ช่วงแรกของเล่ม "อดีตที่ผ่านพ้น ๗๓-๘๐"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกันยายน ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  ของเดือนก่อน...(ไม่ชัด)...?
      ตอบ:  บุคคลผู้มีสติตั้งมัน ย่อมระลึกถึงเรื่องที่พูดแล้วนาน ทำแล้วนานไม่พลาดหรอก ไม่งั้นเสียท่าสอนลูกศิษย์ไม่ได้ เป็นมหาปุริสวิตก ๘ ประการ พระอนุรุทธ เพื่อนร่วมรุ่นมีอยู่ ๗ คนด้วยกัน เป็นตระกูลของศากยะวงศ์ โกลิยะวงศ์เขาบวชกัน ตอนนั้นบรรดาพวกเชื้อพระวงศ์บวชกันเยอะ ตามพระพุทเจ้าท่าน ทางด้านสายของพระเจ้าอาคือพระเจ้าอมิโตทนะ น้องของพระเจ้าสุทโธทนะ ท่านยังไม่มีใครบวช ในเมื่อยังไม่มีใครบวช พระเจ้ามหานามะ ที่รับราชสมบัติต่อจากพระเจ้าอมิโตทนะ ก็บอกว่าให้พระอนุรุทธ น้องชาย (เจ้าชายอนุรุทธ)ให้เป็นพระมหากษัตริย์ ท่านจะไปบวช พระอนุรุทธถามว่าเป็นกษัตริย์ต้องทำอย่างไรบ้าง ? บอกว่าต้องรบเพื่อขยายพระราชอำนาจ ต้องปราบปรามโจรผู้ร้าย เพื่อให้ชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุข ต้องตัดสินลงโทษคน ประหารชีวิตคน ต้องทำไร่ทำนาเหมือนกับชาวบ้านทั่วไป ถ้าไม่มีนาก็ต้องไปหักร้างถางพงก่อน สร้างนาขึ้นมา พอมีนาแล้วก็ต้องไถต้องหว่าน ต้องดูแล ต้องเก็บเกี่ยว ต้องขนข้าวขึ้นยุ้ง
              เจ้าชายอนุรุทธได้ยินบอก พี่อยู่เหอะ ผมบวชเองดีกว่า งานที่ไม่รู้จักจบนี่ไม่เอาหรอก ไปขอแม่ ขอบวช แม่ไม่ยอมให้บวช ก็ตื๊อแล้วตื๊ออีกจนแม่ใจอ่อน บอกว่าถ้าหากว่า พระเจ้าภัททิยะ ศักยะราชาอีกองค์หนึ่ง คือ ศากยะวงศ์นี่เขาเป็นอยู่ ๖ ตระกูลด้วยกัน ทั้งตระกูลข้างพ่อข้างแม่รวมแล้ว ๖ ตระกูล แต่ละตระกูลครองแผ่นดินเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ ก็บอกว่า ถ้าหากว่าพระเจ้าภัททิยะพี่ชายของเธอยอมบวช เธอก็บวชได้ รายนี้ก็ไปตื๊อ ไปตื๊อพระมหากษัตริย์ให้สละราชสมบัติ แต่ปรากฏว่าเจ้าชายอนุรุทธประเภทเจ๋งมาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าทำบุญมาดีในอดีต ขนาดเล่นตีคลีกับพวกลูกพระเจ้าแผ่นดิน คือเจ้าชายด้วยกัน แพ้เขาต้องเสียขนม ก็ให้คนไปขอแม่มาเรื่อย จนกระทั่งแม่ว่าลูกไม่รู้จักเสียซักทีนึง เพราะฉะนั้นต้องให้รู้ซะมั่งเรื่องของความผิดหวังเป็นยังไง ก็เอาถาดเปล่าครอบกันไว้แล้วให้แบกไปให้ ถ้าลูกถามให้บอกว่าขนมไม่มี พอคนใช้ไปถึง เธอถามว่าตอนนี้ได้ขนมอะไรมา ? กลัวว่าถ้าไม่ถูกปากเดี๋ยวเพื่อนไม่เอา คนใช้บอกขนมไม่มี เอ๊ะ ขนมชื่อนี้แปลก ไหนดูซิ เปิดมาปรากฏว่าขนมเต็มถาดเลย ทั้งกลิ่นทั้งรสนี่วิเศษอย่างไม่เคยกินมาก่อน
              คือในอดีตชาติของเจ้าชายอนุรุทธ ท่านเคยทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วท่านอธิษฐานว่า ขอว่าคำว่า ไม่มีจงอย่าได้มีในชีวิตตั้งแต่บัดนี้เลย งั้นเกิดทุกชาติต้องมี อยากได้อะไรต้องได้ แม่ไม่ทำขนมให้ เดือดร้อนเทวดาต้องมาเนรมิตขนมให้ ก็ไปต่อว่าแม่ บอกว่าก่อนหน้านี้แม่ไม่รักแล้วหรือ ท่านถามว่ามันเรื่องอะไรล่ะลูก บอกว่าก่อนหน้านี้แม่ทำขนมให้กิน ไม่เห็นอร่อยอย่างนี้เลย ตอนนี้ลูกเกิดน่ารักขึ้นมาหรือไงแม่ถึงทำขนมไม่มีให้ อร่อยอย่าบอกใครเชียว แน่ะ อย่าลืมว่าแม่เป็นราชินีนะ ในเมื่อแม่เป็นราชินี ท่านต้องมีความฉลาดเป็นปกติอยู่แล้ว ก็ เอ้อ...สงสัยบุญลูกเรามันจะดี ขนาดส่งถาดเปล่าไปให้ยังมีกิน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม่เจ้าประคุณส่งถาดเปล่าตลอด เดือดร้อนเทวดาต้องคอยเนรมิตขนมให้
