ช่วงแรกของเล่ม "อดีตที่ผ่านพ้น กรรมฐาน"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนสิงหาคม ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ตอบ:  สมัยก่อนให้สังเกตว่าบรรดาพวกขุนศึก แม่ทัพ นายกองต่าง ๆ วาระสุดท้ายจะเข้าวัดบวชกันหมด อยู่ในลักษณะบวชล้างบาป ถวายดาบเป็นราวเทียนพุทธบูชา เลิกกันที แต่วิชาความรู้ยังอยู่ ในเมื่อวิชาความรู้ยังอยู่พวกลูกหลานชาวบ้านถึงเวลาเข้าวัดบวชบ้างหรือไปฝากตัวเป็นศิษย์ วัดบ้างก็ศึกษาวิชาการทางในวัด มาระยะหลัง ๆ นี่เขารังเกียจวัด โรงเรียน ดัง ๆ ที่ชื่อวัด ตอนนี้มันถอดคำว่า “วัด” ออกจากโรงเรียนหมด คุณธรรมและจริยธรรมมันเริ่มตกต่ำตั้งแต่เขาแยกโรงเรียนออกจากวัด อาตมาเองอายุไม่มากนะ แค่ ๔๐ กว่า ๆ ยังไม่ ๕๐ ยังเรียนทันอยู่ตอนช่วงที่เขาปิดวันโกนวันพระ พอขึ้น ป.๓ เขาเปลี่ยนมาปิดเสาร์อาทิตย์ ไม่รู้หรอกว่าเสาร์อาทิตย์หน้าตาเป็นยังไง เพราะรู้แต่ว่าวันโกนวันพระมันขึ้นกี่ค่ำแรมกี่ค่ำ พอถึงเวลาวันโกนครึ่งวันเช้าครูจะพาไปวัด จากโรงเรียนไปวัด ถ้าโรงเรียนไม่ได้อยู่ในวัด ก็อยู่ห่างวัดไม่ไกล พาไปวัดไปทำความสะอาดวัด ดายหญ้าขัดส้วม ถูศาลา ประเคนอาหารพระ พระฉันเสร็จก็ฟาดกันพุงปลิ้นอยู่นั่น ล้างถ้วยล้างชามครอบเสร็จกลับบ้านได้ ส่วนวันพระหยุดให้เต็มวัน ใหม่ ๆ เปลี่ยนเป็นเสาร์อาทิตย์ ไม่รู้เสาร์อาทิตย์หรอก ถาม พี่มุกดา จนแกรำคาญ ไม่รู้จักดูเองมั่งรึไง ก็มันดูไม่รู้เรื่อง แล้วพี่เขาก็สอนให้ บอกไอ้กระดาษแดง ๆ นี่วันอาทิตย์ เราต้องคอยไปเปิดดูเมื่อไหร่มันจะถึงแผ่นแดง ๆ สมัยก่อนปฏิทินมันจะเป็นปึกเล็ก ๆ เปิดไปเรื่อย พอวันอาทิตย์มันจะเป็นแผ่นสีแดง นั่นแหละกว่าจะรู้ว่าวันอาทิตย์หน้าตาเป็นยังไงก็เกือบตาย ก็ยังมานึกอยู่ว่ามันไม่น่าเลิก
              อย่างพวกที่ทองผาภูมิ พวกมอญ พม่า กระเหรี่ยง เขาจะหยุดงานวันโกนวันพระ วันโกนนะเขาจะหยุดงานไปเตรียมข้าวเตรียมขนม บ้านไหนมีทุนเยอะหน่อยทำขนมจีน เพื่อนฝูงก็แห่กันมาช่วยกันตำแป้งขนมจีน เดี๋ยวพรุ่งนี้ได้กิน ถวายพระเสร็จได้กินแน่ เตรียมขนมเตรียมข้าว พอวันพระจะได้ไปวัด ยังหยุดอย่างอย่างนั้นเป็นปกติอยู่ บ้านเรานี่เล่นตามฝรั่งหยุดเสาร์อาทิตย์ ไปอ่านเขาเขียนเกี่ยวกับเรื่องโบราณนี่แหละ เสร็จแล้วเขานัดหมายกันว่าวันอาทิตย์อย่างนี้ วันพฤหัสอย่างนี้ บอกนี่มันไม่รู้จริง สมัยก่อนเขานัดกันเป็นขึ้นเป็นแรม ไอ้นี่ดันมานัดวันอาทิตย์ วันพฤหัส ทันสมัยเกินไป ไม่ต้องมากหรอกต้นรัชกาลที่ ๙ นี่ก็สุดโบราณแล้ว
      ถาม :  แล้วสำนักเส้าหลินในปัจจุบันนี้ ?
