ถาม :  มีพลังแรง ได้กลิ่นออกมาด้วย
      ตอบ :  มันก็ไม่ได้แรงอะไรนักหนาหรอก ถ้าหากว่าพลังของเขาสมบูรณ์จริง ๆ เขาสามารถปรากฏกายตอนกลางวันแสก ๆ ให้คนหมู่มากเห็นได้พร้อมกันด้วย ของเขามาได้แค่กลิ่นเท่านั้น ยังถือว่าโน่นอยู่สุดปลายตะโกนเลย
              รายที่กำลังเขาสูงสามารถปรากฏกายออกมาพูดคุยแจ้งความประสงค์ของเขากับเราได้ รายที่กำลังต่ำหน่อย เห็นได้แต่รูปไม่ได้ยินเสียง รายที่กำลังต่ำลงไป รูปไม่เห็นแต่ได้ยินแต่เสียงเท่านั้น ที่ต่ำที่สุดก็คือ รูปก็ไม่เห็นเสียงก็ไม่ได้ยิน ได้กลิ่นอย่างเดียวเท่านั้น นับว่าแย่มาก ๆ เพราะฉะนั้นไอ้ที่เราเห็นหน้าตาเละเทะดูไม่ได้ ไอ้นั่นของมันเต็มที่แล้วนะ ได้สวยแค่นั้นะ นั่นสวยที่สุดของเขาแล้ว
              เพราะฉะนั้นต่อไปเจอผี อย่าไปกลัว เขาน่าสงสารมาก เป็นผู้ที่ขาดแคลนหาความสวยงามก็ไม่ได้ เปลี่ยนโลกทัศน์เสียใหม่ ผีไม่ได้น่ากลัว น่าเกลียด แต่น่าเวทนาที่สุด พยายามเร่งตัวเองจนเต็มที่แล้ว ปั้นหน้าได้สวยแค่นั้น เพื่อมาพบกับเรา แทนที่เราจะอุทิศส่วนกุศลให้เขา วิ่งหนีไม่พอ ด่ามันอีก นั่งร้องไห้ไปหลายตลบแล้วล่ะ
      ถาม :  อย่างนั้นคนที่ตายไปแล้วยังอยู่ในสภาพนั้น คือไม่มีบุญที่เปลี่ยนสภาพเขาได้เลยหรือเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ก็บางทีเขาพบที่มีบุญกุศลมากก็ต้องการบุญกุศลอันนั้น อย่างเช่น ว่าเราอาจะได้ทำบุญใหญ่โดยการถวายสังฆทานหรือวิหารทานมา เขาไปในบริเวณนั้น เขาอยากได้ส่วนกุศลนั้น พยายามติดต่อกับเรา แต่ไอ้เราก็หูหนวก ตาบอดขาดทิพจักขุญาณขึ้นมา พยายามเต็มที่แล้วก็ได้แค่กลิ่น ไม่รู้ทำไงเข้าสิงมันซะเลย ให้มันร้องบอกคนอื่นเป็นภาษามนุษย์ดีกว่า ถ้าหากว่าเขาสามารถที่จะใช้กำลังข่มเราลงได้ เราก็จะพูดตามที่เขาต้องการ
      ถาม :  แล้วก็มีอยู่ครั้งหนึ่งเจ้าค่ะ เพิ่งจะถวายสังฆทานพระประธานมา อยู่ดี ๆ คนขับรถเนี่ยะ ...ก็ขับรถเข้าไปในป่าช้า ไม่ทราบว่าเขาทำยังไง ถึงได้ดึงสภาวะของคนขับรถเข้าไปในป่าช้า ?
      ตอบ :  แสดงอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรก ก็คือ กำลังเขาสูงมาก อย่างที่สอง คนขับของเรานี่แย่ที่สุดเลย จิตอ่อนมากจนเขาสามารถครอบงำได้ง่าย แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นด้วยกรรมเนื่องกันมาทำให้เขาเห็นเราว่า เฮ้ย ! เพื่อเราหรือเปล่าหว่า ทำบุญมาขอแบ่งหน่อย จะต้องมีอะไรบางอย่างที่เนื่องกันมาด้วย
      ถาม :  ถ้าอย่างนั้น ระหว่างศพที่เผากับศพที่ฝัง พลังความรุนแรงของวิญญาณ....?
