ถาม :  .........................................
      ตอบ :  นั่นล่ะ ท่านพระครูพิทักษ์สุวรรณบรรพต คณะ ๑ วัดสระเกศ มาตอนหลังรู้สึกท่านขึ้นเป็นได้ถึงเจ้าคุณธรรม สุดยอดเลย วัดสระเกศวัดหนึ่ง วัดเทพศิรินทร์วัดหนึ่ง ต้องบอกว่าซ่อนเสือซ่อนมังกร คนดีอยู่มาก จนเรานึกไม่ถึง อย่างของวัดเทพศิรินทร์นี่ตั้งแต่ตั้งวัดมาสมัยรัชกาลที่ ๕ ถึงปัจจุบัน มีพระอริยเจ้าต่อเนื่องกันมาไม่ขาดสายเลย แต่ต้องงมให้เจอว่าองค์ไหน ที่ดีก็แสนดี ที่เละไม่เอาไหนเลยก็เยอะ เพราะฉะนั้นต้องคลำให้เจอ
              อย่างของวัดสระเกศปัจจุบันนี้ก็รู้ ๆ อยู่สุดยอดเลย คนไม่รู้ก็พยายามดิสเครดิตท่าน อยู่ในลักษณะกล่าวโจมตีบ้างอะไรบ้าง แต่ถ้าเราดูวัตรปฏิบัติของหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศแล้วจะรู้ เหน็ดเหนื่อยจากข้างนอกมาขนาดไหนก็ตาม คนอายุ ๗๐ กว่าแล้วนะท่านไม่เคยทิ้งพูดง่าย ๆ ก็คือว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ท่านไม่ทิ้ง กลับมา ๓ ทุ่มทุกคืน จะต้องลงมาสวดมนต์ทำวัตรร่วมกับพระ พระลูกวัดก่อน แล้วเสร็จแล้วก็รับสังฆทานที่โยมรอกันเป็นแถวยาวเหยียดเลย เมื่อจบจากตรงนั้นเสร็จยังต้องเดินไปเยี่ยมลูกวัดทีละคณะ ทีละคณะ ไปดูเสร็จ ไอ้เราแค่ ๔๐ กว่ายังไม่ทันจะ ๕๐ เลย เราก็หมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว ของท่าน ๗๐ กว่าแล้วยังทำได้ขนาดนี้ ลองดู ตายให้มันตายไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันไม่ใช่มายา เป็นสิ่งที่ท่านทำออกมาจากใจจริง ๆ ถ้าหากว่าเป็นมายา ไม่ได้ทำออกมาด้วยความตั้งใจจริง ไม่ได้ทำออกจากน้ำใสใจจริง นี่จะทำไม่ทนทำไม่นาน แต่ของท่านปีแล้วปีเล่าก็อยู่อย่างนั้น
              สมัยก่อนท่านยังไม่เป็นสมเด็จ เป็นเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ ไปวัดท่าซุงประจำ หลวงพ่อจะนิมนต์ทุกงาน เสร็จแล้วของพวกเราถ้าพระผู้ใหญ่ไป ก็จะจัดพวกชุดจะเป็นพวกชามฝา ฝาปิด ชุดแก้ว ๆ อย่างนั้น มันดูดีแล้วก็สวย จัดอาหารเพื่อไปถวายท่านจนถึงที่พัก ปรากฏว่าขึ้นไปถึงหายจ้อยไปแล้วไม่รู้อยู่ที่ไหน ไปตามเจออีกที โน่น...นั่งฉันก๋วยเตี๋ยวในสวนไผ่กับพวกเรานั่นแหละ ไปปนอยู่กลางกลุ่มนั่นเลย คือพระท่านท่านดีจริงท่านจะไม่ถือตัว ดูตรงนี้ น่ากลัวมาก ปัจจุบันนี้อาตมาเจออยู่ ๒-๓ องค์ อยู่ในลักษณะนี้ ใหญ่แค่ไหนก็ตามไม่เคยถือเนื้อถือตัวอะไรเลย