      ตอบ :  มันก็ได้ไม่ถึง ๑ ใน ๑๐๐ ของสมัยก่อนแล้ว มีอยู่รายหนึ่งเป็นคนญี่ปุ่นพระด้วย พระญี่ปุ่นนั่นโคตรอัจฉริยะเลย คงจะประเภทอดีตชาติเคยทำมา เขาไปเที่ยวเมืองจีนไปวัดเส้าหลิน ไปเห็นภาพวาดการต่อสู้ที่ติดผนังอยู่เขาทำได้ทุกท่าเลย แค่เห็นนะเลียนแบบได้หมด ให้คนอื่นลองลงไม้ลงมือกับเขา แล้วเขาก็ใช้กระบวนท่าที่ผนังอยู่นั่นน่ะ เขาใช้ได้หมด แค่เห็น เล่นเอารัฐบาลจีนกลุ้มใจเป็นอันมาก น่าจะเป็นคนจีนศึกษาได้ กลายเป็นญี่ปุ่นศึกษาได้ก่อน ก่อนหน้าเขาคิดว่าเป็นภาพที่วาดติดผนังไว้สวย ๆ ไม่นึกว่ามันจะเป็นวิชา การต่อสู้ที่ใช้ได้ผลจริง ๆ ต้องรอพวกประเภทนี้เกิดใหม่ แล้วพวกนี้เกิดใหม่เมื่อไหร่ก็เป็นอันว่าเขาจะสามารถศึกษาวิชาเดิมเขาได้
      ถาม :  คนรุ่นใหม่จะไม่มีสิทธิ์...?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วรุ่นนี้ รุ่นปัจจุบันนี้น่าจะได้เพราะว่าเป็นรุ่นของอภิญญาโดยเฉพาะ พวกอภิญญานี่ โน่นมันขั้นต้น ๆ เท่านั้นเอง ที่เขาว่าอะไรล่ะ “ตั๊กม้อโจ้วซือ” หันหน้าเขาหาผนังถ้ำ นั่งสมาธิอยู่ ๙ ปี คนจีนเขาใช้คำว่าลมปราณที่แผ่ออกจากร่างกายมาทำให้ผนังศิลากลายเป็นรูปของท่าน ถ้าเป็นอย่างเราเขาเรียกว่า “พระฉาย” ที่สระบุรี ที่เงาพระพุทธเจ้าทาบติดผนังหิน ลักษณะนั้น
      ถาม :  ไม่ลุกไปกินข้าว ?
      ตอบ :  ไม่ไปไหนเลย ๙ ปีเต็ม ๆ เรื่องเล็ก จะอยู่ระดับนั้นจะอยู่กี่ร้อยปีก็อยู่ได้ เพราะว่าอยู่ด้วยธรรมปิติอยู่แล้ว แบบเดียวกับ หลวงพ่อขี้ค้างคาว ที่หลวงพ่อท่านเคยเล่าให้ฟัง อยู่ในถ้ำจนขี้ค้างคาวสูงถึงเอว อยู่มากี่ปี ค้างคาวมันขี้ไปเรื่อย ขี้ค้างคาวท่วมเอวแล้ว หลวงพ่อบอกไม่เห็นท่านจะผอมเลยเหลืองอ้วนสวยเชียว ท่านคลานเข้าไปถึง หลวงพ่อ...หลวงพ่อ ก็เออ ๆ ๆ ก็หลับของท่านอยู่อย่างนั้น นั่งหลับ จริง ๆ ก็คือเข้าสมาธิอยู่ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วคือไม่มีงาน รอวันตายอย่างเดียวก็นั่งของท่านอย่างนั้น
      ถาม :  ท่านถึงที่สุดหรือยัง ?
