| 
 กระโถนข้างธรรมาสน์  เล่ม 6
 สนทนากับพระเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
 ณ  บ้านอนุสาวรีย์   เดือนเมษายน  ๒๕๔๔ 
       ถาม :  ถามเรื่องฤกษ์พรหมประสิทธิ์ที่หลวงปู่ปานท่านให้น่ะครับ    วันพุธฤกษ์ห้ามคือสามค่ำหรือห้าค่ำครับ   เพราะเท่าที่ผมดูในตารางแล้ว.........
        ตอบ :   จริง  ๆ   แล้วมัน  ๓  แต่ว่าอีกอันหนึ่งวัดท่าซุงเขาพิมพ์มามันจะเป็น     ๕   ค่ำ
        ตอบ :    ตกลง   ๓  นะครับ   แล้ววันจันทร์ละครับหลวงพี่   อมฤตโชคนี่
        ตอบ :    ๓   ค่ำ    อันนั้นมันผิด   เพราะว่ามันจะมีที่เขาพิมพ์มามันตกไป   ๒    อัน   แล้วก็จะมีเกินอันหนึ่ง   ฤกษ์ประสิทธิ์โชคมันจะเป็นอมฤตโชคไปเลย  ( หัวเราะ)    ของเรามันไม่ผิดหรอกเพราะเราไปเปิดไล่จากปฎิทิน    ๑๐๐   ปี    มันลำบาก     ถ้าหากว่ามีประเภทปฎิทินปกติมาเลยมันก็เร็ว    แต่ถ้าเราไปรอปฎิทินปกติมันร่วมปีใหม่มันทำไม่ทัน    เปิดไล่จากปฎิทิน   ๑๐๐  ปี   มันก็มีลอดหูลอดตาไปบ้าง  
        ตอบ :    คราวนี้ขอถามที่เป็นปีเกิดน่ะครับ   ที่หลวงปู่ท่านเขียนไว้ว่าวันนี้เป็นวันลาภ    ชัย   เสมอตัว   กาลกิณีโจร   มรณะ   ตกต่ำ   แต่ละอย่างหมายความว่ายังไงครับ  ?
        ตอบ :    ความหมายมันก็ตรงตัวอยู่แล้ว   วันลาภ   ถ้าหากว่าเราทำงานอะไร   จะทำอะไรที่เกี่ยวกับลาภผลเงินทองวันนั้นมันก็จะได้ดี    วันชัยก็คือเกี่ยวกันการต่อสู้   อย่างเช่นว่าอาจจะขึ้นชกมวยหรือก็ไปว่าคดีความ    ตกต่ำก็คือวันนั้นไม่ดีไม่ควรทำ    เสมอตัวก็บอกตรงอยู่แล้ว     กาลกิณีก็คือไม่ดีแน่    วันโจรก็คือให้ระวังไว้   วันลักษณะนั้นของจะหายง่าย
        ตอบ :    แบบนี้ต้องระวังทุกอาทิตย์เลยสิครับ  ?
        ตอบ :    ก็   อาทิตย์ละครั้ง   แต่จริง   ๆ  ระวังไว้ทุกวันนะ     ไม่ใช่วันอื่นที่ไม่ใช่วันโจรก็เปิดประตูหน้ายันหลังเลย    ต่อให้ไม่ใช่วันโจรมันก็หาย
        ตอบ :   แล้วมรณะนี่ล่ะครับ  ?
        ตอบ :   มรณะนี่มันจะเป็นวันคล้าย   ๆ  กับว่าวันที่เจ้าของดวงชะตาจะตกต่ำที่สุด    โอกาสที่มันผิดพลาดจะเจ็บหรือตายมีมากกว่าวันอื่น
        ตอบ :    แย่กว่ากาลกิณีอีกเหรอครับ  ?
        ตอบ :    แย่กว่าเยอะ   มรณะนี่อันตรายที่สุดของเจ้าของปีเกิดนั่นแหละ     อาตมาเองโดนไปเต็ม   ๆ   ๔   เขี้ยวนี่ก็วันมรณะ    ปกติแล้วมันกัดไม่เข้า  (ถูกงูกะปะกัด)
        ตอบ :   วันมรณะนี่ของดีอะไรก็ช่วยไม่ได้เหรอคะ  ? 
