ช่วงแรกของเล่ม "กรรมฐาน ๔๐"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนตุลาคม ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ……….(ถามเรื่องพระโสดาบัน)...............
      ตอบเป็นพระโสดาบันนี่ กระแสของการปรารถนาพุทธภูมิมันจะขาดลง เพราะว่าแทนที่จะเกิดต่อ กลายเป็นพระอริยเจ้าไปแล้วนี่ กระแสจะขาดตั้งแต่ช่วงนั้น พระโสดาบันอย่างหยาบต้องเกิดอีก ๗ ชาติ เรียกว่า สัตตักขัตตุง เจ็ดครั้งเป็นอย่างยิ่ง คือจากคนเป็นเทวดา จากเทวดาเป็นคน สลับไปอย่างนี้ รวมแล้วพอครั้งสุดท้ายก็ไปนิพพานเลย อย่างกลางเขาเรียก โกลังโกละ จากตระกูลสู่ตระกูล เทวดาไปเป็นคน คนไปเป็นเทวดา แล้วไปนิพพานเลย แล้วก็ เอกพิชี ผู้มีพืชอันเดียว คือเกิดครั้งเดียว แต่ว่าตายจากชาตินั้นก็ไปเลย เพราะฉะนั้นคนประเภทนี้ เขาไม่ไปตามพระโพธิสัตว์ให้เสียเวลาหรอก เขามีทางไปของตัวเอง
      ถาม :  เวลาดอกไม้กันขโมย ทำกันอย่างไร ?
      ตอบดอกจากด้านมุมขวาของบ้าน หันหลังให้บ้านแล้วก็มุมขวาสุดตอกอันลงไปก่อน แล้วก็ไล่วนขวาไป หลังขวา หลังซ้าย แล้วหน้าซ้ายตอกให้จมมิดอย่างเดียวอย่างอื่นไม่ต้องใครก็ได้ ให้จมดินไปได้ก็แล้วกัน จริง ๆ มันก็มีวิธีง่าย ๆ แต่ต้องขยันหน่อย คือ ฝากบ้านไว้กับเทวดา เดี๋ยวจะบอกวิธีให้
      ถาม :  หนูสงสัยว่าคนเรานี้ อายุขัยเกิดจากอะไร ?
      ตอบกรรมเป็นตัวกำหนด สิ่งที่เราทำมาจะเป็นตัวกำหนด ถ้าเราศีลดี อายุจะยืน ถ้าศีลเฮงซวยห่วยแตกอายุก็จะสั้น โดยเฉพาะปาณาติบาต ทำให้หนัก ๆ ไว้เถิด อายุสั้นทุกราย เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าศีลไม่ทรงตัวอายุจะสั้น ถ้าทรงตัวอายุยืนมาก ๆ อย่างต้นกัปอายุยืนเป็นแสน ๆ ปี
      ถาม :  ...............(คุยเรื่องตัวเบา).............
      ตอบ :  ได้มาแล้วใช่ไหม อย่างนี้ไม่ใช่ตัวเบาลูก มันเดินเร็ว หลวงพ่อไปทองผาภูมิ เดินบิณฑบาต ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าตอนแรก ๆ คนงานมอญ คนงานพม่า มันอาสาไปหิ้วกับข้าวให้ หลังจากนั้นไม่นานมันก็เลิกไปกันหมด ตอนหลังเขาบอกว่าเขาเดินตามไม่ทัน เขาเหนื่อยมากเลย หัวหน้าคนงานคือ สมบัติ เขาแปลกใจ ปกติพวกคนงานเดิน หัวหน้าสมบัติต้องวิ่งไล่ตาม แล้วพวกที่เดินขนาดนั้น ต้องมาไล่ตามเรา มันเป็นยังไง เขาก็เอามอเตอร์ไซค์ไล่ไป เขาบอกขี่มอเตอร์ไซค์ไล่เราไม่ทัน อันนี้ก็ไม่รู้เรื่อง เพราะเราภาวนาไป เดินไป ก็รู้สึกว่ามันสบาย ๆ ไม่รู้สึกว่ามันผิดปกติเลย แต่ว่าอีตานั้นเอามอเตอร์ไซค์ไล่แล้วไม่ทัน มันก็เลยไปลือกันยกใหญ่เลย
