ช่วงแรกของเล่ม "กรรมฐาน ๔๐"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนตุลาคม ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ..............(คุยเรื่องพระเครื่องสมเด็จองค์ปฐม)...................
      ตอบพระองค์ที่ ๑๑ ก็คือ พระสมเด็จองค์ปฐมในกายพระสงฆ์ โยมเขาประเภท เจอพระดีที่ไหนก็ยัดใส่มือให้ท่านเสกท่าเดียว ไปเจอพระที่ท่านรู้จริง ท่านรับได้ก็ใส่หัวไปเลย บอกไม่ต้องเสกแล้ว พูดง่าย ๆ ว่า จะเอาใครมีอานุภาพกว่า พระสมเด็จองค์ปฐม ท่านคงหาไม่ได้ พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมี เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ด้วยการตั้งหน้าตั้งตาทำจริง ๆ จะมีหลักสูตรประเภท ปัญญาธิกะ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ศรัทธาธิกะนี่ ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป วิริยาธิกะสร้างบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป แต่สมเด็จองค์ปฐม ท่านไม่มีแบบอย่างให้ศึกษา หลักสูตรยังไม่กำหนด ท่านต้องค้นคว้าเอง ฟาดเสีย ๔๐ อสงไขย ถ้าอยากรู้ว่าอสงไขยหนึ่งนานแค่ไหน ก็ต้องเริ่มที่อสงไขยปี อสงไขยปีนี้เขาเริ่มต้นตั้งเลข ๑ ขึ้นมา แล้วเขียนเลขศูนย์ต่อท้ายไป ๑๔๐ ตัว เป็นตัวเลข ๑๔๑ หลัก นี้แค่อสงไขย
              พอเป็นต้นกัปที่ อาภัสราพรหมท่านลงอาภัสราพรหมที่หมดบุญ พอไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก แล้วฝนตก กลิ่นดินมันหอม ท่านจะลงมากินดิน พอกินของหยาบเข้าไปกายหนัก เหาะกลับไม่ได้ คราวนี้รัศมีกายท่านยังมีอยู่ ไม่มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ ไม่มีอะไรก็กินง้วนดินไปเรื่อย คราวนี้พอกินมากเข้า ความหยาบมันมีมากขึ้น จากกายทิพย์ก็กลายเป็นกายหยาบ รัศมีกายก็หมดไป เมื่อรัศมีกายหมดไปก็ต้องมีพระอาทิตย์ พระจันทร์ เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นการรองรับ
              คราวนี้พืชพรรณธัญญาหารก็เกิดขึ้นเพื่อรองรับ คนก็ปรากฏเพศขึ้น ก็แบ่งเป็นเพศหญิงเพศชาย ก็เริ่มมีลูกหลานไปเรื่อย ๆ คราวนี้คนที่อยู่ต้นกัปนี้ บารมีเขาคือ พรหมลงมาเกิด อายุมันก็เลยมาก อายุจะได้อสงไขยปี คือตั้งตัวเลข ๑ แล้วเขียนเลขศูนย์ไป ๑๔๐ ตัว กลายเป็น ๑๔๑ หลัก คืออายุขัยตอนนั้น
              ตอนนี้พออยู่ไปเรื่อย ๆ กิเลสมันเริ่มเข้า รัก โลภ โกรธ หลง เริ่มมีทีละน้อย ๆ อายุขัยก็จะลดลง ผ่านไป ๑๐๐ ปี อายุขัยก็จะลดลงปีหนึ่งไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ จากอสงไขยปีหนึ่ง ลดลงเหลือจนเหลือ ๑๐ ปี อย่างสมัยของเรานี้เกณฑ์อายุสมัยพุทธกาลจะ ๑๐๐ ปี เป็นประมาณ ผ่านไป ๑๐๐ ปี ลดลงปี คราวนี้ผ่านไป ๒๕๐๐ ปีเศษ ลดลง ๒๕ ปีเศษ ๆ เพราะฉะนั้น คนในช่วงนี้จะเหลืออายุ ๗๔ ปีเศษ ๆ เท่านั้น