนาดไหนก็ตาม ฆ่าแกงกันขนาดไหนก็ตาม ม้าอาชาไนยจะไม่มีความหวั่นไหว พระพุทธเจ้าท่านเคยบอกเอาไว้ว่าบุคคลที่ไร้ความกลัว เช่น 1)พระพุทธเจ้า 2)พระอรหันต์ สองอย่างนี้เรารู้ว่าท่านไม่กลัวตายแน่นอน เพราะว่าท่านหลุดพ้นแล้ว 3)พระเจ้าจักรพรรดิ ท่านไม่กลัวอะไรเพราะรู้ว่าท่านปกครองคนทั้งโลก ทั้งโลกนี้และโลกอื่นทั้ง ๔ ทวีป ไม่มีศัตรูก็เลยไม่ต้องกลัวใคร 4)ม้าอาชาไนย ไม่กลัวอะไรเหมือนกัน
              อิตถีรัตนะ (นางแก้ว) ส่วนใหญ่จะเป็นนางที่มาจากอุตตรกุรุทวีป ดาวพลูโตโน่น ประกอบไปด้วยเบญจกัลยาณี อิตถีลักษณะครบถ้วนทุกประการ เนื้ออุ่นในหน้าหนาว เนื้อเย็นในหน้าร้อน
              มณีรัตน (มณีแก้ว) เป็นดวงแก้วมณีโชติคู่บารมี จะผุดขึ้นกลางพระลานหลวงแล้วก็เลื่อนไปอยู่ในท้องพระคลังเอง มณีรัตนะอยู่ที่ใดก็ตาม ทรัพย์สมบัติจะปรากฏในที่นั้นตลอดกาล เหมือนอย่างกับแม่เหล็ก แต่เป็นแม่เหล็กดูดสตางค์
              จักกรัตนะ (จักรแก้ว) เป็นการประกาศความดีของพระเจ้าจักรพรรดิว่า สมควรที่จะปกครองในทวีปทั้ง ๔ ท่านบอกว่าปกติจะอยู่ที่สะดือทะเล เป็นจุดที่ต่ำที่สุดของแผ่นดิน อยู่ใต้น้ำ ถึงเวลาจะลอยขึ้นมา พร้อมกับดึงดูดเอาสมบัติที่อยู่ในจุดนั้นมาทั้งหมด ท่านบอกว่าด้วยอานุภาพของจักรแก้ว พระเจ้าจักรพรรดิต้องการบรรทุกคนไปสักเท่าไร่ก็ได้ สามารถไปทวีปอื่น ๆ ได้ในชั่วพริบตาเดียว ดีกว่าจานบินสมัยนี้เยอะ ท่านบอกว่าถ้าพระเจ้าจักรพรรดิต้องการจะออกตรวจตราความสงบเรียบร้อย ความสุขความทุกข์ของประชาชนในทวีปทั้ง ๔ จักรแก้วอาจจะพาออกไปได้ ในขณะที่พ่อครัวเริ่มทำอาหารและกลับมาทันกิน เร็วไหม ดาว ๔ ดวงไปอีท่าไหนไม่รู้ไปทั่วเลย
              คราวนี้บุคคลที่ปรากฏเห็นได้ชัดที่มีวาสนาบารมีมาก อย่างเช่น พระยาชมภูบดี ถ้าหากว่าการสร้างพระพุทธรูปเราจะเห็นว่ามีพระพุทธรูปปางหนึ่งที่เรียกว่า ปางทรงเครื่องมหาจักรพรรดิ หรือปางปราบพระยาชมภูบดี พระยาชมภูบดีเป็นผู้มีบุญมากมีของวิเศษอยู่ก็คือ รองเท้าแก้ว พระขรรค์แก้ว อวิสศร ธนูวิเศษยิงไปสั่งให้ไปฆ่าใครที่ไหนไกลแค่ไหนก็ไป
              วันหนึ่งแกก็ไปเที่ยวเล่นใส่รองเท้าแก้วเหาะไป เหาะมาเจอปราสาทพระเจ้าพิมพิสาร ก็ไม่ได้สวยอะไรกว่าของแกหรอก แต่มันสวยด้วยแรงบุญ พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน ในระหว่างคนมีบุญกับคนมีบุญด้วยกันจะดูกันออก ในเมื่อดูกันออกแกก็เกิดอิจฉาขึ้นมา ปราสาทธรรมดา ๆ มันไม่ได้สวยอะไร แต่คนมีบุญอยู่มันก็สวยเป็นพิเศษ แกก็จัดแจงเอาพระขรรค์แก้วฟันฉับเข้าให้ ตัดยอดปราสาททิ้งให้กุดจะได้ไม่สวย ปรากฏว่าท่านบอกว่าพระขรรค์แก้วอันคมกล้าซึ่งสามารถจะบั่นภูเขาทั้งลูกได้ วันนั้นเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ทำให้พระขรรค์บิ่น แรงบุญจริง ๆ แกยัวะขึ้นมาก็เลยกระทืบ ด้วยกำลังของแกบวกกับอานุภาพของเกือกแก้ว ยังไง ๆ ภูเขาทั้งลูกก็ไม่พอให้กระทบหรอก ปรากฏว่ากระทืบโครมลงไปยอดปราสาททิ่มรองเท้าทะลุ (เจ็บเท้าอีก) ยัวะใหญ่เหาะกลับบ้าน กลับเมืองของแก กลับถึงบ้านเมืองให้เอาอวิสศรแผลงมา