              สมัยก่อนจะบวชก็หลวงพ่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม หลวงพ่อสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา แต่ละองค์ใหญ่เป้งคับบ้าน คับเมืองเลย เข้าไปเหอะ เมื่อไหร่ก็ได้ เข้าไปท่านก็คือหลวงปู่ หลวงตาของเรา ไม่เคยประเภทที่เรียกว่าจะออกปากขับไล่หรือว่าอะไร มีการสงเคราะห์เสมอหน้ากันหมด เราทำบุญ ๒๐ บาท พวกสังฆการีที่ทางด้าน กระทรวงเขาส่งไปประจำอยู่ช่วย ๆ งานพระผู้ใหญ่ก็วิ่งเอาพานทองมารับบอก แหม..ให้ตายเถอะวะ ทำอย่างนี้เราเองก็แทบจะไม่กล้าถวาย แต่ว่าจริง ๆ ท่านไม่มีปัญหาอะไร จะมากจะน้อยยังไงก็ได้ บางทีเวลามีกิจนิมนต์ งานหลวงงานราษฎร์พระผู้ใหญ่ท่านไปก็ต้องไปนั่งเรียงแถวอยู่ เราเข้าไปกราบท่านก็ชวนคุยไปเรื่อย ซักพักหนึ่งก็เจ้าหน้าที่นี่แหละ ก็จะมาดึงออก ท่านบอกไม่ต้องไปหรอก มันเห็นพวกข้าไม่มีปากว่ะ จะให้ท่านนั่งเงียบอยู่อย่างเดียว มันเป็นไปได้มั้ยล่ะ ?
              มีพุทธาภิเษกที่วัดท่าซุงครั้งหนึ่ง ปกติเวลาพระท่านสงเคราะห์ มันจะเหมือนกับเป็นม่านแก้วบาง ๆ ลงมาอย่างกับฝนตกอย่างนั้น คราวนี้มันจะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่วัดท่าซุง พอหลับตาลงปั๊บมันรู้สึกเหมือนจะหงายหลัง เพราะว่ากระแสมาแรงมากเป็นพายุเลย เราก็แปลกใจมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้ผิดปกติขนาดนี้ ตอนนั้นหลวงพ่อพุทธาภิเษกสมเด็จหางหมาก เราก็แปลกใจว่าทำไมถึงขนาดนั้น ปรากฏว่าพอมาอีกสักครู่หนึ่งก็สว่างขึ้น ๆ ๆ สว่างจนบอกไม่ถูกนะว่าสว่างกันขนาดไหน แล้วอยู่ ๆ ไฟฟ้าก็ดับปึ๊บไปพร้อม ๆ กัน เล่นเอาพวกเจ้าหน้าที่ดูแลเครื่องไฟวิ่งกันตับแลบเลย ปกติงานอย่างงี้มันไม่เคยเสีย อยู่ดี ๆ ก็ดับพร้อม ๆ กัน ปรากฏว่าไม่ทราบเหมือนกั้นว่าเบรกเกอร์ตีกลับอีท่าไหน อยู่ ๆ มันดีดมาเฉยเลย เหมือนอย่างกับว่ามีไฟช็อต กำลังไฟเกินแล้วมันก็ดับอย่างนั้น ก็แค่ยกกลับขึ้นไปมันก็ติดตามเดิม พอพุทธาภิเษกเสร็จหลวงพ่อท่านก็บอกกว่าวันนี้พระท่านทำสมเด็จหางหมากรุ่นนี้ให้เป็นพิเศษ ท่านบอกว่าทำเพื่อกันพวกรังสีนิวเคลียร์ ท่านบอกว่าภายในรัศมี ๔ เมตรนิวเคลียร์เข้าไม่ได้ ใครมีพระรุ่นนั้นสบายเลย เราก็ไม่นึก เพราะว่ากระแสไม่เคยมาแรงขนาดนั้น ท่านบอกว่ามันจำเป็นนะท่านทำให้