จนกระทั่งถึงอายุ ๑๐ ปี จะเป็นจุดต่ำสุด แล้วลองคิดดูว่านานแค่ไหน ๑๐๐ ปี ลดหนึ่ง จากเลข ๑๔๑ ตัวมา มันนานจนประมาณเป็นตัวเลขได้ยาก แล้วพอถึงเวลานั้น มันก็เกิดที่เรียกว่า มิคสัญญี ประเภทที่ว่าพี่น้องก็ฆ่ากันเอง ครอบครัวก็ฆ่ากันเอง เพราะจำหน้ากันไม่ได้ คนที่เกิดสลดใจเพราะเริ่มระลึกถึงความดีได้อะไรได้ ก็เริ่มตั้งใจให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาใหม่ คุณความดีที่ทำก็จะส่งให้อายุสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็ ๑๐๐ ปี เพิ่มปี เหมือนกัน ไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน
              จนกระทั่งความดีสูงสุดก็จะส่งผลให้อายุอสงไขยปี เป็นประมาณเท่าเดิม จากอสงไขยปี ลดลงมาเหลือ ๑๐ แล้วจาก ๑๐ ขึ้นไปจนถึงอสงไขยปีเรียกว่า ๑ รอบอันตรกัป ตามอรรถกถาท่านเปรียบไว้ว่า มีภูเขาหินยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ กว้างยาวสูงด้านละ ๑ โยชน์ คือ ๑๖ กิโล ๑ โยชน์ มี ๔๐๐ เส้น ๑ เส้น ๒๐ วา ก็เท่ากับ ๑ โยชน์ ๘,๐๐๐ วา ๑๖,๐๐๐ เมตร คือ ๑๖ กิโล ๑๐๐ ปี เทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อนมาเช็ดทีหนึ่ง ร้อยปีเช็ดทีหนึ่ง ภูเขาลูกนั้นสึกเสมอพื้นได้เวลา ๑ รอบอันตรกัป คือจาก ๑๔๐ ตัว ลงมาเหลือ ๑๐ และจาก ๑๐ ขึ้นไป ๑๔๐ อีกครั้งหนึ่ง นั่นก็คือภูเขาหินลูกหนึ่ง ร้อยปีปัดทีหนึ่งจนกระทั่งสึกเสมอพื้น คราวนี้ ๖๔ รอบอัตรกัป เท่ากับหนึ่งอสงไขยกัป แล้ว ๔ อสงไขยกัปถึงจะเท่ากับ ๑ มหากัป
              แล้วลองคิดดูพระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป หน้ามืดไหมล่ะ ? มันนานเท่าไร ในรอบอสงไขยกัป จะประกอบด้วย ๔ อสงไขยกัป มันจะมีสังวัฏฏะอสงไขยกัป เป็นเวลาที่โลกกำลังโดนทำลายลงไปเรื่อย ๆ สังวัฏฐายีอสงไขยกัป เป็นเวลาที่โลกกำลังโดนทำลายลงไปเรื่อย ๆ สังวัฏฐายีอสงไขยกัป โลกโดนทำลายเรียบร้อยแล้วไม่มีอะไรหลงเหลือเลย แล้วก็จะเริ่มรอบใหม่เป็นวิวัฏฏะอสงไขยกัป โลกกำลังเริ่มกลับฟื้นคืนขึ้นมาแล้วก็วิวัฏฐายีอสงไขยกัป โลกเราเจริญเรียบร้อยขึ้นมาแล้ว ประเภท ๑๔๐ ลง ๑๔๐ ขึ้น ๖๔ รอบอัตรกัปเท่ากับ ๑ อสงไขยกัป เพราะฉะนั้น ๑ อสงไขยกัปจะเท่ากับ ๖๔ อัตรกัป ถ้า ๔ อสงไขยกัปก็เท่ากับ ๒๕๖ อัตรกัปใช่ไหม ? แล้ว ๒๕๖ อัตรกัปเท่ากับ ๑ มหากัป พระพุทธเจ้าท่านต้องสร้างบารมีต่ำสุด ๔ อสงไขยกับ ๑ แสนมหากัป เครื่องคิดเลขใช้ไม่ได้จ้ะ มัน ๑๔๑ หลัก
              แต่คราวนี้ว่า เทวดาก็ดี พรหมก็ดี พระบนนิพพานก็ดี หรือว่ามนุษย์ที่ได้อภิญญาสมาบัติระดับที่เรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี ความที่เรียกว่า ความผ่องใสของจิต ความละเอียดของจิต จะคำนวณตัวเลขนี้ออกมาง่ายมากเลย แต่ของเราจะคำนวณไม่ได้เพราะว่า มันละเอียดเกินไป ฟังแล้วยังอยากเกิดอีกไหม ?