สั่งว่า “ไปร้อยหูพระเจ้าพิมพิสาร" อวิสศรก็ไป ๆ ถึงก็ประกาศลั่นมาแต่ไกลเลยว่า เราจะร้อยหูพระเจ้าพิมพิสาร ลูกศรประกาศอย่างนั้น พอพระเจ้าพิมพิสารได้ยินก็เกิดกลัวภัยขึ้นมา (อย่าลืมว่าพระโสดาบันยังหนีตายเป็นปกติอยู่) หลวงพ่อเคยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระอรหันต์ก็หนีภัยหรือ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าสมควรก็หลีกเลี่ยงเสีย ถ้าหากว่าเป็นกรรมที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ยอมรับ (ไม่ใช่ไม่หนี ไม่หนีก็โง่) พระเจ้าพิมพิสารรีบหนีไปที่ เวฬุวันมหาวิหาร (สมัยก่อนมีประเทศเล็กใหญ่เต็มไปหมด พระเจ้าพิมพิสารครองแคว้นมคธก็คือประเทศหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลครองแคว้นโกศลอีกประเทศหนึ่ง สมัยก่อนกษัตริย์เยอะ)
              พระพุทธเจ้าท่านอยู่ เห็นอันตรายจะเกิดขึ้นกับพระเจ้าพิมพิสารที่เป็นศิษย์คนสำคัญ ก็ใช้วาโยกสิณหอบลูกศรกลับไปคืนให้กับพระยาชมภูบดี พอเห็นลูกศรโบ๋เบ๋กลับมาปกติไม่เคยพลาด ก็รู้ว่าคนมีบุญมีอยู่ก็อัดอั้นตันใจไม่รู้จะทำอย่างไร พระพุทธเจ้าก็ตั้งใจจะทรมานพระยาชมภูบดี เพราะเห็นว่ามีวิสัยจะเป็นพระโสดาบัน เลยเนรมิตเวฬุวันมหาวิหารกลายเป็นมหาปราสาทแก้วมณี ประเภทที่เรียกว่าพระเจ้าจักรพรรดิอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้นเลย และเสร็จแล้วพระสงฆ์ทั้งหมดก็กลายเป็นอำมาตย์ข้าราชบริพาร พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรกลายเป็นมหาเสนาบดีคู่พระทัย ส่วนเทวดาก็สนุกมากันครึกครื้น กลายเป็นพ่อค้า แม่ค้าเต็มตลาดไปหมด ท้าวจตุมหาราชอาสาเป็นยามเฝ้าประตูให้ แล้วส่งเณรอนาคามีแปลงตัวเป็นทหารถือสาส์นไปส่งให้พระยาชมภูบดีบอกว่าพระเจ้าจักรพรรดิผู้เป็นเลิศแล้วในทวีปทั้ง ๔ ขอเชิญให้ท่านไปพบ
              พระยาชมภูบดีพอเห็นตอนแรกก็ตั้งท่าจะไหว้ (อย่าลืมพระอนาคามีปฏิสัมภิทาญาณท่านเต็มกำลังบุญของท่าน ท่านสวยขนาดไหน มันข่มกันเห็น ๆ อยู่แล้ว) แต่สามเณรก็ห้ามไว้ว่าไปไหว้เจ้านายเราเถอะ เราเป็นแค่คนถือสาส์นเท่านั้น พระยาชมภูบดีถึงกับโอโหขนาดคนถือสาส์นยังขนาดนี้เชียวหรือ พอเสด็จไปถึงเห็นท้าวมหาราชที่เฝ้าประตูอยู่ ก็คิดว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็ตั้งใจจะไหว้อีก ท้าวมหาราชทั้ง ๔ บอกว่าอย่าเพิ่งไหว้เรา ๆ เป็นแค่คนเฝ้ายามหน้าประตูเท่านั้น พอแกเข้าไปเห็นทางเป็นแก้วมณีที่ลาดยาวไปแกก็ถลกผ้าตั้งท่าจะลุยน้ำ เณรก็บอกว่าไม่ต้องหรอกทางที่เห็นเป็นแก้วมณีเดินไปได้ไม่ใช่น้ำหรอก (ใสเป็นน้ำเลย) แกเข้าไปเห็นบรรดาพ่อค้าแม่ค้าเต็มตลาดไปหมด แต่ละคนราศีดีกว่าแกทั้งนั้น ทั้งเทวดาทั้งนางฟ้ามากันเต็มไปหมด แกก็ตั้งท่าจะไหว้เขาอีก ไม่รู้คนไหนเป็นคนไหนเต็มไปหมด เณรก็ห้ามไว้ ให้เข้าไปข้างใน พอเข้าไปเจอพระอานนท์ก็ไหว้ เจอพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรก็ไหว้ เจอใครก็ล้วนแต่ดีกว่าแกทั้งนั้น (คนมีบุญเขาดูกันออก บุญพระอรหันต์จะไม่มากกว่าได้อย่างไรเล่า)