              เรื่องของพระหรือเทวดาพุทธาภิเษกแต่ละครั้ง ถ้าท่านเคยสงเคราะห์เท่าไหร่ครั้งต่อไปจะไม่ต่ำกว่านั้น มีแต่ว่าถ้าท่านเพิ่มอะไรให้เป็นพิเศษท่านก็จะบอกให้ อย่างเมื่อครู่นี้ก็เหมือนกัน พอตั้งใจเชิญท่านปุ๊บก็มากัน แล้วก็รัศมีที่ครอบลงมามันเป็นสีม่วงน้ำเงิน ม่วงน้ำเงินอ่อนสวยมากเลย ท่านบอกว่าเน้นหนักไปทางป้องกัน เพราะว่าโดยเฉพาะวัตถุมงคลรุ่นนี้รับรองได้ว่าไปทั่วประเทศไทย เจตนาของคุณเป็นยังไงไม่รู้ แต่ท่านรับรองว่าไปทั่ว เสร็จแล้วก็มีของพระยามยมราชท่านบอกว่าของท่าน ถ้าหากว่าใครโดนผีเข้าเจ้าสิงหรือเจ็บไข้ได้ป่วยยังไงก็ตาม ให้นึกขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดาทั้งหมด โดยมีพระยายมราชเป็นที่สุด ตั้งใจเอาวัตถุมงคลแช่น้ำทำน้ำมนต์ให้คนป่วยกินหรือพรมให้ก็ได้ ให้ว่านะโมพุทธายะ
      ถาม :  ........................................
      ตอบ :  ดี ท่านบอกว่าคนทำมีเจตนาดี ท่านก็เต็มใจสงเคราะห์อยู่แล้ว ถ้าหากว่าทำเพื่อประโยชน์ตัวเองบางทีเชิญไม่มาหรอก เอายันต์เกราะเพชรรุ่นนี้คนเขียนมันห่วย เราเขียนแบบไปให้ดี ๆ นะ มันบอกใหญ่ไป มันไปเขียนเอง มันขีดเส้นขาดไปเส้นนึง ถ้าพระท่านไม่บอกอาตมาก็ไม่ได้สังเกตเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไรหรอกถ้าท่านเสกให้
      ถาม :  แล้วท้าวมหาราช กับพระสยามฯ ล่ะครับ ?
      ตอบ :  อันนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ก็บอกแล้วว่าท่านสงเคราะห์ให้เป็นส่วนรวม ท่านบอกว่าจะหนักไปทางป้องกัน เรื่องของพระสยามเทวาธิราช ท่านต้องดูแลทั่วประเทศจริง ๆ พระสยามเทวาธิราชขอให้ทุกคนรู้ไว้ ไม่ได้มีองค์เดียว มีเป็นพันเลย ทุกคนทำหน้าที่อย่างเดียวกัน ก็คือดูแลความสงบเรียบร้อยภายในประเทศนี้ ส่วนใหญ่ท่านก็คือบูรพมหากษัตริย์ แล้วก็เชื้อพระวงศ์ที่สร้างคุณความดีให้กับประเทศชาติเอาไว้ เมื่อถึงเวลาตายแล้วก็ยังต้องไปทำหน้าที่นี้ต่อ เป็นพรหมบ้างเป็นเทวดาบ้าง
              เพราะงั้นถ้าหากว่าบอกว่าพระสยามเทวาธิราชองค์ไหน อาตมาชี้ไม่ถูกเหมือนกัน...เยอะ กระทั่งอย่างเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ก็รับทำหน้าที่นี้ด้วย ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ท่านเป็นท้าวมหาราชด้วย
      ถาม :  .............................................