              สุด ๆ นี่หมายเฉพาะที่ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้านะ จริง ๆ แล้วท่านต้องทำอย่างน้อย ๒๐ อสงไขยกับแสนมหากัป เพราะว่าจะต้องคิดว่าตัวเองจะเป็นพระพุทธเจ้า คิดอย่างเดียวตลอด ๗ อสงไขยกับแสนมหากัป แล้วเอ่ยปากว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขยกับแสนมหากัป อันนั้นเป็นการคิดของศรัทธาธิกะพระโพธิสัตว์
              คราวนี้คิดว่าจะเป็น ๗ อสงไขยกับแสนมหากัป พูดว่าจะเป็น ๙ อสงไขยกับแสนมหากัป ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อให้เป็น ดังนั้นคุณเจอไป ๒๐ ถ้าเป็นศรัทธาธิกะโพธิสัตว์ก็เท่าตัว ๔๐ วิริยาธิกะโพธิสัตว์ เจอไปอีกเท่าหนึ่งก็ ๘๐ หน้ามืด เขาบอกว่าในจักรวาลอันไพศาล มนุษย์ของเราก็เหมือนกับสะเก็ดฝุ่นเม็ดเดียวเท่านั้นเอง
              แต่ตราวนี้ส่วนใหญ่แล้วว่า สายตาและปัญญาไม่ได้กว้างไกลขนาดนั้น ก็เลยกลายเป็นความมานะ ถือตัว ถือตน กูดี กูเก่ง กูใหญ่ ตัวกู ของกู ก็เลยแน่นหนาไปหน่อย แต่ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะมองได้กว้างไกลขนาดนั้น จะเห็นว่าตัวเราเอง จริง ๆ แล้วเป็นธุลีเดียวของจักรวาลนี้เท่านั้น ท่านบอกว่าใครอยากรู้ว่าตัวเองเล็กแค่ไหนนะ เอาเรือลำเล็ก ๆ ออกไปกลางทะเล ถึงอีตอนที่ไม่เห็นฝั่งแล้วจะรู้เองว่าตัวเองแค่ไหน ...เคยเห็นพระอรหันต์ปลงธรรมสังเวชไหม ?
      ถาม :  แล้วตรงนี้ ผมเชื่อว่า คนทุกคนเกิดมา มันจะมีส่วนของชาติที่แล้วที่สร้างเอาไว้ เช่นว่า จะต้องประสบกับเหตุการณ์อะไร ที่ทำให้ชีวิตมันเปลี่ยนไปในทางว่าเลื่อมใสแล้วเดินทางเข้าสู่หลักศาสนา มันจะมีตัวนั้นเป็นตัว...?
      ตอบมันจะต้องสะสมมาด้วย ถ้าหากว่าไม่มีของเก่าส่งมา ก็อาจจะเข้ามาได้ยาก เข้ามาได้ช้า หรือไม่ก็บางคนถึงมีของเก่าสร้างสมมา แต่ก็ได้ทำสิ่งที่ไม่ดีเอาไว้ ก็อาจจะถูกสิ่งที่ไม่ดีมาคอยขัดขวาง ทำให้เข้ามาได้ช้าเหมือนกัน แต่ว่าท้ายสุดแล้วทั้งหมดก็ต้องไปนิพพานเพียงแต่จะช้าจะเร็วเท่านั้น
              คนหนึ่งอาจจะ ๒๐-๓๐ อสงไขยกัปข้างหน้า ขณะที่อีกคนหนึ่งอาจจะไปชาตินี้เลย ท้ายสุดไปนิพพานหมด เพียงแต่ว่าจะช้าจะเร็ว แล้วแต่บุญกรรมที่ตัวเองสร้างสมเอาไว้ พวกเรา “ว่าที่พระอรหันต์” ทุกคนเลย เพียงแต่ใครจะเลิก “ว่าที่” เป็นจริง ๆ ซะทีเท่านั้น
      ถาม :  ช่วงนี้รู้สึกว่าขาดความมั่นใจ กำลังใจอ่อน ไม่ทราบว่าจะช่วย...กำลังใจได้ ?
      ตอบ :  ไปนรกจ้ะ ไปนรก ดูเอาไว้ บอกมันเลย บอกว่าถ้าหากว่ายังท้อถอยหมดกำลังใจ เอ็งต้องมาที่นี่แน่ ๆ เลย อยากมานักใช่ไหม ?
