ถาม:  พระอริยะบุคคลเสียใจ แล้วเปลี่ยนคำอธิษฐาน...
      ตอบ:   พอ ๆ คำว่า พระอริยะบุคคลขึ้นไป ไม่มีคำว่าเสียใจ ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป มีแต่ธรรมสังเวชเท่านั้น อย่าใช้คำพูดผิด ปัญญาท่านรู้แจ้งเห็นธรรมมากแล้ว มีแต่ปลงธรรมสังเวช อย่าลืมว่าใครจะเป็นอริยะบุคคลหรือไม่ อย่างไร พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เป็นผู้พยากรณ์ ไม่ใช่เราไปเดาเอง
              ในเมื่อเราไม่ใช่เราไปเดาเอง ขืนไปเดาเข้ามันก็มีแต่ผิดกับถูกโดยบังเอิญ คราวนี้สิ่งที่เขาทำ มันก็เรื่องของเขาเถอะ เพราะว่าตัวอธิษฐานบารมี อธิษฐานคือความตั้งใจ มันเปลี่ยนกันได้ อย่างเช่นว่า เปลี่ยนความตั้งใจจากการปรารถนาพระโพธิญาณมาเป็นสาวกภูมิ ถ้าท่านเสียใจอยู่ ท่านจะเป็นอริยะไม่ได้ อริยะจิตใจท่านจะผ่องใสเป็นปกติ เสียใจเมื่อไรมันก็มัวสิ
              ถ้าหากถึงวาระที่เราเห็นแล้ว ว่าทุกอย่างมันดีกว่า เราก็ไป เสร็จแล้วเมื่อถึงวาระถึงเวลาจะได้ย้อนมาเพื่อที่จะดึงคนอื่นเขาไปด้วย ถ้าตราบใดที่เรายังลอยคออยู่ เราช่วยคนอื่นอาจจะจมตายไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นมันจำเป็นต้องไปก่อน ขึ้นฝั่งให้ได้ พอขึ้นฝั่งได้แล้ว เราค่อยย้อนกลับมาช่วยเขา อย่าลืมว่าพรหมวิหาร ๔ มีตัวอุเบกขาอยู่ ถ้าหากว่าเราขาดตัวอุเบกขา ไม่รู้จักใช้ปัญญาประกอบ ไม่รู้จักปล่อยวาง เมื่อถึงวาระอันควรนอกจากเสียผลประโยชน์ของเราเองแล้ว คนอื่นทั้งหมดที่อาจจะพึ่งพาเราก็เสียผลประโยชน์ไปด้วย
              เพราะฉะนั้น ถ้าเมตตา มันต้องเมตตาต่อตัวเองก่อน เอาตัวเองให้ได้ดีก่อนน่ะ พอมันได้ดีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อไปการจะช่วยคนอื่นมันก็ง่าย เมื่อวานนี้ได้บอกกับโยมคนหนึ่งว่า ความดีหรือความชั่วมันดึงดูดคนได้ทั้งนั้น คนที่ทำดี กระแสความดีก็จะดึงดูดคนดีเข้าไปหา คนที่ทำชั่วกระแสความชั่วก็จะดูดคนชั่วเข้าไปหา อย่างพวกเจ้าพ่อ มือปืนล้อมกันเป็นร้อย ๆ คราวนี้ถ้าเราทำดีจนถึงที่สุดแล้ว ถึงเวลากำลังมันพอ คนอื่นจะคล้อยตามมาเอง
              ที่ดื้อและสอนยากที่สุดคือคนในบ้าน ขนาดพระพุทธเจ้าเองจะกลับไปโปรดพระประยูรญาติ ต้องส่งพระกาฬุทายีล่วงหน้าไป ๓ เดือน เต็ม ๆ คราวนี้พระกาฬุทายีเมื่อท่านฉันเสร็จ เขาประเคนอาหารใส่บาตรเพื่อถวายพระพุทธเจ้า ท่านก็เหาะไปถวาย ถวายเสร็จ พระพุทธเจ้าฉันเสร็จ ท่านรับบาตรได้ ท่านก็เหาะกลับมา บอกว่าพระลูกเจ้าฉันแล้ว เดินทางมาถึงตรงนี้ ๆ แล้ว ทำอย่างนี้อยู่ตลอด ๓ เดือนเต็ม ๆ ทุกคนเห็นว่า เออ...พระกาฬุทายีเก่ง แล้วพระกาฬุทายีก็ยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างทีทำได้นี่เกิดจากพระศาสดาสอนเรามานั่นน่ะ เขาถึงได้มีความเชื่อในพระพุทธเจ้าบ้าง แต่เชื่อขนาดนั้นแล้วนะ พอพระพุทธเจ้าไปถึงก็มีแต่ผู้ที่อาวุโสน้อยกว่ามาไหว้ ผู้ทีอาวุโสมากกว่าทั้งหมดมีพ่อคนเดียวที่ยอมไหว้ เพราะพ่อรู้ว่าลูกดีแค่ไหน แต่ว่าคนอื่น ๆ อย่างเก่งก็ประกาศชื่อประกาศโคตร แล้วก็ยืนดูอยู่ในข้างหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านเห็นว่าถ้าไม่ทรมานกันบ้าง ก็คงจะไม่เชื่อกัน ก็เลยเหาะไปอยู่เหนือหัวซะ