              ส่วนอีกทีหนึ่งก็ ตอนนั้นเดินไปชมพื้นที่ต้นน้ำของสถานีวิจัยเพื่อรักษาต้นน้ำแม่กลอง คราวนี้เดินไป ห่างจากสถานีอีก ๖ กิโล แล้วเหลืออีก ๑๐ นาที จะเที่ยง เขาบอกว่าจะนิมนต์ฉันเพล ไกลขนาดนั้นเดินยังไงก็ไม่ทันอยู่แล้วใช่ไหม ? ก็บอกว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าเดินถึงก็กิน ถ้าเดินไม่ถึงก็ไม่ต้องกิน ก็ตั้งใจภาวนาแล้วเดินไป คนวิ่งไล่ เขาบอกว่าไล่จนเลือดกำเดาไหลเลย เราก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเราดินไปถึงนี่ เวลายังเหลือ ก็เลยนั่งฉันต่อ ปรากฏว่าอิ่มก่อน แล้วทางด้านนี้เขาส่งรถไปรับ ไปสวนตรงทางเข้าหน่วยพอดี ก็บอกไปรับข้างหลังแล้วกัน แล้วเราก็เดินเข้าไป ให้เขาประเคน ฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเพิ่งจะมาถึง
              เรื่องอย่างนี้บางที มันเกิดขึ้นแล้วเราก็ไม่รู้ตัว แล้วเขาก็เอาไปพูดกันเอง แต่เรารู้สึกว่าเดินปกติ ๆ นั่นแหละ ทำใจสบาย ๆ ถึงก็กิน ไม่ถึงก็ช่างหัวมัน คาถาบทเดียวนั่นแหละลูกลองดู
              เมื่อกี้พูดถึงวิธีฝากบ้านกับเทวดา ต้องหาทรายมากะบะหนึ่ง ใส่ถาดก็ได้ ใส่กะบะก็ได้ เสร็จแล้วก็วางไว้หน้าหิ้งพระ ตั้งใจขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา ทั้งหมด โดยเฉพาะพระภูมิเจ้าที่ ช่วยดูแลรักษาความสงบของบ้านด้วย อย่าให้ข้าวของอะไรสูญหาย หรือเสียหายระหว่างที่เราไม่อยู่ เสร็จแล้วก็ตั้งใจ จุดธูปห้าดอก ว่า นะโมสามจบ ปักธูปดอกที่หนึ่งทางทิศเหนือ ว่าคาถาว่าเวสสุวรรโณ ดอกที่สองทิศตะวันออกว่า วิรุฬปักษี ดอกที่สามทางทิศใต้ว่า วิรูปักษา ดอกสุดท้ายทางทิศตะวันตกว่า ธตรโฐ ดอกสุดท้ายปักตรงกลางว่า นะโม พุทธายะ เวสสุวรรโณ วิรุฬปักษี วิรูปักษา ธตรโฐ นะโมพุทธายะ ปักเวียนขวาไป ดอกแรกเอาทางด้านทิศเหนือ แล้วไล่ไปทีละทิศ พอครบแล้ว ดอกสุดท้ายปักตรงกลางว่า นะโมพุทธายะ พระพุทธเจ้าห้าองค์ เพียงแต่ว่าต้องขยันทำทุกวัน ไม่เหมือนไม้กันขโมย ตีแล้วลืมได้เลย
      ถาม :  ทรายนี้ เล็ก ๆ ได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  เล็ก ๆ ก็ได้จ้ะ เอาแบบที่เขาใส่ขนมหม้อแกง กำลังดีเลย ไม่ต้องใหญ่ ไว้หน้าหิ้งพระ ถ้าจะฝากกันตรง ๆ ต้องอย่างนี้ ถ้าหากว่าเราไม่มีใครอยู่บ้านก็ใช้วิธีนี้แหละ ท่านอนุญาตให้ ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา มีพระภูมิเจ้าที่เป็นที่สุด ให้ช่วยสงเคราะห์ดูแลทรัพย์สินทั้งหมด อย่าให้สูญหาย อย่าให้เสียหาย เสร็จแล้วก็ตั้งใจ จุดธูปปักไปเลย อย่าลืมนะ ดอกสุดท้ายตรงกลาง
      ถาม :  ท้าวมหาราชทั้งสี่หรือเปล่า ?
      ตอบ :  ไม่รู้เหมือนกันว่าใช่หรือเปล่า เพราะว่าชื่อไม่ตรง แต่ท่านบอกมาอย่างนี้ ถ้าอยู่ไม่ต้องหรอกจ้ะ
      ถาม :  สู้ขณะเป็นพระกับ สู้ขณะเป็นฆราวาส อย่างไหนง่ายกว่ากัน ?