      ตอบ :  ถ้าหากว่ามันไปถึงระดับนั้นแล้วจะเป็นจิตคุมกาย ไม่ใช่กายคุมจิต ถือว่าเขาจะสามารถควบคุมร่างกายได้ อย่างเช่นเจ็บไข้ได้ป่วยไปไม่ไหว ก็บอกมัน ตอนนี้เลิกมารยาชั่วคราว แล้วไปทำงานก่อน พอทำงานเสร็จแล้วค่อยนอนแผ่หราใหม่ ถ้าหากว่าถึงระดับนั้นแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ความรับรู้ของจิตที่ชัดเจน ก็จะกลายเป็นว่าร่างกายก็พลอยรับรู้ไปด้วย แต่ขณะเดียวกันว่าถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะที่ว่า จิตกับกายแยกออกไปคนละส่วนกัน จิตจะดำเนินหน้าที่ไปตามวิถีของมัน กายก็เป็นเรื่องของกายไป ถ้าอย่างนั้นกายจะไม่รับรู้ อย่างเช่นว่า ถ้าหากว่ากำลังจิตเข้าถึงฌาน ๔ เต็มระดับ จิตกับกายแยกออกเป็นคนละส่วนกัน ฟ้าผ่าข้างหูไม่ได้ยิน เพราะว่ามันไม่เนื่องกับประสาทร่างกาย
      ถาม :  ตัวฌานสมถะใช่ไหม ?
      ตอบการพิจารณารู้แจ้งเห็นจริงตามปัญญาและสามารถตัดได้เป็นกำลังของฌานอยู่แล้ว การพิจารณาวิปัสนาญาน พิจารณาไปเรื่อย ๆ ๆ มันจะดิ่งลึกไปเรื่อย จะเป็นฌานโดยอัตโนมัติ แต่ว่า ตัวสมถะคือการทำใจให้สงบ จะเป็นกำลังของฌานล้วน ๆ ถ้าเราไม่ถอยจิตออกมา เพื่อคิดพิจารณา ถึงเวลามันไปตันของมันเสร็จ มันถอยอกมาเอง จะพาฟุ้งซ่านไปเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง เพราะฉะนั้นถามว่าเป็นเรื่องข121องฌานใช่ไหม ? ไม่ว่าจะวิปัสนาหรือว่าสมถะก็ตามมันเป็นเรื่องของฌานด้วยกัน แต่วิปัสนาเป็นวงฃฌานที่แฝงอยู่ ถ้าหากว่าไม่ใช่คนที่ตั้งใจไปไล่จับจริง ๆ บางทีจับอาการของมันไม่ออก แต่ว่ากำลังของปัญญาทุกระดับ ต้องมีกำลังของฌานช่วยเหลืออยู่
              อย่างปัญญาของพระโสดาบันก็ต้องมีปฐมฌานเป็นอย่างน้อย ถ้ากำลังของพระอนาคามีก็ต้องฌาน ๔ ขึ้นไป ไม่งั้นเอาไม่อยู่ เพราะว่าราคะ โทสะ เป็นเรื่องละเอียดและก็ลึกซึ้ง ถ้าไม่ได้กำลังของฌาน ๔ ที่เข้มแข็งและก็ลึกซึ้งในระดับเดียวกันมา ก็กดมันไม่อยู่เอามันไม่อยู่
      ถาม :  .............................................