              สมัยก่อนถ้าไปยืนเหนือหัวน่ะ พวกโน้นเขาถือตัวมาก ถ้าหากว่าฝุ่นใต้เท้าของใครตกใส่หัว ถือว่าดูถูกกันที่สุด ท่านก็เลยแสดงให้รู้ว่า มันเหนือกว่ากันชนิดที่เรียกว่าจะทำอย่างไรก็ได้ตามใจของท่าน ในเมื่อมันเป็นอย่างนั้น เขาถึงได้ยอมรับกัน แต่ขนาดนั้นถึงเทศน์โปรด ก็ไม่ใช่ว่าจะได้มรรคได้ผลกันทั้งหมด เพราะว่าถือตัวถือตนกันจัดมาก
              คนที่สอนอยากที่สุดคือ คนในบ้านของเราเอง เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเขาจะอาวุโสมากกว่า ในเมื่ออาวุโสมากว่า ความมานะความถือตัวถือตน กูเป็นพ่อกูเป็นแม่เป็นพี่ป้าน้าอายังงี้กูใหญ่กว่า กูอายุมากกว่า กูอาบน้ำร้อนมาก่อน มันก็เลยทำให้สงเคราะห์กันยาก เราต้องทำตัวของเราให้เขาเห็น เห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านดีอย่างชัดเจน แล้วเขาจะค่อย ๆ คล้อยตามมาเอง เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุดคือต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน
      ถาม :  สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ อธิษฐานอย่างไรดี
      ตอบ:   อธิษฐานอย่างไรดี ขอผลบุญนี้ส่งผลให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ตราบใดที่ยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใด ขอความข้องขัดใด ๆ อย่าได้มีในชีวิตนี้เลย ขอให้มีความเป็นอยู่คล่องตัว มีความปรารถนาสมหวังทุกประการ คำว่าไม่มี ขออย่าได้มีในชีวิตตั้งแต่บัดนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
      ถาม :  การกระทำของเรามีส่วนปิดกั้นพระนิพพานของคนอื่น
      ตอบ:   จริง ๆ แล้วเรื่องอย่างนี้มีทั้งถูกและไม่ถูก จะบอกว่าไม่ถูกทั้งหมดก็ไม่ใช่ จะบอกว่าถูกทั้งหมดก็ไม่ใช่ มันอยู่ที่ความยินยอมพร้อมใจของเจ้าตัวเขาเอง ถ้าเขาพิจารณาแล้วเห็นว่าสมควร เขาเปลี่ยน นั่นก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ว่าถึงแม้มันเกิดจากคำแนะนำของเราก็ตาม
              อย่างเช่นว่าเขาปรารถนาที่จะไปพระนิพพานในชาติปัจจุบัน แต่เราตั้งใจจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ก็ชวนเขาตามกันไปเถอะ ก็มีอยู่อย่างหนึ่งคือว่า ทำให้เขาลำบากนานขึ้นหน่อยหนึ่ง แต่เราต้องรับผิดชอบเขาทั้งหมด เพราะคนที่ตามก็คือบริวาร ถึงเวลานั้นคุณก็ต้องไปคุ้ยแคะแกะเกา มันจะอยู่หลุมไหน ขุมไหน คุณก็ต้องตามจนกว่าจะเจอ สงเคราะห์มันให้ได้
      ถาม :  ....ไม่ชัด...
