ตอบ:   อย่างนี้เวลาคนทำบุญถวาย แล้วให้พรไม่เหมือนกันนี่ แล้วแต่วาระแล้วแต่บุคคลหรือ ?
      ตอบ:   อาจจะเป็นไปได้ว่า ท่องไปท่องมาหลาย ๆ ที แล้วมันเบื่อก็เปลี่ยนบทมั่ง (หัวเราะ) คนบางอย่างมันไม่เหมือนกัน อย่างบทโสอัตถะลัทโธ สำหรับคนป่วยให้หายจากโรค อย่างชยสิทธิ ธะนัง ลาภัง เขาขออะไรให้สำเร็จตามนั้น ถ้าหากว่า ภุตตา โภคา สำหรับผู้ที่ถวายอาหารอย่างนี้ แต่ละอย่างมันไม่เหมือนกัน ก็ว่าไปตามวาระ ถ้าขึ้น อะทา สิเม เมื่อไหร่ ก็งานศพแหง ๆ บทให้พรของพระเขามีเหมือนกันว่าบทไหนใช้ในงานอะไร มันก็เลยต่าง ๆ กันไป
      ถาม :  ที่เวลาพระพูดว่า เอวังโหตุ หมายความว่า ....
      ตอบ:   แปลว่า อยากได้อะไรก็ให้สำเร็จ ง่ายกว่ามั้ย ?
      ถาม :  คราวก่อนได้ถามว่า การที่อธิษฐานขอพรจากพระในเรื่องส่วนตัว เช่น ลาภ ยศ อะไรพวกนี้เป็นการไม่สมควร ทีนี้ได้ไปฟังของพระอาจารย์สพฤกษ์ เวลาท่านอธิษฐาน ท่านก็บอกว่าให้พระท่านช่วยเกื้อกูลสงเคราะห์ อะไรพวกนี้ อย่างไหนจึงเหมาะสม ?
      ตอบ:   อะไรก็ตาม มันต้องเป็นเรื่องของเหตุกับผลเท่านั้น ถ้าเราสร้างเหตุเพียงพอ เราขออะไรผลนั้นก็จะได้ ถ้าเราสร้างเหตุไม่พอขอให้ตายมันก็ไม่ได้ การขอพระ ขอเทวดาให้ช่วย ต้องหมายความว่าเราขาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วเราตั้งใจจะทำดีเพิ่มเติม ถ้าขาดเพียงเล็กน้อย แล้วตั้งใจทำดีเพิ่มเติมด้วย ท่านก็ช่วยสงเคราะห์ให้ก่อน แต่ถ้าหากขาดเยอะท่านก็ไม่ไหวเหมือนกัน
            เพราะฉะนั้นเรื่องของศาสนาของเรา พระพุทธเจ้าท่านบอกแต่ของจริง ในเมื่อท่านบอกของจริง ท่านก็จะบอกว่า เรื่องของท่านจริง ๆ มันเป็นเรื่องของเหตุและผล ร้องขอเฉย ๆ ไม่มีทางได้ ต้องสร้างเหตุเอาไว้ ผลมันถึงจะเกิด
      ถาม :  ถ้าเราไม่ขอเลยล่ะครับ ?