      ตอบ :  เป็นกำลังของปฐมฌาน อย่างน้อยต้องเป็นปฐมฌาน นิวรณ์ ๕ ถึงไม่มีนิวรณ์ กิเลสหยาบที่กั้นใจของเราไม่ให้เข้าถึงความดี จะมีกามฉันทะ ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัส ระหว่างเพศ มีพยาบาท ความโกรธเกลียด อาฆาตแค้นคนอื่นเขา มีถีนะ มิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน ชวนขึ้เกียจ มีอุทธัจจะ อารมณ์ฟุ้งซ่านไม่ตั้งมั่น มีวิจิกิจฉา ลังเลสงสัยในผลการปฏิบัติ หรือลังเลสงสัยในครูบาอาจารย์ ถ้า ๕ ตัวนี้มีอยู่ใจเข้าไม่ถึงความดี ถ้าหากว่าเริ่มทรงปฐมฌานขึ้นไป ๕ ตัวนี้จะโดนไล่หายไปชั่วคราว จิตจะสงบและมีความสุข
      ถาม :  แล้วเราจะรู้ได้ยังไงคะว่า เราเหมาะกับกรรมฐานกองไหน ?
      ตอบ :  คือถ้าหากว่าในปัจจุบันนี้เรามีความถนัดและชำนาญกองไหน ให้ทำกองนั้น ตอกย้ำมันบ่อย ๆ ยิ่งย้ำบ่อย ๆ ความชำนาญยิ่งเกิด จนกระทั่งมันกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเราไป ถ้ายังไม่ได้ถึงระดับนั้นก็ซ้ำมันไปเรื่อย
      ถาม :  ดูได้จากอุบายหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  อุบายวิธีที่เราจะเอาขึ้นมาสู้กับพวกรัก โลภ โกรธ หลง ให้มันเข้ามา มีความคล่องตัวมั้ย ? มีความทันเหตุการณ์มั้ย ? ไม่ใช่ปล่อยให้กิเลสดึงเรา ไปหลายกิโลแล้วกว่าจะรู้ตัว
      ถาม :  ถ้ารู้ทีหลังแล้วแก้คืนได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  อันนั้นก็ขาดทุนไปเยอะแล้ว ก็ยังดี ดีกว่าไม่รู้เลย
              อ๋อ...เป็นไงจะท่องมั้ย ? นามศัพท์มีอยู่ ๓ คือนามนาม ๑ คุณนาม ๑ สรรพนาม ๑ (หัวเราะ) เขาต้องท่องทุกตัวอักษรจริง ๆ นามที่เป็นชื่อไปได้แก่คน สัตว์ สิ่งของ เรียกว่า นามนาม แบ่งออกเป็น ๒ คือ สาธารณะนาม ๑ อสาธารณะนาม ๑
      ถาม :  ต้องท่องจำด้วยหรือ ?
      ตอบ :  ต้องท่องจำอย่างนี้ ทุกตัวอักษรเลยล่ะ
      ถาม :  เวลาสอบ... ?
      ตอบ :  ถึงเวลาเขียนตอบ ถ้าหากว่าขาดเขาตัด เกินเขาตัด เรื่องของบาลี คุณไม่ต้องเอาความเข้าใจหรอก “ทาระ” แปลว่าภรรยา เขากำหนดเป็นเพศชาย เป็นไง ถ้าคุณเอาความเข้าใจปกติของคุณก็เพี้ยน บ้าอีกต่างหาก เพราะว่าเขาจะมีกำหนดแยกเพศ เขาเรียกว่า “ลิงค์” คือเป็นโดยกำเนิด เป็นโดยสมมติ
              ฉะนั้นถ้าหากว่าโดยสมติของ “ทาระ” ก็คือว่าเป็นภรรยา แต่ว่าพอเข้าปฐมาวิภัตติเป็น “ทาโร” กลายเป็นเพศชายไป ก็เลยต้องกลายเป็นเพศโดยสมมติขึ้นมา บ้ามั้ยล่ะ ? เพราะฉะนั้นคุณจะไปเอาความเข้าใจไม่ได้หรอก จำอย่างเดียว จำล้วน ๆ เหมือนอย่างกับท่องสูตรเลยล่ะ
      ถาม :  ประโยคที่พูดมาเมื่อตะกี้สามารถมาเรียบเรียงใหม่ ให้เป็นคำเท่าเดิม ไม่ขาดไม่เกินไม่ได้หรือ ?