      ตอบ:   การอธิษฐานมันเป็นของเฉพาะตน แล้วแต่เขา เขามีสิทธิ์อธิษฐานได้ ไม่มีอะไรร้ายแรงเกินกว่าความตั้งใจ แต่ว่าสิ่งที่ตั้งใจนั้น ถ้าหากว่าไม่ดี เรารู้แน่นอนว่าไม่ดี เราเปลี่ยนให้มันดีได้...เออ...เห็นว่ามันมีสิ่งที่ดีกว่า เราก็เปลี่ยนให้มันดีกว่าได้
      ถาม :  เป็นการเห็นแก่ตัวถ้าคิดให้เขาอยู่เพื่อช่วยเรา
      ตอบ:   ถ้าอย่างนั้นมันไม่ได้เกี่ยวกัน เพราะว่าเรื่องประเภทนี้มันอยู่แค่อายุขัยถึงเวลาก็ตาย ต่อให้คุณลากไว้ขนาดไหนก็ตาย ช่วยอะไรเขาไม่ได้หรอก แต่ถามว่าเห็นแก่ตัวไหม? จะเรียกว่าเห็นแก่ตัวก็ใช่ ขณะเดียวกันต่อให้คุณเห็นแก่ตัวแค่ไหนมันก็ไม่สามารถที่จะฝืนอายุขัย หรือกฎของกรรมได้มากกว่านั้น ถ้าถึงวาระของมันจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องของพระสงเคราะห์ให้อยู่ต่อ หรือไม่ใช่ความปรารถนาของตัวเองที่เป็นผู้คล่องในอิทธิบาท ๔ และหวังจะอยู่ต่อ มันอยู่ไม่ได้หรอก เพราะว่าคนที่ทำได้ขนาดนั้น ก็ไม่มีใครเขาอยากอยู่กัน
      ถาม :  พรหมของฮินดูมี ๔ หน้า ของเรามีหน้าเดียว
      ตอบ:   จริง ๆ ๔ หน้าเขาหมายถึง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คำว่า พรหม หมายถึงผู้เป็นใหญ่ ผู้เป็นใหญ่ต้องมีเมตตา จิตประกอบด้วยความรัก รักเขาเหมือนกับตัวเราเอง กรุณา สงสารอยากช่วยเหลือให้เขาพ้นทุกข์ มุทิตา พลอยยินดีเมื่อเห็นเขาอยู่ดีมีสุข แล้วก็อุเบกขา ถ้าหากว่าพยายามช่วยเต็มที่แล้วไม่สามารถช่วยให้เขาดีกว่านั้นได้ เราก็รออยู่ก่อน เพื่อรอช่วยในโอกาสหน้าต่อไป เขาก็เลยทำเป็นสัญลักษณ์ขึ้นมาว่ามีหน้า ๔ หน้า
              แต่จริง ๆ ก็คือว่า เป็นการประพฤติปฏิบัติ ๔ รูปแบบ แต่จริง ๆ ก็คือเทวดาสวย ๆ หน้าตาเหมือนกับพวกเราแต่งเครื่องทรงลิเก แต่ท่านสวยกว่าจนนับไม่ได้ พรหม หมายถึงผู้เป็นใหญ่ ผู้ประเสริฐ ถ้าตั้งแต่พรหมขึ้นไปนี่ อยู่คนเดียวแล้วไม่ต้องมีบริวาร วิมานใครวิมานมัน
      ถาม :  นางฟ้ามีบริวารไหม ?