              พระพุทธเจ้าเนรมิตตนให้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเต็มบุญเต็มบารมีของตน (สวยขนาดไหน) พอพระยาชมภูบดีเห็นก็ยอมกราบยอมไหว้ก่อน พระพุทธเจ้าถึงได้คลายฤทธิ์ให้เห็นว่าสภาพที่แท้จริงเป็นอย่างไร พระยาชมภูบดีจึงยอมศิโรราบเต็มหัวใจ (ก็ตั้งแต่ปากประตูเข้ามาก็เป็นเทวดาทั้งนั้น ยอดขุนพลอย่างท้าวมหาราชทั้ง ๔ กลายเป็นแค่ยามเฝ้าประตู) ท่านก็เลยยอมละมานะทิฏฐิ ฟังธรรมกลายเป็นพระโสดาบัน เขาถึงมีพระพุทธเจ้าปางจักรพรรดิ หรือปางปราบพระยาชมภูบดีด้วย นี่เป็นตัวอย่างหนี่งว่าคนมีบุญขนาดนั้นยังไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิเลย แค่มีรองเท้าแก้ว มีพระขรรค์แก้ว และมีศรวิเศษขนาดนั้น
              อีกรายหนึ่ง หลังพุทธกาลมาแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราช เรื่องอื่นไม่รู้ ๆ แต่ว่ามีนางแก้วแน่นอน เขาบอกว่าเป็นนางแก้วคู่บารมีของท่าน ไม่รู้ว่มาจากอุตรกุรุทวีปหรือเปล่า มเหสีคู่พระทัยคนนี้แกมีบุญมาก เขาบอกว่าแกมีผอบติดตัวมาใบหนึ่ง ต้องการผ้ามากเท่าไหร่ก็ดึงออกมา ดึงเท่าไหร่ก็ไม่หมด พระเจ้าอโศกมหาราชเลี้ยงพระเป็นหมื่น ถวายจีวรได้ครบทุกองค์ บรรดาพวกสนมกำนัลอื่น ๆ ที่ไม่รู้บุญของนางก็อิจฉานางอยู่ตลอด
              วันหนึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชรำคาญเต็มที ที่แต่ละวันมีแต่นกกระจอกแตกรัง นั่งนินทาแต่พระมเหสี ก็ให้พ่อครัวปั้นขนมขึ้นมา ๑,๐๐๐ ชิ้น แล้วถอดพระธำมรงค์จากนิ้วยัดใส่ไปในขนมลูกหนึ่ง แล้วก็ปั้นคืนไปดังเดิม บอกพ่อครัวเอาไปนึ่งจะสลับลูกอย่างไรก็ได้ แล้วประกาศบอกสนมกำนัลทั้งหมดว่าจะแจกขนมให้คนละ ๑ ชิ้น ใครหยิบชิ้นที่มีพระธำมรงค์อยู่ จะแต่งตั้งให้เป็นอัครมเหสี จะได้เลิกนินทากันเสียที ปรากฏว่าต่างคนคิดว่าตัวเองน่าจะได้ จนกระทั่งหยิบไปแล้ว ๙๙๙ ลูก เหลือเพียง ๑ ลูก พระมเหสีไปหยิบขึ้นมาก็เป็นขนมที่มีพระธำมรงค์อยู่ ขนาดคนอื่นเลือกไปก่อนแล้ว บุญคนยังไง ๆ ต้องมีบุญอยู่
              ตอนที่มีการขุดพบห้องบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระเจ้าอโศกมหาราช ตอนที่ขุดพบนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชตั้งใจจะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ได้ข่าวมีที่ไหนก็ไปขุดอัญเชิญมาสร้างเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุถวายเป็นพุทธบูชา จัดฉลองพระเจดีย์ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ที่พระยามารจะมาขวางบุญท่าน พระทั้งหมดก็ให้ไปนิมนต์พระอุปคุตมา เรียก กีสะนาคอุปคุต (นาคะ-นาค, กีสะ-ผอม) ตามตำรายุทธจักรโกว้เล้งเขาเรียก พระคุณท่านมังกรผอม พระอุปคุตท่านเอาแต่เข้านิโรธสมาบัติอยู่สะดือทะเล ข้าวปลาอาหารไม่ค่อยได้กินเลยผอม พอขึ้นมาพระสงฆ์ทั้งหมดก็ประชุมกัน ประกาศบอกว่า คนอื่นเขามาลงอุโบสถสังฆกรรม ทำงานทำการเพื่อพระศาสนา มีแต่ท่านไปนอนสบายอยู่คนเดียว