      ตอบ :  ถึงที่สุดหรือยัง ? อันนี้ต้องถามท่าน อาตมาไม่มีสิทธิ์พยากรณ์เรื่องนี้จะไม่เผลอเด็ดขาด หลวงพ่อสั่งไว้กลัวโดนเหยียบ ท่านบอกว่าการพยากรณ์มรรคผลเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
      ถาม :  คนเขียนเรื่องกำลังภายในพวกนี้...(ไม่ชัด)...?
      ตอบ :  มันต้องรู้ ถ้าไม่รู้มันเขียนไม่ได้ เพราะว่าระยะหลัง ๆ นี่ใช้กำลังใจมากกว่ากำลังกายอยู่แล้ว ถึงได้บอก “ดาบสวรรค์ดวลกับผู้วิเศษกำจาย” นี่ แหม...มันสุดยอดอลังการเลย สมาธิชัด ๆ เลย วัดมันใหญ่โตมโหฬารขนาดไหน เดินไม่ถึงประตูวัด ข้างในยินดีต้อนรับแล้ว รู้ขนาดนั่นน่ะ มันรู้ด้วยอะไร..ถึงเวลากำลังฌานมันคุ้มได้ ถ้าเป็นกำลังภายในก็อยู่ระดับ “เทวราชคงกะพัน” ความจริงไอ้นั่นห่วยแตกนะ เทวราชคงกะพันน่ะ เพราะว่าถ้าหากว่านับอย่างในเรื่องอาวุธอย่างปืน ถ้ายิงไม่ออกถึงจะถือว่าสุดยอด รองลงมาก็ยิงออกไม่ถูก ถ้ายิงถูกไม่เข้านี่มันประเภทอยู่ระดับสาม เพราะถ้านับจริง ๆ พวกหนังเหนียวนี่ห่วย
      ถาม :  พวกคัมภีร์ พิมพ์เอง...?
      ตอบ :  เคยอ่านมังกรหยกมั้ยล่ะ ? เตียบ่อกี๋ฝึกจากคัมภีร์อะไรล่ะ ? ก็คัมภีร์วิสุทธิมรรคนั่นแหละ เขาเรียกอะไรล่ะ “คัมภีร์จากลังกา” มันก็ตำราวิสุทธิมรรคของพุทธโฆษาจารย์ทั้งนั้น
      ถาม :  แล้วทำไมกลายเป็นการโคจรพลัง ลมปราณอยู่ไหน ?
