ถาม:  ...........................................
      ตอบ :  ...๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัปน่ะ เกิดกันไม่ต้องนับอยู่แล้ว ในเมื่อเกิดกันไม่ต้องนับอยู่แล้ว เอาไว้เฉพาะที่ใกล้ ๆ กันก็ไม่รู้จะเท่าไรต่อเท่าไหร่แล้ว แล้วที่ดีใจถือว่าทุกวันนี้เขาก็ยังเหนียวแน่นกันดี โดยเฉพาะที่ยะลา ศูนย์ใหญ่อยู่ที่บ้าน อ. ระพี เลขะกุล คุณหมอบุญสิทธิ์ อ. ระพี เลขะกุล บ้านนั้นถ้าหากว่าหลวงพ่อลงไปก็จะต้องไปพักที่นั่นเป็นประจำ ที่ยะลาก็เข้มแข็งดีรวมกันได้หลายจุด บ้านนั้น คุณชลัท, คุณชลดา ไชยเทพ, บ้านของคุณปรีชา วีรเมธปกรณ์ เขา... ลูกศิษย์เก่า ๆ ของหลวงพ่ออย่างพวก คุณเซี้ยง ก็ไปร่วม ๆ กับเขา ด้านโกลกก็เยอะ ทางด้านแว้งก็เยอะ ตอนแรกเห็นหน้ายังนึกว่าอิสลาม ที่ไหนได้ไทยพุทธทั้งนั้น
      ถาม :  ผมว่าความเหนียวแน่นบางครั้งอาจจะเป็นเพราะหลวงพ่อเคยไปแสดงบารมีให้รู้ถึงความลึกซึ้ง ทำให้เกิดความปักใจ ?
      ตอบ :  จ้ะ คือ มีลูกศิษย์หลวงพ่อบางท่านที่พอปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้วก็สามารถช่วยคนอื่นเขาได้ ก็เลยยิ่งกลายเป็นที่เลื่อมใสเข้าไปอีกว่า เออ...ขนาดลูกศิษย์ปลาย ๆ แถวยังช่วยได้ขนาดนี้ หลวงพ่อต้องเก่งกว่านี้แน่ แล้วที่ตลกก็คือว่า หลายต่อหลายรายได้สมาธิ ได้อภิญญากันอย่างชนิดที่คล้ายกับว่าถึงเวลาสุกงอมจริง ๆ บางคนกรีด ๆ ยางอยู่อภิญญาเข้าเฉยเลย กรีดยางมันต้องใช้สมาธินะ (หัวเราะ) แล้วหลวงพ่อท่านก็มาบอกว่าให้ช่วยคนอย่างนั้น ให้ช่วยคนอย่างนี้ ต้องใช้อย่างนั้น ต้องใช้อย่างนี้ พอไปทำก็มีผลจริง
              บางคนเป็นทหาร เป็น ต.ช.ด. อยู่ ออกลาดตระเวน เวลาอยู่ในพื้นที่มันตึงเครียด ไม่รู้ทำไงก็อาศัยพระเป็นที่พึ่ง ภาวนาไปภาวนามา อ้าว...หลวงพ่อโผล่มาบอกให้ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ต่อหน้าเฉยเลย ของเขายึดมั่นกันจริง ๆ เพราะว่าของเขาเหมือนกับห่างพระ โดยเฉพาะปัตตานี ยะลา นราธิวาส ๓-๔ จังหวัดนี้ วัดจะน้อยมากและพระปฏิบัติน้อยมาก ก็เลยกลายเป็นว่าถ้ามีพระปฏิบัติลงไปนี่ เขามายังกับคนหิวข้าวเลย ยังไงก็ต้องกอบโกยกินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
      ถาม :  นั่นน่ะ ผมเชื่อตรงนั้นว่าหลวงพ่อเคยไปแสดงบารมีอะไรให้เขาเชื่อ... อย่างผมนี่มีอยู่คราวหนึ่ง ตอนนั้นผมหัดเจริญพระกรรมฐานใหม่ ๆ ก็เอาหนังสือของหลวงพ่อเล่ม “คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน” มานั่งปฏิบัติแล้วบอกให้เพ่งพระพุทธรูปที่เรารักมาก ทีนี้ผมมาติดใจในพระพุทธรูปของพระพุทธชินราช ก็ทำตามที่หลวงพ่อว่านั่นก็คือนั่งหลับตา แล้วก็ให้เห็นภาพของพระพุทธชินราช ผมก็นั่งทำไป ๆ นาน ๆ ก็เห็นเป็นว่าตัวเองนี่กำลังไปก้มกราบพระพุทธชินราชอยู่จริง ๆ แล้วในขณะนั้นก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อพูดหลวงพ่อบอกว่า “ดีแล้วลูก ๆ” มันได้ยินขึ้นมาเลยครับ แล้วเห็นตัวเองด้วยว่า กำลังไปกราบพระพุทธชินราชอยู่ที่พิษณุโลกเลย ผมถึงบอกว่า เอ้อ...ตรงนี้มันแปลกดี ได้ยินหลวงพ่อพูดได้ยังไง...?