              เพราะฉะนั้นปรับโทษต้องคอยระวังพระยามารรักษาตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ที่พระเจ้าอโศกมหาราชจะฉลองพระเจดีย์ อย่าให้พระยามารทำลายได้ และท่านก็เป็นองค์เดียวที่ทรมานพระยามารสำเร็จ
              ในเมื่อพระสงฆ์ประชุมลงทัณฑ์ท่านก็ยอมรับ แต่อย่างไรก็ขอกินข้าวก่อน ท่านก็ออกบิณฑบาต พระเจ้าอโศกมหาราชอยากลองของ ว่าแน่แค่ไหนจะมารับหน้าที่นี้ (ผอมเชียวหลวงตา) ทรงปล่อยช้างตกมันออกมาให้ไปเหยียบเสียให้แบนถ้าไม่เก่งจริง ปรากฏว่า พระอุปคุตแค่หันมาใช้นิ้วทิ่มใส่หน้าช้างก้นกระแทกไป แสดงว่ากำลังเหนือกว่ากันขนาดนั้น เขาเรียกว่ากำลังบุญจริง ๆ พระอุปคุตเห็นพระเจ้าอโศกมหาราชไม่ยอมเชื่อความสามารถของท่าน ก็บอกมหาบพิตรว่า อาตมาภาพจะบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว พระเจ้าอโศกมหาราชก็บอกว่า เดี๋ยว ๆ หลวงตาผมจะไปรู้หรือว่าหลวงตาไปดูยามฤกษ์ล่างฤกษ์บนที่ไหนมา อาจรู้ว่าแผ่นดินจะไหวตอนนี้ก็ได้ จะมั่นใจได้อย่างไรหลวงตาทำ ท่านบอกว่าไปตักน้ำมาขันหนึ่ง เดี๋ยวจะให้แผ่นดินไหวแล้วน้ำกระเพื่อมแค่ครึ่งขัน พระเจ้าอโศกมหาราชก็ตักน้ำมา พระอุปคุตก็บันดาลให้แผ่นดินไหว ท่านบอกว่าสะเทือนถึงน้ำรองแผ่นดิน แสดงว่าไหวทั่วถึงจริง ๆ แต่ว่าขันน้ำที่พระเจ้าอโศกมหาราชตักมาไหวอยู่แค่ซีกเดียวอีกซีกหนึ่งนิ่ง ก็เลยยอมรับกราบไหว้ยอมไหว้ มอบภารธุระให้และขอพระคุณท่านโปรดเอาภารธุระในพระพุทธศาสนาด้วย โยมตั้งใจจะชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์ ตั้งใจที่จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ทำมาขนาดนี้อย่าให้งานของโยมต้องเสีย
              พระอุปคุตก็รับปากเพราะว่าพระเจ้าอโศกมหาราชตอนนั้น ประกาศตนเป็นผู้อุปถัมภ์ศาสนาพุทธ เจอนักบวชที่ไหนก็ให้นำนุบำรุงเต็มที่เลย พวกนักบวชนอกศาสนาเห็นกินสบายอยู่สบายก็บวชกันเข้ามาเต็มไปหมด มึงบวช กูบวช ไม่รู้ว่าบวชถูกหรือไม่ถูกไม่รู้ โกนหัวห่มผ้าเหลืองเข้ามา พระเจ้าอโศกมหาราชเลี้ยงหมด บวชเข้ามาก็ไม่ปฏิบัติธรรมตามธรรมวินัย
              พระเจ้าอโศกมหาราชก็เลยปรึกษากับพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ ขอให้ชำระพระพุทธศาสนา วิธีชำระท่านดุเดือดมาก เรียกพระมาทั้งหมด แล้วให้พระอรหันต์ถามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าทีละคน คนไหนตอบไม่ได้ ถ้าไม่ยอมสึกตัดหัว พระพุทธศาสนาสะอาดเอี่ยมเพราะฝีมือท่านในครั้งนั้น แต่ท่านก็ฆ่าไปบานเลย เพราะคนหน้าด้านไม่เชื่อว่าจะทำจริง มีคนตายเป็นตัวอย่างสัก ๑๐-๒๐ ก็เข็ดไปตาม ๆ กัน ไม่ต้องมาตอบคำถามแล้ว ถอดผ้าเหลืองเผ่นหนีไปเยอะ ทำถึงขนาดนั้นแล้วท่านก็ยังสร้างเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตัวท่านเองใช้สำลีอันสะอาดพันรอบตัวชุบด้วยน้ำมัน จุดไฟถวายเป็นพุทธบูชายืนเพ่งเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ ตั้งใจจุดไฟเผาถวายพุทธบูชา บังเอิญกำลังบุญของท่านสูงก็เลยทำให้เทวดารักษาและอีกอย่างได้สมาบัติด้วย ท่านบอกไฟไหม้อยู่ตลอด ๗ วันแต่ท่านไม่เป็นอันตรายอะไร เป็นเรากล้าทำไหมอย่างนั้น พระเจ้าอโศกมหาราชทำลักษณะนั้นได้เพราะกำลังบุญท่านสูงมากก็เลยไม่มีอันตราย คราวนี้พระยามารก็แกล้งตามปกตินั่นแหละ