      ตอบ :  ไม่ เขาไม่เอา ของบาลี ของนักธรรม ของพระ มี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือว่าตามความเข้าใจ อีกอย่างหนึ่งคือตามแบบ ถ้าหากว่าเป็นบาลี ไวยากรณ์เขาบังคับให้ตอบตามแบบ
      ถาม :  เข้าใจไม่เข้าใจ ก็ไม่สนใจ ?
      ตอบ :  ไม่สนใจ เขียนขาดตัด เขียนเกินตัด เขียนผิดตัด ลักษณะสอบกฎหมายนั่นแหละ คือต้องว่ากันตามทุกตัวอักษร
      ถาม :  การสอบที่ให้มาเป็นประโยคอย่างนี้ ผิดข้อหนึ่งก็ผิดหมดทั้งข้อเลยหรือ ?
      ตอบ :  ไม่ถึงกับผิดหมดทั้งข้อ แต่ก็หักไปเรื่อย ถ้าสมมติว่าเขากำหนดไว้ที่ ๑๐ ที่อย่างนี้ ถ้าผิด ๑๐ ที่ก็เดี้ยงแล้ว
      ถาม :  ข้อหนึ่งใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ข้อหนึ่ง
      ถาม :  ทั้งหมด ?
      ตอบ :  วิชาหนึ่ง ถ้าเขาตัดแค่ ๑๐ เราไป ๑๐ ก็เรียบร้อยแล้วจ้ะ ปีหน้าต้องไปนั่งหน้าแป้นใหม่อีกรอบ
      ถาม :  รู้สึกว่าเรียนเปรียญ เอ..ก็แย่เนอะ ?
      ตอบ :  มีจำนวนมากที่เราจะไม่เข้าใจ เพราะว่าจะเป็นภาษาเฉพาะของมัน ก็ขนาดมหาปรีชาเขาสอน สอนไปสอนมา อาตมาเป็นลูกศิษย์แท้ ๆ ต้องไปอธิบายแทน
      ถาม :  มีพรสวรรค์ในเรื่องการทำเรื่องอะไรให้มันเป็นเรื่องง่ายไปหมด ?
      ตอบ :  ไปถึงเราก็ลากภาพรวมให้เขา เขียนเป็นแผนผังโยงไปโยงมาให้ ให้เขาเสร็จ แล้วถามพระว่าทีนี้ง่ายขึ้นไหม ทุกคนก็บอกว่าง่ายขึ้น แต่ถ้าอ่านร่ายไปตามนั้นนี่ตายเลย มันจะนึกภาพรวมมันไม่ออก
      ถาม:  แล้วที่เขียนกระดานนี่ ลบทิ้งแล้วใช่ไหม ?
      ตอบ:  เขียนใหม่เมื่อไหร่ก็ได้จ้ะ เพราะว่าอันนี้เป็นความเข้าใจ
      ถาม:  สนใจว่าอยากเข้าใจ
      ตอบ:  ถ้าหากว่าเอาแค่เข้าใจน่ะได้ แต่ถ้าจะเอาให้เเม่นยำชนิดแปลได้นี่ไม่ได้ จะต้องท่อง
      ถาม:  แสดงว่าที่เขาแปลบาลีกันเขาต้องท่องกันมา ?
      ตอบ:  ก็นั่นแหละ ยังดีนะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ไม่ต้องท่องทั้งหมด
      ถาม:  ต้องแม่นด้วย ?