      ถาม :  จริง ๆ พอถึงจุดหนึ่ง มันไม่เสื่อมแล้วครับ คือ ตรงจุดที่ว่า ถ้าเมื่อไรเราถึง ถ้าเกิดเจออะไรสักอย่างที่เราตรงนั้นได้ปวารณาตัวว่า ต่อไปนี้จะ...พูดง่าย ๆ ว่า จะเอาพระพุทธ พระธรารม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งตลอดชีวิตได้ พอถ้าถึงตรงนั้นแล้ว เราไม่เสื่อมแล้ว ?
      ตอบถ้ากำลังใจเข้าสู่จุดของโคตรภูพระโสดาบันเมื่อไรมีแต่จะเจริญขึ้น เพราะว่าลักษณะนั้น เขาเรียกว่าโสดาปฏิมรรค เริ่มเป็นหนึ่งในพระอริยเจ้า ๘ ลำดับ คำว่า อริยะ แปลว่าเจริญโดยฝ่ายเดียว จะไม่มีการเสื่อมลงอีก
      ถาม :  ทีนี้ผมมาสังเกตตัวผมเอง เมื่อสักปี ๓๗ ผมขึ้นไปนั่งสมาธิ ตอนทุ่มหนึ่งแล้วผมนั่งสมาธิแบบภาวนา “พุทโธ” ไปเรื่อย ๆ ก็มาเห็นสว่างเหมือนกับกลางวันแล้วก็เห็นเป็นพระพุทธองค์ใหญ่อยู่ในอากาศแล้วก่อนหน้านั้น ผมมานั่งพิจารณาว่าเกิดเป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ อะไรทั้งหลายไล่ไปเรื่อย ทำก็หลังทำวัตรเช้า มันเกิดความเข้าใจซาบซึ้งก็ร้องไห้ว่า เออ ! เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ไม่เห็นดีตรงไหนเลย ก็บอกว่าไม่น่าเกิดซะแล้ว เชื่อตอนนั้น ตรงนั้นก็ร้องไห้ และตั้งแต่วันนั้น ผมก็เลยว่า จะถือศีล ๕ ตลอดชีวิตเลย จะเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ?
      ตอบ :  นั่นเป็นประสบการณ์การปฏิบัติ ซึ่งคนที่ถ้าหากว่าทำถึงตรงจุดนั้นแล้วจะมีกำลังใจ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่คนอื่นไม่รู้ไม่เห็น เขาได้รู้เห็น ถึงเคยบอกว่า คนเราถ้าหากว่าทำได้ถึงปฐมฌาน ถ้ารู้จักคิดจะไม่มีการตกต่ำอีก เพราะว่าทันทีที่จิตเข้าสู่ระดับของปฐมฌาน ตัวรัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นไฟใหญ่ ๔ กอง เผาเราอยู่นั้น โดนอำนาจฌานกดทับลงชั่วคราว มันจะสุขจะเยือกเย็น อย่างชนิดที่พรรณนาเป็นคำพูดไม่ถูก
              คราวนี้ถ้าคนมีปัญญา เขาจะคิดว่า โอหนอ ! แค่ ปฐมฌานที่เราทรงได้เท่านี้ ยังมีความสุขขนาดนี้ คนที่ได้ ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ เขาจะสุขขนาดไหน ? บุคคลที่ได้ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ ได้สมาบัติ ๘ ถึงสุขขนาดไหนก็ตาม มันก็ไม่ได้เศษหนึ่งส่วนสิบหกของความเป็นพระโสดาบัน เป็นพระโสดาบันสุขมาขนาดนั้นแล้ว พระสกิทาคามีที่เหนือกว่าจะสุขขนาดไหน ? พระอนาคามีที่เหนือยิ่งขึ้นไปจะสุขขนาดไหน ?