              ถ้าหากเราไปประเทศพม่า จะเห็นรูปพระอุปคุตมือหนึ่งกำลังล้วงบาตรจะฉัน ลูกตาก็แหงนมองฟ้าอย่างนี้ ระวังว่าเมื่อไหร่มารจะแกล้ง ที่มีคนถามว่าทำไมพระท่านต้องแหงนมองฟ้า พวกที่รู้ดีบอกว่าท่านดูว่าตะวันถึงหัวหรือยังจะได้หยุดฉัน ก็ยังดีเป็นการคิดเข้าข้างพระอยู่ ถ้าไม่คิดเข้าข้างพระ เสียแน่
              การแหงนมองฟ้าคือท่านระวังไม่ให้มารมาขวาง พอพระยามารมาถึงก็บันดาลฤทธิ์ให้เกิดขึ้นมืดฟ้ามัวฝน มืดมนอนธการไปในทิศทั้ง ๑๐ พระอุปคุตรู้ว่ามาแล้วคู่ปรับ พระพุทธเจ้าไม่ยุ่งกับพระยามารเพราะรู้ว่าคู่ปรับของเขามี คู่นี้เขาเคยฟัดกันมาทุกชาติแล้ว พระอุปคุตก็ชนะมาทุกชาติ
              ถ้าหากว่าเจอรายนี้เข้าถึงจะเอาอยู่ เพราะยอมรับกันมาหลายชาติแล้ว ขนาดพระพุทธเจ้าเขาไม่ยอมรับ พระอุปคุตก็ออกไป พอพระยามารบันดาลความมืดมา ท่านก็เอาความสว่างเข้าไป บันดาลฝนมาท่านก็เอาภูเขากันไว้ พระยามารสู้จนกระทั่งหมดความรู้สู้ไม่ได้ พระอุปคุตจับได้ ตอนสุดท้ายท่านแปลงเป็นนกหนี พระอุปคุตกลายเป็นเหยี่ยวตามไปไล่จับ แกก็แปลงเป็นพญานาคหันมาจะกินเหยี่ยว ท่านก็กลายเป็นพญาครุฑไปจับนาค ไล่กันมันไปเลย พอจับได้พระยามารก็บอกว่ายอมแพ้พระคุณท่านแล้ว ยอมก็ยอมเถอะ แต่ตอนนี้ไว้ใจไม่ได้ ลื้อมันท่ามากนักเขาจะฉลองพระเจดีย์ตั้ง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ขืนปล่อยให้ลื้ออกไปเดี๋ยวก็ยุ่ง เกิดกลับใจจะมากวนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
              ตอนแรกอธิษฐานหมาเน่าผูกคอเอาไว้ (อย่าลืมว่าพระยามาราธิราชจริง ๆ แกเป็นมาร มารตามพระไตรปิฎกจัดอยู่ชั้นสูงกว่าเทวดา ท่านจะใช้คำว่า เทเว นะวา มาเรนะ วา พรหมุนา วา เทวดา มาร พรหม เรียงตามลำดับ อย่างนี้ตลอดเพราะว่าพวกมารเขามีพื้นที่อยู่ในสวรรค์ชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตวสวัตตี สวรรค์ชั้นสูงสุด แบ่งกับเทวดาคนละซีก) ในเมื่อท่านเองอยู่แบบเทวดาก็รักสะอาด อยู่ ๆ เอาหมาเน่ามาผูกคอ แกะเท่าไหร่ก็แกะไม่ออก วิ่งไปหาพระอินทร์ก็แกะไม่ออกบอกข้าก็หมดปัญญา ไปหาท้าวสหัมสบดีพรหม ๆ แกะไม่ออก ให้กลับไปขอขมาพระคุณเจ้าท่านขอให้ท่านแกะให้ เพราะท่านเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์ สิ่งที่ท่านอธิษฐานมา เทวดา พรหม ไม่มีปัญญาช่วยได้หรอก เพราะพรหมอยู่สุดสุดก็แค่อรหัตมรรคเท่านั้น ก็เลยต้องกลับมาง้อพระอุปคุต ๆ ก็เลยจับเอารัดประคตมัดติดกับภูเขาไว้ บอกว่าให้อยู่ที่นี่แหละ หากพระเจ้าอโศกมหาราชฉลองพระเจดีย์เสร็จแล้วจะมาแกะให้ แกอยู่ที่นั่นโดนมัดไม่ได้กระดิกกระเดี้ยอยู่ ๗ ปีกว่า นั่งรำพึงรำพันเห็นพระพุทธเจ้า พระสมณโคดมท่านทรงคุณอันประเสริฐ เราตามจองล้างจองผลาญท่านตลอด ตั้งแต่แรกจนถึงวาระสุดท้ายท่านไม่เคยถือโกรธ สมณะนี้เป็นลูกศิษย์สมณโคดมทำไมถึงได้ไร้เมตตาขนาดนี้ไม่รู้ จับเรามัดติดกับภูเขามา ๗ ปีกว่าแล้ว