              เจ้าชายภัททิยะซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ไปครองเมืองอีกเมืองหนึ่งอยู่ เห็นความดีของน้องมาตั้งแต่เล็ก ถ้าหากว่าน้องตื๊อจะบวช ต้องมีเรื่องดีแน่ ๆ เลย น้องตื๊ออยู่ ๓ วันใจอ่อนก็เลยบวช ตอนนั้นมีเจ้าชายภัททิยะ เจ้าชายกิมพิละ เจ้าชายภัคคุ เจ้าชายอานน์ เจ้าชายเทวทัต เจ้าชายอนุรุทธ ออกบวชพร้อม ๆ กัน ๖ องค์ แล้วก็มีนายภูษามาลา เป็นช่างตัดผมชื่อ อุบาลี ไปบวชอีกองค์หนึ่ง ปรากฏว่าทั้งหมดเป็นกษัตริย์บ้าง เป็นเจ้าชายบ้างย่อมมีมานะเป็นปกติ เลยคิดว่า เออ...เราเมื่อตั้งใจจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วไม่ควรที่จะมีมานะ ก็เลยให้นายอุบาลีที่เป็นนายภูษามาลาเป็นพนักงานตัดผมบวชก่อน เพราะว่าพระบวชก่อนจะเป็นพี่ คนที่บวชทีหลังเป็นน้อง ต้องไหว้พี่น่ะ ตัวเองบวชทีหลังจะได้ไหว้นายอุบาลีได้
              พระอุบาลีท่านก็บวช พอบวชเสร็จ บรรลุอรหันต์กันเป็นแถว พระอุบาลีเป็นพระอรหันต์เป็นเลิศในทางวินัย พระวินัยจะแตกกิ่งก้านสาขาขนาดไหนท่านจำได้ละเอียดยิบ ตัดสินความไม่เคยพลาด เจ้าชายภัคคุ เจ้าชายกิมพิละ บรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน เจ้าชายอานนท์ได้พระโสดาบัน กลายเป็นพระอานนท์โสดาบันไป จนกระทั่งพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๓ เดือน ถึงเป็นพระอรหันต์ เจ้าชายเทวทัตกลายเป็นพระเทวทัตได้อภิญญาห้า ตอนหลังคอยจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้าอยู่ อภิญญาเสื่อมโดนธรณีสูบไป เหลือเจ้าชายอนุรุทธปล้ำอยู่ ๗ ปี ตัวชวนเขาบวชไปช้าที่สุดเลย ถ้าไม่นับพระอานนท์ ปล้ำอยู่ ๗ ปี ปีที่ ๗ น่ะท่านไปนั่งระลึกถึงมหาปุรสวิตก ๘ ประการ ว่าพระธรรมวินัยนี้เป็นของผู้สันโดษ คือยินดีด้วยปัจจัยสี่ตามมีตามได้ พระธรรมวินัยนี้เป็นของผู้มักน้อย คืออย่าให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นอย่างนี้เลย คือถ้าเขารู้ว่าเรามีความดีแล้ว เดี๋ยวเขาจะมากวนเยอะ พระธรรมวินัยนี้เป็นของผู้ยินดีในที่สงัด ไม่ชอบระคนด้วยหมู่ประกอบด้วยการหลีกออกกล่าววาจาส่งเขากลับ ไล่แขกให้เป็น ไล่ไม่เป็น นั่งกันอยู่ก็ไม่ต้องทำมากินอะไรหรอก ต้องคอยนั่งรับแขกไป พระธรรมวินัยนี้เป็นของผู้มีสติตั้งมั่น ที่เมื่อกี้ว่าไป ผู้มีสติตั้งมั่นคือระลึกถึงเรื่องที่พูดมานาน ๆ ได้ ระลึกถึงเรื่องที่ทำมานาน ๆ ได้ พระธรรมวินัยนี้เป็นของผู้มีใจตั้งมั้น คือกำลังใจทรงฌานหนึ่ง ฌานสอง ฌานสาม ฌานสี่ ห้า หก เจ็ด แปด ได้พระธรรมวินัยนี้เป็นของผู้ยินดีในธรรมอันไม่เนิ่นช้า คือเป็นผู้ที่ตั้งใจละตัณหา มานะ ทิฏฐิ (ตัณหา มานะ ทิฏฐิมันเป็นตัวถ่วงให้ช้า)