      ตอบ :  (หัวเราะ) เออ...อันนั้นท่านรับรองว่า ที่เราทำนั้นถูกแล้ว จริง ๆ แล้ว ลักษณะนั้นมันมโนมยิทธิเต็มกำลังแล้วนะ ไม่ต้องเสียเวลาฝึกมันก็ได้เอง ดู ๆ ลูกศิษย์หลวงพ่อหลายต่อหลายคนก็ชาวบ้านทำมาหากินหาเช้ากินค่ำธรรมดา ไปไหน ๆ บารมีหลวงพ่อท่านก็ตามไปถึง บางทีธุดงค์ไปกลางป่ากลางดงไกลแสนไกลเดินจนท้อ ไปเจอสำนักสงฆ์เล็ก ๆ มีพระองค์หนึ่ง เณรองค์หนึ่ง เข้าไปอาศัยเขา เขาต้อนรับดี พอสอบถามว่ามาจากไหน รู้ว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง วิ่งอ้าวเข้ากุฏิงัดหนังสือหลวงปู่มาให้ดู ประวัติหลวงปู่ปานห่อปกไว้อย่างดีเลย ทะนุถนอมสุดชีวิต (หัวเราะ) เราไปไกลขนาดนั้น หลวงพ่อไปก่อนหน้าเราอีก อย่างน้อยตำราที่ท่านเขียนไปก่อนแล้ว ถึงได้ว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าประเทศไทยหรือต่างประเทศบารมีหลวงพ่อสามารถแผ่ปกคุ้มครองได้หมด มันสำคัญอยู่แต่ที่ว่าเรายึดมั่นท่านจริงจังแค่ไหน ? กำลังใจของเรามันยึดมั่นในลักษณะที่เรียกว่า ยึดในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง ๆ แค่ไหน ?
              มาระยะหลัง ๆ นี่ส่วนใหญ่มาสายอภิญญากัน เด็กเล็ก ๆ ก็เก่ง ไปเจอเด็กผู้หญิงเล็ก ๆ อายุ ๔ ขวบ เรียนอนุบาลอยู่ก็อนุบาล ๑ ชั้นอนุบาล ๒ เด็กคนนี้ตอนแรกครูเขาแปลกใจ เด็กอื่น ๆ เขาวิ่งเล่นกันอยู่ตลอด เจ้านี่นั่งหลับตาอยู่คนเดียว ครูเขาก็ถาม “หนูทำอะไรคะ ?” เขาบอกว่า “นั่งสมาธิค่ะ” บอก “แล้วหนูนั่งแล้วได้อะไร?” บอกว่า “หลวงปู่บอกว่า...ทำน้อยเหมือนได้ทอง ทำมากเหมือนได้เพชร” มันไม่ใช่สำนวนของเด็ก ๔ ขวบแน่นอนเลยล่ะ ถามว่า “หลวงปู่ไหน?” บอก “หลวงปู่ฤๅษีลิงดำ” “แล้วหลวงปู่สอนหนูยังไง?” “หลวงปู่สอนว่า ให้หัดนั่งสมาธิทุกวัน ถ้าก่อนนอนให้ขึ้นไปนอนบนพระนิพพาน” คำสอนหลวงพ่อจริง ๆ แล้วเด็กมันได้เอง เหลือเชื่อไหม ? เขาเป็นของเขาเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าไปตอนไหน ?
      ถาม :  ที่จริงตรงนั้นผมพยายามมองดูว่าทุกคนที่เกิดมานี่ ถ้าหากว่า ลงมาตรงนี้ เพื่อจะมาสร้างบุญ สร้างบารมี มันจะต้องมีอยู่...(ไม่ชัด)...คล้ายจะต้องไปทำหน้าที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อเป็นการที่ว่าเผยแผ่ศาสนา ก็อย่างผมเองตอนเล็ก ๆ เขาทายผมตั้งแต่ไม่จบ ป.๖ ด้วยซ้ำไปว่าโตขึ้นมาผมต้องเป็นครู ผมยังเถียงอยู่ ผมก็ไม่ยอมเบนไปทางนั้นเลย เป็นสิบ ๆ ปี ที่ผมไม่ยอม จบปริญญาตรีแล้วผมก็ไม่ยอมเป็น แต่พอถึงเวลาขึ้นมาจริง ๆ มันมีความรู้สึก ทำไมมันจะต้องเป็นอย่างนี้ ในเมื่อเราไปทางอื่น รู้สึกมันมีเหตุไม่ค่อยจะเจริญก้าวหน้าเลย ทำงานเป็น ๑๐ ปี ไม่เคยได้ ๒ ชั้นเลย แต่พอเบนเข็มมาเป็นครูนี่ ผมจะปีเว้นปีมาตลอด ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) แหม...นี่ถ้าเอาเสียตั้งแต่แรกไปยันไหนแล้วก็ไม่รู้
      ถาม :  (ไม่ชัด) ...ผมไปต้านเขาอยู่ มันก็เลย... ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) จริง ๆ แล้วมันดีจ้ะ คือคนอย่างพวกเรานี่มันเชื่อยาก ประเภทเชื่อยากไม่โดนให้ฉ่ำใจแล้วก็ไม่ยอมเชื่อ นี่มันสไตล์ลูกศิษย์หลวงพ่อแท้ ๆ เลย
      ถาม :  นี่ผมถึงบอก เออ... สงสัยเขาจะต้องให้ผมมาเป็นคนสอนพระพุทธศาสนาแล้วมั้ง เพราะว่าทุกวันพระนี่ผมจะต้องเอาเด็กสวดมนต์...(ไม่ชัด)... เด็กตั้ง ๓ พันกว่าคน งั้นผมต้องแบ่งเป็นระดับทุกวันพระลงทีเป็น ๔-๕ ร้อยคน ?