      ตอบ:   ไม่ขอเลย ก็บางทีอาจจะเจออย่าง อานันทเศรษฐี การขอเขาเรียกว่าอธิษฐานบารมี คือความตั้งใจอยู่ว่าสิ่งนี้เราทำต้องการอย่างไร ? ต้องการเป็นอย่างไร ? อานันทเศรษฐี แกเปลี่ยนจากเศรษฐีเป็นคหบดี เปลี่ยนจากคหบดี กลายเป็นขอทาน พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า อานันทเศรษฐี ตอนที่เป็นมหาเศรษฐี ถ้าฟังธรรมจะเป็นพระโสดาบัน แต่ตอนนี้เธอเป็นขอทาน จิตใจมัวแต่กังวลอยู่กับการทำมาหากิน ฟังธรรมไปก็ไม่มีผล พระอานนท์ถามว่า พระพุทธเจ้าตรัสทุกอย่างแล้วไม่เป็นสอง พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่าบุคคลใดมีวิสัยจะได้มรรคผล จะไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น ทำไมอานันทเศรษฐีถึงเสื่อม พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อานันทเศรษฐีขาดอธิษฐานบารมี ในเมื่อไม่ตั้งใจเอาไว้ก่อนว่าต้องการให้เป็นอย่างไร ต้องการให้เป็นเมื่อไหร่ เวลาที่ตัวเองต้องการมันก็เลยไม่มา อยากจะกินข้าวตอนนี้อีก ๓ วันค่อยมา ทนรอไปก็แล้วกัน
      ถาม :  อย่างกับการใช้ผล เช่น นโม ตัสสะ คนทั่วไปเขาเอามาแต่งเป็นเพลงใส่ทำนอง เพลงปัจจุบัน หรือว่าเอามาเล่นคำถามอย่างเช่น พระโทรศัพท์วันไหน ? แล้วตอบว่า พุทโธ อย่างนี้ถือว่าเป็นการปรามาสหรือเปล่า ?
      ตอบ:   ต้องดูว่าเขามีความเคารพมั้ย ? ถ้าหากว่ายังสวดเป็นเพลง แต่ถ้าใจเคารพไม่เป็นไร แต่ถ้าสวดเป็นเพลงเอาสนุกเอามัน ปรามาสแน่ ๆ ส่วนลักษณะคำถามแบบเอาสนุกอย่างนั้น ปรามาสชัด ๆ อยู่แล้ว
      ถาม :  ยิ่งคนไปหัวเราะกับคำถามด้วย ก็...
      ตอบ:   ยิ่งไปกันหนักเลย
      ถาม :  ผมเคยไปปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์พระอยู่วัดหนึ่ง แล้วก็มีการทำพิธีอะไรต่าง ๆ ตอนหลังมานี่ ๒ ปีแล้ว ไม่ได้ไปหาท่านเลย คือท่านเป็นพระที่บอกให้ผมบวชโดยไม่สึก เลยอยากจะเรียนถามว่า อย่างนี้จะมีผลต่อชีวิตอะไรมั้ย ?
      ตอบ:   เรื่องนี้ทำไปนี่ เป็นการกล่าวปฏิญานอะไรด้วยใช่มั้ย ? (ใช่ครับ) พวกนั้นมันเป็นความตั้งใจของเรา คือลักษณะอธิษฐานบารมี ถ้าเรารู้ว่าไม่ถูกต้องเราก็เปลี่ยนความตั้งใจเสียได้ ไม่มีปัญหาอะไร ขนาดเขาอยากจะเป็นพระพุทธเจ้า เขายังเปลี่ยนเลย ใช่มั้ย ? ก็แค่ละจากความปรารถนาพระโพธิญาณมาปรารถนาสาวกภูมิแทน ถ้ามันเปลี่ยนไม่ได้เลยก็แย่สิ ถ้าของเรามันไม่ได้ก็เกินไป
      ถาม :  เคยไปงานศพของญาติคนหนึ่ง พอเขารับส่วนบุญส่วนกุศล ทำไมวิญญาณเขา...ตอนมีชีวิตอยู่ ก็ไม่ค่อยได้ทำบุญ แต่กายของเขาสามารถเปลี่ยนขยายขนาดได้ใหญ่กว่าคนปกติถึง ๒ เท่า...?