              กำลังใจก็จะเห็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถ้าหากว่าไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น ก็จะเป็นการเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยกาย วาจา ใจ อย่างเที่ยงแท้ ไม่สักแต่ว่ากราบด้วยมือ ด้วยกาย แต่ว่าปากมันว่าตามใจมันน้อมตามไปด้วย พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้ายึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ก็ยึดจริง ๆ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้ายึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง ก็ยึดจริง ๆ ด้วยกาย วาจา ใจ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ก็ยึดจริง ๆ ด้วยกาย วาจา ใจ ในเมื่อยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้น ไม่ล่วงเกินด้วย กาย วาจา ใจ แล้ว แค่ไล่ศีลให้บริสุทธิ์ก็เป็นพระโสดาบันแน่แล้ว เพราะว่าเขาต้องคิดอยู่แล้วว่า เราเคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะเราต้องการไปนิพพาน เรารักษาศีล เพราะต้องการไปนิพพาน สรุปแล้วที่เขาบอกว่า ถ้าหากว่าเข้าถึงปฐมฌานสามารถเป็นพระโสดาบันได้จริง ๆ ก็คือในลักษณะอย่างนี้ ใช้ปัญญาเพิ่มขึ้นนิดเดียวเท่านั้นเอง ที่หลวงพ่อท่านเคยเทศน์ว่าพระโสดาบันมีสมาธิเล็กน้อย ปัญญาเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์ หลักเกณฑ์การเป็นพระโสดาบัน คือ ๑. ต้องเคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ ๒. เคารพพระธรรมจริง ๆ ๓. เคารพพระสงฆ์จริง ๆ ๔. มีศีลบริสุทธิ์ ๕. คิดว่าตายแล้วจะไปนิพพาน
              คราวนี้เราก็สรุปรวบยอดลงมาว่าเรารักษาศีลเพราะเราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรารักษาศีลเพราะจะไปนิพพาน ก็เลยกลายเป็นว่า มีปัญญาเล็กน้อย มีสมาธิเล็กน้อยแต่ศีลบริสุทธิ์ ยิ่งสรุป ยิ่งง่าย เดี๋ยวเป็นกันหมดซะละมั้ง ?
      ถาม :  ........................................
      ตอบพยายามประคับประคองรักษาอารมณ์ให้เป็น แรก ๆ ก็อาจได้สักชั่วโมงหนึ่งต่อไปถ้าเคยชิน ก็ได้ ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ครึ่งวัน วันหนึ่ง จนกระทั่งนาน ๆ ไปพอชำนาญมาก ๆ ก็รักษาได้เป็นเดือน เป็นปี ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะดูแลทบทวนกำลังใจตัวเอง การทำงานทุกอย่างต้องมีการประเมินผล ทางโลกเขาน่ะ ทางธรรมของเราพระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้ประเมินผลด้วยวิมังสา ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ฉันทะ พอใจที่จะทำ วิริยะ พากเพียรทำไปแล้ว จิตตะ จิตใจปักมั่น ไม่เปลี่ยนแปลง ก็เหลือแต่วิมังสา ทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีกให้ได้ผลอย่างนั้น
      ถาม :  คือตรงนี้ ที่ผมพยายามจะสอนเด็กอยู่ คือว่าเราอยากจะรู้แต่ว่าเราไม่พิสูจน์จริง ๆ เราสามารถพิสูจน์ด้วยตัวเราเองได้ทุกคน อย่างน้อยก็...สมมุติว่า...ถ้าเราไปดูประวัติพระพุทธเจ้า ทำไมพระพุทธเจ้า มีชาติ มีสภาพ(ไม่ชัด) เราต้องเป็นผู้มีศีลก่อน ทีนี้ศีลห้าเขายังไม่ปฏิบัติกันเลย แล้วเราจะไปเจริญปัญญา เจริญสมาธิได้อย่างไร ? มันไม่มีผล (ไม่ชัด) จุดกำเนิดของการมีศีล สัจจะในการรักษาศีลมันยังไม่เกิดเลย ผมถึงว่าตรงนี้ผมพยายามอยู่ว่า เธอไม่ต้องมาเชื่อหรอกเวลาครูพูดอะไร ให้ปฏิบัติไปเลย และขอดูผลสัก ๓ เดือนก็ได้ ไม่ต้องนานหรอก ?