      ตอบ :  ขณะเป็นพระได้เปรียบกว่าเยอะ เพราะมันจำกัดอยู่ด้วยศีล ถ้าหากประเภทไม่หน้าด้านหน้าทนจริง ๆ ชั่วอย่างไร มันก็ไม่หลุดจากขอบของศีลหรอก
      ถาม :  ผมว่าเป็นฆราวาสนี่ มีเรื่องกวนใจทุกวัน
      ตอบ :  คือชีวิตฆราวาสนี่ เหมือนกับว่าเราปล่อยเราไว้ในป่ากับเสือตัวหนึ่ง บางทีเดินทั้งปีไม่เจอเสือตัวนั้นหรอก แต่ชีวิตของพระนี่ เขายัดเข้ากรงไปกับเสือตัวนั้น มันก็เลยฟัดกันอยู่ทุกวันนั่นแหละ จนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง
      ถาม :  เราว่าเราใจเย็น แบบไม่มีใครเหมือน พอเก็บเงินสักก้อน ก็จะบ๊ายบาย ไม่รู้ตอนนั้นจะไหวหรือเปล่า
      ตอบ :  ระวังเอาไว้ มันจะประเภทอีกหน่อยหนึ่งก็ได้ ๆ เดี๋ยวตายห่าเสียก่อนไม่ได้ทำหรอก หรือไม่ก็คลานไม่ไหวแล้ว แก่เกินแกง พวกเรามันยังได้เปรียบ คือ มันคิดมุ่งไปทางนี้ตั้งแต่อายุมันยังไม่มาก ใช้คำว่ายังไม่มาก เพราะว่าถ้าคนทุกข์มาก ๆ อยู่มาขนาดนี้ เหลือจะเข็นแล้ว เพราะฉะนั้นมัว แต่ไปประมาทอยู่ว่ากูยังไหว เดี๋ยวเสร็จ ตายเสียก่อนก็หมดเลย
      ถาม :  ผมว่ากว่าจะได้เกิดเจอพระนี่ก็ยากแล้ว
      ตอบ :  สุดแสนจะสาหัสสากรรจ์ ก็ไปอธิบายให้เขาฟังว่า พระพุทธเจ้าของเรานี้นะ ปรารถนาโพธิญาณมาตั้งแต่สมัยไหน แล้วไล่ไปทีละองค์ ๆ สี่อสงไขยกับแสนมหากัป กว่าจะมาถึง พระพุทธกัสสป แล้วตัวเองจะได้ตรัสรู้ไปไล่ให้เขาดู มันร้องโอ้โห...กันทั้งนั้น ช่วงที่สั้นที่สุดนะ ที่มีพระพุทธเจ้าจากกัปนี้มากัปนี้นะ ห่างกัปหนึ่งอัตรกัป สั้นที่สุด ช่วงที่ยาวที่สุดห่างกันหนึ่งอสงไขยกัป
              แล้วคุณลองคิดดูสิ ถ้าหากว่าไปเจอช่วงที่ยาวที่สุด ตายหอมตายกระเทียมเลย แล้วมันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ยาวที่สุด ห่างหนึ่งอสงไขยกัป แล้วมีพระพุทธเจ้าองค์เดียว แล้วห่างอีกหนึ่งอสงไขยกัป ถึงจะเจออีกสององค์ ก็เวรเลยล่ะ ถ้าไปเจอช่วงอย่างนั้นเข้า ต่อให้โชคดีขนาดไหน เกิดทันขนาดไหนก็โอกาสพลาดมีสูงมากเลย
      ถาม :  กิเลสมันยวนครับ ชนะยากเหลือเกิน
      ตอบ :  ก็ถึงได้บอกว่าพระพุทธเจ้านี่ เป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นได้ยาก มีคนเขาถามว่าพระพุทธเจ้ามีความรู้ความสามารถขนาดนั้น สงเคราะห์คนได้ขนาดนั้น ทำไม่ไม่เกิดมาหลาย ๆ องค์ จะได้ช่วยกัน จริงไหม ลองคิดดูสิ สี่อสงไขยกับแสนมหากัป หลักสูตรนี้มันผ่านง่ายนักเหรอ นี่อันดับแรก
              อันดับที่สองพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ พระธรรมเป็นสิ่งมหัศจรรย์ นะ ถ้าหากว่าเกิดมาเยอะ ๆ มันก็ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ ไม่ใช่ของแปลกแล้วใช่ไหม ก็หลวงปู่องค์นั้นก็เจอ หลวงพ่อองค์นั้นก็เจอ มันจะเป็นของแปลกอะไร คนก็จะไม่เห็นคุณค่าของพระพุทธ ของพระธรรม