      ตอบ:   เรื่องของกำลังบุญ เขาวัดกันด้วยรัศมีกาย อย่างพระพุทธเจ้าสร้างบารมีมาไม่เท่ากัน พระวรกายก็จะมีขนาดแตกต่างกันไป ของเทวดา ของพรหม ก็ลักษณะเดียวกัน สร้างบารมีมามาก รัศมีกายจะสว่างมาก กายก็ใหญ่มาก คราวนี้อย่าลืมว่าเขาไม่ได้ทำ แต่เราทำ เราทำเท่าไหร่ถ้าผลเกิดกับเรา คนโมทนาเขาได้เท่านั้น เพียงแต่คนโมทนาจะได้ทีหลังนิดหนึ่ง ถ้าผลนั้นยังไม่เกิดแก่เราเพียงไร เขาก็จะไม่ได้ ของเราตอนนี้มันสุขกายสบายใจดีอยู่แล้วนี่ ถึงเวลาให้เขา เขาก็ได้เลย
      ถาม :  ในการให้ มีมั้ยที่เขารับไม่ได้ ?
      ตอบ:   มี บางคนกรรมเขาหนัก รับไม่ได้ หรือไม่ก็เราให้ผิด เขาก็รับไม่ได้ หลวงพ่อท่านเคยเล่าว่า สมัยท่านบวชใหม่ ผีมาขอส่วนกุศล ท่านก็อุทิศส่วนกุศลบท อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตตะรา.... มันไม่ถึงผีซะที ลองแปลดูสิ อุปัชฌายา คุณุตตะรา ให้อุปัชฌาย์ผู้มีคุณ อาจาริยู ปะการาจะ อาจารย์ผู้มีอุปการะ มาตาปิตา จะญาตะกา บิดามารดาและญาติ ไอ้นั่นไม่ได้ซะที หมดเวลาเขาลากไป ตื่นเช้ามา หลวงปู่ปานถาม “เป็นยังไง พ่ออิมินาคล่อง ไปท่องอย่างนั้นผีเขาจะได้รึ?” ท่านก็ถามว่า ทำยังไง ? หลวงปู่ปานบอกให้ใช้ภาษาไทยง่าย ๆ ให้ตั้งใจว่า กุศลบารมีใด ที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เธอให้เธอได้รับด้วย เอาง่าย ๆ ไปท่องคล่อง ๆ กว่านั้น ถ้ามันไม่ตรง เขาก็รับไม่ได้ อีกประเภทหนึ่ง กรรมของเขาหนัก
            มีอยู่รายหนึ่ง ตอนนั้นไม่ทราบว่าเป็นวันสำคัญอะไร ? น่าจะเป็นมาฆะบูชา ปรากฏว่าตอนบ่าย ๓ โมง เข้าโบสถ์สวดปาติโมกข์ มีผีมาโมทนาบุญอยู่มากันแน่นขนัดไปหมด เพราะว่า วันมาฆะ วิสาขะ เข้าพรรษา ออกพรรษา พระยายมท่านจะหยุดงานช่วงละ ๓ วัน ปล่อยผีให้ไปโมทนาบุญ พวกนี้ถ้าโมทนาได้ ไปเลย งานท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อย วันนั้นเขาก็มากันมากมหาศาลเลย แต่ปรากฏว่ามีอยู่ ๓ คนที่โมทนาบุญไม่ได้ หลวงพ่อก็เรียกเขาเข้ามาใกล้ ถามว่า ทำไมให้บุญแล้ว เขาโมทนาบุญไม่ได้ คนอื่นได้หมด เขาบอกว่าเขาทำกรรมหนักไว้มาก อยู่โรงฆ่าสัตว์ ฆ่าควาย ฆ่าวัวเป็นประจำเลย คนฆ่าสัตว์ใหญ่ กรรมมันก็เลยหนัก โมทนาบุญไม่ได้ บอกอ้าว! แล้วแกมาได้ยังไง ? บอกว่าที่มาได้เพราะพระยายมเขาปล่อยมา แล้วตัวเองกรรมของมันยังไม่หนักพอที่จะลงสู่ขุมโดยตรงเลย ก็เลยมีเทวทูตไปรับ ก็ถือว่าโชคดีไป ถามว่าตัดสิน ? ถ้าตัดสินผมลงแน่ เพราะผมนึกถึงความดีไม่ออกเลย แล้วถามว่า มีความดีอะไรที่แกจะโมทนาได้บ้าง ? บอกขอบุญกรรมฐาน ในเมื่อขอบุญกรรมฐาน หลวงพ่อท่านก็เลยอุทิศให้ว่า กรรมฐานใดที่ท่านทำมา ขออุทิศให้กับเขา ให้โมทนา ถึงได้รอดไป ก็หมายความว่าถ้าเราให้ไม่ตรง เขารับไม่ได้ หรือว่าให้แล้วกำลังบาปของเขาสูง เขาก็รับไม่ได้เหมือนกัน
            ส่วนอีกประเภทหนึ่ง ที่รับไม่ได้เลย คืออยู่ในเขตที่ลำบาก อย่างเช่นว่า อยู่ในนรกหรือว่าเปรต ๑๑ จำพวกแรกนี่รับไม่ได้หรอก กำลังลำบากอยู่ คนโดนเขาไล่ฆ่าไล่ฟันอยู่ ยื่นขนมให้กิน มันกินไม่ทันหรอก
      ถาม :  ทำกรรมประเภทฆ่าสัตว์ นี่ตัดรอนชีวิตตัวเอง ?