      ตอบ:  คือมันจะมีอะไรล่ะ คล้าย ๆ กับว่าแต่ละลำดับ แต่ละขั้นตอนของมันแต่ละเสียงสระของมันอย่างนี้ อย่างอุตุเป็น “นปุงกสลิงค์” คือไม่ใช่เพศชายไม่ใช่เพศหญิง เพราะ อุตุ แปลว่าอากาศ แล้วเขาก็กำหนดว่า “นปุงสกลิงค์” คือไม่ใช่เพศชายไม่ใช่เพศหญิง จะลงด้วยเสียง อะ อิ อุ แต่พอ ยาคุ แปลว่าข้าว ดันเป็น “อิตถีลิงค์” เพศหญิง เราก็เลยโอเค เออ... อย่างน้อยพระแม่โพสพก็เป็นเพศหญิงล่ะวะ บ้าก็บ้าวะ คือคุณจะเอาความรู้ตามตำรามันไม่ได้ เพราะว่าของ “อิตถีลิงค์” คือเพศหญิง ก็จะมี อา อิ อี อุ อู อย่างนี้ พอลง ยาคุ เสร็จมันแทนที่มันจะกลายเป็นไม่ใช่เพศชายไม่ใช่เพศหญิง มันก็กลายเป็นเพศหญิงไป เพราะว่ามีตัวสระอุซ้ำกันไง บ้าดีมั้ย ?
              ลักษณะเดียวกับภาษาไวยากรณ์เหมือนกันน่ะ แบบเดียวกับจะพูดภาษาอังกฤษไปพูดตามไวยากรณ์ก็เพี้ยน แต่พูดโดยธรรมชาติมันไป ของมันลื่น ๆ เลย เมื่อคืนไง ? เมื่อคืน อาจารย์สมพงษ์ เขาถาม อาจารย์เตชะ โทรศัพท์รุ่นไหน ? เขาก็บอกว่า เอจ ตี วัน ซีโร แล้วพวกนั้นก็นั่งเซ่อไป บอกว่า เฮ้ย ๘๓๑๐ โนเกียด้วย คือเขาไม่เคยชินกับสำเนียงพม่า พอเขาไม่เคยชินกับสำเนียงพม่าก็เดี้ยงไปเลย ของเรามันไปลุยกันมาหลายปีก็พอที่จะแยกออก คือพม่าออกเสียง T เป็น ต หมดมุกสถานการณ์ ไม่มี ท ไม่มี ธ ไม่มี ต อย่างของเรา ตัว C มันเป็น ก อย่างเดียว ไม่มีเสียง ค ไม่มีเสียง ซ ไม่มีเสียง ก อย่างของเรา P ก็คือ ป ล้วน ๆ ตัว R เป็นเสียง ย RAW มันอ่าน ยอ KY ออกเสียง จอ ก็เราไปไหม่ ๆ นี่ เราอ่านแล้วครูบาน้อยเขาหัวเราะ จนในที่สุดก็เลยบอกเอาอย่างงี้ คุณอ่านออกเสียงมาผมจะได้จำ นั่นแหละบ้ามั้ยล่ะ ? ตัว T พม่า ถ้าหากว่าตัว T พม่านี่นะมันใช้แทนเสียง ส อย่างมันเขียนว่า TIRI อ่าน สิริ
      ถาม:  แล้วทำไมมันไม่ใช้ตัว Sล่ะ ?
      ตอบ:  ก็มันไม่ใช้ เพราะว่าเสียง จ ออกเป็นเสียง ซ เออ... บ้ากันไปข้าง อย่าพยายามไปเอาอะไรกับมันเลยบอกแล้ว เรียนบาลีนี้ก็พอ ๆ กันนั่นแหละอย่าไปเอาความเคยชินของเรา ต้องประเภทโละของเก่าทิ้งให้หมด ทำตัวเป็นถ้วยเปล่า ๆ แล้วก็ให้ครูเขาเติมน้ำลงไป ถ้าทำเป็นประเภทน้ำเต็มถ้วยใส่ไปเมื่อไหร่มันก็เจ๊ง อาจารย์ใหญ่ยานิกะ เดียวนี้แกพูดประเภทคล่องปร๋อเลย
      ถาม:  ใครนะคะ ?