              อันดับสุดท้ายนี้บรรลัยที่สุดเลย บรรดาลูกศิษย์นี้จะตีกันแหลกลานเลย พระพุทธเจ้าของกูเก่งกว่า ของมึงสู้กูไม่ได้ รับรองว่าต้องแหลกแน่ เลยกลายเป็นว่าต้องเกิดขึ้นทีละองค์เดียว ปัญหานี้คนถามมันน่าเตะมากเลย อาตมาก็ไม่คิดว่าจะไปแคะคำตอบมาให้มันหรอก แหม...มันน่าเตะจริง ๆ คนถามอย่างนี้
      ถาม :  แต่อ่านหนังสือหลวงปู่อ่ำครับ ท่านไม่เขียนเรื่องพระเจ้าตากสินกับรัชกาลที่หนึ่งเหรอ
      ตอบ :  คือถ้าหากว่าคนรู้ในระดับนั้นก็คือรู้เหมือนกัน
      ถาม :  เขียนไว้ด้วยนะครับว่าในหลวงเป็นใครมาเกิด
      ตอบพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ลูกชายของ พระเจ้าตะวันอธิราช ท่านบอกว่าเดือนเด่นฟ้า เป็น ภูมิพล แหม...ว่ากันชัดเป๊ะเลย
      ถาม :  ตอนแรกผมอ่านแล้ว เห็นว่าจะนำเรื่องขึ้นไปถวายด้วย
      ตอบ :  ไม่จำเป็นหรอก ในหลวงท่านรู้เสียยิ่งกว่ารู้อีก
      ถาม :  ผมว่าเขียนไม่เยอะนะครับ เมื่อกรุงเทพมหานครเป็นราชธานี เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง ก็สงสัยว่าเล่นมากำหนดไว้ชัดเจนอีกแล้ วถ้าระหว่างทาง สมมุติในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์บารมีเข้มแล้ว พอก่อนลงมาถึงชาติปัจจุบันท่านดันเป๋ไปเสียก่อน แต่ในเมื่อในหลวงองค์ภูมิพลยังไงก็ต้องมี แล้วจะมีพระโพธิสัตว์อื่นลงมาเป็นแทนหรือเปล่า
      ตอบ :  ก็เอา...องค์ไหนก็ได้ ให้ชื่อภูมิพลก็แล้วกันคือยังไง ๆ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น คือว่าในสิ่งที่ท่านรู้นี้เหมือนกับท่านดูหนังจบเรื่องแล้ว
      ถาม :  .........................................
      ตอบ :  คิดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า ๗ อสงไขยกับแสนมหากับ ออกปากว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า ๙ อสงไขยกับแสนมหากัป ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป มันสาหัสไหม ? นี่ต่ำสุดนะ ถ้าหลักสูตรต่อไปก็เพิ่มเท่าตัว ๆ ไม่ต้องเห็นต้นไม่ต้องเห็นปลายเลย
      ถาม :  ผมยังสงสัยของหลวงพ่อ ถอยมา ๑๐ อสงไขย ตอนนั้นหลวงพ่อเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเจอสมเด็จพระพุทธเจ้า แล้วก็เลยปรารถนาและได้รับการพยากรณ์สมัยนั้น ก็สงสัยว่าถ้าไม่เคยทำบุญที่ดี ที่มั่นคงมาก่อน ทำไมเกิดเป็นพระราชาก่อนได้อย่างไร แสดงว่าจริง ๆ แล้ว ก็ต้องมีมาก่อน
      ตอบ :  ก็แสดงว่าของท่านเอง ท่านก็ฟาดมาสามสี่สิบแล้ว
      ถาม :  พูดเป็นตัวเลขนี่นิดเดียว
      ตอบ :  สมัยที่ท่านอธิษฐานแล้ว ได้รับการพยากรณ์ตอนช่วงนั้นท่านบอกว่า ภูกระดึงเป็นเกาะเล็ก ๆ อยู่กลางทะเล
      ถาม :  แต่มันก็เสื่อมลง เกิดขึ้น อยู่แล้วนี่ครับ