      ตอบ:   ปาณาติบาตทุกประเภท จะทำให้อายุสั้น โดยเฉพาะฆ่าคน ฆ่าสัตว์ใหญ่ ต้องใช้กำลังใจมากกว่าปกติ ไม่เหมือนกับสัตว์เล็ก อย่างยุงตบเพียะเดียว เราไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ ในเมื่อฆ่าคน ฆ่าสัตว์ใหญ่ ต้องใช้กำลังใจมากกว่าปกติ โทษมันก็หนักกว่าปกติ ถ้าถึงเวลา ถึงวาระกรรมเข้ามาถึง ก็จะตัดรอนชีวิตตัวเองลงไป ถ้าแก้ไขไม่ทันก็ตายเลย เขาเรียกว่าอุปฆาตกรรมฝ่ายอกุศล แต่ถ้าแก้ไขทันอย่างประเภทสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ ก็จะอยู่ไปได้อีกระยะหนึ่ง จนกว่าวาระกรรมนี่มันจะวนกลับมาอีกรอบหนึ่ง มันก็มาเป็นระยะ ๆ เหมือนกัน
      ถาม :  เรามีอธิษฐานหนีกรรมได้มั้ย ?
      ตอบ:   อธิษฐานได้ แต่หนีไม่รอด จำไว้ว่า กรรมจะตามให้ผลอยู่เสมอ ยกเว้นว่าเราทำบุญอยู่ตลอด กำลังบุญที่สูงพอก็จะหนีห่างมันไปเรื่อย จนกระทั่งเราทำดีถึงที่สุด หลุดพ้นเข้านิพพาน มันก็ตามไม่ได้ อธิษฐานเป็นความตั้งใจเฉย ๆ ถ้าไม่ได้ทำบุญประกอบ ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้ามีบุญประกอบตั้งใจอธิฐานหนีกรรม กำลังบุญก็ส่งให้ได้ แต่มันได้ระยะเดียว ถ้าเผลอเมื่อไหร่กำลังบุญสิ้นสุดลง กรรมจะตามทันให้ผลอีก เพราะฉะนั้นต้องทำบุญให้สม่ำเสมอ
      ถาม :  ถ้าเราไม่มีเวลาทำบุญ แล้วเอากระปุกที่เป็นบาตรวางไว้หน้า...?
      ตอบ:   เหลือเฟือเลย ตั้งใจเป็นสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน บุญใหญ่มโหฬารเลย
      ถาม :  ตั้งใจ ณ ตรงนั้นได้เลยใช่มั้ย ?
      ตอบ:   ได้เลย แค่คิดจะทำก็เป็นบุญแล้ว ลงมือทำไปบุญนั้นสำเร็จแล้ว แต่ถ้าเราตายก่อน ไม่ได้เอาไปถวายพระ พระขาดทุน (หัวเราะ) มันเล่นรับบุญไปแล้ว
      ถาม :  ไม่ทราบว่า ทำไมเกิดอาการขนลุกอยู่ตลอดเวลา ?