      ตอบ :  อย่างอาตมา ถ้าหากว่าไปถึงโกลก นี่ เขาก็จะต้องให้ไปเทศน์สอนเด็กทุกวันศุกร์ เพราะว่าวันศุกร์นี่ทางด้านพวกเด็กอิสลามเขาจะไปละหมาดกัน เด็กไทยพุทธก็ต้องเข้าวัดสวดมนต์ สวดไปสวดมามันเซ็ง มันก็ต้องหาพระไปคุยด้วยไปเทศน์ให้ฟัง เราไปก็ไม่เคยเทศน์หรอก นั่งคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้เขาฟัง หัวเราะกันคิกคัก จนกระทั่งบางทีลืมไปหมดว่าคุยกันเรื่องอะไร ? มัวแต่หัวเราะกันอยู่ เด็ก ๆ เขาชอบฟังเรื่องสนุก ๆ เราก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติให้เขาฟังมั่ง เรื่องผีเรื่องเทวดาบ้างอะไรบ้าง ไปเมื่อไหร่โดนเมื่อนั้นล่ะ หนีเขาไม่พ้นหรอก
              อีกทีอาชีวะศึกษายะลา อันนั้นนี่อาจารย์บังคับเลย ถ้าใครไม่เข้าฟังพระเทศน์ตัดคะแนน (หัวเราะ) แล้วมันทึ่งที่สุดก็คือ วิทยาลัยอาชีวะศึกษายะลา นักศึกษาผู้หญิงเกิน ๘๐% ผู้ชายมีอยู่หน่อยเดียว ถามมันอาชีวะภาษาอะไร ทำไมผู้หญิงมันเยอะขนาดนี้ เขาบอกว่าเขามาเรียนเกี่ยวกับคหกรรม พวกอะไรนี่ อ๋อ... ที่แท้อย่างนี้เอง
      ถาม :  (ไม่ชัด) ถ้าออกไปนอกบ้านไปไหนนี่ ถ้าเราจะบอกกล่าวเทวดาเจ้าที่เจ้าทางให้ดูแลรักษาบ้านเวลาเราไม่อยู่นี่ ท่านจะรู้ไหม ? เราต้องกล่าวอะไรไหม ? ต้องว่าอะไรไหม ? ...(ไม่ชัด)... จบปั๊บเนี่ยเทวดาองค์หนึ่งท่านมายืนเลยนะครับ ท่านบอกว่าพูดนี่ท่านได้ยินแล้ว บอกว่าไม่ต้องตั้งท่า...(ไม่ชัด)... ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) สมัยก่อนนี้อาตมาก็เหมือนกัน ถึงเวลาออกจากบ้านก็ยกมือไหว้ “ปู่ครับ...ฝากบ้านด้วยครับ” กลับมาก็ “ปู่ครับ กลับมาแล้วครับ ขอบคุณมากครับ” (หัวเราะ) เสร็จแล้วพอวันพระก็จะจัดพวกเครื่องคาวหวานชุดเล็ก ๆ ถวายท่านชุดหนึ่ง นั่นล่ะ ทำลักษณะนั้น แล้วก่อนนอนก็บอกท่านบอกว่า ถ้าหากว่ามีเหตุร้ายอะไรจะเกิดขึ้นนี่ ขอให้ปลุกก่อน ๑๕ นาที ขอให้เราตื่นขึ้นมาในสภาพที่สติสัมปชัญญะ กำลังกาย กำลังใจ สมบูรณ์พร้อมเพื่อที่จะได้แก้ไขเหตุการณ์ได้ ปรากฏว่าท่านปลุกได้จังหวะทุกทีเลย มีหลายเที่ยวที่คนมันคิดจะย่องเบาเข้ามางัดมาอะไร ท่านเตือนให้รู้ก่อน
      ถาม :  ...(ไม่ชัด) เคารพไม่เป็นเหรอวะ ...(ไม่ชัด)...หงายท้องเลย...?