              พระอุปคุตย่องมาแอบฟัง รำพึงรำพันไป พอเห็นความดีพระพุทธเจ้า ท่านก็เลยแกะรัดประคตออกให้ แล้วก็ชี้แจงแสดงเหตุให้รู้ ทำภาพเบื้องหน้าเบื้องหลังให้รู้ว่าเคยเป็นคู่ปรับกันมากี่ภพกี่ชาติ พระพุทธเจ้าอานุภาพเหนือกว่าท่านไม่รู้เท่าใด แต่ที่ท่านปล่อยเว้นไว้ก็เพราะจะรอให้เรามาจัดการเอง
              พระยามารพอทราบเข้าก็ยอมแพ้ยอมกราบ ถามพระอุปคุตว่าพระคุณมีอะไรที่ต้องการให้ช่วยเหลือบ้าง ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็จะทำให้ พระอุปคุตบอกว่าท่านเกิดไม่ทันพระพุทธเจ้า ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าในลักษณะกายเนื้อนอกจากธรรมกาย แสดงว่าเห็นเป็นพระวิสุทธิเทพ มาตลอดใช่ไหม ก็เลยไม่ทราบว่ามีพุทธลักษณะแบบไหน อยากจะเห็นด้วยตาตัวเองสักทีหนี่ง พระยามารที่ทำพระพุทธเจ้ามาตลอดช่วยให้เห็นบ้างได้ไหม พระยามารบอกว่าได้ โยมจะเนรมิตกายเป็นพระพุทธเจ้าพร้อมอัครสาวกซ้ายขวาและพระสงฆ์บริวารอย่างสมัยโน้นให้ดู ขออย่างเดียวอย่าไหว้โยม ตอนนี้รู้แล้วท่านเป็นพระอรหันต์ฤทธิ์มากกว่า ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ กลัวบาปเหมือนกัน ขอร้องว่าอย่าไหว้โยม พระอุปคุตก็ตกลง ประกาศเรียกพระภิกษุสามเณรทั้งหมด ตลอดจนพระเจ้าอโศกมหาราชและบริวาร มาดูพระพุทธเจ้ากันให้เต็ม ๆ ตาวันนี้
              พระยามารก็เร้นกายหายไปหลังภูเขา โผล่มาอีกทีกลายเป็นพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยฉัพพรรณรังสี อัครสาวกซ้ายขวาและพระสงฆ์อีก ๘๔,๐๐๐ องค์ เนรมิตได้ขนาดนั้น พระอุปคุตเห็นนั่งกราบ พระสงฆ์สามเณรเห็นกราบหมด พระยามารตกใจรีบคืนร่างกายเป็นมารตามเดิม มาถึงก็โวยวาย พระคุณเจ้าทำอย่างนี้เวรกรรมก็เกิดกับโยมนะสิ ท่านบอกว่าไม่ใช่หรอก ที่ไหว้นั้น ไม่ได้ไหว้มารแต่ว่าไหว้พระพุทธเจ้า กำลังใจของท่านจดจ่ออยู่กับพระพุทธเจ้าโดยตรง
              เพราะฉะนั้นพวกมารไม่มีโทษ เมื่อท่านรู้ว่าไม่มีโทษท่านก็เลยลากลับวิมานของตัวเอง งานฉลองของพระเจ้าอโศกมหาราชจบ พระอุปคุตก็กลับสะดือทะเลเหมือนเดิม งานเดิมของตัวเองคือเข้านิโรธสมาบัติต่อ วันไหนอยากกินข้าวก็ออกบิณฑบาตสงเคราะห์โยม อย่างน้อยก็ ๗ วันโผล่ที (ทางภาคเหนือของเราจะมีธรรมเนียมใส่บาตรเที่ยงคืน วันไหนตรงกับวันเพ็ญขั้น ๑๕ ค่ำตรงกับวันพุธ เขาจะปลุกพระแหกขึ้ตาขึ้นมารับบาตร เกิดจากพระอุปคุตนี่แหละ คนที่ได้รับการสงเคราะห์จากท่าน บังเอิญตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำและตรงกับวันพุธ ทางเหนือเขาเรียกว่าเป็งพุธ คือวันพุธที่ตรงกับวันเพ็ญ คนที่ใส่บาตรกับพระที่เข้านิโรธสมาบัติก็รวยวันนั้นเลย ต่างคนก็ต่างอยากรวย ถึงเวลาก็แหกขี้ตามารอ คนโน้นใส่บาตรตอน ๖ โมงเช้า อีกคนก็ใส่บาตรตอนตีห้าครึ่งเผื่อฟลุ๊ก ไล่กันไปไล่กันมา กูตัดหน้ามึง ๆ ตัดหน้ากูก็ดึกขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นเที่ยงคืน ธรรมเนียมการใส่บาตรเที่ยงคืนจึงมาด้วยประการฉะนี้)