      ตอบ:  อาจารย์ใหญ่ยานิกะ วัดสะกาย ที่เมือง มุด่ง เจอกันนี่แกพยายามตีสนิทกับเรา คือจะชวนให้เราไปสร้างวัดให้แกบ้าง ภาษาพม่าเราก็ไม่เก่งมอญเราก็ไม่เก่ง อังกฤษเราก็ไล่ท่านไม่ทัน เพราะอังกฤษสำเนียงพม่านี่ท่านพูดอย่างชนิดน้ำไหลไฟดับ เราเองแปลไปได้ประโยคหนึ่ง แกไปสามประโยค เราจะไล่ไม่ทัน ไป ๆ มา ๆ ประเภทตกลงกันได้ตรงภาษาบาลี คนพูดบาลีเป็นธรรมชาตินี่หายากจริง ๆ คือของเขาประเภทผูกประโยคเป็นภาษาปัจจุบันของเราได้นั่นแหละ ของเราเองมันก็แปลก เตลิดข้ามขั้นอีท่าไหนไม่รู้มันแปลได้ แต่หลักไวยากรณ์ไม่ได้ แกก็เลยว่ากันน้ำไหลไฟดับไปเรื่อย รู้สึกว่าบาลีจะง่ายสำหรับเรา เขาก็เลยเล่นบาลีมาตลอด
      ถาม:  สุดท้ายไปสร้างวัดให้ไหมคะ ?
      ตอบ:  เปล่า เขาขอห้าสิบแสน บอกยังไม่ให้
              เรื่องหนังสือพระจะต้องแปลไทยเป็นไทยอีกทีหนึ่ง ก็ลองดูที่เขาเขียนหน้าแรก ๆ ที่ว่านามที่เป็นชื่อของ สัตว์ที่อื่นได้ ก็ต้องฟังแล้วบ้ามั้ยล่ะ ? คือมันต้องนามที่เป็นชื่อของ คนอื่น สัตว์อื่น ที่อื่นได้ อย่างนี้ แล้วเขาเขียนเอาไว้แค่นี้เองแล้วเราไปอ่านตามเขาก็เพี้ยนไปเลย เช่น มนุสโส (มนุษย์) ดิรัจฉาโน (สัตว์เดรัจฉาน) นครัง (เมือง) ชื่อสาธารณะนาม คือเป็นชื่อที่เรียกว่า สาธารณนาม แต่มันจะแค่นั้น นามไม่เป็นที่ทั่วไป เช่น ฑีฆาวุ (กุมารชื่อฑีฆาวุ) เอราวโณ (ช้างชื่อเอราวัณ สาวัตถี (เมืองชื่อสาวัตถี) เป็นต้น ชื่ออสาธารณนาม ไม่ต้องอ่านหรอก ท่องได้ทุกคำจริง ๆ บอกให้ตายดิ้นเถอะ มันเองท่องทุกคำจริง ๆ นะ ท่องกันหัวจะระเบิดอยู่เนี่ย คือมันจะไป sense ทีหลังไง เพราะมันมีแปลโดยพยัญชนะ แปลโดยพยัญชนะนี่ว่าตามตัวอักษร พยัคโฆ อันว่าเสือ โภชนัง อาหารคือข้าว ภุญชติ กินแล้วก็เสือกินข้าว นี่แปลตามพยัญชนะ บ้ามั้ยล่ะ ? เสือบ้านเองจะกินข้าว ก็ต้องมาแปลโดยอรรถโดยสำนวน แล้วก็มาแยกศัพท์ พยัคโฆอันว่าเสือโภคือผู้เจริญ ชนัง คือคน ภุญชติคือกิน เสือกินคน ถ้าหากว่าดูตามศัพท์ก็บ้ากับมันไปเลย แต่คราวนี้พอมาแยกศัพท์ก็ได้ใจความ พยัคโฆ โภชนังภุญชติ