        ตอบ :    ก็ต้องดูด้วยว่าเราทำบุญมาพอไหม   ?   กำลังใจของเราสูงพอไหม  ?    ถ้าหากว่ากำลังบุญกำลังใจมันสูงพอจากหนักก็เป็นเบา   จากเบาก็เป็นหาย    แต่ถ้ากำลังใจแย่   ๆ    ไม่เจ็บหนักก็ตาย
        ตอบ :   แล้วอย่างสมมุติว่าคนที่เกิดช่วงปีปลายปีจะต้องนับเป็นปีไทยนี่ก็ต้องนับไปอีกปีหนึ่งใช่ไหมครับ  ?
        ตอบ :   ไม่ใช่   ปลายปีสากลใช่ไหม   ?    อย่างธันวาคม     อย่างเช่นว่าเป็นปีนี้เกิดธันวาคมก็เป็นปีมะเส็ง
        ตอบ :   มันจะกลายเป็นเดือนหนึ่งหรือเดือนสอง 
        ตอบ :    จะเป็นเดือนอ้าย    ปีมะเส็งเดือนอ้าย    สมัยก่อนเขานับขึ้นปีใหม่เขานับเดือนห้า   เริ่มเดือนห้า   แรม   ๑๕   ค่ำเดือน   ๔    เป็นสิ้นปี   ขึ้น  ๑   ค่ำ   เดือน   ๕   เป็นปีใหม่   อย่างเช่นเด็ก   ปีหน้า   ถ้าหากว่าเกิดก่อนขึ้น   ๑  ค่ำ   เดือน   ๕   ยังเป็นปีมะเส็งอยู่    แต่ถ้าหากว่าขึ้น     ๑   ค่ำเดือน    ๕    ปี   ๒๕๔๕   ไปแล้วเป็นปีมะเมีย     เขาจะเริ่มนับกันอย่างนั้น   พอเริ่มขึ้น   ๑   ค่ำเดือน    ๕   ก็เริ่มนับเปลี่ยนศักราช    
        ตอบ :    ถ้านับตามเดือนสากลก็จะเป็นอะไรคะ   ?
        ตอบ :    นับตามสากลก็จะเป็นปลาย  ๆ   เดือนมีนาคมไม่ก็ต้นเดือนเมษายน
        ตอบ :   อย่างที่เขาเรียกว่าปีใหม่ไทยหรือเปล่าคะ ?
        ตอบ :    ปีใหม่ไทยเขานับสงกรานต์เลย    ก่อนหน้านั้นเขาก็จะนับกลางเดือนห้า   ๑๕   ค่ำเดือน    ๕   ไป ๆ  มา  ๆ   มันลำบากเลื่อนขึ้นเลื่อนลง    เขาก็กำหนดให้มันถาวรไปเลยว่า   ๑๓   เมษายน    เป็นวันสงกรานต์   ๑๔    เมษายนเป็นวันเนา   ๑๕   เมาษายนเป็นสังขารล่อง 
        ตอบ :   แล้วเท่าที่ลองดูสถิติตามหลวงปู่น่ะครับ    โอกาสเกิดแบบนี้เท่าไหร่ครับ  ?
        ตอบ :    จำ   ๒   วันเท่านั้น   คือ วันลาภกับวันชัย   วันอื่นไม่ต้องจำเพราะมันไม่ดีอยู่แล้ว   (หัวเราะ)    ง่ายดีไหม   จะทำอะไรเกี่ยวกับลาภผลเงินทองเราก็ไปวันลาภ    จะทำอะไรอย่างชนิดที่เรียกว่าเราต้องเหนือกว่าเขา    ต้องการชนะเขาเราไปวันชัย    จำมัน   ๒   วันแค่นั้นแหละอันอื่นเลิกจำเถอะ
        ตอบ :    ผมนึกว่าแทนที่เราจะต้องไปจำวันมรณะ   วันกาลกิณี   จะได้ระวังตัวเอาไว้  ?
        ตอบ :    เสียเวลา   เอาวันดีไว้   ๒   วันพอ   นอกจากนั้นมันหาดียาก     เสมอตน   มันก็เสมอตัวไง     หีนะก็ตกต่ำ    กาลกิณีก็เลวร้ายมรณะนี่ตายเลย  โจระก็คือโดนโขมยแน่   รู้ครบมันก็ดีแต่บางทีรู้ครบมันยุ่งนะ   ก็เลยตัดเหลือแค่นั้น     
        ตอบ :   ......(ไม่ได้ยิน)......