      ตอบ:   มี นางฟ้าที่มีอานุภาพสูง ๆ บริวารบานเบิกไป ไม่ต้องไปเรียกร้องสิทธิสตรี โดยความเป็นจริงของโลกแล้ว ผู้หญิงบำเพ็ญบารมีมาน้อยกว่าผู้ชาย ถ้าหากว่าเป็นช่วงบารมีต้น บารมีกลางจะเกิดเป็นผู้หญิงตลอด พอเป็นบารมีกลางค่อนมาทางตอนปลาย ๆ จะเริ่มเกิดเป็นผู้ชาย ตอนเริ่มจะเป็นผู้ชาย มันจะมีนิสัยผู้ชายติดมา สมัยนี้ที่เขาเป็นพวกทอม แล้วพอจากผู้หญิงมาเป็นผู้ชายใหม่ ๆ นิสัยผู้หญิงยังติดมาอยู่ มันก็กลายเป็นพวกตุ๊ด จริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องแปลก เรื่องปกติเลย แต่ว่ามีผู้หญิงอยู่บางประเภทที่ไม่ว่ายังไงก็เกิดเป็นผู้หญิง ต่อให้เป็นปรมัตถบารมีแล้ว อันดับแรกก็คือ ผู้ที่อธิษฐานมาตั้งใจจะเป็นเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์องค์ใดองค์หนึ่ง ต้องเกิดเป็นผู้หญิง อีกประการหนึ่งก็คือประเภทตอนเป็นผู้ชายแล้วเจ้าชู้มากเมีย จะโดนบังคับให้เกิดเป็นผู้หญิงตามแรงกรรม เพื่อจะได้รู้ซะบ้างว่าถึงเวลาแล้วคนอื่นเขาเป็นยังไง
      ถาม :  ทำไมผู้ชายบางคนเหมือนบัวใต้น้ำ
      ตอบ:   ก็อย่าลืมว่าคนเรามันไม่ได้ดีทั้งหมด เกิดนานก็จริง แต่ว่าการเกิดมันก็สั่งสมทั้งความดีความชั่ว ในเมื่อความชั่วทำมากกว่า แรงดึงของมันแรงกว่า เขาก็ต้องไปในกระแสสีดำของเขา ถ้าหากว่าความดีทำมากกว่า แรงดึงมีมากกว่าก็ไหลไปตามกระแสสีขาว จะว่าไปจริง ๆ คนเรามันไม่มีดี ไม่มีชั่วหรอก มีแต่ที่กำลังเป็นไปตามกรรมทั้งนั้น
      ถาม :  ผู้หญิงสำเร็จอรหันต์เยอะ
      ตอบ:   เยอะมาก ส่วนใหญ่คือคนทีทำมาเยอะกว่า ความถือตัวถือตนมันก็มาก ตัวมานะก็มาก ไม่ได้หมายความว่าสร้างบุญมาเยอะกว่าแล้วจะได้ดี กติกาต่ำสุ่ดของเขาก็คือ ถ้าคุณสร้างบารมีมา ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป คุณมีสิทธิ์บรรลุอรหัตผลในฐานะสาวกภูมิได้ แต่คุณจะสร้างมา ๔ แสน ๕ แสน แต่ถ้าไม่คิดจะทำความดี มันก็อยู่อย่างงั้นแหละ แล้วส่วนใหญ่มันดื้อกว่า
      ถาม :  เข้าถึงนิพพานแล้ว บารมีถอย...?
      ตอบ:   ไม่มี ไม่แต่ทำดีขึ้นเรื่อย ๆ ต่อให้ชั่วสุดชั่ว ท้ายสุดก็ไปนิพพานหมด สัตว์นรกในทุกขุม ท้ายสุดก็ไปนิพพานหมด เพียงแต่ระยะเวลามันยาวนานเหลือเกิน
      ถาม :  ถึงทำชั่ว บารมีที่เกิดมาเป็นผู้ชาย...
      ตอบ:   ไม่ได้ลดลง ถึงเวลามีสิทธิ์เกิดใหม่ เขาก็ยังคงเกิดอย่างนั้นอีก ถึงวาระที่กุศลของเขาส่ง เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำดี แล้วถ้าหากว่าส่งแบบองคุลีมาล เขาเรียกว่า อุปฆาตกรรมฝ่ายกุศล ตัดความชั่วทั้งหมดกลายเป็นพระอรหันต์ไปเลย
      ถาม :  วิธีแก้ปัญหามี ๒ ทาง ตัดสินใจอย่างไร ?
      ตอบ:   เขียนแผนผังขึ้นมาสิ ทำอย่างนี้ ถ้าเกี่ยวกับพ่อแม่ อันนี้ดีกับพ่อแม่ ไม่ดีกับพ่อแม่ เกี่ยวกันตัวเรา อันนี้ดีกับตัวเรา ไม่ดีกับตัวเรา เกี่ยวกับคนรอบข้าง อันนี้ดีกับคนรอบข้าง อันนี้ไม่ดีกับคนรอบข้าง เกี่ยวกับการปฏิบัติ อันนี้ดีกับตัวเรา อันนี้ไม่ดีกับตัวเรา ถ้ามันก้ำกึ่งกัน คุณก็ตั้งหัวข้อขึ้นมาเลย อันไหนดีกว่า เลือกอันนั้น ง่ายจะตาย เหมือนกับการประเมินผลตัวเอง
      ถาม :  ไม่ได้ผลเป็นตัวเลข
      ตอบ:   เราเองแค่ดีไม่ดีเท่านั้น อันไหนดีกว่าเราเลือกอันนั้น จะถึงขนาดเอารายละเอียดเป็นตัวเลขมันยาก โดยเฉพาะเรื่องทางกำลังใจ ประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้อยู่แล้ว ถึงประเมินเป็นตัวเลขได้ก็คงอ่านไม่ออก เจอประเภทอายุ ๑ กัปเท่าไร? ๑ อสงไขยเท่าไร? ตาย... ตั้งเลข ๑ ขึ้นมาต่อด้วย ๐ ๑๔๐ ตัว อ่านก็ไม่เป็น ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ก็เดี้ยง
      ถาม :  บุญ กับบารมีไม่เหมือนกัน ?