      ตอบ :  ลักษณะนั้นแหละบอกแล้วจริง ๆ ก็คือว่าท่านต้องการความเคารพจากเราเท่านั้น ให้ตั้งศาล อะไรนั่นน่ะตั้งเองได้เลยไม่มีปัญหา ยิ่งเจ้าของบ้านทำเองยิ่งดีเพราะท่านต้องการความเคารพจากเจ้าของบ้าน
      ถาม :  ...(ไม่ชัด).. ปฏิบัติธรรมไปได้ถึงระดับนั้นระดับนี้ ถ้ามีไปเกิดอีกคุณธรรมความดีเดิม จะปรากฏด้วยไหม ?
      ตอบถ้าหากว่าเป็นพระอริยเจ้าความดีจะไม่ถอย ถ้าคุณเป็นพระโสดาบัน เกิดอีกความเป็นพระโสดาบันก็ทรงตัวอยู่ เป็นสกิทาคามี เกิดอีกความเป็นพระสกิทาคามีก็ทรงตัวอยู่ แต่ว่าคุณจะไม่รู้ว่าคุณเป็น จนกว่าจะมีผู้รู้ เขามาบอกมาเทศน์เกี่ยวกับอารมณ์พระโสดาบัน หรือสกิทาคามี คุณก็จะรู้สึกตัวว่า เอ๊ะ..เราก็ทำได้อยู่แล้วนี่
              แต่เนื่องจากว่าผู้ที่ทำถึงระดับนั้นแล้วจะเป็นผู้มีปัญญา ฉลาดมากเป็นปกติอยู่แล้ว ท่านก็จะไม่ประมาท คิดว่าตัวเองเป็น หากแต่ว่าพยายามรักษาความดี ให้มันดีอยู่อย่างนั้น หรือว่าถ้าสามารถรู้ว่าทางที่จะทำให้ดีก้าวหน้ากว่านั้นมีอย่างไร ท่านก็จะรีบตั้งหน้าตั้งตาทำ
              ตัวอย่างเมื่อก่อนเล่าเรื่องพระมหากัสสปะกับนางภัททกาปิลานี คู่นั้นจริง ๆ ไม่น่าจะต้องเกิดอีก เพราะว่าความปรารถนาในการครองเรือนไม่มี เพราะฉะนั้นท่านต้องเป็นพระสกิทาคามีแน่นอนเลย แต่งงานกันก็นอนหันหลังให้กันรอจนกระทั่งพ่อตายแม่ตาย แล้วก็พระมหากัสสปะ ยกสทรัพย์สมบัติให้นางภัททกาปิลานีก็ไม่เอา บอกว่าท่านจะออกบวช ท่านก็บอกว่าก็จะออกบวชเหมือนกัน ในที่สุดออกบวชตามกัน กลายเป็นพระอรหันต์ทั้งคู่ ลักษณะอย่างนั้นความดีทรงตัวมาเป็นปกติ
      ถาม :  ...(ไม่ชัด)... วาระของบุญที่มันจะเข้ามาให้บวชให้บรรลุมรรคผลขึ้นอยู่กับอะไร ?
      ตอบขึ้นอยู่กับบุญบารมีเก่าที่สร้างมารวมกับของใหม่ที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน เหมือนอย่างกับเราเทน้ำใส่ขวด ...ของเก่าอาจจะมีครึ่งขวดเราก็เติมน้ำใหม่ไปเรื่อย ๆ พอมันเต็มขวดปั๊บก็ได้วาระนั้นพอดี ถ้าหากว่าก่อนหน้ามันจะเต็มขวด แม้จะขาดอยู่นิดหนึ่งยังไง ๆ ก็เข้าไม่ถึง ต้องรอไว้อีกนิดหนึ่งให้พอดีก่อน เพราะฉะนั้นมันต้องของเก่ากับของใหม่บวกกัน
      ถาม :  ของใหม่จะทำมากเท่าไหร่ ถ้าวาระเดิมไม่ส่งก็ไม่ได้ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ใช่ จังหวะเวลาของมันจะพอดี เพราะต้องอาศัยของเก่าช่วย
      ถาม :  เมื่อ ๒ วันก่อนนี้ไปดู CNN ค่ะ สัมภาษณ์ภิกษุณีค่ะ ออกCNN ก็พูดดีค่ะ ?
      ตอบ :  สัมภาษณ์ของไทยหรือต่างประเทศ ?
      ถาม :  ต่างประเทศ ?
      ตอบ :  ภิกษุณีของสายต่างประเทศโดยเฉพาะสายมหายานเขาถือว่ายังไม่ขาด
      ถาม :  อ๋อ...(ไม่ชัด)...ภิกษุณีของเราน่ะ ...(ไม่ชัด)... ?