      ตอบ :  ไอ้นั่นมันศพ มันอยู่ที่ตัวเขาเลย ที่จิตเขาเลย ถ้าหากว่าจิตของเขาประกอบด้วยกำลังบุญที่ทำมามาก หรือว่าความโกรธ เกลียด อาฆาตแค้น อย่างฝังใจรุนแรงมาก อันนันกำลังเขาจะสูง อีกฝ่ายหนึ่งสูงด้วยความดี ฝ่ายหนึ่งสูงด้วยความชั่ว ไอ้ศพก็คือศพ ทำยังไงก็เรื่องของมัน เผาก็กลายเป็นขี้เถ้า ฝังก็เปื่อยจมดินไป แต่ดวงจิตที่ประกอบด้วยบุญด้วยบาปต่างหากล่ะว่าทำมากน้อยแค่ไหน ถ้าทำมามากกำลังสูงก็แรงมากอย่างที่ว่า
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ถ้าเขาเผาศพแล้วอัฐิยังเก็บไว้ในบ้านจะมีสื่ออะไรกับผู้เสียชีวิตไปแล้ว ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเขายังไม่ไปเกิดนะ ยังประเภทติดตามอยู่ สามารถที่จะเข้าไปในบ้านกับเราได้ด้วย เท่ากับว่าเราเชิญเข้ามาเอง แหม ! อุ้มเข้ามาเลยใช่ไหม ไม่ต้องพูดถึงเจ้าที่แล้ว อุ้มเข้ามาเอง เขาก็ตามต้อย ๆ
      ถาม :  เห็นทางบ้านเขาเอากระดูกไปไว้กับโต๊ะหมู่บูชา
      ตอบ :  ถ้าไว้ต่ำกว่าพระไม่เป็นไร ถ้าไว้สูงกว่าพระก็เตือนเขาด้วยแล้วกัน บอกว่ากระดูกผีไว้ต่ำกว่าพระหน่อยก็ดีจ้า แยกออกต่างหากจะดีกว่า
      ถาม :  ทีนี้ ...แบบมีความอิจฉาเล็ก ๆ น่ะเจ้าค่ะ บางคนถูกรางวัลที่ ๑ ได้ลาภลอยกันใหญ่ ทำบุญยังไงมาคะถึงได้ตรงนี้
      ตอบ บุคคลที่มีลาภทางการพนัน ทำบุญโดยไม่ได้ตั้งเจตนามาก่อน อย่างเช่นว่าเดิม ๆ เจอเขากำลังทำบุญก็ควักกระเป๋าร่วมกับเขาไปเลย อย่างนี้จะได้ลาภการพนัน เล็ก ใหญ่ ตามผลบุญที่ตัวเองทำ บางรายถูกรางวัลที่ ๑ อาจได้สร้างพระพุทธรูปหรือถวายสังฆทานโดยที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจมาก่อน ไปเจอปุ๊บปั๊บก็ทำเลย แต่บุคคลที่ตั้งใจทำจะเกิดเป็นเศรษฐีเลย ไม่ต้องเสียเวลารอลาภลอย อันนั้นก็เลือกเอาว่า เราจะเอาแบบไหน แล้วก็ไปตั้งใจเกิดใหม่เดี๋ยวได้แน่ (หัวเราะ) อยากเกิดไหม ถ้ายังอยากก็เอา
      ถาม :  แล้วการทำบุญแบบไหนบ้างที่จะส่งเสริมในแต่ละด้าน ๆ เช่น บางคนมีสติปัญญา บางคนมีรูปทรัพย์ดี แล้วมีคนรัก อย่างนี้เขาต้องทำยังไงบ้าง ?