              พอท่านพิจารณาอย่างนี้กลายเป็นพระอรหันต์และเป็นผู้เลิศด้วยทิพจักขุญาณ ท่านเป็นแค่พระวิชชาสามนะ วิชชาสามนี่ยังมีอภิญญาหกเหนือกว่าปฏิสัมภิทาญาณเหนือกว่าแต่พระอนุรุทธนี่ทิพจักขุญาณของท่านเลิศกว่าพระวิชชาสาม และอภิญญาหกทั้งหมด ยกเว้นจากพระพุทธเจ้า แล้วท่านเจ๋งที่สุด ไม่น่าเชื่อกลายเป็นผู้ชำนาญการพิเศษ ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพานนี่ อยู่ในระหว่างฌานไหน มีพระอนุรุทธตามได้อยู่คนเดียว คนอื่นตามไม่ทัน
              ในอดีตชาติท่านเคยถวายประทีปโคมไฟในพระพุทธศาสนา ตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชาด้วยไฟด้วยแสงสว่าง เกิดมาก็เลยกลายเป็นผู้เลิศทางทิพจักขุญาณ มหาปุริสวิตก ๘ ประการ วิตก แปลว่า คิดถึง คำนึงถึง มหาปุริสวิตกคนคิดจะเป็นมหา ไม่ใช่นะ มหาปุริสวิตกไม่ใช่คนคิดจะเป็นมหา มหาบุรุษ คือผู้ที่ตั้งใจลด ละ เลิกในตัณหา เพื่อแสวงหาทางออกจากกิเลส เขาเรียกมหาบุรุษ ผู้ที่มีความตั้งใจอันใหญ่ยิ่งจะเป็นผู้หญิงผู้ชายเรียกมหาบุรุษเหมือนกัน
      ถาม:  ท่องคาถาเงินล้านเป็นฌานจะมีอะไรเกิดขึ้น ?
      ตอบ:  จะมีอะไรเกิดขึ้น...อาจจะมีเซฟหล่นมาทับตาย คาถาเงินล้านมันคาถารวย แต่ต้องวางกำลังใจให้เป็น อย่าท่องด้วยความอยาก ให้วางกำลังในลักษณะที่ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อให้มา เราเป็นลูกก็มีหน้าที่รักษาสมบัติของพ่อไว้ การรักษาที่ดีที่สุดก็คือหมั่นท่องบ่นภาวนาให้เป็นปกติ ให้ตั้งใจทำถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาไปเลย อย่าไปอยากได้ ถ้าหากว่ามันอยากได้ ตอนแรกเกิดความอยากปล่อยมันอยากไป แต่ระหว่างที่ท่องต้องลืมความอยากให้ได้ ถ้าความอยากยังอยู่ข้างหน้ามันบังไว้ ลาภผลจะเข้ามาไม่ถึง หมดอยากเมื่อไหร่มันไหลมาเทมา
              ประวัติหลวงปู่มั่น ๕๐๐ บาทนี่ไม่แพงนะ เล่มหนาขนาดนี้ ปฏิปทา ผลงาน และพระธรรมเทศนาของพระอาจารย์มั่นภูริทัตตะเถระ คุณเชื่อมั้ยว่า หลวงปู่สายอาจารย์มั่นเนี่ย รู้จักท่านเกือบทุกองค์เลย สมัยตัวเล็ก ๆ เคยวิ่งรับใช้ท่านอยู่เยอะ คนอื่นไปทำบุญ ไอ้เรานี่ไปแคะข้าวจากบาตรพระมากิน ที่วัดธรรมมงคล ซอยสุขุมวิท ๑๐๑ ตอนช่วงนั้นหลวงพ่อวิริยังค์ ท่านยังเป็นแค่หลวงพ่อวิริยังค์ ยังไม่ได้เป็นเจ้าคุณอะไรหรอก ท่านจะสร้างวัดธรรมมงคล ปรากฏว่าทางโยมแม่ก็ไปช่วยเป็นกรรมวัดให้ เราก็...หลวงพ่อครับขอมั่ง หลวงปู่ครับขอมั่ง แทนที่จะใส่บาตรพระ ไปแคะข้าวจากบาตรพระมากิน ท่านเองท่านก็ไม่ว่าอะไร องค์โน้นตักช้อน องค์นี้ตักช้อน มันก็ล้นจานอยู่แล้วนี่ กินไปเรื่อย ถึงเวลาท่านจะใช้อะไร เรามันวิ่งเร็ว แล้วขณะเดียวกันก็สนใจการปฏิบัติด้วย ท่านก็เลยชอบกัน ก็มีใครเชื่อบ้างว่าหลวงตาบัวให้หวย ? อาตมาขอมาแล้ว ได้ด้วยออกอีกต่างหาก ลองไปขอดูสิหัวแตกแน่ คือตอนนั้นอยากจะรู้ว่พระที่ปฏิบัติในสายวิสุทธิมรรคตรง ๆ โดยเฉพาะปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตร นิมิตทุกอย่างต้องละหมด ท่านไม่ให้เกาะเลย นิมิตทุกอย่างเกิดขึ้นละหมด ตามรู้ ๆ ๆ อยู่อย่างเดียว ถึงเวลาแล้วจะมีฤทธิ์มีอภิญญามั่งรึเปล่า วิธีพิสูจน์ที่ง่ายที่สุดก็คือขอหวย ท่านก็รู้อยู่ว่าเราขอเพื่อพิสูจน์ ไม่ได้ขอเพื่อเล่น ท่านก็ให้จริง ๆ แล้วกันก็ออกจริง ๆ ซะด้วย