      ตอบ :  เราจับติดมั้ยล่ะ ? ถ้าหากว่าเราทำจนกระทั่งคล่องตัวจริง ๆ มันทำได้ ก็ลักษณะใช้มโนมยิทธินั่นแหละ เป็นการบังคับกำลังข้างในให้เคลื่อนไหวไปตามจุดใดจุดหนึ่งของร่างกาย กำลังข้างในของเรา มันจนต้องเรียกว่าเป็นกำลังจากอวัยวะ ถ้าหากว่าธรรมดาเรายึดตัวตรง ๆ แล้วหายใจเข้า มันจะมีกำลังส่วนหนึ่งวิ่งสวนขึ้นมาอยู่ตรงคอ จะรู้ตัวทันทีเลย เพียงแต่เราไม่เคยจับสังเกตเท่านั้น เขาจะบังคับกำลังส่วนนี้ให้มันไปสู่ร่างกายในจุดต่าง ๆ ได้
              สมัยก่อนเคยหัดอยู่ เสร็จแล้วมาฝึกกรรมฐานใหม่ ๆ นี่ ประสาทจะกิน เราเคยชินในการที่ไล่ให้มันวิ่งทั้งตัวแล้วนี่ มันต้องหยุดแค่จุดศูนย์อย่างนี้ ไปต่อไม่ได้ ก็ต้องประเภท หนึ่ง สอง สาม สาม สอง หนึ่ง จมูก อก ท้อง ท้อง อก จมูก จะมีปัญหามาก มีปัญหาตรงจุดที่ว่า เราได้บังคับกำลังให้มันวิ่งไปทั่วตัวแล้ว แล้วต้องมาหยุดมัน ปล้ำอยู่เป็นปี กว่ามันจะยอมหยุด ถ้าไม่ดื้อขนาดนั้นก็คงทำไมได้ เพราะจะไปชินกับวิธีเดิมของตัวเอง แล้วพอมาฝึกมโนมยิทธิก็เข้าใจเลยว่าคือมโนนั่นเอง เพียงแต่ว่าแทนที่จะออกไปเที่ยวข้างนอก มันไปเที่ยวอยู่ข้างใน
      ถาม :  กำลังภายในที่เขาว่าคือ กำลังในอวัยวะ ?
      ตอบ :  มันกำลังในอวัยวะ นั่นน่ะพวกอะเดรนาลีน ลักษณะนั้นแหละ พวกกำลังภายในนี่เขาสามารถควบคุมให้มันออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่าของคนทั่ว ๆ ไป มันต้องตกใจ ก็แค่นั้นเอง
      ถาม :  พวกรัสเซียเขามีพลังจิต สะกดจิต ?
      ตอบ :  นั่นมันแค่ขั้นต้น ๆ แค่นั้นเอง พวกนี้ถ้าไม่มีพื้นฐานสมาธิของเดิม ๆ มา เขาก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว ในเมื่อพื้นฐานเดิมเขาอยู่เยอะ เมื่อมาฝึกทางด้านนี้มันจะได้ง่ายกว่าเขา
      ถาม :  ..................................
      ตอบ :  แต่อย่าลืมว่าคนที่มีฉันทะจะทำในปัจจุบัน อดีตต้องเคยทำมาแล้ว ถึงจะเป็นปัจจัยส่งผลให้ในปัจจุบันนี้สืบเนื่องต่อไปข้างหน้า
      ถาม :  เขาไม่ได้เข้าวัดฝึกสมาธิ... ?
      ตอบ :  ก็ใครว่าเขาไม่ได้ฝึก เพียงแต่เขาฝึก มาก่อน ไม่ได้ฝึกแบบเรามันสารพัดวิธี แบบหลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม ยังอยู่รึเปล่าไม่รู้ ? ยังอยู่ใช่มั้ย ? หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิมท่านใช้คำภาวนาที่แปลกมากเลย พ่อพาไปวัดแล้วพ่อไปคุยกับหลวงพ่อเจ้าอาวาส ทิ้งท่านอยู่ที่ศาลาเด็กเล็ก ๆ นี่อยู่ที่ศาลามืด ๆ คนเดียวก็กลัว หลับหูหลับตานั่งกอดเข่า กลัวแล้วไม่เอาอีกแล้ว คือยังไง ๆ เจอก็ไม่เอาแล้ว ปรากฏว่าคำว่า “กลัวแล้วไม่เอาอีกแล้ว” ของท่านนั่นแหละ กลายเป็นสมาธิหลุดออกจากตัวไป กลายเป็นออกด้วยมโนฯ เต็มกำลังเลย คำภาวนาอย่างนี้มีใครใช้บ้าง กลัวแล้วไม่เอาอีกแล้ว ท่านบอกว่ามันเห็นว่าวัดมันสว่าง มันไม่มืดเลย ความกลัวก็เลยลดลง พอจิตหลุดออกจากร่างกายเห็นอะไรจะสว่างเหมือนกับกลางวัน
      ถาม :  พวกกรรมฐานเขาทำถึงระดับไหน ?