      ตอบ :  มันก็ใช่ แต่เรามานึกว่า เมื่อแค่สองพันห้าร้อยกว่าปี ทะเลอยู่ตรง นครปฐม ผ่านไปสองพันห้าร้อยกว่าปีทะเลมันอยู่สุดเพชรบุรีแล้ว แล้ว ถ้าลองคิดดูว่าอีกสองพันห้าร้อยกว่าปีมันจะไกลอีกเท่าไรก็ไม่รู้
      ถาม :  ถ้าภูกระดึงเป็นเกาะเล็ก ๆ ตอนนั้นมีแต่น้ำเลยซิครับ
      ตอบ :  พระพุทธเจ้าท่านเสด็จโดยการเหาะไป ไปเพื่อสงเคราะห์
      ถาม :  อ๋อ...นี่ล่าสุดเหาะลงหนังสือพิมพ์เลย
      ตอบ :  นั่นมันเฮงซวยจริง ๆ เราก็ เอ...แปลกใจ ทำไมอยู่ ๆ เจอนิมิตบ้า ๆ บอ ๆ คือว่าวันนั้นมันนิมิตว่าคนมันแตกตื่นเล่าลือกันว่า เจอปลาเข็มตัวเท่าท่อนซุง เราก็ไปดู ไอ้บ้าเอ๊ย...ปลาเข็มตัวกระจึ๋งนึง แล้วมันลือกันไปได้อย่างไร เสร็จแล้วไปดูหนังสือพิมพ์ อ้าว...อุเพ็งคาปีติ แค่นี้แตกตื่นกันได้ทั้งบ้านทั้งเมือง ถ้ามันเห็นสมัยตูฝึกมันไม่ช็อกตายหรือวะ ไอ้ที่ลอยตัวนั่น เป็นแค่อุเพ็งคาปีติ มันยังไม่ขึ้นชั้นอนุบาลเลย
      ถาม :  อ้าว...ทำไมเขาโชว์ได้
      ตอบ :  ก็ทำไมโชว์ไม่ได้ มันฆราวาส
      ถาม :  อ๋อ...ทีนี้จะรักษาได้ไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง
      ตอบ :  รักษาได้หรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง รักษาได้แค่นั้น มันซวยอยู่แค่นั้นแหละ เพราะอารมณ์มันไม่ถึงฌานสักทีหนึ่ง เคยไปถามหลวงพ่อว่าวิชาตัวเบามันเป็นอย่างไร ท่านบอกว่าก็อุเพ็งคาปีตินั่นแหละ รักษาระดับให้มันอยู่ตรงนั้น นึกเมื่อไร มันก็ลอยเมื่อนั้น
              ตอนนั้นแกโชว์วิชาตัวเบาไปเรื่อย ๆ แล้วก็คิดว่าเป็นแก่น ทั้ง ๆ ที่สะเก็ดยังไม่ได้เลย เราถึงได้เข้าใจนิมิตที่เขาเห็นปลาเข็มตัวเท่าท่อนซุง แล้วเราไปดูก็คือปลาเข็มธรรมดา มันก็คือเรื่องนี้เอง เป็นไงท่อนซุงของมัน ไม้จิ้มฟันของเรา บ้าจริง ๆ
      ถาม :  แล้วมันไม่ทำให้...........
      ตอบ :  คุณจำเอาไว้ว่า เรื่องของฤทธิ์ พระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญเพราะว่า คนไม่ได้ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง
              ดังนั้นมันจะไปยึดตรงฤทธิ์ตรงเดช ก็ทำให้ไม่เข้าถึงมรรคผล ท่านก็เลยสั่งห้ามพระสาวกไม่ให้แสดง ถ้าเกิดจากศรัทธาที่แท้จริงเมื่อไรนี่ ตัวเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะเกิดจากจริงใจ นี่คือข้อแรกของพระโสดาบันเลย ตูขี้เกียจไปอธิบายหรอกว่ามันเป็นยังไง ไม่งั้นคนก็สงสัยว่าพระพุทธเจ้าแสดงได้ พระอัครสาวกแสดงได้ พระมหาสาวกแสดงได้เยอะแยะขนาดนั้น ไปห้ามทำไม
      ถาม :  แต่บางทีก็เหาะกันมาทั้งหมดเลย