              แต่ตอนนี้พวกเราไปขอ ถ้าวางกำลังใจไม่เป็น นอกจากไม่ได้แล้วอาจจะโดนไม้เท้า ดังนั้นเปิดมาเนี่ยจะคุ้นหน้าแทบทุกองค์ พูดง่าย ๆ ว่าต่อให้ปิดชื่อไว้ก็บอกถูกว่าใครเป็นใคร ไปนึกถึงสมัยนั้นแล้วมันสบายใจตรงที่ว่า พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นร้อย ๆ องค์มาประชุมรวมกันอยู่ โอ้โห...ทำบุญนิดเดียวก็ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้วใช่มั้ย ? แล้วท่านมาแต่ละครั้งนี่ ไม่ใช่มาเฉย ๆ นอกจากจะมาเป็นเนื้อนาบุญแล้วยังมีพิธีพุทธาภิเษกอีก แล้วลองคิดดูว่าพระระดับนั้น ถ้าออกจากสมาบัติมาพร้อม ๆ กัน คนทำบุญมันจะสบายขนาดไหน ?
              ตอนสมัยนั้น หลวงปู่ หลวงพ่อ ท่านก็ยังอยู่กันครบ ๆ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุย หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่เทสก์ หลวงตามหาบัว กลายเป็นพระท้าย ๆ แถวเลย นึกเอาก็แล้วกัน ตอนนี้ของท่านกลายเป็นหัวแถวไปแล้ว
              สมัยนั้นก็ตั้งใจว่าถ้าบวชก็จะบวชกับพระสายหลวงปู่มั่นนี่แหละ แต่คราวนี้มันไปเกิดจุดผกผันอยู่คือ หลวงปู่ฝั้น ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่เคารพท่านมากที่สุด เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่ให้สติ แล้วได้สติก่อนเพื่อน คือตอนช่วงวัยรุ่น ๆ นั่นจะชอบมากเลย ครูบาอาจารย์ที่ไหนมีก็วิ่งไปหา ไปถึงก็แบมือขอพระขอเหรียญ หลวงปู่ครับขอของดีบ้างครับ หลวงพ่อครับขอของดีบ้างครับ ไปขอหลวงปู่ฝั้นเข้า ครั้งแรกเลยท่านบอกว่าดีนอกเอาไปเดี๋ยวมันหล่นหาย ทำไมไม่เอาดีในล่ะ น่าคิดมั้ย ? ได้ยินก็แปลก ไม่เคยได้ยินอย่างนี้มาก่อน ดีนอกเอาไปทำไมเดี๋ยวก็หล่นหาย ทำไมไม่เอาดีใน ก็ถามว่าดีในเป็นยังไงครับ ? ท่านบอกพุทโธไง พุทโธคำเดียวคุ้มได้ ๓ โลกเลย ไม่ต้องพกไว้หรอก ภาวนาให้มันชินไว้ ไปทำเอาไปปฏิบัติเอา ถ้าใจดี อะไร ๆ ก็ดีหมด ก็เลยถือท่านเป็นบูรพาจารย์องค์แรก
              คราวนี้มาช่วงปี ๒๕๑๘ น่ะ โยมพ่อเสียชีวิตลง พี่ชายเขาเอาคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อวัดท่าซุงไปให้ บอกเอ้า...อ่านซะจะได้ไม่ต้องเสียใจมาก ถ้าทำได้ก็ทำไปนะ คือเขาเห็นว่าเราดูแลพ่ออยู่ ๖ ปีเต็ม ๆ ทั้งกลางวันกลางคืน พ่อตายอาจจะเสียใจ ความจริงดีใจจะแย่ โอ้โห...ไอ้คนกำลังกินกำลังนอน แล้วต้องมาอดตาหลับขับตานอนทั้งวันทั้งคืน รสชาติเป็นยังไง ? พอเสร็จแล้วเปิดอ่าน...ทึ่งมาก หลวงพ่อองค์นี้เก่งแฮะ เขียนอะไรง่ายไปหมด ก็เลยทำตามดู ทำไปทำมามันกลายเป็นติดไปเลย ก็เลยเปลี่ยนมาหาหลวงพ่อแทน แล้วมันก็ลักษณะเหมือนยังกับท่านส่งต่อ เพราะว่าเริ่มได้ตำราหลวงพ่อมาปี ๒๕๑๘ เดือนสิ่งหาน่ะ เท่ากับว่าเราเริ่มต้นการเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปี ๒๕๒๐ วันที่ ๔ มกรา หลวงปู่ฝั้นมรณภาพ ท่านเปิดโอกาสต่อให้นิดเดียว ถ้าท่านไปก่อน เราก็ไม่เจอหลวงพ่อแน่นอนเลย ตอนแรกก็ตั้งใจอย่างนั้น พอทำไปทำมา โอ๊ย...