        ตอบ :    ถ้าหากว่บารมีเราสูงกำลังใจเราดีไม่จำเป็น     แต่เรียกว่าไม่ประมาทก็ได้    พวกฤกษ์ยามต่าง  ๆ   มันเหมือนกับการข้ามถนน   ถ้าเราดูดีแล้วว่าปลอดภัยไม่มีรถมาแล้วเราข้ามมันก็โอเค    ๑๐๐%   ชัวร์ว่าไม่มีอันตรายแน่    แต่ถ้าหากว่าคนที่เขาคล่องตัวแล้วเขาอาจจะข้ามตอนที่รถกำลังวิ่ง   ๆ   อยู่เยอะแยะเขาก็ข้ามได้      
                คราวนี้จะเอาแบบไหนดีล่ะ    ประกันความปลอดภัยดีหรือจะเสี่ยงดี    คือ   ถ้ามันไม่ลำบากมากนักเราก็ประกันความปลอดภัยใช่ไหม   ?   ถือฤกษ์ถือยามมันสักนิดหนึ่งแต่ถ้ามันลำบากมากเรามั่นใจว่ากำลังใจระดับของเราสร้างมาจนถึงขนาดนี้แล้วอันตรายไม่มีแน่ก็ลุยมันเลย    แต่จริง  ๆ   แล้วพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอย่าประมาท   อย่างนั้นก็ระวังไว้หน่อยดีกว่า     มองซ้ายมองขวา...  มองขวามองซ้ายสิ   มองซ้ายมองขวารถชนแน่   (หัวเราะ)   มองขวามองซ้ายมองขวาอีกทีปลอดภัยแล้วค่อยข้าม    
                การถือฤกษ์ยามก็เป็นอย่างนั้น     หลวงพ่อวัดท่าซุงปกติแล้วท่านถือฤกษ์    สะดวก   คือ   พร้อมเมื่อไหร่ทำเมื่อนั้น   แต่ว่า...   อันไหนก็ตามที่ท่านบอกกับลูก  ๆ    แสดงว่าท่านลองซะจนช่ำแล้ว   ว่า   ถ้าฝืนเมื่อไหร่เป็นเจ็บตัวแน่    ท่านก็ถึงได้บอก       ของเราถ้าเราไม่มั่นใจคิดเราอาจจะรอดเราก็ลองดูได้นี่    ถ้าเจ็บตัวกลับมาค่อยมาถือ      ตามท่าน  (หัวเราะ)   เพียงแต่ว่ามันจะรอดกลับมาหรือเปล่า  ?  
        ตอบ :   แล้วอย่างฤกษ์ห้ามล่ะครับ    อย่างวันอาทิตย์ห้ามขึ้นบ้านใหม่หมายความว่ายังไงครับ  ?
        ตอบ :   โบราณเขาถือว่าอาทิตย์เป็นวันร้อน    การขึ้นบ้านใหม่มันควรจะอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข    ส่วนใหญ่เขาถือฤกษ์วันศุกร์กัน   วันอาทิตย์เขาก็ไม่ขึ้นบ้านใหม่ 
        ตอบ :    แล้วอย่างฤกษ์แต่งงานล่ะครับ    เขาถือเอาวันที่ทำพิธีหมั้น   หรือทำพิธีสงฆ์    หรือว่าส่งตัวครับ  ?
        ตอบ :    วันส่งตัว
        ตอบ :    หมายถึงวันส่งตัวน่ะครับ
        ตอบ :    ฤกษ์แต่งงานคือส่งตัว    ไอ้วันเข้าหอนั่นล่ะ
        ถาม :   .....................
        ตอบ :   ที่เราทำแบบนี้มันถูกต้องเพราะว่าผีเขาต้องการสังฆทาน   แต่ว่าการที่เราไปไหว้เช็งเม้งที่ไปสุสานไปมันได้ตัวกตัญญู    สมัยก่อนจะถือคนจีนเขาถือมากเลยเรื่องอกตัญญู   ไม่ไหว้สุสาน    ไม่แต่งงาน   คือ  ไม่มีลูกเขาจะถือ  ของเราเองเราทำทางนี้แล้วถ้าหากจะไปไหว้ถ้ามีเวลาก็ไปกับเขา   นิมิตตัง   สาธุรูปานัง    กตัญญูกตเวทิตา     ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี   พระพุทธเจ้าท่านยังสรรเสริญไว้ชัดเลย    ตรงจุดนี้แหละที่หลวงพ่อท่านเคยบอกว่าไว้ว่า    สังเกตดูมั้ยคนจีนอยู่ที่ไหนก็ลำบากไม่นานเดี๋ยวก็ตั้งหลักฐานได้      ท่านบอกว่าคนกตัญญูที่ไหนก็มีแต่ความเจริญ
        ถาม :   อย่างนั้นสมมุติว่าโจรฆ่าพ่อแม่ตายแล้วเอาลูกไปเลี้ยง   ลูกรู้เข้า   ก็ต้องการแก้แค้นให้พ่อแม่ตัวเองก็ต้องฆ่าผู้มีคุณที่เลี้ยงตัวเองมา   คิดว่าทางออกของคนที่อยู่ในสภาวะอย่างนี้จะทำอย่างไรครับ   ?