      ตอบ :  ภิกษุณีของไทยรึ ... ตอนนี้ถ้าเรียกต้องเรียกว่าสามเณรี ไม่ใช่ภิกษุณี เพราะว่าต้องฝึกเตรียม เตรียม ๒ ปี ก่อนบวชภิกษุณี ถ้านับตอนนี้เมืองไทยก็มี ๒ รูปด้วยกัน คือ รูปแรกก็คุณเพลินพิศ รูปที่ ๒ ก็คือสามเณรีธัมมนันทา หรือว่า อาจารย์ฉัตรสุมาลย์ แล้วก็รูปล่าสุด ก็ลูกศิษย์อาจารย์ฉัตรสุมาลย์อีกองค์ ตอนนี้มี ๓ แล้วจ้ะเมืองไทย ใกล้ ๆ ตัวอาตมาที่สุดก็คือคุณเพลินพิศ เพราะว่าแกเป็นแม่เลี้ยงของลูกเกด(หัวเราะ) แม่เลี้ยงของลูกเกด เจ้าลูกเกดมันลูกเลี้ยงอาตมาอีกทีหนึ่ง
              งั้น... ถ้าหากว่านับการบวชอย่างนั้นเป็นภิกษุณี ก็แปลว่าเมืองไทยมีแล้ว ๓ องค์ แต่จริง ๆ เขายังเรียกว่าสามเณรีอยู่ เป็นสามเณรผู้หญิงไปก่อน รอปฏิบัติครบ ๒ ปี แล้วก็ค่อยบวชเป็นภิกษุณี ทุกคนมีหลักการของตัวเองทั้งนั้น เพียงแต่ว่าจริง ๆ แล้วการบวช บวชใจสำคัญกว่า เป็นนักบวชหัวดำนี่แหละ ตั้งใจถือศีลปฏิบัติธรรมไป มันจะได้ผลเร็วกว่าง่ายกว่า
              อย่างเช่นว่า ของฆราวาส ต้นทุนก็คือศีล ๕ ถ้าหากว่าเปรียบการผิดศีลการล่วงศีลเป็นหลุมเป็นบ่อ ถนนสายนั้นก็มีหลุมแค่ ๕ หลุมเท่านั้น เดินหลบไปหลบมาก็พ้นได้ง่าย พอเป็นพระขึ้นมา ถนนสายนั้นสองร้อยกว่าหลุมมีสิทธิ์ร่วงเยอะเลย ปรากฏว่าภิกษุณีเยอะกว่านั้นอีก สามร้อยกว่าแน่ะ ถ้าหากว่าเอากันตามตรงแล้ว ไม่เอาชนะคะคานกันในลักษณะถือทิฏฐิว่าเราจะทำให้ได้ เป็นฆราวาสดีกว่าเป็นง่ายกว่าเยอะเลย
              เพราะว่าเรื่องของภิกษุณีของประเทศไทยเรามีมาตั้งแต่ยุคต้น ๆ แล้วโน่น สมัยนรินทร์กลึง บวชลูกสาวตัวเองเป็นภิกษุณียังงั้น แล้วก็จนกระทั่งมายุคอาตมาเด็ก ๆ ก็คุณแม่วรมัย กบิลสิงห์ คุณแม่ของอาจารย์ฉัตรสุมาลย์ เขานั่น...ก็บวชเป็นภิกษุณีเสร็จแล้วก็สร้างวัตรทรงธรรมกัลยาณีที่นครปฐมขึ้นมา “วัตร” ตัวนี้เขาจะไม่ใช้ “วัด” เพราะว่ามันจะตรงกับคำว่าวัด ในศาสนาที่เป็นวัดที่พระอยู่ทั่ว ๆ ไป แต่เขาใช้ “วัตร” “ต” “ร” สะกดซึ่งมันแปลว่า “แบบอย่าง” วัตรทรงธรรมกัลยาณี เขาใช้เสียงพ้องน่ะ ให้คนได้ยินว่ามันเป็นวัดเสร็จแล้วยุคนั้นก็ซา ๆ ไป มาถึงสมัย อ.ฉัตรสุมาลย์นี่ ก็มีการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด เพราะว่าได้รับการวางแบบแผนมาจากคุณแม่วรมัยอยู่แล้ว ตัวท่านเองก็ยังจบดอกเตอร์มาด้วย ก็ได้รับการยอมรับจากสังคมมาก ในเมื่อท่านเองบวชเป็นภิกษุณีขึ้นมา เรื่องที่เคยคัดค้านรุนแรงมันก็เบาลง ตอนนี้พอท่านบวชเพิ่มขึ้นมาอีก เสียงคัดค้านมันเลยน้อยลงไปเรื่อย
      ถาม :  .........................................