หลวงพ่อท่านสารพัดจะหลอก สุดยอดจะเซียนเลย เราชอบทางด้านไหนท่านหลอกให้ทีละนิดทีละหน่อยไปเรื่อย พอทำได้วิ่งโร่หน้าบานไปรายงาน เสร็จแล้วก็เอายังงี้ไปทำอีกลูก ยังงั้นไปทำอีกลูก สนุกของท่านน่ะ แต่ว่าจุดที่เราได้ คือท่านบอกว่าต้องรักษาศีลนะ ถ้าไม่รักษาศีลแล้วพวกอภิญญาสมาบัติจะไม่เกิดผล แล้วขณะเดียวกัน อีกอย่างก็คือว่า อย่างน้อยต้องภาวนาให้ได้วันละครึ่งชั่วโมง ทำไปทำมามันติดไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ก็แคะไม่ออกแล้ว ไม่อย่างนั้นป่านนี้เป็นพระธรรมยุติไปแล้ว ตอนนี้ดีใจที่เป็นพระมหานิกาย เพราะเราชอบจับตังค์ พระธรรมยุติจับสตางค์ไม่ได้
              หลวงปู่หลวงพ่อแต่ละองค์ กว่าท่านจะไปเป็นครูบาอาจารย์ให้เราได้ ท่านผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างชนิดที่เรียกว่าถ้าเป็นนักรบก็แผลทั้งตัว รบกับกิเลส แล้วเสร็จแล้วท่านก็มากลายเป็นหลักชัยอันมั่นคงได้ หลวงปู่มั่นท่านสอนพระให้เป็นพระ สร้างพระเป็นพระจริง ๆ แต่ละองค์ประเภทที่เรียกว่าขอให้ได้พบท่าน ให้ได้ฟังธรรมจากท่าน ให้ได้หลักการปฏิบัติจากท่าน มาสมัยหลัง ๆ กลายเป็นครูบาอจารย์ เป็นหลักชัยให้เขาได้ทุกคน ขนาดหลายต่อหลายองค์ในชีวิตได้เห็นหลวงปู่ท่านแค่แวบเดียวจากหน้าต่างรถไฟเท่านั้นนะ หลวงปู่มั่นท่านนั่งรถไฟไปเพื่อรักษาตัว พระเณรได้ข่าวว่าท่านจะผ่านไปทางนั้น ไปดักรอแถวสถานี ท่านก็โผล่หน้ามาโบกมือให้ เอ้อ...ขอบใจทุกคนนะ ตั้งใจปฏิบัติภาวนาเอาเด้อ อย่าทิ้งพุทโธนะ ได้ฟังแค่นั้นแหละตลอดชีวิต แล้วท่านได้ดีกันหมด ของเรานี่ฟังกันได้ทุกเดือน เดือนหนึ่ง ๓ วัน ๔ วัน มันน่าทุบซ้ำนัก
              อันนี้ว่าหลวงปู่ท่านสร้างพระเป็นพระ หลวงพ่อเรางานหนักกว่า สร้างคนเป็นพระ จะเรียกว่าคนก็ไม่ได้ มันต้องบอกว่าสร้างลิงเป็นพระ โอ้...สาหัสจริง ๆ เลย ไม่ได้เจอด้วยตัวเองนี่ไม่ซาบซึ้งหรอก ตอนนี้สายของหลวงปู่ท่านที่เนื้อแท้ ๆ ที่อยู่ทันในสมัยเป็นพระ จะเหลือแต่หลวงตาบัวองค์เดียวละมัง เพราะว่าหลวงตาบัวตอนนั้นท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นได้ ๘ พรรษา หลวงปู่มั่นก็มรณภาพ อาตมาอยู่กับหลวงพ่อแค่ ๗ พรรษาเอง น้อยกว่าหลวงตาเยอะเลย อย่างหลวงพ่อวิริยังค์ อย่างหลวงพ่อสมชาย ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นตอนเป็นเณร เณรเล็ก ๆ เลย แหม...อยากฟังธรรมมาก เอาหม้อดินไปต้มน้ำ ต้มน้ำถวายพระผู้ใหญ่ ก่อเสร็จก็ย่องไปข้างกุฏิ เงี่ยหูฟัง อยากฟังธรรมมากเลย หลวงปู่สอนใคร อย่าลืมว่าพระปฏิบัติท่านพูดเบาน่ะ ท่านพูดเบา ถ้าไม่ตั้งใจฟังนี่บางทีไม่ได้ยิน ในเมื่อท่านพูดเบา ท่านตั้งใจปฏิบัติอย่างงั้น มันต้องเงี่ยหูฟัง เพลินสมาธิดี ลืม น้ำเดือดซะแห้งเลย หม้อทะลุ คราวนี้เดือดร้อนล่ะสิ ใครจะเจ็บตัวหว่า ฮึ ก็ต้องวิ่งหาหม้อมาคืน ถ้าหามาคืนไม่ได้โดนแน่ ๆ เลย เรามีฉันทะขนาดนั้นมั้ยล่ะ ? ทำงานไปต้องแอบฟังไป เอาซักคำครึ่งคำก็ยังดี ของเรานี่มีเป็นเล่ม ๆ มันยังไม่เปิดอ่านเลย
      ถาม:  เราทำความดี แต่คนข้างหลังกลับชมเรา เราจะแผ่เมตตาให้เขายังไงดี ?