      ตอบ:   ผีหลอก (หัวเราะ) บางทีเรารับสัมผัสอะไรได้ หรือว่ามีบางสิ่งบางอย่างต้องการจะติดต่อเรา มันจะมี...การจะติดต่อเรา มันจะเกิดอาการขนลุกเป็นจังหวะ ๆ อยู่ถ้าเกิดอาการอย่างนั้น ให้กำหนดด้วยทิพจักขุญาน ดูว่ามีใครต้องการจะติดต่อมั้ย ? บางรายเขามีธุระด่วนจริง ๆ เขากดเราร่วงไปเลยนะ มันจะรู้สึกเหมือนง่วง จนลืมตาไม่ขึ้น ประเภทหัวไถพื้น นอนลงไปเลย แล้วเขาก็จะจัดการบอกเราเองว่าเขาต้องการอะไร ? ไม่งั้นติดต่อเท่าไหร่ ไม่สนใจ ต้องใช้วิธีกดคอบังคับกัน เคยโดนหลายทีเหมือนกัน เราเองก็มัวแต่เพลินกับงานอยู่ ไม่ได้สนใจเรื่องภายนอก เขากดร่วงไปเลย บอกเสร็จเรียบร้อย เขาถึงจะปล่อย เราก็เออ... ตื่นขึ้นมา ความจริงมันไม่ใช่หลับเพราะง่วง มันเป็นเพราะเขาต้องการกดเราให้อยู่ในอารมณ์ตรงจุดที่รับติดต่อกับเขาได้พอดี อาการเหมือนกับเคลิ้มจะหลับซะให้ได้ โดนไปกี่ครั้งแล้ว ?
      ถาม :  บ่อยเจ้าค่ะ ?
      ตอบ:   ระวังไว้ พอเกิดอาการให้รีบใช้ทิพจักขุญานดู อันนั้นมันเป็นสัญญานเตือนแล้วว่ามีใครต้องการติดต่อ ถ้าหากว่าไม่งั้นก็จะบ่อยอีกแหละ อยู่ ๆ ก็หลับเฉย ๆ ยืนอยู่บนรถเมล์ก็หลับ เดี๋ยวจะยุ่งกันไปใหญ่
      ถาม :  .........................................
      ตอบ:   ท่านถามว่าเมื่อไหร่จะยอมรักษาคนซะทีจ๊ะ ? (หลวงปู่ชีวกโกมารภัจ)
      ถาม :  ท่าน (หลวงปู่ชีวกฯ) ให้บอกตัวยา
      ตอบ:   ว่ามา อะไรบ้าง ? ทีละอย่าง
      ถาม :  รักษาโรคเลือดเจ้าค่ะ
      ตอบ:   โรคเลือด โรคเลือดนี่รักษาเอดส์ได้ด้วย อะไรบ้าง ?
      ถามหญ้าหนวดแมว ๓ บาท ทองพันชั่ง ๓ บาท ตะไคร้ ๑๐ บาท ขิง ๑ บาท เอาต้มรวมกัน ใส่น้ำไป ๑ ลิตร ต้มเคี่ยวจนเหลือ ๑ แก้ว ทานให้ติดต่อกัน ๗ วัน ๆ ละ ๑ แก้ว ก่อนนอน
      ตอบ:   ตัวยาต้องเปลี่ยนมั้ย ? หรือว่าทั้ง ๗ วัน ใช้ตัวยาชุดเดียว ?