      ตอบสติปัญญา ต้องให้ด้านธรรมทาน สั่งสอนเขาในธรรม หรือว่าถวายพระไตรปิฎกเป็นต้น ทางด้านรูปสวยจะต้องเป็นผู้ที่ประกอบไปด้วยศีล ศีล ๕ ต้องบริสุทธิ์ มีพรหมวิหาร ๔ ประจำใจ รูปสวยหรือถ้าหากต้องการสวยเป็นพิเศษ ให้ซ่อมพระพุทธรูปเก่าที่ปรักหักพัง ให้มีสภาพตามเดิมอันนี้จะสวยเป็นพิเศษ
              แต่ถ้าอยากรวยก็ต้องให้ทานโดยเฉพาะสังฆทาน นี่เป็นมหาเศรษฐีแน่นอน ผลพิเศษเหล่านี้เลือกเอาแล้วกันว่า เราจะเอาอันไหน แต่ถ้าหากว่าเราให้ทานใช่ไหม รวยแต่รูปไม่สวยปัญญาไม่มี ก็ลำบากนะ แต่ถ้าหากว่าเราเป็นผู้มีศีล เราเกิดมารูปสวยแต่ปัญญาไม่มีก็แย่ หรือไม่ก็เราก็มาฉลาดแต่หน้าตาห่วยแตก ก็ไม่เอาไหนอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทำให้ครบทุกอย่างดีกว่า
      ถาม :  แล้วทำอย่างไรไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ?
      ตอบอย่าฆ่าสัตว์ แม้แต่มดแดงแมงน้อย ตัวเดียวก็ห้าม ถ้าเกิดชาติใหม่จะเป็นผู้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงมาก นอกจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัว ตัวร้อน เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือว่าอาการปวดเมื่อยตามสภาพร่างกายที่ใช้งานแล้ว การเจ็บป่วยด้วยโรคภัยอื่น ๆ ไม่มี
              อีกอย่างก็ทำอย่างท่าน พระพากุละเถระ พระพากุละเถระท่านสร้างส้วมถวายวัด ช่วยปลดทุกข์ใหญ่ให้กับผู้คน โดยเฉพาะพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เกิดมาในชาติปัจจุบันที่ท่านเป็นพระพากุละเถระท่านไม่เคยเจ็บป่วยกับใครเลย ท่านเป็นพระที่พระพุทธเจ้ายกให้เป็นเอตทัคคะทางเป็นผู้มีโรคน้อย คือ นอกจากอาการปกติอย่าง หิว เจ็บ หนาว ร้อน หิวกระหาย เหล่านี้ เรื่องอื่นเช่น เจ็บหนัก ๆ ท่านไม่เคยเป็นกับใคร สร้างส้วมอย่างหนึ่ง แล้วก็อย่าฆ่าสัตว์อย่างหนึ่ง ทำมันสองอย่างเลยก็ได้
      ถาม :  อย่างนี้พวกที่เข้าผ่าตัดตลอดต้องไปทำเขามาแน่เลย ?
      ตอบ :  อย่างนั้นเศษกรรมจากปาณาติบาตแน่นอนจ้ะ

      ถาม :  ต้องทำอย่างไร ถึงจะได้กัลยาณมิตรที่ดี ?
      ตอบ :  เราชักชวนเขาทำในสิ่งที่ดี ๆ ด้วย อย่างเช่น ชวนคนให้ทำในทาน ในศีล ในภาวนา ผลที่เกิดขึ้นกับเขาส่งผลให้ชาติใหม่ถ้าเขาเกิดมาก็เป็นเพื่อนที่ดีของเราต่อไป การทำบุญชักชวนเขามีผลพิเศษ ก็คือว่า เกิดใหม่จะมีบริวารมาก มีคนมาพึ่งพาอาศัยเยอะ ได้เพื่อนก็ได้เพื่อนที่ดี
      ถาม :  ที่เป็นคู่กัน ทำยังไงถึงเป็นคู่กันได้ ?
      ตอบ :  ประกอบด้วย ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเรียกว่า ปุพเพสันนิวาส คือ เคยเกื้อกูลกันมาในชาติปางก่อน ปุพพะ...ปุพเพ แปลว่า แต่ปางก่อน สันนิวาส คือการอยู่ร่วมกันมา พวกนี้ถ้าเห็นหน้ารักเลย ประเภทหนีตามกันง่าย ๆ เลย ไม่ต้องเสียเวลาจีบนาน อีกประเภทหนึ่งเกื้อกูลในชาติปัจจุบัน เห็นอกเห็นใจกัน สองประการที่จะเป็นเนื้อคู่กันได้
      ถาม :  แล้วประเภทอยู่กันไป แล้วทะเลาะกัน ...เขาทำกรรมอะไรกันมา ?
