ถาม :  มีคนเขาบอกว่า เวลาจะต่ออายุหรือต่อชีวิตให้ยืนยาวให้ไปทำบุญโลงศพ ช่วยได้จริง ๆ หรือเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ช่วยได้ มันช่วยได้ตรงที่เป็นมรณานุสติ อย่าลืมว่ามรณานุสติเป็นกรรมฐานใหญ่ หนึ่งในอนุสติ ๑๐ กอง ถ้าทำเป็นเข้าถึงนิพพานได้เลยเสียด้วยซ้ำไป เราไปซื้อโลงศพก็รู้อยู่แล้ว ซื้อไปใส่คนตาย ถ้าเฉลียวใจสักนิดนึง เราเองก็จะตายอยู่แล้ว ถึงต้องมาซื้อโลงศพต่ออายุ การต่ออายุก็ใช่ว่าจะอยู่ได้ตลอดไป
              ดังนั้น เราเร่งทำความดีในวันนี้ดีกว่า ลักษณะอย่างนี้แหละ เรียกว่า มรณานุสติ การนึกความตายเพื่อให้เกิดความไม่ประมาท มันเป็นบุญใหญ่มาก บุญใหญ่ตัวนี้จะทำให้เราห่างกรรมอันนั้นออกมา ทำให้เหมือนกับการต่ออายุได้ แล้วลักษณะของการสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ อย่างบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น อันนั้นก็นึกถึงความตาย ไปวัดก็นึกถึงพระพุทธรูป ได้กราบพระ ได้ไหว้พระ ได้ทำบุญ ได้นึกถึงความตาย ใจเกาะนิพพาน เหล่านี้จะเป็นกรรมฐานใหญ่ บุญใหญ่ ทำให้เราห่างจากเคราะห์กรรมอันนั้นออกมา แต่เขายังตามอยู่ มีโอกาสเขายังที่จะสนองได้อยู่
              ดังนั้นว่า เราต้องทำความดีให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะได้ไม่พลาดให้แก่เขาอีก ทำอย่างอื่นได้ไม่จำเป็นต้องซื้อโลงศพอย่างเดียว ปล่อยสัตว์ใหญ่ อย่างวัว ควาย อะไรก็ได้ แต่ว่าให้เป็นสัตว์ที่เขาจะฆ่า จะได้มีผลในการต่ออายุ ถ้าไม่ใช่สัตว์ที่เขาจะฆ่าก็ได้แต่เมตตาเฉย ๆ
      ถาม :  ต้องไปที่โรงฆ่าสัตว์ แล้วตัวที่จะถูกฆ่าในนั้นเลย หรือเจ้าคะ ?
      ตอบ :  จ้า...
      ถาม :  ได้เจอคน ๆ นึง ขอต่ออายุพ่อเขาด้วยการตั้งจิตอธิษฐานรวบรวมกุศลผลบุญตั้งแต่อดีตชาติ เพื่อต่ออายุพ่อ คุณหมอก็บอก ทำไมอยู่ดี ๆ อาการดีขึ้น ตอนแรกจะเสียอยู่แล้ว
      ตอบ :  ตัวนั้นเป็นอธิษฐานบารมี บุคคลที่ใช้อธิษฐานบารมีเป็น ต้องสร้างบุญสร้างกุศลมาจนถึงระดับปรมัตถบารมีแล้วเท่านั้น บุคคลที่สร้างความดีมาจนถึงปรมัตถบารมีจะประกอบด้วยฤทธิ์ คือสิ่งที่อัศจรรย์เกินกว่าคนอื่นจะทำได้ ฤทธิ์ตัวนี้ เรียกว่า ฤทธิ์ที่เกิดจากการอธิษฐาน ตั้งใจให้เป็นอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่สามารถฝืนกฎของกรรมได้นาน ถึงจะต่ออายุได้ อะไรได้
              แต่ถ้าหากว่าบุคคลนั้นไม่ได้ทำความดีต่อ จะไปในเวลาอันใกล้เหมือนกัน แต่ว่าตอนนั้นสามารถช่วยเขาได้ ถ้ากำลังสูงเท่าไหร่ก็สามารถช่วยได้มากเท่านั้น ตัวอย่างคือ หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ ท่านใช้คาถาต่ออายุ ท่านต่อได้ ๒ ปี อาตมาใช้วิธีเดียวกันหมดเลย ต่อได้ ๒ วัน ต่างกันลิบโลกเลย