      ตอบ :  มันต้องแล้วแต่เขาชอบ เพราะว่าถ้าหากเขาชอบเขาจะทำได้ดี ถ้าไปเจอที่เราไม่ชอบนี่มันฝืนใจตัวเอง ถึงจะเก่งขนาดไหนก็ตาม แต่ว่าสิ่งที่เขาทำก็ไม่ได้ดีเท่ากับทำสิ่งที่ตัวเองชอบ
      ถาม :  ...............................................
      ตอบ :  เอาอย่างนี้แล้วกัน ได้หลายที่นักให้จับสลากเอา เขียนสลากม้วน ๆ แล้วก็เลือกเอาว่าจะหยิบได้อันไหน
      ถาม :  .................................................
      ตอบ :  อย่าไปบังคับจิตใจเด็ก เมื่อกี้เพิ่งจะพูด เขาชอบอะไรให้เขาอันนั้น...แหม...
      ถาม :  ....................................................
      ตอบ :  มีโยมอยู่คนหนึ่ง อยากให้ลูกเรียนหมอ ลูกก็ตามใจพ่อแม่ เรียนก็เรียน เอ็นทรานซ์เข้าหมอ พอเรียนหมอจบเสร็จเรียบร้อยบอกว่าต่อไปนี้จะตามใจตัวเองบ้าง เขาเอ็นฯ เข้าสถาปัตย์ แล้วก็ไปเรียนต่อ เขาชอบของเขาอย่างนั้น โอ้โห! มันยอดมนุษย์จริง ๆ เลย คือแสดงว่าเขาเก่งขนาดที่ว่าจะสอบอะไรเขาก็ได้อยู่แล้ว แต่เขาชอบสถาปัตย์ ชอบพวกออกแบบ เสร็จแล้วเขาก็ไม่ไปเป็นหมอหรอก (หัวเราะ) เรียนตามใจอยากเรียน เรียนให้ ไม่ว่ากัน
      ถาม :  อย่างนี้ก็ตามใจเขา ?
      ตอบ :  ตามใจเขาดีกว่า อย่าไปบีบคั้น อย่าไปอะไรเขา เขาได้ทำในสิ่งที่เขาชอบ เขาจะมีความสุขของเขา เขาจะทำได้ดี
      ถาม :  ..................................................
      ตอบ :  แบบเดียวกับหลานสาว ติดตั้ง ๓ ที่ ๔ ที่ แล้วก็ไปเลือกพยาบาล ทหารเรือ เล่นเอาพ่อแม่โกรธไฟแลบเลย (หัวเราะ) แทนที่จะเลือกเรียนสถาบันดี ๆ แต่ความจริง เขาชอบเป็นทหาร เมื่อวานนี้มานั่นแหละ คนประเภทโชคดีก็โชคดีเหลือล้นนะ สอบติดโน่น ติดนี่สารพัดติด จนกระทั่งต้องเลือกเอา (หัวเราะ) ไอ้คนไม่ติดจะไม่ติดเอาซะเลย...เป็นยังไง เป็นคุณหมอเสีย ๖ ปี(หัวเราะ) จบแล้วก็ไปเอ็นฯ เข้าสถาปัตย์ใหม่
      ถาม :  พ่อแม่ก็ต้องใช้หนี้แทน ?
      ตอบ :  อันนั้นไม่ทราบเหมือนกัน ก็เขาเรียนให้แล้ว คราวนี้ในเมื่อลูกสละให้พ่อแม่แล้ว พ่อแม่ก็ต้องสละให้ลูกมั่ง... เอ็นฯ สถาปัตย์ต่อ
      ถาม :  พระ... ที่พูดทางสถานีวิทยุสวนมิสกวัน ตอนตีสี่ ไม่ทราบว่าท่านชื่ออะไร ?
      ตอบหลวงพ่อสพฤกษ์ ปภัสสโร อยู่วัดเขาบ่อทอง ที่ อ.แกลง จ.ระยอง
      ถาม :  ตื่นมาตอนตีสี่ ฟังเทปหลวงพ่อ เห็นท่านพูดถึงที่นี่กับซอยสายลม ?
      ตอบ :  อ้อ...จ้ะ ลูกศิษย์หลวงพ่อเหมือนกันนี่ ถึงเวลามีอะไร บางทีท่านก็ออกอากาศให้ อาตมาเองก็เป็นหนี้ท่านเยอะ ท่านช่วยออกอากาศให้ไม่ได้จ่ายสักกะตังค์ (หัวเราะ)
      ถาม :  ต้องเช่าสถานีหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ต้องเช่าจ้ะ เดือนหนึ่งก็ ๓ หมื่นกว่า ไม่ใช่น้อย ๆ นะ
      ถาม :  ค่าเช่าเวลา ?
      ตอบ :  จ้ะ ค่าเช่าเวลา เพราะว่าตั้งชั่วโมงหนึ่ง
      ถาม :  ......................................
      ตอบ :  เปิดฟังบ่อย ๆ จ้ะ เทปหลวงพ่อม้วนไหนก็ได้ ฟังแล้วทำให้ได้ ได้ผลทุกม้วนล่ะจ้ะ
      ถาม :  .......................................