      ตอบ :  พระพุทธเจ้าบอกว่า ครอบครัวที่จะอยู่กันอย่างมีความสุข สามีภรรยา ต้องมีทานเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ถ้าหากว่านอกเหนือจากนี้ อันไหนขาด อันไหนพร่อง เดี๋ยวก็ทะเลาะเบาะแว้งกันไป ถ้าใช้ง่าย ๆ ก็คือ บารมีเสมอกัน บางคู่เราเห็นว่าไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้
              ปรากฏว่าบารมีเขาเสมอกัน ที่เขาเปรียบคู่ว่า ยักษ์อยู่กับยักษ์ เทวดาอยู่กับเทวดา มนุษย์อยู่กับมนุษย์ ถ้าอย่างนี้จะอยู่อย่างมีความสุขใช่ไหม ถ้าเกิดว่าเทวดาไปอยู่กับยักษ์หรือมนุษย์ไปอยู่กับยักษ์ อย่างนี้ก็อาจโดนขย้ำสักฝ่ายหนึ่ง โบราณท่านเปรียบไว้เยอะ
      ถาม :  ถ้าในชาติปัจจุบันเราเป็นผู้หญิง แล้วชาติหน้าเราอยากเกิดเป็นผู้ชายต้องทำยังไงบ้างคะ ?
      ตอบ :  ๒ อย่าง ประการแรก ถ้าแต่งงานก็ต้องเคารพสามีเหมือนพ่อ ชาติต่อไปจะเกิดเป็นผู้ชายใหม่ ประการที่สองสร้างบุญใหญ่ อย่างเช่น ว่าสร้างโบสถ์คนเดียวหลังหนึ่งเลย หรือเป็นเจ้าภาพพระประธานหน้าตัก ๔ ศอก ๘ ศอก แล้วตั้งความปรารถนาว่าผลบุญที่เราทำในชาตินี้ ชาติใหม่ขอให้เกิดเป็นผู้ชาย แล้วจะไปเกิดให้มันทุกข์ทำไม ? (หัวเราะ)
      ถาม :  เพราะคิดว่าชาตินี้คงไม่ทัน ขอชาติหน้าอีกชาติหนึ่ง แล้วนิสัยผู้หญิงจะติดไปอีกชาติไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ :  การที่เราเกิดเป็นผู้หญิง เพราะเราสร้างบารมีมาน้อยหรือไม่ก็ตั้งใจจะเกิดไปเป็นเนื้อคู่ของบุคคลอื่น ที่อธิษฐานเอาไว้ จะเกิดเป็นผู้หญิงแต่ถ้าสร้างบารมีมาถึงอุปบารมีขั้นปลาย จะเกิดเป็นผู้ชายไปเรื่อย ยกเว้นว่าผู้ชายคนนั้นเจ้าชู้มากเมียก็จะถูกบังคับไปเกิดเป็นผู้หญิงเพื่อชดใช้กรรมเหมือนกัน
              เพราะฉะนั้น อย่ามาเรียกร้องสิทธิสตรี ผู้หญิงยังสร้างบารมีมาน้อยกว่า แต่ผู้หญิงบางคนที่สร้างบารมีมามหาศาลแล้วยังเป็นผู้หญิงอยู่ เพราะว่าตั้งใจมาเป็นเนื้อคู่เขา อย่างเช่นตั้งใจเกิดเป็นเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์องค์นั้น...องค์นี้ ก็จะเกิดเป็นผู้หญิงต่อไป แต่อันนั้นบารมีท่วมหัว เขามากกว่าเราหลายเท่าเลย
      ถาม :  แล้วอย่างพวกกะเทย ?