              เพราะงั้นมันอยู่ที่กำลังบารมีของคนที่ตั้งใจอธิษฐานด้วย อธิษฐานนี่เป็นฤทธิ์ ๑ ใน ๑๐ อย่างนะ ฤทธิ์ที่เราหมายถึงส่วนใหญ่ เราคิดว่าเป็น "วิกุพนาฤทธิ์" คือ สามารถผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ได้พิลึกพิลั่นต่าง ๆ นา ๆ แต่ความจริงมันมีตั้ง ๑๐ อย่าง มันมีทั้งฌานฤทธิ์...ฤทธิ์ที่เกิดจากฌานสมาบัติ อธิษฐานฤทธิ์...ฤทธิ์ที่เกิดจากความตั้งใจมั่นของเรา ฐานาฐานะฤทธิ์....ฤทธิ์ที่เกิดจากฐานะอันสูง อย่างพระเจ้าแผ่นดิน เจ้าพระยามหากษัตริย์ สั่งให้เป็นก็เป็น สั่งให้ตายก็ตาย วิชชามัยฤทธิ์...ฤทธิ์ที่เกิดจากวิชาการ อย่างเช่นว่า รถไฟทั้งคัน ทำไมเอาไปลอยอยู่ข้างบนได้ เหล็กน้ำหนักหลายร้อยตัน ทำไมลอยน้ำได้ ลอยอยู่บนฟ้าได้ อย่างนี้เป็นต้น มีทั้งหมด ๑๐ อย่างด้วยกัน
              พระพุทธเจ้าบอกไว้ละเอียดครบถ้วนสมบูรณ์ ถือว่าเป็นฤทธิ์โดยอธิษฐานอย่างหนึ่ง แสดงว่า คน ๆ นั้น กำลังเขาสูงมาก สร้างบารมีมาเยอะมากและอธิษฐานด้วยความตั้งใจจริงก็สำเร็จสมกับที่เขาต้องการ
      ถาม :  แล้วคนที่จะมีฤทิธิ์ได้ทำยังไงถึงจะมีฤทธิ์ได้เจ้าคะ ?
      ตอบ :  ต้องดูว่าฤทธิ์แบบไหน มันมีอยู่ตัว เรียกว่า "กัมมวิปากชาฤทธิ์" ฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรม เราลองไปเดินตามพวกชาวเขาดูซิ มันไป ๓ ลูกเขาแล้ว ลูกแรกเรายังตะกายข้ามไปไม่ได้เลย (หัวเราะ) นั่นเป็นฤทธิ์โดยวิบากกรรมอย่างหนึ่งนะ
              อย่างเช่นว่า นกเกิดมาบินได้ เราฝึกวาโยกสิณแทบตายกว่าจะเหาะได้แบบมัน ปลาทำไมอยู่ในน้ำได้ ทำไมไส้เดือนมุดดินดำดินได้ เป็นฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรมของเขา เรียกว่า "กัมมวิปากชาฤทธิ์" ถ้าอยากจะมีต้องฝึกกสิณ ๑๐ อย่าง เอาให้คล่องตัว แล้วคราวนี้เราก็จะเริ่มตั้งแต่ วิกุพนาฤทธิ์ คือจะแสดงอะไรก็ได้ตามใจชอบ
      ถาม :  แต่ถ้าเล่นจะติดฤทธิ์หรือเปล่า ?
      ตอบ :  อยู่ที่เรา ถ้าเรามีสติรู้อยู่เสมอก็ไม่ติด แต่ถ้าเผลอ หลงไปตามลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่ได้มาจากการที่เรามีฤทธิ์ ก็เรียบร้อยในเวลาอันสั้น
      ถาม :  แล้วพวกที่เล่นกสิณ เพ่งกสิณนี่เจ้าคะ จะทำให้มีฤทธิ์หรือเปล่า ?
      ตอบ :  บอกแล้วไง ว่าให้ฝึกกสิณ ๑๐ พวกเล่นกสิณ เพ่งกสิณนั่นแหละ มันอยากมีฤทธิ์กันล่ะ (หัวเราะ)
      ถาม :  เวลาที่เราทำบุญแล้วอธิษฐานจิตว่าขออย่างนั้น ขออย่างนี้ กับการไม่อธิษฐานเลย การทำบุญแบบไหนดีกว่ากันคะ ?