      ตอบ :  นั่นมันจำเป็น ก็ไม่ได้เหาะให้เขาเห็นชัด ๆ นี่ พอถึงตรงที่ลับ ท่านก็เดินลงแล้วก็เดินย่ำต๊อกไป แบบเดียวกับหลวงปู่อายุ ๙๒ ปี ที่วัดท่าซุงนั่น ถามท่านบอกว่า ในขอบเขตของความเป็นสงฆ์ ผมจะแสดงอภิญญาได้สักขนาดไหนครับ ? ทานก็บอกว่า จำไว้นะลูก การที่เราจะเป็นพระที่แท้จริงต้องยอมรับกฎของกรรม ปู่แก่แล้ว อายุ ๙๐ กว่า ถ้าข้ามถนน ปู่ก็ต้องเดินท่านก็เดินถือไม้เท้า ตัวสั่นตัวงอ สะดุดล้มป้าบ ปากแตก ลุกขึ้นมาเช็ดเลือดบอกนี้แหละลูก จำไว้ว่าถ้าร่างกายมันเป็นอย่างนี้ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าจำเป็นปู่จะทำอย่างนี้ พูดไม่ทันจบ ท่านมายืนชนกับเรามาตอนไหนก็ไม่รู้ เสร็จแล้วท่านก็ทำภาพให้ดูว่า บ้านโยมเขาอยู่กลางทุ่ง กำลังมีงานทำบุญบ้านอยู่ แล้วก็บ่นว่า ไม่รู้หลวงปู่เป็นอย่างไร ป่านนี้ยังไม่มาเลย เป็นลมเป็นแล้งไปหรือเปล่านี่ พวกเราให้ใครไปดูซิ ท่านพอได้ยินก็ประเภทห่มจีวร ครองผ้า ถือไม้เท้าลงกุฏิ ก๊อก ก๊อก สามทีเท่านั้นแหละ ไปโผล่ตีนบันไดบ้าน พวกญาติโยมก็ดีอกดีใจกันใหญ่ บอกหลวงปู่มาแล้ว ๆ ก็บอกว่า หลวงปู่ทำไมถึงมาช้านักล่ะ ก็บอกว่าคนแก่ก็เดินช้าหน่อย ช้าประสาอะไรวะ สามทีถึงเลย แล้วท่านก็บอกว่านี่แหละ เพื่อรักษากำลังใจคนหมู่มากที่เป็นบุญเป็นกุศลไม่ให้กำลังใจเขาลดลงในส่วนบุญนั้นก็ทำได้ แต่ก็ไม่ได้ทำอวดเขา ท่านอาศัยช่วงเขาเผลอ ปุ๊บเดียวไปเลย
      ถาม :  ผมรู้สึกฟังหลวงพี่มันง่ายครับ แต่ไม่รู้มันติดตรงไหน ทำไมมันทำไม่ได้สักที ?
      ตอบที่เราทำไม่ได้ เพราะไม่ยอมรับกฎของกรรมจริง ๆ เราเห็นคนลำบากปุ๊บ เราจะช่วยเขาท่าเดียว แต่คุณไม่ได้ดูว่าเขาลำบากตรงไหน เห็นคนง่อยเปลี้ยเสียขามา แค่นึกให้มันหายมันหายเลยนะ ถ้าเป็นอภิญญาใหญ่จริง ๆ แล้วคุณรู้ไหมว่าก่อนจะง่อยเปลี้ยเสียขา มันไปทำอะไรมา มันเกิดจากโทษอะไร คุณมุ่งที่จะไปสงเคราะห์เขาอย่างเดียว โดยที่ฝืนกฎของกรรมมันก็บรรลัยนะซิ ประเภทถึงเวลาไอ้นั่นชั่วนักปล้นเขา คุณไปไล่ฆ่าเขาทิ้งอย่างนี้ กฎหมายบ้านเมืองมันจะเหลือหรือ ถ้ายังยอมรับตรงจุดนี้ไม่ได้ อภิญญาสมาบัติของคุณเกิดยาก
      ถาม :  ทั้ง ๆ ที่ของเก่าเยอะหรือครับ
      ตอบ :  ใช่โดนล็อคเอาไว้แหง ๆ ........พวกสันดานเสีย มุ่งจะช่วยเขาอย่างเดียว ไม่ดูตาม้าตาเรือ
      ถาม :  แล้วเมื่อไรจะได้ครับ ?
      ตอบ :  อยู่ที่ตัวเรา ยอมรับวันไหนก็ได้วันนั้นแหละ
      ถาม :  จริง ๆ ก็ตัวอุเบกขา ?
      ตอบ :  ก็นั่นแหละ อุเบกขาในฌาน มันมีตั้งแต่อุเบกขาในเมตตา รักหวังสงเคราะห์เขา แต่ยังทำไม่ได้ อุเบกขาในกรุณา สงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์แต่ยังทำไม่ได้ อุเบกขาในมุทิตา ถึงจะพลอยยินดีด้วยก็ตาม แต่ถ้าหากว่าสิ่งนั้นยังไม่ใช่เรื่องของธรรมของวินัยอย่างแท้จริง เราก็พยายามรักษาอารมณ์สงบใจของเราไว้ อุเบกขาในอุเบกขา ถ้าหากว่าหมดทางจริง ๆ ก็จำเป็นต้องปล่อย ปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม
      ถาม :  อย่างนี้ ถ้าผมเดินไปเจอคนง่อยเปลี้ยเสียขา ผมก็แค่ให้เงินเขากินข้าว แค่นี้ถือว่าพอไหมครับ ?