      ตอบ :  ระดับไหน ? มันน่าจะอยู่ระดับฌาน ๔ นะ
      ถาม :  แค่ฌาน ๔ แค่นั้นเอง ?
      ตอบ :  ก็คุณจะเอาอะไรมากกว่านั้นเล่า สมาบัติ ๘ มันก็กำลังของฌาน ๔ เพียงแต่มันเปลี่ยนวิธีการ ใช้แค่นั้นเอง
      ถาม :  ........................................
      ตอบ :  ต้องดาบสวรรค์ นอกจากดาบแล้วไม่มีอย่างอื่น แสดงว่ากำลังใจของเขามุ่งอยู่จุดเดียว คนที่สามารถตัดความรู้สึกรอบข้างออกหมด มุ่งจดจ่ออยู่จุดใดจุดหนึ่งนี่ถ้าไม่ได้ฌานทำไม่ได้ อันนั้นก็เหมือนกัน อันนี้รู้สึกว่ามันเป็นเนื้อเป็นหนังมากกว่า คือยังอยู่ในระดับที่เราจับได้ต้องได้
              ถ้าอย่างพวกวาตะเมฆานี่มันเวอร์เกินไป จินตนาการมันดีจริง แต่มันเวอร์อยู่ในลักษณะที่เรารู้ว่าทำไม่ได้ ประเภทยิงธนูไปถล่มเขาจนราบอย่างกับระเบิดนิวเคลียร์ทำได้มั้ยล่ะ ? ทำไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่าอย่างมังกรคู่สู้สิบทิศนี่ มันทำได้ แล้วค่อย ๆ พัฒนาการทีละระดับทีละระดับ เพราะจุดที่สำคัญที่สุดที่ควรจะศึกษาก็คือว่าเขาใช้คำว่า “ต่อสู้เพื่อหล่อเลี้ยงการต่อสู้” คือจะกระตุ้นตัวเองให้เข้าไปอยู่ในจุดอับ ในลักษณะที่ว่ามีศัตรูอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตัวเองต้องพัฒนาการเพื่อให้ก้าวหน้า ไม่งั้นสู้เขาไม่ได้ แพ้เขาหรือตายลักษณะของการปฏิบัติก็เหมือนกัน ของเราทุกวันนี้มันอยู่ในจุดอับ คือจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ ชีวิตมีอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก ถ้าเราไม่ดิ้นรนให้ปัจจุบันให้ดีที่สุด อาจจะไม่มีโอกาสทำอีกแล้ว ถ้าเราสามารถยัดตัวเองเข้าไปตรงจุดนั้นได้เราก็จะก้าวหน้าแบบเขา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เราเหมือนกับอยู่บนเรือนที่ไหม้ไฟ ไฟกำลังไหม้บ้านอยู่ แล้วเราอยู่ข้างบนนั้นมีแต่จะรีบหนีมันไปเสียให้พ้น แต่ปรากฏว่าคนส่วนใหญ่อยู่สุขอยู่สบายกับมันดีจังเลย
      ถาม :  มันนึกยาก นอนสบาย... ?
      ตอบ :  นึกยากใช่ ลองจุดไฟเผาบ้านแล้วก็นอนรอ เดี๋ยวก็รู้เองว่าต้องหนีแบบไหน
      ถาม :  พอมีเรื่องทุกข์ร้อนก็จะนึกออก ?
      ตอบ :  ถึงได้บอกว่าฉันทะมันมีไม่พอ ฉันทะมันไม่พอ วิริยะก็เลยไม่พยายาม
      ถาม :  ..........................................