              คราวนี้พระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากนั้นถึงเวลาพระศาสนาก็กลับกลายเป็นหายจากชมพูทวีป เพราะศาสนาอื่นเบียดเบียน แต่ว่าจุดใหญ่ใจความก็คือว่า บริษัท ๔ ไม่ช่วยกันทำนุบำรุงศาสนา โดยเฉพาะภิกษุ ภิกษุณี บริษัทกลายเป็นว่าทำในสิ่งที่ไม่ดี กลายเป็นข้อโจมตีจากศาสนาอื่นเสียเอง ศาสนาพุทธก็เลยสลายจากชมพูทวีปออกมาทางด้านตะวันออกนี้แทน สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนา ปรักหักพังไปตามกาลเวลา
              ต่อมามีการขุดค้นกันทางประวัติศาสตร์ปรากฏว่าไปพบพระเจดีย์องค์หนึ่งที่พระเจ้าอโศกมหาราชท่านสร้างไว้ เป็นหนึ่งใน ๘๔,๐๐๐ องค์ สร้างเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พอไปถึงข้างล่างมีประตูเข้าไปในเจดีย์ที่เป็นห้องบรรจุพระธาตุ มีโคตรเพชรแท่งเบ้อเร่อวางอยู่ และมีจารึกติดไว้ด้วยว่า ท่านคือพระเจ้าอโศกมหาราช สร้างเจดีย์ขึ้นมาถวายพุทธบูชาทำการฉลอง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ต่อไปพระมหากษัตริย์ใดก็ตามที่มาพบ ถ้าไม่มีสิ่งของควรค่าแก่การถวายเป็นพุทธบูชาก็จงถือเอาแก้วมณีนี้เข้าไปบูชาพระ (หายสงสัยหรือยังว่าทำไมเพชรใหญ่ ๆ มันอยู่แต่อินเดียทั้งนั้น แต่โดนพวกราชวงศ์อังกฤษยึดไปเอาไปทำคฑาประจำพระองค์บ้าง เพชรยอดมกุฏบ้าง ก็เล่นทิ้งไว้แท่งเบ้อเร่อ) บอกไว้ด้วยว่า พระมหากษัตริย์รุ่นหลัง ๆ ถ้าหากจนไม่มีอะไรที่จะพอถวายพุทธบูชาสมบารมีพระพุทธเจ้าก็จงถือแก้วมณีนี้เข้าไป นั่นแค่เศษเสี้ยวหนึ่ง และนี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า บุคคลที่มีบุญมีบารมีขนาดนี้ยังไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิเลย เพราะว่าท่านมีรัตนะไม่ครบ ๗ อย่าง
              อย่างเช่นสมัยรัชกาลที่ ๓ ของเราท่านก็บอกว่า ท่านมี ขุนพลแก้ว คือ เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) มีขุนคลังแก้ว คือ พระยาศรีสหเทพ (ทองเพ็ง) และมีนางแก้ว คือ ลูกสาวตัวเองรับงานรับการเป็นเลขาให้พ่อ ทำงานทำการทุกอย่างไม่ให้พ่อต้องเดือดร้อนมาก แต่ท่านบอกว่าท่านก็มีแค่ ๓ อย่าง เจ้าพระยาบดินทรเดชารบที่ไหน ไม่เคยแพ้ เป็นขุนพลแก้วประจำรัชกาล รบเขมรชนะเขมร รบลาวชนะลาว ลาว เรียกพระยาเสือ ท่านทำราชการไม่เห็นกับการเหนื่อยยาก ออกไปรบทางด้านญวน ลาว เขมร ๑๖ ปีไม่เคยกลับบ้าน พระเจ้าแผ่นดินต้องมีพระราชหัตถเลขาไปว่า กลับมาให้ลูกเมียเห็นหน้าบ้าง อย่าเอาแต่ราชการ ๑๖ ปี หรือ ๑๒ ปีไม่รู้ แต่ไม่เคยกลับบ้านเลย เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง พวกญวนถ้าบอกพระยาเสือนี่ฉี่ราดเลย รบที่ไหนชนะที่นั่น ประวัติการรบของท่านสะใจมาก ไม่ว่าเขาจะมาด้วยกลยุทธ์กลศึกอันไหน เจ้าพระยาบดินทรเดชาแก้ตกและตอบคืนเจ็บ ๆ แสบ ๆ ทั้งนั้นเลย (ไปหาประวัติท่านอ่าน หาไม่ได้ก็ไปที่โรงเรียนบดินทรเดชาถามดูว่ามีประวัติของพระยาบดินทรเดชาไหม)
      ถาม:  อย่างหลวงพี่บอกว่าเผาเพื่อเป็นพุทธบูชา สมมุติในการเผาจิตใจ เขาคิดเป็นพุทธบูชาจริง ๆ แต่เกิดตายอย่างนี้จะเป็นบุญหรือบาป ?