      ตอบ :  สมัยนี้มันใจร้อน จะให้เราเสกเพี้ยงเดียว แล้วมันเป็นเลย อยู่ตรงนี้เจอน้อยหน่อย แต่ถ้าลงปักษ์ใต้เมื่อไรเจอเยอะเลย เวลาลงปักษ์ใต้ พวกมาเลย์ พวกสิงคโปร์มา เขาต้องการพระประเภทนั้น ประเภทเสกเพี้ยงเดียวให้เขาได้อย่างใจเลย แล้วจะเป็นปัญหาใหญ่มาก เจออยู่เรื่อยแหละ พวกนี้ถ้าเห็นแล้วเลื่อมใสเข้าทีหนึ่งจะเชื่อหัวกปักหัวปำไปเลย ถ้าหากว่าเราไม่ได้อยู่ในศีลในธรรมนี่หลอกจนหมดตัวนั่นเลย ของเราปล้ำเป็นปล้ำตาย ๒๐-๓๐ ปี เพิ่งจะได้แค่นี้ จะให้เราเสกทีเดียวให้เป็นเลย ...จดอย่างเดียว...
              สมัยที่หลวงพ่อยังอยู่ ท่านย้ำนักย้ำหนา นักปฏิบัติกระดาษกับปากกาต้องใกล้มือไว้เสมอ เวลาเข้าโบสถ์มีแต่อาตมาติดกระดาษกับปากกาไปคนเดียวประจำ คนอื่นเขาพึ่งเทป ปรากฏว่าวันนั้นไฟดับ เรียบร้อยจ้ะ หลวงพี่ชัยวัฒน์ ออกจากโบสถ์ก็วิ่งประกบเลยท่านเล็กขอยืมหน่อยครับ หลวงพี่ชัยวัฒน์ท่านจะสะสมข้อมูลเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ เทปมันเดี้ยงซะแล้ว ไม่รู้จะถอดจากไหน ก็ต้องยืมเรา ตกลงว่าเทคโนโลยีโบราณอาศัยได้มากที่สุด
      ถาม :  ผมว่าการปฏิบัติ พอถึงระดับหนึ่งแล้ว มันเหมือนกับเป็นพลังจิตสูงขึ้นมาตามการปฏิบัติด้วย เพราะตรงนี้ผมเคยพิสูจน์คือชัดเจนเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งลูกสาวผมจะไปเข้าเรียน เสร็จแล้วก่อนวันที่จะไป ผมเคารพหลวงพ่อโตมาก ผมไปเอาน้ำมนต์ที่วัดอินทร์บางขุนพรหม วันที่ลูกเขาจะไปจับสลาก ผมก็บอกเสร็จแล้ว ออกไปหน้าบ้าน เดี๋ยวเอาน้ำมนต์หลวงพ่อที่รดหัว ไปจับสลาก จับสลากกันตั้ง ๔๐๐ กว่าคน เขาเอา ๙๗ แล้วจับมาจนถึงคนที่ ๘๑ แล้ว พอจะขึ้นคนที่ ๘๒ ผมก็นึกในใจ ผมบอกว่า หลวงพ่อโต เมื่อไรหลวงพ่อจะแสดงบารมีให้ลูกผมได้เข้าเรียนสักที พอผมอธิษฐานเสร็จสักครู่เขาก็จับชื่อลูกสาวผมเลย ?
      ตอบ :  เรื่องนี้เป็นเรื่องแน่นอน คือว่ายิ่งปฏิบัติมาก ถ้าหากว่ามาถูกทาง พลังจิตจะยิ่งสูงขึ้น เหตุเพราะว่าเราต้องรบกับกิเลสตลอด ในเมื่อเรารบกับกิเลสตลอดเราชนะผ่านได้ กำลังของเราก็ดีขึ้นไปเป็นลำดับ ๆ
              เพราะฉะนั้นการปฏิบัติของเรานี่ ทาน ศีล ภาวนา ยิ่งทำมันยิ่งสั่งสม จนในที่สุดมันจะกลายเป็นฤทธิ์ จะมีประเภทฌานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากฌานสมาบัติที่สร้างได้ อธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากความตั้งใจมั่น เจอกระทั่งกลายเป็นบุญฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากบุญที่สร้างสมเอาไว้แล้ว หลวงพ่อโต ท่านมรณภาพไปเป็นร้อยปีแล้วนะ ยังเป็นที่พึ่งของเราอยู่จนทุกวันนี้ และยิ่งนานคนก็ยิ่งพึ่งท่านเยอะขึ้น ๆ อาตมาก็พึ่งท่าน หลวงพ่อโต หลวงปู่ทวด ถ้าหากว่าพระสมัยเก่า ๆ นี่พึ่ง ๒ องค์นี้มากที่สุด
      ถาม :  ผมท่องคาถา... พอท่องคาถาพระพุทธคุณเสร็จ พาหุงฯ จบหมดแล้ว ก็จะต่อด้วย นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ ...คาถาชินบัญชร ต่อคาถาหลวงปู่มั่น แล้วก็หลวงพ่อฤๅษี ไล่ไป ๔-๕ องค์ แล้วผมเดินทางใช้รถผมก็คาถาหลวงพ่อโอภาสี กับหลวงพ่อจรัล ?