      ตอบ:  อันดับแรกจริง ๆ อย่าลืมว่าเขาเองจะอยู่ในลักษณะที่ว่าตั้งตนเป็นศัตรู มันจะมีการกระทบกระทั่งกับเรามาก่อน ในเมื่อมีการกระทบกระทั่งกับเรามาก่อน เราไม่ชอบใจเขาอยู่แล้ว ในเมื่อไม่ชอบใจเขาอยู่แล้ว จะแผ่เมตตาให้เขาตรง ๆ นี่ไม่ไหวหรอก ใจของเรามันจะเข็นไม่ไป มันเห็นเขาเป็นศัตรู
              เพราะฉะนั้น อันดับแรกของเมตตา ถึงได้บอกว่าให้ตัวเองก่อน ที่รักที่สุดก็คือตัวเอง ให้ตัวเองก่อน ให้คนที่เรารัก ให้คนที่เรารักมาก ให้คนที่เรารักน้อย ให้คนที่เราไม่รักไม่เกลียด แล้วให้คนที่เราเกลียดน้อย จนกระทั่งให้คนที่เราเกลียดน้อย จนกระทั่งให้คนที่เราเกลียดมากได้ ไล่ไปทีละขั้น งั้นถ้าไปให้เขาอย่างนั้นทีเดียว เดี๋ยวตีกลับเสียของเปล่า ไปทีละขั้น ทีละขั้น ให้เยอะทีเดียวเดี๋ยวอารมณ์ใจมันไม่รับด้วยมันตีกลับ
      ถาม:  ก็นึกว่าให้คนแทงมาข้างหลัง เขาเกาะเขายึดอยู่ ?
      ตอบ:  ไม่มีทาง เดี๋ยวลองดูก็ได้ ให้ไปให้มาแทนที่จะแผ่เมตตา กลายเป็นด่ามันเข้า ให้คนที่เรารักก่อน โดยเฉพาะรักมาก ๆ ให้ตัวเอง ให้คนที่เรารักมากก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ให้คนที่เรารักน้อยหน่อย ให้คนที่เราเฉย ๆ ไม่รักไม่เกลียด ให้คนที่เราเกลียดน้อย ให้คนที่เราเกลียดมาก ให้ไปทีละระดับ ไม่ยังงั้นให้ไปไม่ตลอดหรอก เจ๊งซะกลางทาง
      ถาม:  ต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน ?
      ตอบ:  ถ้ารักตัวเองอย่าทำชั่ว ชัดมั้ย นั่นแหละ รักก็คือเมตตา ถ้าสงสารตัวเองก็อย่าทำชั่ว นั่นแหละกรุณา ตัวเองทำดีก็รู้จักดีใจกับตัวเองบ้าง มุทิตาใช่มั้ย ? ทำเท่าไหร่มันไม่ก้าวหน้าซักที ก็รู้จักอุเบกขา เฉย ๆ ไว้มั่ง ไม่ใช่โวยวายอยู่เรื่อย
      ถาม:  เมตตากับกรุณา ต่างกันยังไง ?
      ตอบ:  หือ...ต่างกันยังไง ? เมตตารักเขาเหมือนตัวเอง กรุณาสงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์ ต่างกันมากมั้ยล่ะ ? ตัวเมตตามันประกอบไปด้วยความหวังดี เราดีอย่างไงอยากให้เขาดีอย่างเรา คือรักเขาเหมือนตัวเราเอง มันเป็นความรักแท้เลย ประเภทไม่ใช่รักเพราะอำนาจของราคะจริต ด้วยความรักและหวังดีจริง ๆ ถ้ากรุณานี่มันเป็นความสงสาร เห็นเขามีทุกข์อยู่ก็อยากให้พ้นทุกข์ ถ้ามุทิตานี่ยินดี เมื่อเขาอยู่ดีมีสุข เห็นพวกขี่เบนซ์มา เออหนอเขาทำบุญมาดีเนอะ มีเบนซ์ขี่ มันแทนที่จะไป แหม...เมื่อไหร่กูจะมีอย่างงั้นมั่งวะ ไม่ใช่ มุทิตานี่ไปดีใจ เออ..เขามีเบนซ์ขี่ เขาทำบุญมาดี น่าปลื้มใจจังเลย เสร็จแล้วเราจะต้องทำบุญให้ดีบ้าง เพื่อจะได้มีอย่างเขา ไม่ใช่เมื่อไหร่กูจะมีอย่างมันนะ ไม่มีมั่งก็แล้วไป
      ถาม:  เรื่องบางเรื่องเนี่ย พี่น้องกันจะเล่าให้ฟัง...?