      ตอบ :  อ๋อ อันนี้ของอาจารย์ฐะปะนีย์ นาครทรรพ เคยได้ยินชื่อท่านมั้ย ? ท่านบอกว่าเรียนเก่งเรียนอย่างไร จดสิ ไม่จดก็เรื่องของเขาเนอะ บอกทีเดียวอยู่แล้ว เรียนด้วยใจหิววิชา เมื่อวานคนเขาสงสัยว่าอาตมาทำคะแนนเต็มร้อยได้ยังไง ก็เลยบอกเขา อยากรู้ดูตำรา มันไม่อ่านหรอกครู สอนเสร็จโยนกองแล้วไปเที่ยว ยิ่งค้นคว้ายิ่งพาเพลิน ยิ่งเรียนยิ่งสนุก ส่วนใหญ่ไม่อยากเรียนก็นี่ ฉันทะไม่พอหมดความสนุก ผลักความทุกข์ พ้นทางเดิน ถ้ามันสนุกอยู่กับการเรียนก็ลืมเรื่องอื่นหมด ไม่หิว ไม่อิ่มเกิน จำไว้หิวไปก็ฟุ้งซ่านไม่มีสมาธิ อิ่มเกินไปก็หลับ ไม่ห่างเหินไม่โหมเอย ไปเรื่อย ๆ สม่ำเสมอ ไม่ใช่ไปโหมเอาก่อนสอบไม่กี่วัน เดี๋ยวก็เครื่องพัง เจ้าพวกนี้อ่านอะไรแล้วไม่ค่อยจำ ของเราก็ไม่ได้ตั้งใจจำ บังเอิญอ่านแล้วมันอยู่ในหัวมันไม่ไปไหน ความตั้งใจมันไม่พอ เด็กรุ่นใหม่น่าสงสารมากเพราะสมาธิมันไม่ทรงตัว เขาใช้คำว่า สมาธิสั้น เมื่อสมาธิสั้นอย่าไปหวังเลยว่าความจำมันจะดี
      ถาม :  บนไว้แต่มีความจำเป็นไปไม่ได้ ขอผ่อนผันได้ไหม ?
      ตอบ :  เรื่องของการบนพระบนเทวดา ต้องตรงไปตรงมา ถึงเวลานี่จะมีความจำเป็นยังไงก็อย่าไปทิ้งมันนาน
      ถาม :  คืออยากจะถาม เห็นท่าเดินแล้ว ?
      ตอบ :  เห็นท่าเดินแล้วไปไม่รอดแน่ พอมาเลเรียมันขึ้นสมองแล้วมันจะเบลอ ถ้าเราไม่ตั้งสติดี ๆ นี่เดี๋ยวร่วง ก็เลยต้องเดินท่าที่เห็นนั่น เป็นอะไรที่สนุกมากเลย คือเราเห็นชัด ๆ เลยว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ในเมื่อมันไม่ใช่ของเรา ก็คือเราต้องบังคับมัน ไม่ใช่มันบังคับเรา จำเอาไว้เลยนะ สร้างกำลังใจตัวนี้ให้ได้ ในเมื่อมันไม่ใช่ของเรา ก็ต้องเราบังคับมัน อย่าให้มันบังคับเรา อยากเป็นอะไรก็เป็น พอถึงเวลาทำงานทำไปก่อน ตายเมื่อไหร่ก็เลิก
      ถาม :  จะตั้งอารมณ์ต่อสู้กับความเจ็บปวด ?
      ตอบ :  ตัวนั้นใช้อานาปาณาสติอย่างเดียว ถ้ากำลังใจทรงตัวปุ๊บ จิตกับประสาทมันเริ่มแยกจากกัน มันไม่ค่อยรู้สึก ไม่ใช่ไม่เจ็บไม่ปวด เจ็บปวดตามปกติ แต่เราไม่ได้ไปสนใจมัน ก็เลยไม่ได้นึกถึง มีบางคนถามตอนนี้เป็นยังไงมั่ง ? บอกมึงอย่าถามได้มั้ย ? ถามทีไรกูต้องนึกทุกที นึกถึงมันเมื่อไหร่ก็..โอ๊ยแย่แล้ว...!