        ตอบ :   สำหรับตัวเราที่เป็นนักปฎิบัติอยู่แล้วก็ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป   เพราะว่าถ้าเขาไม่เลี้ยงเรามาก็ไม่แน่ใจว่าจะรอดมาจนป่านนี้   บุญคุณกับความแค้นมันทดแทนกันได้    พ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดแต่ว่าเขาเป็นผู้ให้ชีวิตรักษาชีวิตเรารอด    แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่ผู้ปฎิบัติธรรมนี่   เออ   มันฆ่าพ่อแม่เราก็ไม่ดีก็ลงมือเอาเหมือนกัน  (หัวเราะ)   ต้องตัวอย่างฑีฆาวุกุมาร    ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล    สมัยก่อนการตีบ้านตีเมืองคนอื่นเป็นการแสดงออกซึ่งพระราชอำนาจ   มันเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งของทหารของพระมหากษัตริย์   
                คราวนี้การที่ไปตีบ้านตีเมืองของพระเจ้าฑีฆีติโกศล    ทำให้เขาตายแล้วลูกหนีรอดไปได้    ไปเรียนศิลปศาสตร์กับอาจารย์ทิศาปาโมกข์    เสร็จก็กลับมาล้างแค้นให้พ่อแม่    ทำอย่างไรจะเข้าใกล้ตัวได้   ก็ไปสมัครเป็นคนเลี้ยงช้างเลี้ยงม้า   พอกลางคืนก็ดีดพิณกล่อม    ระบายอารมณ์หรือว่ากล่อมช้างกล่อมม้าไปด้วยในต้ว    ปรากฏว่าเสียงพิณได้ยินเข้าไปถึงในปราสาท      พระเจ้าแผ่นดินท่านก็ว่า   เออ   คนนี้เขาเก่ง   เลยเรียกเข้ามาให้เป็นนักดนตรีประจำพระองค์มีหน้าที่ดีดพิณขับกล่อมแล้ว   ฑีฆาวุกุมารเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนตั้งใจปฎิบัติงานดี   พระเจ้าแผ่นดินท่านก็ไว้ใจจนกระทั่งกลายเป็นมหาดเล็กส่วนพระองค์ไป
                คราวนี้วันหนึ่งออกล่าสัตว์ก็ไปด้วยกัน    ฑีฆาวุกุมารขับรถม้าให้ก็แกล้งขับซะเร็วจนพวกทหารตามไม่ทันลดเลี้ยวไปตามป่าจนกระทั่งแกล้งบอกว่าหลงทาง     พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านเหนื่อยมากขอพักนอนหนุนตักฑีฆาวุกุมารนั่นแหละแล้วก็หลับ    ฑีฆาวุกุมารเห็นว่าได้โอกาสล้วงมีดออกมาว่าจะเสียบเสียซะ    มานึกถึงว่าตอนที่พระเจ้าฑีฆาติโกศลผู้เป็นพ่อจะโดนประหารชีวิต   ฑีฆาวุกุมารหนีรอดไปแล้วแต่แอบมาดูการประหาร     พระเจ้าฑีฆาติโกศลรู้อยู่ว่าลูกตัวเองมา   ก็ตะโกนขึ้นมาลอย  ๆ  ว่า  รักยาวให้บั่น     รักสั้นให้ต่อ   คนอื่นฟังไม่รู้เรื่อง    แต่ว่าฑีฆาวุกุมารฟังรู้ว่าพ่อบอกว่า  อย่าจองเวรกัน    ถ้าหากว่าจองเวรกันต่อไปแล้วมันก็จะต่อเนื่องยาวนานกันไปไม่มีที่สิ้นสุดใช่ไหม      ?    