      ตอบอย่าลืมว่าก่อนตายเกาะอะไร ? ใจเขาเกาะบุญเต็มที่อยู่แล้ว เพราะว่าตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชา อย่างไร ๆ ก็กำไร ถ้าว่าเขามีกำลังใจทำขนาดนั้นได้ ความเข้มแข็งของเขามันเหลือเฟือเกินพอ
              อย่าง พระเยซู โดนทรมานขนาดตรึงกางเขนขนาดนั้น ท่านไปอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต หลวงพ่อถามท่านว่าโดนขนาดนั้นจิตใจไม่เศร้าหมองหรือ ท่านบอกว่าอาศัยกำลังที่อยากจะสงเคราะห์คนอื่นเขา ในเมื่อเขาไม่เข้าใจ เขาจะจับมาทรมานทรกรรมอย่างไรก็เต็มใจอภัยให้เขา กำลังอย่างนั้นถ้าไม่ทรงฌาน ทำไม่ได้หรอก โดนขนาดนั้น และยังให้อภัยอยู่ตลอด ใครจะทำบุญก็รีบทำนะ อย่าถึงทุ่มหนึ่ง ๆ อาตมาจะไข้จับอีก มาลาเรียมันมาตรงเวลา ไม่ต้องห่วงหรอกพวกนี้บารมีดีมาก สัจจบารมีจริง ๆ พวกตรงเวลานี้ถ้าใครผิดนัดแสดงว่าสัจจบารมีพร่อง แสดงว่าเชื้อมาลาเรียนี้สัจจบารมีเต็ม มาตรงเวลาเป๊ะทุกวันเลย
              สมัยก่อนหลวงพ่อท่านบอกว่าท่านไม่สบายจนจะคลานไม่ขึ้น แต่พอถึงเวลางานของพระท่านจะมีกำลัง เพราะว่าท่านสงเคราะห์ ตอนนั้นอาตมาก็ไม่ทราบ รู้แต่ว่าจะโมงเช้าอยู่แล้ว อาตมายังโงเง ๆ อยู่เลยไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงจะเดิน พอเจ็ดโมงเช้าตรงเป๊ะ ได้เวลารับสังฆทานไม่รู้มันก็มีแรงมานั่งมาจนบัดนี้
      ถาม:  มีคนเขาฝากถามเจ้าค่ะ คือเขาจะคลอดลูก เขาบอกว่าเขาอัลตร้าซาวด์แล้วได้ลูกสาว ทีนี้จะรบกวนว่าจะเอาลูกออกวันไหนถึงจะดีเจ้าคะ ?
      ตอบ:  พรุ่งนี้
      ถาม:  Tomorrow หรือเจ้าคะ ?
      ตอบ:  พรุ่งนี้จะเป็นวันจันทร์ อมฤตโชค ...ผู้หญิงหรือผู้ชาย ?
      ถาม:  ได้ลูกสาวเจ้าค่ะ ?
      ตอบ:  โฮ้โห ถ้าหากได้ลูกสาว ดาวจันทร์เป็นศุภ-หัวบันไดไม่แห้ง ดาวจันทร์เป็นศุภคือ เป็นมหาเสน่ห์ และอมฤตโชคซะด้วย ถ้าหากว่าระยะนี้ผ่าได้ก็ลุยเลย
      ถาม:  สมมุติว่าวันจันทร์ทั้งวัน และถ้าเกิดเตรียมตัวไม่ทันเพราะเร็วค่ะ ?
      ตอบ:  ให้ไปดูฤกษ์พรหมประสิทธิ์ มีตลอดยันสิ้นปีเลย ดาวเยอะ ๆ ยิ่งดี แต่จำไว้ว่าลูกกำลังบุญสูงเท่าไหร่พ่อแม่บารมีไม่เท่า เดี๋ยวลูกมันดื้อฉิบหาย
      ถาม:  กรณีบารมีพ่อแม่น้อยกว่า ?
      ตอบ:  คนที่เกิดร่วมกันนั้น บุญบารมีมันต้องใกล้เคียงกัน (ขู่เข้าหน่อยเดียวทำท่าจะถอยหลัง)
      ถาม:  ถ้าหากว่าได้พระมานำมาถวายที่วัดได้ไหมคะ ?
      ตอบ:  ก็ขึ้นหิ้งบูชาให้สมกับพระหน่อยสิ
      ถาม:  ไม่มีที่วางแล้วค่ะ ?
      ตอบ:  ไม่มีที่วาง ถ้าเอามาถวายที่นี่เดี๋ยวยึดทรัพย์
      ถาม:  หนูเอาไว้ในตู้ตอนนี้
      ตอบ:  จ้ะ ขอให้มันสมควรหน่อย ไว้ที่ไหนก็ให้มันสมควร
      ถาม:  มาถวายได้ไหม ?
      ตอบ:  ก็บอกแล้วว่ามาถวายที่นี่จะยึด
      ถาม:  ถ้าเราวิเคราะห์พิจารณาอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หนูไม่รู้ว่าทำไมหนูต้องร้องไห้ทุกทีเลย ?
      ตอบ:  เป็นธรรมดาของมัน ตัวนี้เป็นกำลังของปิติ กำลังของปิติเรียกขุททกาปีติ น้ำตามันจะร่วงเอง เป็นเรื่องปกติของมัน อย่าไปห้ามมันด้วย มันอยากร้องไห้ร้องเต็มที่ไปทีเดียวแล้วมันจะเลิก แต่ถ้าหากว่าเราจะอั้นมันไว้ เพราะว่ากลัวอายคน กำลังมันถึงเสียแล้วนี่ ถ้ามาในที่ของความดีเมื่อไหร่ ไม่ว่าคิดจะพูดจะทำมันก็จะไหลอยู่อย่างเดียว ฉะนั้นปล่อยให้มันร้องไห้โฮไปเลย