      ตอบ :  สงกรานต์ปีนี้ มีโปรแกรมที่ไหนหรือยัง ? ...จะให้ไปวัด จะได้นอนหลับสบาย ๆ
      ถาม :  เพื่อนบอกว่า นอนหลับสบายแน่เลย อยากบ้างอยากนอนหลับบ้าง ที่หนูเล่าให้ฟัง ที่เขานอนไม่ได้ ?
      ตอบ :  คือจริง ๆ เรื่องของการนอนไม่หลับ มันเกิดจากจิตใจของเรา มีเรื่องคิดกังวลมันอยู่ แล้วมันจะนอนไม่หลับ เราต้องดูความคิดตัวเอง ตลกมากเลย มันจะเริ่มต้น หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ แล้วมันไม่จบ มันขึ้น หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า .. ใหม่ คิดแต่เรื่องซ้ำ ๆ กันอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่หลับ จิตใจมันกังวล ถ้าหากว่าไม่อยากให้ใจกังวล ต้องสร้างกำลังใจให้เป็นสมาธิ หัดภาวนา นั่งสมาธิ ภาวนานึกถึงลมหายใจเข้าออก หายใจเข้านึกตามไป ลมหายใจผ่านปลายจมูกถึงกึ่งกลางอก ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออกจากท้อง ออกมากลางอก ผ่านปลายจมูก ตามดูลมหายใจเข้าออกตัวเอง แป๊บเดียวก็หลับ
              ส่วนยายปุ๋ม เขาขี้กังวล เขาอยู่ใกล้หลวงพ่อ แล้วเขาสบายใจ เขาจะหลับทันทีเลย เป็นอะไรที่ตลกมาก คือด้วยความเชื่อมั่นว่าอยู่ใกล้หลวงพ่อแล้วปลอดภัยแน่ มันหลับทันที
      ถาม :  มาที่นี่ทีไร... (ไม่ชัด)... หลับ ...นั่ง ๆ อยู่ หลับน้ำลายยืด ?
      ตอบ :  เป็นอย่างนั้น คือส่วนใหญ่พวกเรามันวุ่นวายอยู่ด้วยการทำมาหากิน เครียดจากการงาน เรื่องของแฟนบ้าง เรื่องของอะไรบ้าง มันก็จะต้องมีเรื่องให้เราคิดเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่คราวนี้ของเขามันต้องแยกให้ได้ ถ้าหากว่าเรามัวแต่ไปคิดอยู่ ร่างกายพักผ่อนไม่พอ สุขภาพก็เสีย การงานก็เสีย เพราะฉะนั้นถึงเวลาเลิกงาน เลิกคิดกองไว้ตรงนั้นแหละ กลับมานอนดีกว่า หลวงพ่อเองไปไหนมีแต่นอนไม่ค่อยจะตื่น เพราะว่าส่วนใหญ่มันเหนื่อยมาก นอนยังไม่ทันจะพอ อ้าวได้เวลาอีกแล้ว ตีสองอีกแล้ว ต้องลุกขึ้นมานั่งกรรมฐาน
      ถาม :  ...(ไม่ชัด)... ขนาดทำพุทโธ ๆ อะไรก็ยังไม่หลับ ?
      ตอบ :  ของเราทำผิดวิธี อย่าไปพุทโธเฉย ๆ นะ ต้องตามมันเข้า ตามมันออก ให้งานเพิ่มขึ้นหน่อยหนึ่ง นึกตามไป “พุท” หายใจเข้า จมูก-อก-ท้อง “โธ” ท้อง-อก-จมูก ไล่ดูมัน พอไล่ ๆ แล้วจิตจะเหนื่อย จะเผลอวูบหลับไปเอง แล้วก็กำหนดใจไว้เลย เอ็งไม่หลับล่ะดี ข้าจะพุทโธให้เยอะเลย ตั้งใจนับไป เอาให้ได้ ๑๐๘ ครั้ง ว่าไปเลย มันไม่ทันได้เยอะหรอก มันหลับเพราะว่าตอนนั้นของเรามุ่งมั่นจะทำงาน ปรากฏว่ามันตัดหลับซะแล้ว ถ้าไม่มีที่ไป ก็โน่นจ้ะ เชิญที่วัด อากาศร้อนหน่อยแต่ว่าหลับแน่ กลางวันกับกลางคืนอากาศต่างกัน ๒๐ องศา กลางวันอาจจะถึง ๔๐ เช้ามืดเหลือ ๒๐ อะไรอย่างนี้
      ถาม :  ......................................
      ตอบ :  นึกว่าเรื่องใหญ่โตแค่ไหน ...แค่นอนไม่หลับ ต่อไปต้องฝึกให้ได้นะ ไปที่ไหน ไม่เคยแหละนี่ หลับลูกเดียวจริง ๆ
      ถาม :  ทรมานมาก ?