      ตอบ:   จริง ๆ การสร้างบุญคือการสร้างบารมี การที่เราได้ทำความดีหรือความชั่วก็ตาม มันจะส่งผลให้จิตใจของเราเข้มแข็งมั่นคงขึ้น คนชั่วก็มีบารมีของคนชั่ว คนดีก็มีบารมีของคนดี มันเกิดจากการสร้างสม
              คราวนี้จะกล่าวไปแล้ว บุญกับบารมีแทบจะแยกกันไม่ออก คือเรายิ่งทำมากเท่าไร บารมีก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น เพราะยิ่งทำมาก แปลว่าจิตเราที่จะสละออกเพื่อตัดความโลภมันยิ่งมีมาก ในเมื่อยิ่งมีมากก็แสดงว่าบารมีคือกำลังใจของเราก็ยิ่งสูงขึ้น มันเกี่ยวกันจนแยกไม่ออก
      ถาม :  หมดบุญได้ แต่บารมีไม่ถอย
      ตอบ:   ไม่ถดถอย เขาหมดจากกำลังบุญส่วนนั้นก็จริง หมายถึงว่าคุณหาได้แค่นี้วันนี้ คุณกินไปใช่ไหม กินไปจนกระทั่งหมดแล้ว เราก็ต้องไปหาใหม่ แต่อายุของเราไม่ได้ลดลงนี่ เราก็แก่ไปเรื่อย ๆ อยู่ทุกวัน เงินเดือน เดือนนี้มาใช้หมดเกลี้ยงไปแล้ว เออไม่ใช่เราจะกลับเป็นเด็กใหม่ มันก็แก่เหมือนเดิม บารมีคือกำลังใจ ตัวบุญคือ สิ่งที่เราสร้างสมมา ยิ่งสร้างสมบุญมากเท่าไร บารมีด้านดีก็ยิ่งมากเท่านั้น
      ถาม :  บารมีด้านชั่วมีหรือ ?
      ตอบ:   โห คนทำชั่ว ลองไปยืนใกล้ ๆ มัน บางทีเราขาสั่นน่ะ กำลังใจของเขาที่ไปในด้านนั้น มันใช้กำลังใจเหมือนกัน เพียงแต่มันใช้ไปคนละทางเท่านั้นเอง
      ถาม :  กำลังใจ หรือบารมี มี ๒ อย่าง ด้านดีกับชั่ว
      ตอบ:   ประเภทกลาง ๆ ไม่มี กลาง ๆ จะมีตอนเข้านิพพานแล้ว
      ถาม :  ด้านชั่วกับด้านดีเท่า ๆ กัน ลักษณะคล้าย ๆ กันไหม ?
      ตอบ:   ก็คล้ายกัน คือเป็นผู้นำก็มีความเด็ดขาด
      ถาม :  ในหลวงเคยถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า ทานบารมีตัวเดียวไปนิพพานได้ไหม ?
      ตอบ:   ทำไมจะไม่ได้ ได้อยู่แล้ว มันอยู่ที่ว่าใครจะเริ่มด้านไหน พอเราเริ่มตัวหนึ่ง อีก ๙ ตัวได้ควบกันไปด้วย เราจะให้ทาน เราต้องรู้ว่าผลของการให้ดีอย่างไร ตัวนี้เป็นปัญญาบารมี คนจะให้ได้จิตต้องประกอบไปด้วยเมตตาเป็นปกติ ก็มีเมตตาบารมี คนที่มีเมตตาบารมี ศีลก็ทรงตัวเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะไม่คิดจะเบียดเบียนใคร ก็มีศีลบารมี ไล่ไปเหอะ ๑๐ ตัวอยู่ครบ ตัวเองเริ่มมายังไงก็เอาตัวนั้นเป็นหลัก อย่างพวกเรามาด้านทานบารมี มันก็มีหน้าที่อย่างเดียวคือ ตั้งหน้าตั้งตาให้ไป
      ถาม :  พระมหากษัตริย์สมัยก่อนรบกัน สั่งฆ่าคนมาก ได้มรรคผลไหม ?