      ตอบ :  จริง ๆ ก็คือว่า ครูบาอาจารย์ พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทุกองค์ เราเคารพท่านอยู่แล้ว แต่ว่าที่พูดถึงหลวงปู่ทวดกับหลวงพ่อโต เพราะว่าบางเวลาท่านมาสงเคราะห์เอง ในเมื่อท่านมาสงเคราะห์เอง ก็กลายเป็นว่ายิ่งเป็นที่ยึดมั่นของเรายิ่งขึ้น บางงานไม่ไหว ท่านก็หิ้วปีกไป (หัวเราะ) ในเมื่อท่านหิ้วปีกไป ก็ต้อง เอ้า! ไปก็ไป
      ถาม :  ทีนี้การสวดมนต์นี่ผมว่าตรงนี้มีอย่างเมื่อปีประมาณ ๓๙ ตอนนั้นแม่ยายผมเขาซื้อบ้าน เสร็จแล้วแม่ก็เลยบอกว่าให้ผมช่วยเป็นธุระให้หน่อย เวลาไปโอนให้ดูละเอียด เพราะว่าเราจะจ่ายสตางค์เขาไปแล้ว เดี๋ยวถึงเวลาไม่ใช่ว่าสตางค์จ่ายไปแล้วบ้านมีปัญหาโอนกันไม่ได้ ถูกหลอก วันที่จะไปโอนวันนี้ผมจำได้ว่าพอตื่นขึ้นมาสักประมาณตีห้านี่ ผมฝันไป ฝันว่าพอผมตื่นขึ้นมาแล้ว ผมเห็นบ้านมันเหมือนหน้าต่างประตูถูกงัดหมดเลย กำลังยืนงง ๆ ว่าบ้านเรานี่ทำไมก่อนนอนก็เรียบร้อยพอตื่นมามันโล่ง ๆ ยังกับถูกงัด ผมก็เห็นหลวงพ่อคูณ ท่านเดินเข้าบ้านมา ผมก็บอกว่า หลวงพ่อใครเขาทำอะไรบ้านผม ? หลวงพ่อคูณก็พูดท่านก็พูดมาก็บอกว่า เออ ! กูไม่ให้มันเอาบ้านมึงไปได้หรอก แล้วท่านก็เดินวนรอบบ้านให้ ๓ รอบ ผมก็สะดุดใจว่า เอ๊ะ ! ทำไมมันฝันแบบนี้ วันที่ไปโอนที่กรมที่ดิน ผมก็เลยอาราธนาหลวงพ่อคูณใส่กระเป๋าไปด้วย
              ปรากฏว่ามันก็เป็นแปลกของเขาจริง ๆ เพราะว่าคนที่มาขายบ้านนี่ เขามีแผนหลายชั้นเหมือนกันตั้งแต่ตอนที่ว่าครั่งแรกทำสัญญากัน บอกว่าเงินวางมัดจำหมื่นหนึ่ง แล้วก็ไม่ต้องเอาอะไรไป วันไปโอนนี่ให้ผมเช็คเงินสดไปเลยล้านหกแสน พอผมไปถึงผมจะเอาเช็คให้เขา เขากลับอ้างว่าเช็คเขาไม่เชื่อว่าเป็นของจริง ให้ผมกลับไปเอาเงินสด แต่ในสัญญาเขาบอกว่า ถ้าวันนั้นผมโอนเอาเงินมาให้เขาไม่ได้ เขาจะยึดเงินมัดจำผม ผมก็บอก เอ! มันยังไง ก็เช็คเงินสดนี่คุณโทรไปได้ที่ธนาคารมันมีจริง มันจะปลอมได้ยังไง บอกไม่ยอมก็จะขอเงินสด ผมต้องวิ่งจากกรมที่ดินไปเอาเงินมาอีก พอมาถึงก็เล่นลูกเล่นอีกแล้ว บอกจะขอนั่งนับเงิน ทีนี้ผมบอกว่า ถ้าคุณนั่งนับเงินล้านกว่า ถ้าคุณนับสัก ๓ เที่ยว ผมก็ตายแล้ว บ่าย ๒ โมง กรมที่ดินยังไม่ได้เซ็นสัญญา วันนั้นผมเป็นอันว่าโอนไม่ได้ ถ้าโอนไม่ได้ ผมยึดเงินมัดจำคุณเสียหรือเปล่า