      ถามใส่ตัวยาใหม่ตลอด อย่าซ้ำของเดิม ทานไปอาการจะทุเลาลง
      ตอบ:   แก้โรคเลือด นี่แก้เอดส์ได้ด้วยนะ เพราะว่าเอดส์นี่เลือดมันเป็นพิษ ... อาการจะดีขึ้น... คำว่าดีขึ้น ไม่ได้แปลว่า ไม่ตายนะจ๊ะ... แล้วทำบุญอะไรก็ตั้งใจนึกถึงปู่บ้างนะ ท่านถึงจะไปนิพพานแล้ว ก็ยังเป็นห่วงพวกเราอยู่
            สมัยนี้เป็นเอดส์กันเยอะ... เวลาต้มนี่ให้ใช้หม้อดินจะดีกว่า เพราะว่าโลหะบางทีทำให้ธาตุยาเสียไป กินก่อนนอนทุกวัน ๗ วันติดต่อกัน พอรุ่งขึ้นก็เปลี่ยนยาใหม่ ๆ เลยนะ ยานี่ใช้ได้ทีเดียว ๗ วันอาการต่าง ๆ จะดีขึ้น อย่าคิดว่าไม่ตายนะ... ดีขึ้น คนดี ๆ ยังตาย คนป่วยจะรอดไปนานได้อย่างไร แต่ว่าอย่างน้อย ๆ ก็บรรเทาอาการเวทนาได้ ปู่หมอชีวกโกมารภัจ บอก...เป็นวิทยาทาน ปู่ท่านถนัดภาษาสันสกฤตมากกว่า น้ำนี่ถ้าได้น้ำฝนยิ่งดีนะ ตัวยานี้ถ้าหาทั่วไปไม่ได้ ให้ไปที่ร้านเจ้ากรมเป๋ออยู่ที่จักรวรรดิ ของง่าย ๆ อย่างนี้หาง่ายอยู่แล้วล่ะ
      ถาม :  อันนี้เป็นของสดหรือของแห้ง ?
      ตอบ:   ของสด
      ถาม :  เจ้ากรมเป๋อไม่มีของสด
      ตอบ:   เจ้ากรมเป๋อไม่มีสดใช่มั้ย ? ถ้าอย่างนั้นหาเองเลย ก็ไม่ยากนี่ ที่จะยากนิดก็ทองพันชั่ง แต่ทองพันชั่งนี่ถ้าเจอ ๆ เป็นดงเลย เพราะมันขึ้นง่าย ถ้าหาไม่ได้โน่น ไปที่ศูนย์ต้นน้ำทองผาภูมิ มีเป็นปี๊บ
      ถาม :  หลวงปู่ยังบอกไม่หมดเจ้าค่ะ (หลวงปู่ชีวกฯ)
      ตอบ:   มีอะไรจ๊ะ ?
      ถาม :  คนที่เป็นความดันห้ามกินเจ้าค่ะ
      ตอบ:   อันตรายเหมือนกันจ้ะ ความดันสูงหรือต่ำจ๊ะ ?
      ถาม :  ความดันสูงเจ้าค่ะ
      ตอบ:   ความดันสูงห้ามกิน เพราะว่ามันอาจจะไปเพิ่มความดัน เพื่อให้เลือดมันวิ่งเร็วขึ้น การฟอกเลือดจะได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าหากความดันสูงห้ามกินนะ ระวังด้วย
      ถาม :  ของที่ใช้ได้ทั้งสดทั้งแห้งเจ้าค่ะ
      ตอบ:   จ๊ะ สดก็ได้แห้งก็ได้ แต่สดมันจะคุณภาพดีกว่านะปู่นะ ?
      ถาม :  ใช่ เจ้าค่ะ สดคุณภาพดีกว่า ถ้าได้สดทุกอย่างมันจะดีที่สุดด้วย
      ตอบ:   ความดันสูงห้ามกินจ้ะ ใช้ของสดดีกว่าของแห้ง แต่ใช้ได้ทั้งคู่ เขาเรียกว่าคนดีผีรัก ยายเจี๊ยบ เขาไปที่ไหน โดนตลอด
      ถาม :  ไม่ไหวเจ้าค่ะ อายเขาจังเลยเจ้าค่ะ
      ตอบ:   อายเฉย ๆ ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าบางอย่างถ้าเราไปฝืน ท่านกดลงมามันเหนื่อย เหมือนจะขาดใจ
      ถาม :  หายใจไม่ออกเจ้าค่ะ
      ตอบ:   อาตมาเคยโดนมาหลายยกแล้ว ไปดื้อกับท่าน ท่านก็เอาเลย อีตอนนี้มีคนให้โดนแทนแล้ว (หัวเราะ) เราไม่เกี่ยวแล้ว
      ถาม :  ทำยังไงถึงจะหลบหน้าที่นี้ได้เจ้าค่ะ ?