      ตอบ:  ก็ดูว่ามันเหมาะสมแค่ไหน ถ้าเกิดว่าคนอื่นเขานินทาพี่น้องเรามา ไปเล่าให้เขาฟังเกิดร้อนหูร้อนใจขึ้นมา เห็นว่ามันไม่มีประโยชน์ก็เงียบซะ รู้เองดีกว่า จำไว้ ถ้าใจดี อะไร ๆ ก็ดีหมด ถึงได้บอกว่ามาทีหนึ่ง ก็กลับไปดีหน่อยหนึ่ง อย่าเผลอสิ เผลอเมื่อไหร่มันก็ตีเอา ไม่รู้จักเข็ดก็เจ็บตัวต่อไปเรื่อย ๆ
      ถาม:  ก็โดนทำร้าย ?
      ตอบ:  โดนบ่อย แต่อาตมาเฉย ๆ ถือว่าเราโง่เอง เมื่อเราโง่เอง โดนเขาเล่นงานมา ก็เรื่องของเขา ถ้าคิดจะตอบโต้ก็คิดไป ถ้าไม่คิดจะตอบโต้ก็ปล่อยวางไปเลย มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ตอนเช้ามืดทำกรรมฐานพระท่านตรัสว่า บุคคลที่จิตประกอบไปด้วยกุศลกรรม เมื่อปฏิสนธิแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่สิ่งที่เป็นกุศลเพื่อยังจิตของตนให้สู่ภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป บุคคลที่จิตประกอบไปด้วยอกุศลกรรม เมื่อปฏิสนธิแล้ว ก็กระทำแต่สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ถ่วงตนให้ตกต่ำจ่อมจมลงไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วท่านก็ถามว่า มาจนถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะถอยหลังกลับไปอีกหรือ ? ตอนนั้นจะไปตื้บช่างมัน มันรับสตางค์ไปแล้วมันไม่ทำให้ มันทิ้งงานไป แหม...โดนด่าอย่างเพราะมากเลย ก็โธ่...มันทิ้งงานเราไม่พอ มันเอาตังค์ไปใช้แล้วด้วย ...กะว่าจะไปตื้บให้มันรู้ฤทธิ์ซะบ้างว่าก่อนบวชอาตมาเป็นยังไง
              เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วตอนไปสร้างที่เกาะใหม่ ๆ นั่นแหละ นั่นยังคิดจะตื้บคนอยู่เลย พวกที่รู้จักช้ามา ๑๐ ปีนี่นับว่าปลอดภัยขึ้นเยอะแล้ว จิตที่ประกอบด้วยกุศล จิตที่ประกอบด้วยอกุศล กุศลคือความดีความงาม อกุศลก็คือความชั่วความเลว
      ถาม:  ตอนช่วงอยู่มหาวิทยาลัยจะร้อนอึดอัดใช้มโนมยิทธิไม่ได้เลย อีกซักพักหนึ่ง วันพุธนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงบอกว่าจะฆ่า ไม่แน่ใจว่า...(ไม่ชัด)...?
      ตอบ:  อ๋อ ไม่เป็นไร คราวหน้าถ้าได้ยินเสียงบอกรีบฆ่าหน่อย หนูเบื่อชีวิตเต็มที ต้องดูว่าตอนนั้นเราคิดถึงอะไร ของบางอย่างมันเป็นการลองกำลังใจ ครูบาอาจารย์ก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี อยากเห็นเรามีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ ก็จะมาทดสอบ ถ้าหากว่าเรากลัวมากเขาก็เลิก ถ้าหากว่าเราบ้าจนกระทั่งประเทภที่เรียกว่าไม่กลัวใคร เขาก็ไม่ยุ่งด้วยเหมือนกัน พวกครึ่งกลัวครึ่งกล้านี่แหละ ชอบนักแล จะเป็นลักษณะนั้น เขาจะชอบลอง
              คราวนี้ให้เราดูกำลังใจของเราตอนนั้นว่าพอเรารู้สึกว่ามีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นเราเกาะอะไรเป็นหลัก ? ถ้าคิดถึงความดีได้เกาะพระได้ เกาะนิพพานได้ สบายมาก ไม่ต้องไปกลัวอะไรแล้ว กำลังใจของเราแสดงว่าเวลาฉุกเฉินเรายังเกาะความดีอยู่