      ตอบ :  ก็เหลือเฟือแล้ว สงเคราะห์เขาในด้านที่เราทำได้ แต่ไม่ใช่ไปฝืนกฎของกรรม เขาขาดเสื้อผ้าให้เสื้อผ้าเขา เขาขาดอาหารให้อาหารเขา ขาดที่อยู่อาศัย สามารถช่วยได้ หาที่อยู่อาศัยให้เขา แต่ไม่ใช่ไปทำให้มันหาย ยกเว้นเราจะรู้จริง ๆ ว่า วาระกรรมของคน ๆ นั้นมันหมดลงแล้ว ก็เอาเหอะให้มันหายวิ่งปร๋อเดี๋ยวนั้นเลยก็ได้ พระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ ในปฐมสมโพธิกถาบอกว่าคนตาบอดก็กลับเป็นคนตาดี คนง่อยเปลี้ยเสียขาก็กลายเป็คนขาดี นักโทษที่โดนจองจำอยู่ก็หลุดจากเครื่องจองจำทั้งปวง ต้นผลไม้ที่ไม่ใช่ฤดูก็ออกดอกออกผลกันหมด แสงสว่างไปทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุ แม้กระทั่งอเวจีมหานรก ที่มืดมิดอยู่ตลอดก็ยังสว่างขึ้นวูบหนึ่ง มันต้องระดับนั้น เปลี่ยนทุกอย่างจากร้ายกลายเป็นดี ต้องบารมีระดับสี่อสงไขยกับแสนมหากัปเป็นอย่างน้อย
      ถาม :  แล้วอย่างผม ตอนเด็ก ๆ เคยนึกว่า ถ้าเราตั้งใจ ไม่ว่าเรื่องอะไรนี้เราทำได้แน่ ๆ แต่พอโตมาทำไมกำลังใจส่วนนี้มันลดลง
      ตอบ :  อันดับแรก กิเลส ตัณหา อกุศลกรรม พอกมากขึ้น ตามจังหวะและอายุ อันดับต่อไป พอมีครอบครัวแล้ว จิตใจที่เคยมุ่งมั่นมันก็ลดลง เพราะมัวแต่ไปให้ความสนใจกับครอบครัวอยู่ เอาอย่างนี้แล้วกัน คนที่ประเภทเคยตีกับเขาเป็นประจำ ถึงเวลาเคยออกหน้าเลย พอมีลูกมีเมียแล้วมันไม่ไปแล้ว
      ถาม :  ไม่อย่างนั้น ป่านนี้ก็วิ่งเข้าใส่ผ้าเหลือง โกนหัวบวชเป็นพระไปแล้ว
      ตอบ :  ช่วยไม่ได้ โอกาสมันเลยไปแล้ว ต้องรอแจ๊คพ็อตอีกรอบหนึ่ง
      ถาม :  ต้องรอรถคว่ำเมียกับลูกตาย ตัวเองรอดคนเดียว ถึงมีโอกาส
      ตอบ :  ถึงเวลารถคว่ำแล้ว เราตายคาที่ เมียกับลูกไม่เป็นไรเลย ของเราพอมาถึงจุดนี้จึงได้เห็นว่ากำลังใจของพระพุทธเจ้าท่านสุดยอดจริง ๆ บริจาคลูกเมียเป็นทาน แล้วของท่านนี่ ปากเสียงแม้แต่น้อยหนึ่งก็ไม่เคยมี ทำตัวเป็นทาสมาตลอด เป็นคุณ ๆ คุณสละไหวไหมล่ะ ?
      ถาม :  ผมแค่นึกถึงว่า แค่สละสร้อยทองบนคอยังเสียดายเลย ผมยังนึกเสียดายเลยที่บอกทำบุญบูชาพระธาตุ ผมรู้สึกว่าโอกาสไม่ใช่ว่าจะมีอีกสักกี่ครั้งในชีวิต ทำไมตอนนั้นเราสละไม่ได้ เคยตั้งใจว่าจะทำให้ได้ พอถึงเวลาก็มาติดโน่นติดนี่
      ตอบ :  นั่นแหละคือ กำลังใจของมันยังไม่เป็นจาคานุสติเต็มที่ ถ้ามันเต็มที่ถึงเวลามันพร้อมให้ทุกอย่าง ของเราถึงเวลาไปหาพระผู้ใหญ่ไปหาหลวงพ่อสมเด็จ เอาพระที่เราอุตส่าห์สะสมเอาไว้ แต่ละองค์ล้วนแต่เจ๋ง ๆ ทั้งนั้น ไปไล่ถวาย คนอื่นก็น้ำลายเรี่ยราดเป็นทางไปเลย แล้วมันก็สงสัยว่าเราให้ได้อย่างไร ก็บอกเขาว่าของทุกอย่างมันมีประโยชน์แก่คุณตอนคุณมีชีวิตอยู่เท่านั้น ถ้าตายแล้วคุณแบกไปได้ไหมล่ะ ? ในเมื่อแบกไปไม่ได้ สิ่งเดียวที่คุณเอาไปได้ คือ อริยทรัพย์ ที่เป็นบุญเป็นกุศล ถ้าคุณไม่รีบทำเอาไว้ แล้วเมื่อไรมันจะได้ทำ
      ถาม :  พระที่ห้อยคอนี่เอาไปหล่อไม่ได้ใช่เปล่า ?