                เพราะฉะนั้นก็ควรจะตัดมันให้สั้นลง    แต่ถ้าหากว่าคิดสั้นเฉพาะหน้าจะต่อความยาวสาวความยืด   ให้มันเป็นเวรเป็นกรรมกันนับชาติไม่ถ้วนก็ทำเหอะ     เท่ากับว่าพ่อสั่งห้ามไว้   นึกขึ้นมาได้ถึงคำสั่งพ่อก็เก็บอาวุธ     มองไปมองมาความแค้นเกิดขึ้น   ก็ชักอาวุธขึ้นมาใหม่    เงื้อง่าอยู่ถึง   ๓   ครั้ง  ๓   ครา     จนในที่สุดเก็บอาวุธแล้วปลุกพระเจ้าปเสนทิโกศลขึ้นมาสารภาพว่าตัวเองเป็นเชื้อสายพระเจ้าฑีฆีติโกศล     พระเจ้าปเสนทิโกศลนั้นฆ่าพ่อแย่งราชสมบัติไป   จะล้างแค้น   แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว   
                เพราะฉะนั้นต่อไปนี้จะไม่อยู่ด้วยจะกลับบ้านกลับเมืองของตนเองเวรกรรมทั้งหมดขอให้สิ้นสุดลงแค่นี้     พระเจ้าปเสนทิโกศลพอได้ยินก็เลยซาบซึ้งว่า   ลูกศัตรูมีโอกาสก็ยังไม่แก้แค้นเลยมอบสมบัติคืนให้ครึ่งหนึ่ง       เท่ากับว่ามีศักดิ์เสมอกันต่างคนต่างช่วยกันปกครองแผ่นดิน    
                คราวนี้ของเรา    ก็ดูสิ   ถ้าเขาสมบัติเยอะ  ๆ  ก็ขอสักครึ่งหนึ่ง (หัวเราะ)    รีบล้างแค้นไม่ได้อะไร    อันนี้ไม่แน่ใจเพราะว่าอ่านมาตั้งแต่เด็ก   ๆ    รู้สึกว่าสมัยก่อนเรียนตอน   ป. ๒  หรือ  ป.  ๓    เองล่ะมั้งเรื่องนี้     แต่ว่าในธรรมบทเขามีจริง    ๆ   รุ่นหลัง   ๆ    เรียนทันไหมฑีฆาวุกุมารน่ะ  ?    แหะ   ๆ    ลืมหมดแล้ว   ไม่ได้เรียนเลยใช่ไหม   ?   
                 เรื่องดี   ๆ   สมัยก่อนเขาเยอะเลยสมัยนี้มันตัดเกลี้ยง    หน้าที่พลเมืองกับศีลธรรมเขายกเลิกไปเลยใช่ไหม  ?    มาระยะหลังเห็นท่าไม่ดีเปลี่ยนเป็นจริยศึกษา   เฮ้อ  ....มันจะศึกษาแบบอย่างที่ไหน   ไอ้คนเขียนแบบมันยังหาดีไม่ได้เลย    จริยะแปลว่า   แบบอย่าง   จริยศึกษา   ก็เลียนแบบที่ดี    ที่นี้แบบที่ดีมันไม่ค่อยมีให้เลียน   แบบที่ดี  ๆ   เขาต้องวางยาให้ตาย    
                หลวงตาบัวโดน  (หัวเราะ)    เออ   มันไม่ใช่แต่หลวงตาบัวนะ   สมัยก่อนหลวงพ่อเราก็โดนประจำ    หลวงพ่อวัดท่าซุงนี่เขามีทั้งซุ่มยิง   มีทั้งวางยา   มีทั้งเล่นไสยศาสตร์      ทำกันจนทุกวิถีทางทำไม่ได้ต่างคนต่างตายไปเอง  
        ถาม :   พวกนี้เขาทำไปเพื่ออะไร    เขาได้อะไรคะ   ?
        ตอบ :   เขาจ้างมา   ของหลวงพ่อนี่บางจุดน่าเกลียดมากเลยเหตุผล     ถ้าหลวงพ่อตายคนจะได้ไปวัดเขาบ้าง    แหม     เหตุผลทุเรศที่สุด    แต่ไอ้คนรับจ้างน่ะว่าไม่ได้หรอกมันมีเงินมันก็เอาเงินใช่ไหม  ?   ไอ้ตัวเองอยากได้เงินทองมันก็ไม่ไป      หลวงพ่อท่านได้มาเท่าไหร่ท่านก็ต้องเหนื่อยไปก่อสร้างมันก็ไหลมาเอา  ๆ    (หัวเราะ)   คนไม่อยากได้   ได้เยอะ
  |