      ตอบ :  อันนั้นว่าเขาไม่ได้ เพราะเขาอยู่ในจุดระหว่างกึ่งกลางพอดี อย่างเช่นว่า บุคคลที่เริ่มจากหญิงจะเป็นชาย.....นิสัยความเป็นชายจะมาก่อน เราไปว่าเขาเป็นทอม ที่เพิ่งเริ่มเป็นชาย แต่ว่ามาจากผู้หญิงใหม่ ๆ นิสัยผู้หญิงกระตุ้งกระติ้งจะติดมาเราก็ไปเรียกว่าพวกตุ๊ด แต่ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องกฏของกรรมที่ปกติ ถ้าเรามองเห็นตรงจุดนี้ได้ไม่ต้องไปตำหนิใคร เพียงแต่ว่าพวกอุปบารมีช่วงนี้มันเกิดเยอะไปหน่อย ใช่ไหม ?... มันก็อาจมีผู้ชายใส่เกาะอกอะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) เห็นมารึยัง มีจริง ๆ นะ บังเอิญอาตมาตาไวเห็นเข้า แหม ! แล้วเขาเองก็อยากให้เรามอง พอเรามองเนี่ยะ เชิดเชียว (หัวเราะ) น่ารักเนอะ
      ถาม :  แสดงว่าเราก็เคยเป็นเหมือนเขามาก่อน ?
      ตอบ :  เคยเป็นเหมือนเขามาก่อน ใช่ ....กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เหล่านั้นเราเคยทำมาก่อน เขาเองน่ะ ลูกหลานเราทั้งนั้น แล้วเราจะต้องไปเกลียดลูกเกลียดหลานทำไมเล่า ก็รักเขาเสมอตัวเรา ต่างคนต่างก็เกิดมาร่วมทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน
      ถาม :  แต่ละสัตว์ที่เกิดมา วิญญาณที่มีชีวิตอย่างมดปลวก พวกแมลง ต้นไม้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ?
      ตอบ :  ต้นไม้มีชีวิต แต่ว่ามีแค่วิญญาณ คือ ประสาทบังคับได้ แต่ว่าไม่มีจิต เพราะฉะนั้นต้นไม้เป็นชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตที่เราได้ฆ่าเขาแล้วจะเป็นบาปเป็นกรรม ชีวิตที่ฆ่าแล้วเป็นบาปเป็นกรรม ต้องเป็นชีวิตที่มีจิตประกอบอยู่
      ถาม :  ชีวิตที่มีจิตประกอบ ...อย่างพวก มด ปลวก ?
      ตอบ :  อันนี้รับรองได้เลย จิตภายในของเขา ก็คือคนดี ๆ นี่เอง เพียงแต่สภาพกรรมบังคับ สภาพกรรมบังคับเขาทำให้เขาอยู่ในสภาพที่มืดบอด ไม่สามารถที่จะแสดงความต้องการอะไรมากกว่า การกินการสืบพันธุ์ การต่อสู้กันการหนีภัย แต่เขาก็เป็นชีวิตหนึ่ง ถ้าฆ่าเขาเมื่อไหร่ก็ระวังไว้ ถ้าเผลอไปรับโทษด้านอบายภูมิเมื่อไหร่ เกิดเป็นเขาเท่ากับจำนวนที่เราฆ่า (หัวเราะ) ใครเคยฉีดมดทั้งรังบ้าง ? อย่าเผลอเกิดใหม่
      ถาม :  พวกแบคทีเรีย ?
      ตอบ :  ทำไม ? พวกเหล่านั้นกรณีเดียวกับต้นไม้ คือเป็นแค่ประสาท รับความรู้สึกของมันได้ เท่านั้นเอง มันไม่ใช่จิต
      ถาม :  ที่บอกว่าเราฆ่ามด แล้วจะทำยังไงคะ ที่บ้านมดเยอะมาก ทำไงไม่ให้อยู่ในบ้านเรา ?
      ตอบ :  สารพัดวิธีทีจะกัน ชอล์กกันแมลงมันก็มี ขีดเส้นไว้เสีย
      ถาม :  เคยทำแล้ว เห็นจะจะเลยค่ะ ว่ามันผ่านระหว่างรอยต่อ ระหว่างชอล์กนั่นแหละค่ะ
      ตอบ :  ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเสี่ยงตัวเองเข้าไปด้วย คือฉีดยา แต่การฉีดยานี่อย่าไปฉีดให้ใส่เขา อย่างเช่นฉีดใส่ผนังห้องให้กลิ่นมันออก เดี๋ยวเขาก็ไป เราฉีดให้ทั่ว แล้วก็ฉีดบ่อย ๆ คราวนี้เราเองเราจะตายก่อนมดหรือเปล่า ? เพราะสมัยนี้มันแรงจังเลย