      ถาม :  .......................................
      ตอบ :  พยายามแล้วได้แค่นี้ วิธีการรักษาที่ดีที่สุดก็คืออย่ามาที่นี่ มันก็จะได้พัก ตั้งแต่ศึกษาวิชาการตามสายหลวงพ่อมา ถ้าคนอื่นเขาจะว่าเราปลุกเสกของ แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะว่ามันเป็นการขอบารมีพระท่าน เราเองมีหน้าที่ทำอย่างที่ท่านสั่ง ท่านจะสั่งว่าตั้งกำลังใจแบบไหน ขนาดไหน ใช้คาถาบทไหน หรือภาวนาอย่างไรเราก็ทำตามไป ที่เหลือท่านจะสงเคราะห์ให้เอง
              มีอยู่งวดหนึ่ง ตอนนั้นหลวงพ่อท่านได้รับคำสั่งจากพระ ให้ทำยันต์ ทำน้ำมนต์รักษาโรคได้ทุกโรค หลวงพ่อท่านก็บอกว่าคนเขาจะเชื่อหรือครับ ผมเองก็ป่วยจะตายแหล่ไม่ตายแหล่อยู่ พระท่านบอกว่า ถ้าหากว่าคนที่กรรมเบาเขาจะเชื่อ เขาเชื่อก็จะเกิดประโยชน์กับเขาเอง หลวงพ่อท่านก็ให้แบบยันต์มา เราก็มานั่งเขียน เขียนเสร็จเรียบร้อยก็บอกหลวงพ่อ ว่าเสร็จแล้วครับ หลวงพ่อจะเสกให้เมื่อไหร่ หลวงพ่อบอก วิธีก็รู้อยู่แล้วไปเสกเอง โห...เจ้าประคุณเอ๋ย อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ๑๐๘ จบ นะมะพะธะ อีก ๑๐๘ สองชั่วโมงครึ่ง ถอนกำลังใจไปนี่หมดแรงเลย หลวงพ่อท่านบอกว่าตำรานี้บังคับ บังคับว่าคนทำต้องเสกเอง ของเราไม่มั่นใจ พอหลวงพ่อท่านทำพิธีพุทธาภิเษาก็แอบเอาไปซุก ท่านเห็นเข้าท่านก็หัวเราะ ท่านบอกว่า ก่อนหน้านี้สมัยหลวงปู่ปานอยู่ ข้าก็ไม่เคยมั่นใจเหมือนกัน แต่พอสิ้นครูบาอาจารย์แล้ว คนเขาเห็นว่าแกเป็นลูกศิษย์ไม่มั่นใจก็ไม่ได้แล้ว เท่ากับว่าถึงเวลาโดนมัดมือชก ยังไงก็ต้องทำไป
              เคยกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ระหว่างหลวงพ่อกับหลวงปู่ใครดังกว่ากัน นี่พูดถึงว่าการที่มีคนเคารพนับถือ ชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ หลวงพ่อบอกว่าหลวงปู่ดังกว่าเยอะ สมัยหลวงปู่คนมาประมาณเท่าไหร่ หลวงพ่อบอกไม่หนี ๗-๘ หมื่น สมัยหลวงพ่อคนมันมาต้อง ๒-๓ แสนนะ ก็บอกไม่หนี ๗-๘ หมื่น เพราะว่าเรือมันจอดเต็มหน้าวัดชนิดที่คนเดินข้ามฝั่งได้เลย ไม่ต้องลงน้ำ หุงข้าว ๘ กะทะต่อเนื่องเลี้ยงเขาทั้งวันไม่พอ หุงตลอดไม่มีการหยุด หลวงพ่อท่านบอก แกคิดดูซิสมัยนี้วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ มันทำให้เราคล่องตัวเท่าไหร่ แล้วสมัยนู้นมีเหรอ เขาบอกกันปากต่อปากแค่นั้น แล้วเขามันกันขนาดนั้น ก็ลองให้หลวงปู่มาอยู่สมัยข้าดูสิ คนไม่มาเป็นล้านรึ มานึกดูก็จริงอย่างท่านว่า ถึงได้ยอมรับ อ้อ...หลวงปู่ท่านดังกว่าจริง ๆ แล้วจนทุกวันนี้พระที่หลวงปู่ท่านทำก็ยังเป็นอมตะอยู่ เป็นที่แสวงหากันในวงการอย่างยิ่งเลย
              ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ กว่าจะมานั่งให้เขาไหว้ได้ ทำบุญได้ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะเหลือเกิน สมัยที่บวชใหม่ ๆ พอถึงพรรษาที่ ๓ เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่านักบวชที่เขาบวชกันอยู่ทุกวันนี้ ใครก็ตามที่อยู่นาน ๆ จะดีจะชั่วยังไงนี่เรากราบตีนได้ทุกองค์เลย ทำไมเขาทนได้ขนาดนั้น นี่ความรู้สึกเฉพาะตัวเลยนะ ของเรานี่ทำกรรมฐานพื้นฐานมันแน่นปั๊กมาตั้งแต่ฆราวาส มันจะไปแหล่ไม่ไปแหล่ แล้วพวกเฮงซวยห่วยแตกไม่เอาอะไรเลย ทนอยู่ได้ยังไงก็ไม่รู้ ถึงได้บอก แหม..นับถือความอดทนของเขาเลย
              ในเมื่อนับถือความอดทนของเขา ก็เลยอยู่ในลักษณะที่ว่านั่นแหละ ถ้าหากว่าอยู่นาน ๆ นี่จะดีจะชั่วยอมกราบหมด โห...เขาอึดจริง ๆ อยู่มาได้ยังไง แต่ว่าพอมาศึกษาวิชาการตามแบบหลวงพ่อมันดีอยู่อย่างหนึ่ง ดีตรงจุดที่ว่า เราพอจะรู้บ้างว่าพระองค์ไหนท่านดียังไง บางองค์นี่คนอื่นไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้เลยว่าท่านเป็นพระดี อย่างของหลวงพ่อท่าน ท่านบอกว่าสมัยอยู่วัดบางนมโค วันหนึ่งตั้งใจจะไปกราบพระที่จุฬามณี พอพุ่งจิตออกไป มันไม่ไปจุฬามณี มันไปล่วงปั๊กอยู่ที่วัดสระเกศโน่น อยุธยาไปลงวัดสระเกศไปหล่นหน้ากุฏิใครก็ไม่รู้ มีแต่หมาขี้เรื้อนเต็มไปหมดเลย ประเภทนั่งเกาขี้กลากประทับใจมากเลย แล้วพระท่านก็บอกว่าเจ้าของกุฏิเป็นพระที่หมดโกรธแล้ว ทรงความดีได้ขนาดนั้นแล้ว หลวงพ่อท่านก็แปลกใจ กลับ ท่านบอกว่าสมัยนู้นข้าจะมีเงินติดกระเป๋า ๒๐๐ ประจำ เผื่อไว้ใช้ฉุกเฉิน โดยเฉพาะรักษาตัวเอง คว้าย่ามได้ก็โดดลงเรือเลย ตอนนั้นเรือเขียวเรือแดงมันวิ่งอยู่ระหว่างท่าเตียน อยุธยา บ้านแพน ข้าโดดลงเรือเลย ไปวัดสระเกศ คือข้องใจมากว่าท่านเป็นใคร ขอไปดูด้วยตาจริง ๆ ซะที พอไปถึงก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ คือมีแต่หมาขี้เรื้อนเต็มกุฏิ แล้วเจ้าของกุฏิก็ตะโกนบอกว่า มาสิ ตั้งแต่เมื่อคืนก็มาแล้ว ทำไมไม่เข้ามาเล่า เอากะท่านสิ !