      ตอบ :  ไม่ได้ อะไรก็ตามที่เป็นรูปพระ ถึงจะแตกหักอย่างไร ไม่มีสิทธิไปทำลายเพื่อหลอมใหม่ หรือเพื่อปั๊มใหม่ เขาปรับโทษทำลายพระพุทธรูปเลย อเวจีมหานรกที่เดียว ถ้าหากว่าแตกหักเสียหายในลักษณะนั้นแล้ว เรารู้สึกไม่สบายใจ ที่จะติดตัวเอาไว้หรือติดบ้านเอาไว้ ให้บรรจุพระที่องค์ใหญ่กว่าเพื่อบูชาต่อไป คนอื่นใครเขาทำให้เขาทำ เราอย่าไปทำแล้วกัน โทษทำลายพระพุทธรูปนี่สาหัสสากรรจ์นักแล
              มีบางคนเอาผ้าเหลืองไปเช็ดเท้าใช่ไหม ? อย่างนั้นจำไว้ให้แม่นเชียวนะ อย่าทำเป็นอันขาด อย่างน้อย ๆ ธงชัยพระอรหันต์ ถ้าจิตเราหยาบถึงขนาดเอาธงชัยพระอรหันต์มาเช็ดเท้าได้ ต่อไปมันก็ทำกรรมที่หนักกว่านั้นได้
      ถาม :  ...........(คุยเรื่องหลวงพ่อรับแขก).........
      ตอบ :  เวลาอยู่ใกล้หลวงพ่อจะได้ประโยชน์มหาศาลเลย เพราะว่าเวลากำลังของพระท่านคุมลงมาก็พลอยคุมเราไปด้วย เราจะรู้หมดเลยว่าเขาถามปัญหานี้แล้วหลวงพ่อจะตอบอย่างไร มันจะตรงหมด แล้วหลวงพ่อจะให้แจกของให้คนที่เขาทำบุญตามจำนวนเงินที่เขาทำมา ถ้าหากว่าพันหนึ่งให้อันหนึ่ง ห้าร้อยให้อันนี้ อันนี้ร้อยหนึ่ง ไม่ถึงร้อยให้อันนี้ ของเราไม่ต้องเปิดซองดูเลย มาถึงก็ปุ๊บปั๊บ ๆ ให้เลย บางอันมาถึงก็ฉีกควับ โยนถังขยะให้แหนบไปอันหนึ่ง เล่นเอาเพื่อนตาเหลือกเลย ฉีกซองทำบุญเขาทิ้งท ไม ปรากฏว่าไปเปิดมาดู มีกระดาษหนังสือพิมพ์มาแผ่นหนึ่ง มันอยากได้ของแต่ไม่มีตังค์ เอากระดาษใส่มา
      ถาม :  แล้วอย่างนี้บาปไหมครับ ?
      ตอบ :  จะบาปอะไรเล่า เราก็รู้อยู่ มันก็รู้อยู่ เราฉีกซองไปแล้ว ก็ให้ของมันไปอันหนึ่ง ตาเพื่อนตาเหลอืกเลย รีบตะครุบดู ตอนช่วงนั้นความคล่องตัว ความเป็นทิพย์นี่ ได้มหาศาลเลย เพราะกำลังของพระเวลาท่านคุมลงมา ท่านไม่ได้คุมแต่หลวงพ่อ ตรงบริเวณใกล้ ๆ ได้หมดเลย ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาเป็นหรือเปล่า แต่ของเรารับได้เต็ม ๆ เลย ตอนนั้นรู้ไปหมดว่า ถามอย่างนี้ หลวงพ่อจะตอบอย่างไร ความรู้สึกจะบอกเราเองหมดเลย เหมือนยังกับว่าพระท่านบอกให้ตอบอย่างนี้ แล้วเราก็พลอยรู้ไปด้วย
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ ผมนึกให้สมเด็จองค์ปฐมคุมผมอยู่ตลอดเวลาจะได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้านึกได้ก็วิเศษเลย
      ถาม :  จะสอนกรรมฐานเด็กเขาอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  เอาอย่างหลวงพ่อซิ ก่อนนอนว่า “พุทโธ” ดัง ๆ สามครั้ง แล้วนอนได้