      ตอบ :  แบบอธิษฐานดีและถูกต้อง แบบไม่อธิษฐานเลยอาจพลาดจากประโยชน์ใหญ่ไปได้ การทำบุญโดยอธิษฐานขอให้เป็นนั่นเป็นนี่ เราจะขอหรือไม่ขอก็ตาม สิ่งที่เราทำทั้งดีและชั่วจะส่งผลกลับคืนมาอยู่แล้ว ถึงคุณต้องการหรือไม่ต้องการผลที่คุณกระทำคุณได้แน่ มันก็จำเป็นต้องกำหนดเจาะจงไปเลยว่าผลที่เราทำนั้นเราต้องการให้เป็นแบบไหน เป็นเมื่อไหร่ ถ้าเราตั้งใจแบบนี้เหมือนกับยิงปืนเล็งเป้า มันก็ถูกต้องสามารถยิงได้แม่นยำ แต่ถ้าหากไม่มีการเล็งเลยไม่ได้กำหนดเลย เราหิวข้าวตอนนี้ แต่อีก ๓ วันข้าวค่อยจะมาถึง เป็นไง...ไส้กิ่วเลยดีไม่ดีอดตาย
              แบบอานันทเศรษฐี อานันทเศรษฐีตอนเป็นเศรษฐี ถ้าฟังพระพุทธเจ้าเทศน์จะได้เป็นพระอนาคามี แต่ถ้าหากทรัพย์สินลดน้อยลงมาเป็นคหบดี ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์จะได้เป็นพระโสดาบัน บังเอิญถ้าเขารักษาทรัพย์สินไม่ได้ ทำให้ยากจนกลายเป็นขอทาน พระพุทธเจ้าบอกว่าเทศน์แล้วจะไม่มีผล เพราะจิตของเขากังวลอยู่ด้ัวยการทำมาหากิน ก็เลยเสื่อมจากมรรคผลไปอย่างน่าเสียดาย
              พระอานนท์ถามว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดมีวิสัยจะได้มรรคผลจะไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น แล้วทำไมอานันทเศรษฐีถึงได้เสื่อม พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานันทเศรษฐีขาดอธิษฐานบารมี เพราะฉะนั้นที่บอกว่าทำบุญแล้วอธิษฐานเป็นการโลภนะ อย่าไปฟัง เราต้องการหรือไม่ต้องการ ผลนั้นเกิดกับเราแน่ จะโลภหรือไม่โลภเกิดแน่ แต่เราอธิษฐานนั่นเป็นการเจาะจงว่าให้เกิดอย่างไร เกิดเมื่อไหร่ ตัวนั้นเป็นตัวกันเอาไว้ก่อน เพื่อว่าในเวลาที่เราต้องการแล้วได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าตอนเราต้องการไม่ได้ มาตอนเราไม่ต้องการ
              บางทีถ้าเป็นอย่างอานันทเศรษฐีก็พลาดประโยชน์ใหญ่ในชีวิตไปเลย เป็นพระอนาคามีอย่างไรก็ไม่ต้องไปเกิดใหม่มาทุกข์แล้ว นี่กลายเป็นขอทานไม่ทราบว่าจะเวียนตาย เวียนเกิดอีกกี่หมื่นกี่แสนกัปป์ ต่อไปอธิษฐานให้เยอะ ๆ (หัวเราะ) จริง ๆ แล้ว แค่อธิษฐานขอไปนิพพานอย่างเดียว กว่าจะไปถึงยอดเขาตลอดทางมีอะไรมันกวาดไปหมดอยู่แล้ว

      ถาม :  ถ้าเราอธิษฐานไปแล้วสมมติว่าเราเคยอธิษฐานในอดีตชาติ แล้วพอมาในชาติปัจจุบัน เรายังไม่รู้ว่า ณ ผลกรรมที่เราได้รับในปัจจุบันนี้ อาจเป็นเพราะว่าเราอธิษฐานไว้แล้วก็ตาม ถ้าเราขอยกเลิกการอธิษฐานของเรา...