      ตอบ :  เข้าใจจ้ะ แต่ถ้าหากว่าเราไม่ไปเครียดกับมัน ไม่อยากให้มันหลับนะ เราจะสังเกตว่า จริง ๆ แล้ว ตัวเราได้พักผ่อน มันนอนอยู่ มันได้พักอยู่แล้ว ใจมันจะตื่นก็เรื่องของมัน เราก็หางานให้ใจทำ นั่งภาวนา พุทโธ ๆ ไป หรือ ใครมีคาถามหาลาภก็ว่าไป เผื่อจะได้เงินได้ทองเยอะ ๆ ใครมีคาถาเรียกแฟนก็ท่องไป เดี๋ยวเขาก็จะมา อะไรอย่างนี้ พักเดียวก็หลับไป
      ถาม :  ...................................
      ตอบ :  (หัวเราะ)...เรื่องนอนไม่หลับไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ว่ามีอยู่อย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าเคยแยกแยะ บุคคลที่นอนไม่หลับ มีอยู่ ๕ ประเภท ประเภทที่ ๑ หญิงผู้ครุ่นคิดถึงชาย ประเภทที่ ๒ ชายผู้ครุ่นคิดถึงหญิง ประเภทที่ ๓ โจรร้ายที่มุ่งหมายต่อทรัพย์ มันจะคิดขโมยเขานี่ ขืนหลับเดี๋ยวขโมยไม่ได้ ใช่ไหม ? ประเภทที่ ๔ พระราชาผู้ขยันออกประกอบพระราชภารกิจ อย่างในหลวงของเราตี ๒ ตี ๓ ยังไม่ได้บรรทมเลย ประเภทสุดท้าย ประเภทที่ ๕ ภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ลุกขึ้นเจริญภาวนาเพื่อหวังความหลุดพ้น ๕ ประเภทนี่จะไม่ค่อยได้นอนกับเขาล่ะจ้ะ เพราะฉะนั้นอย่าคิดมาก คิดมากไม่ค่อยหลับ
      ถาม :  ....................................
      ตอบ :  อ้อ... โรคหัวใจไม่มีปัญหาหรอก มันต้องยิ่งพักผ่อนเยอะ นี่แสดงว่ามันเป็นผลจากการที่เราพักผ่อนน้อยซะด้วยซ้ำไป เอางี้ รู้จักต้นไมยราบไหม ?
      ถาม :  ต้มกินใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ต้มกิน ก็กินเป็นน้ำนี่แหละ เพียงแต่ว่ามันเป็นน้ำร้อนเท่านั้นเอง เวลาเราทิ้งไว้ให้มันเย็นก็กินได้ วันหนึ่งกินน้ำไปกี่แก้ว ก็เปลี่ยนเป็นน้ำไมยราบไป มันก็ไม่มีกลิ่น นอกจากมีสีอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วก็ระวังนะ มันหลับตรงที่ทำงานเลยล่ะ (หัวเราะ) อย่าเผลอ เพราะว่าพวกนี้ จะช่วยผ่อนคลายประสาท มันไม่ใช่ยากล่อมประสาท
              อย่างพวกแวเลี่ยม เป็นสมุนไพรธรรมชาติ ร่างกายขับออกได้หมดไม่อันตราย ไปกินซะ อย่าดื้อ... ดื้อเดี๋ยวต่อไปจะให้กินไม้หน้าสาม ได้หลับสนิท มีของง่ายไม่ทำ แสดงว่าอยากทรมานต่อ คนไม่ค่อยหลับ กับอีกคนหลับไม่ค่อยตื่น มันเลยคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง
              ... อย่าไปเครียด อย่าไปจริงจังอะไรกับชีวิต คนเราเกิดมาพบกัน แล้วก็พรากจากกันเป็นเรื่องปกติ คนเราเกิดมาพบกัน แล้วก็พรากจากกันเป็นเรื่องปกติ คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง สร้างบุญสร้างบารมีมาเพียงพอ ถึงได้เกิดเป็นคน รับรองได้ว่า ไม่ประเภทเฉาตายไปเฉย ๆ หรอก อย่างน้อยก็มีคนดูแลอยู่แล้ว ส่วนใหญ่มีคู่เพราะว่าหวังจะมีคนดูแล นึกในมุมกลับไปว่า ถ้าเกิดเราต้องไปดูแลเขาล่ะ มันไม่ยิ่งหนักกว่าเดิมรึ ? เป็นซะอย่างนั้น เพราะฉะนั้นที่ผ่าน ๆ มา ไล่เตะมันไปให้พ้นเหลือคนเดียว สบายใจกว่า อยู่คนเดียวเปลี่ยวกายแสนสบาย แต่ไม่ค่อยสนุก... (หัวเราะ) ... ถ้าอยู่สองครองทุกข์ถึงสนุกก็ไม่ค่อยสบาย