      ตอบ:   ถ้ามันจำเป็นต้องสงเคราะห์คน ทำไปเถอะ เพราะว่าอย่างน้อย ๆ เป็นการเพิ่มบารมีของเราเอง แล้วอีกอย่างหมอสมัยนี้มันห่วยแตก อย่างของอาตมามันรักษาไม่หาย แล้วก็สรุปว่าเราไม่เป็นอะไรเลย เพราะตรวจหาโรคไม่เจอ คนจะตายแหล่ ไม่ตายแหล่ ไม่ต้องถามหายแล้วจ้ะ (หัวเราะ) อยู่ใกล้นี่หายเลย เรื่องโรคนี่ยาบรรเทาได้แค่ไม่เกินกฎของกรรมเท่านั้น ของเรามันรังแกเขาไว้เยอะ ต้องโดนอยู่แล้ว
      ถาม :  กำหนดกรรมฐานให้หน่อยเจ้าค่ะ
      ตอบ:   จริง ๆ ของเราสบายอยู่แล้ว เพราะว่าเราทำเอาไว้มาก วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือว่าให้ส่งจิตไปกราบพระบนนิพพาน แล้วอยู่ที่นั่นให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ สภาพจิตจะผ่องใสอยู่ตลอด แล้วอีกอย่างหนึ่งถ้าเราเบื่องานอื่น หนีไปอยู่ตรงนั้นใครก็กวนไม่ได้ ผีก็กวนไม่ได้ เทวดาก็กวนไม่ได้ วิธีหนี ๆ อยู่ตรงนั้นแหละ หนีให้นานที่สุดแล้วกัน ลงมาเมื่อไหร่โดนเมื่อนั้น (หัวเราะ)
      ถาม :  บางทีพอขึ้นไป แล้วร่างกายกลับมาตัวชา ทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ ?
      ตอบ:   นั่นมันเรื่องปกติของเขา ระวังเอาไว้นิดหนึ่งว่า อย่างน้อย ๆ ให้ปิดประตูใส่กลอนไปเลย ถ้าเปิดไว้เดี๋ยวจะโดนยำเละแบบอาตมา เราป่วยจนทนไม่ไหว ก็ใช้วิธีเข้าสมาธิหลบ เขาเห็นไม่หายใจ เห็นแข็งไปทั้งตัวก็จัดแจงขยำกันเละเทะไปเลย ตื่นขึ้นมานี่แสบไปทั้งตัว เขาคิดว่าเลือดลมไม่เดินแล้ว ใช้ผ้าชุบน้ำร้อน ถูกันใหญ่ ผ้าถูเฉย ๆ มันจะแย่แล้ว ยังชุบน้ำร้อนเข้าไปด้วย ตื่นขึ้นมาเป็นอะไร แสบไปทั้งตัว หนังเป็นขุยหมดเลย นี่ยังใช้ครีมทาผิวอยู่ตลอด เพราะว่ามันยังไม่หาย โดนไปทีนี่มันคงประเภทหมดไปเลย ต้องมาค่อย ๆ เติมให้มันใหม่
            เพราะฉะนั้นใช้วิธีนี้แหละ ดีที่สุด คือว่าถ้าเราเบื่อโลกมาก ๆ ก็หนีไปอยู่นิพพานนั่นแหละ ดีที่สุด อยู่ในจุดนั้น ใคร ๆ ก็ไม่กวนด้วย แต่ว่าจริง ๆ ก็คือสงเคราะห์คนไปเถอะ เราอยู่ในโลกมนุษย์นี่ ถ้านับไปแล้วเวลามันน้อยเหลือเกิน ในเมื่อเวลามันน้อย โอกาสจะช่วยเหลือเขาได้ก็ช่วยสงเคราะห์เขาหน่อย... พวกเป็นเอดส์นี่ถ้าเจอตัวยาแล้วดีขึ้นกระดี๊กระด๊ามา จะให้ไปไล่บีบคอยายเจี๊ยบโน่น ๆ คนโน้นรักษาได้ เดี๋ยวมันแห่กันไปทั้งประเทศเลย