      ตอบ :  ได้ ... อธิษฐาน ก็คือ การตั้งใจมั่น เราสามารถเปลี่ยนใจได้ มีสิทธิเปลี่ยนใจได้ทุกเวลา
      ถาม :  แล้วอย่างที่เราทำบุญแล้วนี่นะคะ เราจะอุทิศส่วนกุศล ลำดับที่เราอุทิศส่วนกุศลมีผลไหมคะ ว่าเราจะต้องอุทิศให้ผู้ใดก่อน ?
      ตอบ :  เรียกว่ามีก็ได้ มันขึ้นอยู่กับผู้รับ ถ้าผู้รับกำลังบารมีเขาสูงกว่า อยู่ในสถานที่ ๆ สมบูรณ์พร้อม จะให้ก่อนให้หลัง ท่านได้แน่นอน แต่ขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าเป็นพวกเปรต อสุรกาย สัมภเวสี เหล่านี้ ถ้าให้ท่านก่อน ท่านก็จะได้เต็ม ๆ ถ้าไม่ได้ให้ท่านก่อน แต่บอกให้เป็นการทั่วไป บางทีพวกที่กำลังใจสูงกว่ามันแทรกเข้ามา มันเอาไปหมด คนที่กำลังน้อยกว่าก็อาจเข้าไม่ถึง เคยเวลาโปรยอาหารแล้วสัตว์มันแย่งกันไหมล่ะ ? ตัวที่แข็งแรงกว่าเท่านั้นที่จะได้ ลักษณะเดียวกันเขาต้องการก็ต้องกันไม่ให้คนนี้เข้ามา
      ถาม :  ถ้าอย่างนี้ เวลาเราจะทำบุญให้ใคร เราระบุ....
      ตอบ :  เจาะจง...ระบุชื่อให้เขาไปก่อนเลย แล้วค่อยอธิษฐานอย่างอื่น
      ถาม :  แล้วต้องจัดไหมคะ ว่าต้องให้ใครต่อ ?
      ตอบ :  ก็แล้วแต่เราชอบใจ เอาตามแบบหลวงพ่อ ท่านก็ให้เจ้ากรรมนายเวรก่อน ถัดจากเจ้ากรรมนายเวร ก็เป็นเทวดาที่รักษาตัวเอง เทวดาทั้งหมดทั่วสากลพิภพ จนถึงพระยายม แล้วค่อยให้ญาติโยมที่ตายไปแล้ว จะใช่ญาติหรือไม่ใช่ญาติให้ทั้งนั้น
      ถาม :  แล้วอุทิศให้ตัวเองได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ได้จ้ะ แต่อุทิศให้ตัวเอง อุทิศหรือไม่อุทิศตัวเองได้อยู่แล้ว ได้ตั้งแต่ตอนทำแล้ว
      ถาม :  แล้วการกรวดน้ำ กรวดน้ำยังไงเขาจะได้ ?
      ตอบ แค่เราตั้งใจ ว่าผลบุญทั้งหมดที่เราทำในครั้งนี้ขอให้เขาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย แค่นี้เขาก็ได้รับแล้วไม่ต้องไปเสียเวลาเอาน้ำรดมือนะ ไอ้น้ำรดมือนั้นรูปแบบของพราหมณ์รดมือตัวท่านเอง เลยเป็นรูปแบบยึดต่อ ๆ มา
      ถาม :  วันก่อนได้อ่านหนังสือหลวงพ่อ ถาม-ตอบ ที่บอกว่าเมื่อเสียชีวิตปรากฏว่าได้เข้าไปในนรก ผ่านมาตลอดทางก็เจอมีอาหารมีอะไรคล้ายกับตัวเองใส่บาตร อะไรทุกอย่างของเขาเอง แล้วน้ำมีแค่ครึ่งขวด แล้วคนที่พาไปบอกว่าเวลาทำบุญตักบารตร เขาต้องใส่น้ำให้ด้วยเป็นลักษณะกรวดน้ำก็ต้องใช้น้ำ
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วให้เป็นอาหารก็สมบูรณ์แล้ว บรรดาผู้ที่ตายใหม่ ๆ อันนี้ฟังให้ดีนะ ถ้าไม่เคยฟังจากที่อื่น ๆ อาจกลายเป็นสิ่งไม่ตรงกับเค้า บรรดาผู้ที่ตายใหม่ ๆ อุปาทาน ทำให้เขารู้สึกว่าเขาต้องกิน ต้องใช้อะไรต่าง ๆ เหมือนกับคนอยู่ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็จะมาปรากฏรอให้เขา