              อย่างพระวัดท่าซุงน่ะ ที่วัดท่าซุงนี่ เขาต้องเรียกว่าด๊อกเตอร์ผี เพราะไม่เคยเจอผีที่ไหนดุเท่าผีที่วัดท่าซุง โอ้โห...สารพัดมันจะเล่นพระเลย พระองค์ไหนถ้านึกถึงนิพพานได้ นึกถึงพระได้ เขาก็ไม่ยุ่งด้วย แต่ถ้าองค์ไหนนึกไม่ได้ก็แกล้งไปเรื่อย ถ้าองค์ไหนกลัวมาก ๆ กลัวอย่างชนิดจะเสียสติจะอะไรเขาก็เลิก เพราะว่าเขาเองเขาทำให้เราเป็นอันตรายอะไรไม่ได้ มีโทษกับเขาเหมือนกัน ของอาตมานี่มันไม่กลัว ไม่กลัวเปล่าสู้ด้วย เขาก็เลยมันมาก ตามฟัดอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ ทั้งกลางวันทั้งกลายคืน เที่ยง ๆ ก็เอา บ่าย ๆ ก็เอา เย็น ๆ ก็เอา ใครบอกว่าผีหลอกกลางคืนอย่าไปเชื่อมันนะ ไอ้ผีหลอกกลางคืนน่ะ ไม่เก่ง พวกเก่ง ๆ นี่กลางวันมันก็เอา ก็อยู่ในลักษณะนั้น
              แต่ปรากฏว่าของเรามันแข็งเกินไป มันแข็งอยู่ตรงจุดที่ว่าพอเขามาแล้วสู้เขา แทนที่จะนึกถึงความดีได้ ก็ไม่เกาะอะไรเลย รู้อยู่อย่างเดียวเอ็งแกล้งข้าก็สู้ เขาแกล้งอยู่ ๓ ปี เบื่อเต็มที มันไม่นึกถึงความดีซักที เขาก็เลยเลิก แต่ว่าเวลาเขาไปแกล้งองค์อื่นนี่ แป๊บ ๆ เดียวเขาก็นึกถึงความดีได้ บางองค์นี่เขาบีบคอซะหน่อยหนึ่ง หายใจจะไม่ออก เอ้อ...ตายตอนนี้ก็ไปนิพพาน เขาบอกหน้ายังนี้เหรอจะไปนิพพาน แล้วมันถึงจะปล่อย แหม...ดูถูกกันจัง
      ถาม:  ถ้าความจำน่ะค่ะ จำไม่ได้ ?
      ตอบ:  จำไม่ได้ เอาคาถาท่านปู่พระอินทร์ไปสิ เคยได้มั้ย ? เคยจดไปมั่งรึเปล่า ? คาถาสหัสสเนตโต ใช้ได้ประโยชน์มหาศาลเลยนั่นน่ะ
      ถาม:  สถิติ ?
      ตอบ:  โอ้โห...ง่ายเป็นบ้า วิชาที่ดิ้นไม่ได้นี่อาตมากินดิบหมด ถึงได้บอกเสียฟอร์มมากเลย ๒๐ กว่าปีมาแล้วนะ ไม่เคยโดนใครหักคะแนนได้ พอสอบบาลีโดนหักไป ๒ คะแนน
      ถาม:  ท่องมึนมากกว่าจะสอบได้ ?
      ตอบ:  อ่านครั้งแรกไม่เข้าใจ อ่านครั้งที่สอง ครั้งที่สองไม่เข้าใจ อ่านครั้งที่สาม สามไม่เข้าใจ อ่านครั้งที่สี่ ว่าไปเหอะ ร้อยสองร้อยครั้งมันก็จำได้ไปเอง เพราะมันเหนื่อย ไม่จำเหรอ...อ่านต่อ ฉันทะ คือ ความพอใจที่จะทำ มันจะต้องมีให้ครบนะ ถ้ามีไม่ครบ มีไม่พอ ก็เสร็จเขาแหละ
              ...ไม่ต้องค่ะไม่ต้อง อุดหูไว้ลูก อุดหูไว้ ถ้าหนูมาฟังเดี๋ยวเสียคนหมด เพราะสมัยหลวงพ่อเรียนอยู่ หลวงพ่อสู้ครู เล่าให้เขาฟังว่าถามถึงครูร้องไห้นี่เขาไม่ค่อยเชื่อหรอก แต่ที่เรียนด้วยกันผ่านมานี่ชักเชื่อ ครูสั่งการบ้าน ๑๐ ข้อ อาตมาทำไป ๓๘ ข้อ ไอ้ที่ ๓๘ ข้อเพราะเวลามันหมดพอดี ไม่งั้นจะทำให้เยอะกว่านั้นอีก นึกออกมั้ย ? ยิ่งทำมันยิ่งเกิดความชำนาญ แล้วเราจะมั่นใจ ถ้าหากว่ามันผิด ผิดตรงไหนครูเขาจะบอก ถ้ามันถูกเราจะได้จำได้ ไม่ยากหรอก เพียงแต่ว่าเราต้องสนใจมันต่อเนื่อง คณิตศาสตร์ขาดไม่ได้ ขาดซัก ๑๐ นาทีหรือครึ่งชั่วโมงต่อไม่ติดแล้ว แล้วพอต่อไม่ติดปุ๊บ พอครูเขาสอนตอนต่อไปเราไม่เข้าใจ ของเก่าก็ไม่เข้าใจ มันจะเป็นดินพอกเป็นหางหมูไปเรื่อย