ผมว่าเอาอย่างนี้แล้ว คุณไปกับผมที่ธนาคาร ไปให้เขานับเงินเลย พอไปถึงเขาบอกเอาเงินมาสิ เขาจะเข้าบัญชี ผมก็เกิดสะดุดใจ ผมบอกว่าไม่เอาอย่างนี้ เข้าไปพบกับเจ้าหน้าที่ธนาคารเลยดีกว่า ให้เขานับด้วยเครื่องแล้วก็ให้บันทึกไว้ด้วยว่าเงินผม ที่ผมให้คุณไม่ใช่เงินของคุณ ปรากฏว่าพอนับเสร็จผมก็บอกไม่ต้องกลับไปที่กรมที่ดิน เสียเวลาจะบ่าย ๒ โมงแล้ว เดี๋ยวโอนไม่ทันให้โทรศัพท์เข้าไปที่กรมที่ดินเลย ให้เซ็นสัญญาที่โน่นปรากฏว่าทำเสร็จ วันหลังผมมารู้ความจริงว่า เขาเนี่ยไปขาย... ?
      ตอบ :  ทำแบบนี้มาเยอะแล้ว
      ถาม :  ...บ้านให้คนอื่น แล้วให้ราคาสูงกว่าผม เกิดจะไปขายให้คนโน้นก็เลยยึกยักกับผมไง พอโอนเงินเสร็จเรียบร้อยเป็นเดือนนะ เขาไม่ยอมออกจากบ้านผมต้องไปแจ้งความตำรวจอีก ตำรวจเขาบอก เออ! คนแบบนี้ก็มีด้วย ขายบ้านเขาแล้วยังไม่ยอมออก เขาบอกว่าจะให้โทรศัพท์ในบ้าน สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ให้ แล้ววันสุดท้ายที่เห็นว่ามันโล่ง ๆ วันจะไป เขายังอุตส่าห์รื้อไปหมดเลย ประตูหน้าต่างในบ้าน ?
      ตอบ :  พูดว่าอะไรถอดได้เอาหมด
      ถาม :  ที่ไม้สัก... เขารื้องัดไปหมด ?
      ตอบ :  จ้ะ ยังดี มันไม่ถอดหลังคาไปด้วย
      ถาม :  สายไฟยังรื้อไปเลย ผมถึงบอก เอ ! มันฝันได้แม่นยำขนาดนั้น ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) นักปฏิบัติของเราพอไปถึงวาระหนึ่ง มันจะมีประเภทที่เรียกว่า เทพสังหรณ์ แต่จริง ๆ แล้วก็คือทิพจักขุญานอย่างหนึ่ง แต่เป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน เพราะว่าพอถึงเวลาถึงวาระ ถ้าหากว่าเรื่องที่สมควรจะรับรู้ได้โดยไม่เกินวาระเกินกฎของกรรมมากนัก ท่านก็จะให้รู้ได้ อันนั้นต้องรีบไป ประเภทที่เรียกว่า กราบขอบพระคุณ หลวงพ่อคูณ เป็นอย่างสูง(หัวเราะ) ถ้าไม่เตือนไว้ก่อนนี่แย่แน่นะ หลวงพ่อคูณก็เหนื่อยจนป่านนี้แล้ว ครูบาอาจารย์ก็ล่วงลับไปทีละองค์สององค์ ไม่กี่วันก่อน หลวงปู่ปลื้ม วัดสวนหงษ์ ก็ไปซะแล้ว พวกสุพรรณไปกราบหลวงพ่อคูณถามว่ามึงมาจากไหนกัน ? บอกมาจากสุพรรณบุรีเจ้าค่ะ บอกแล้วทำไม่ไปหาหลวงพ่อปลื้ม ที่บางปลาม้า ท่านเก่งกว่ากูอีก ? นั่นแหละ พวกสุพรรณเพิ่งจะรู้ว่ามีเพชรอยู่ใกล้ ๆ เออ! หลวงปู่ปลื้มไปซะแล้ว ไปสักอาทิตย์ได้แล้วมั้ง ได้ข่าวไหม ?