      ถาม :  ไม่ไหวเจ้าค่ะ หลบก่อนก่อนเจ้าค่ะ กลัวมากเลยเจ้าค่ะ
      ตอบ:   จ้ะ ถ้าหลบแค่หลบได้ สมัยก่อนก็ยายตึ๊ก ชื่อจริงน่าจะชื่อ อวยพร หรือสุพร เนี่ย ๓ พี่น้อง มีจี๊ มีไทร มีตึ๊ก เจ้าตึ๊กต้องเรียกว่า ตึก อ้วนบึ้กเลย กลมเป็นลูกชิ้นเชียว ปรากฎว่าท่านย่ามาทีไรลากคอยายตึ๊กทุกที ยายนี่ก็กลัว เพราะเวลาที่ท่านย่าทรงนี่ คนที่ไม่เคยโดนไม่รู้หรอกว่าเป็นอย่างไร มันเหนื่อย มันจะขาดใจ แรงที่ท่านกดลงมา กลัวก็หลบ ขนาดไปซุกอยู่ใต้เตียง ย่ายังลากออกมาเลย ถามย่าทำไมไม่เอาคนอื่น ? ท่านบอกว่า มันต้องใช้เวลาคุยกันนาน เพราะลูกหลานเยอะ บางทีก็เป็นชั่วโมง ๆ ถ้าหากว่าเป็นคนอื่น มันจะรับไม่ไหว ท่านบอกว่าไอ้ตึ๊กมันอ้วน กำลังมันดี เดี๋ยว ๆ ก็หามออกมากะย่องกะแย่งมาแล้ว หลวงพ่อท่านก็บอกย่า เดินดี ๆ ก็ได้ ท่านบอก ก็มันแก่แล้ว (หัวเราะ) ก็ไอ้ตึ๊กมันยังสาวอยู่ สาวก็เรื่องของมัน ท่านมา ท่านมาลักษณะคนแก่ มาทีไรใจดีทุกทีแหละ พูดเพราะมากเลย เพราะ ๆ ลักษณะที่ตัดหัวคนมาเยอะแล้ว ประเภทอันนี้เจ้าผิดจริง ๆ เพื่อรักษาวินัยกองทัพไว้ ก็ยกหัวให้ย่าเถอะลูก แหม... พูดเพราะจริง ๆ
            เพราะฉะนั้นถ้าท่านย่าตัวจริงนี่พูดเพราะมากเลย จำไว้เลยนะไอ้เอะอะโวยวาย มึงวาพาโวย นั่นไม่รู้ย่าใคร ถ้าย่าใหญ่ของเรานี่พูดเพราะ ท่านเคยบอกเอาไว้ว่า พ่อคนเดียวเหนื่อยเพื่อลูกจำนวนมากก็เหนื่อยได้ แล้วลูกตั้งหลายคน ทำไมไม่ช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อบ้างหรือ ? ท่านบอกว่า ถ้ายังให้พ่อเหนื่อยอยู่อย่างนั้นอีก ย่าจะเอาพ่อไปแล้ว คือท่านรู้ว่าร่างกายของพ่อไม่ไหว แล้วก็ค้ำซ้ายค้ำขวากันอยู่ขณะนั้น คนมันฟัง มันก็สักแต่ว่าฟัง ไม่ค่อยจะได้คิด เห็นหลวงพ่อยังนั่งได้ ยิ้มได้ ก็เออ! สบายใจ ประมาทไปเรื่อย ไป ๆ มา ๆ ปุ๊บปั๊บ หลวงพ่อไปขี้มูกโป่งไปตาม ๆ กัน