              แต่ถ้าหากว่าบุคคลที่ทำความดีสูง ๆ ผลบุญจะส่งให้เขามีกายทิพย์ อิ่มทิพย์ไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปกิน ถ้าใหม่ ๆ อาจต้องไปนั่งเคี้ยวอยู่หลายมื้อ ลำบากจะแย่ พอรู้ตัว เฮ้ย !?กูเป็นเทวดานี่หว่า จะเสียเวลากินทำไม ก็หายโง่ไปหน่อย ถ้าใหม่ ๆ เป็นเหมือนกันนะ พวกยังติดอุปาทานอยู่
              มันมีอยู่สถานที่หนึ่งใครเคยไปหรือยังไม่รู้ มันมีพวกบรรดาตลาดให้จับจ่ายใช้สอยกัน มีเดินเข้าเดิินออกกัน ช็อปกันให้มั่วเลย !มีเหมือนกัน พวกที่ไปใหม่ ๆ ละนิสัยมนุษย์ไม่ได้ก็ไปอยู่แถวนั้นแหละ พอรู้ตัวว่าเป็นเทวดาสบายกว่ากันตั้งเยอะ มาเดินกันให้เมื่อยทำไม เขาก็เลิก...
      ถาม :  แล้วที่เวลาเขาเผา กระดาษเงินกระดาษทองไป เขาก็ได้สิคะ ?
      ตอบ :  ได้ขี้เถ้าจ๊ะ...(หัวเราะ)
      ถาม :  ยังไม่ถามเลย ทำไมขนลุกซู่เลยเจ้าคะ ?
      ตอบ :  มันอยากลุก ขนลุกมันมีหลายอาการนะ อาการที่ร่างกายกระทบหนาวก็ขนลุก อาการกลัวก็ขนลุก อาการปีติก็ขนลุก ตัวปีติมันจะเป็นปีติเพราะตัวเองได้ทำความดี มันมีอยู่ตัวหนึ่งเขาเรียกว่า ขณิกาปิติ ขนมันลุกเหมือนกัน แล้วอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ผีจะมา อันนี้ไม่ได้พูดเล่น ถ้าเขาอยู่ในบริเวณนั้นแล้วเรารับสัมผัสได้ ช่วงนั้นขนจะลุกเกรียว เกรียว เป็นระยะ ๆ น่าตื่นเต้นไหม
      ถาม :  ตื่นเต้นเจ้าค่ะ เคยมีผีตามมาเจ้าค่ะ คือไปบ้านคนนึง แล้วเขาเสียชีวิต เราก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่ตรงที่เรายืนอยู่ เขาตายอยู่ พอยืนสักพัก กลิ่นมาแล้วเจ้าค่ะ พอกลิ่นมาไม่นาน ก็เริ่มมีอาการจะเข้ามาที่ตัวเรา เราก็วิ่งหนีออกจากจุดนั้น เหมือนแบบมีลมเหม็น ๆ วิ่งตามเข้ามา จะเข้าปากน่ะเจ้าค่ะ
      ตอบ :  รอดมาได้ ....ไม่น่าเลย อยากจะดูอีตอนโดนสิง ออกอาการยังไง (หัวเราะ)
      ถาม :  ตอนนั้นคิดว่าถ้าไม่ได้นึกถึงคุณพระคงแย่เหมือนกัน...
      ตอบ :  แย่เหมือนกัน แต่จำเอาไว้ว่า ถ้าไม่เคยมีกรรมเนื่องกันมาแล้วเราผู้เป็นเจ้าร่างไม่อนุญาต เขาทำยังไงก็สิงไม่ได้
      ถาม :  แต่คุณแม่รีบเอาน้ำมนต์เจ้าแม่กวนอิมใส่ แล้วอาเจียนออกมาเจ้าค่ะ เขาจะเข้าทางปากได้หรือเปล่าเจ้าคะ ?
      ตอบ :  รอบตัว ทุกขุมขนก็ได้ ไม่เป็นไร...แก้ได้แล้ว