      ตอบ:   พลาดเมื่อไรก็ลงนรก ไม่เหลือหรอกจ๊ะ ไม่ต้องสมัยก่อนหรอก สมัยนี้ก็เหมือนกัน ถ้าสั่งฆ่าก็ไปเหมือนกัน เราทำอะไรเรารับอันนั้น แต่ว่าส่วนใหญ่แล้ว บรรดาพระมหากษัตริย์ต่าง ๆ เอาเป็นว่าบูรพมหากษัตริย์ของไทยเราก็แล้วกัน ตอนช่วงท้าย ๆ มักจะเลี้ยวเข้าวัดเข้าวาถือศีลปฏิบัติธรรมกัน บางคนก็สละอาวุธถวายเป็นพุทธบูชา เอาดาบเป็นราวเทียนบ้าง บวชบ้าง สร้างกำลังใจของตัวให้เข้มแข็ง ได้ฌานสมาบัติขึ้นมา กรรมมันตามไม่ทันชั่วคราว ก็เผ่นไปเป็นพรหมเป็นเทวดาก่อน พอเป็นพรหมเป็นเทวดาฉลาดขนาดนั้นแล้ว เรื่องอะไรจะเลี้ยวลงมา ก็พยายามสร้างกุศลต่อไป ก่อนจะหมดอายุก็หาทางเล็งแล้ว จะลงไปสร้างบุญต่อตรงจุดไหน
              คราวนี้เขาอยู่ในความเป็นทิพย์ ก็รู้ตลอดว่าถ้าเราลงตรงจุดนั้น เราจะได้พบอย่างนั้น เราจะได้ทำอย่างนั้น ถึงเวลามันดีกับเรา เราไม่ต้องไปใช้หนี้เก่า เราหนีมันต่อไป อย่างอาตมานี่ไม่ได้ใช้มาเป็นพัน ๆ ยุคแล้วจ้ะ หนีมันไปเรื่อย จนกระทั่งบริสุทธิ์ถึงที่สุด หนีไปนิพพาน ก็กลายเป็นอโหสิกรรมไป บริสุทธิ์ถึงที่สุด กรรมทุกอย่างก็เป็นอโหสิกรรมไป ทำอันตรายเราไม่ได้
      ถาม :  ถ้าหนีไม่พ้น
      ตอบ:   หนีไม่พ้น ก็ลงไปข้างล่าง คราวนี้ก็เจอดอกทบต้น ต้นทบดอก เริ่มต้นกันใหม่ แต่คราวนี้สิ่งที่ตัวเองทำไปทุกอย่าง ถ้าหากว่าลงไปข้างล่าง เขาคิดทีเดียว กี่ชาติมาก็ตาม คุณมาใช้ซะดี ๆ ก็อาจจะเจอนรกทุกขุม เปรตทุกจำพวก อสุรกายทุกจำพวก ฆ่าเขาไว้มากก็เจ็บป่วยบ่อย เรื่องของธรรมะเขาตรงไปตรงมา
              แต่คราวนี้มีอยู่จุดหนึ่งว่า ก่อนตายจิตเราเกาะอะไร ถ้าจิตเราเกาะชั่ว ลงไปรับความชั่วก่อน ถ้าจิตเราเกาะดี ก็ไปรับความดีก่อน แล้วหลังจากนั้นของคุณเองจะไปท่าไหน ก็ต้องไปหาช่องทางกันเอง
      ถาม :  ลงไปแล้ว ความดีที่ทำไว้ยังอยู่
      ตอบ:   อยู่ ขึ้นมาก็เสวยผลของความดีไป
      ถาม :  บารมีด้านดีเข้มแข็ง ถ้าไปทำความชั่ว
      ตอบ:   ได้ไปกระฉูดเลย อย่างพวกเรา สมัยก่อนเคยไปต่อว่าท่านย่า บอกย่าครับ ผมไปแอบดูบุญเก่าผมมาแล้ว ให้ผมเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังไม่สมกับบุญที่ผมทำไว้เลย แล้วชาตินี้ให้ผมแค่เนี้ยะ ท่านบอกไอ้หน้าอย่างเอ็ง ถ้ารวยก็เลว เสร็จแล้วท่านบอกว่า ลองคิดดูสิลูก ชีวิตนี้สิ่งที่เคยอยากได้ แล้วเจ้าไม่ได้มีไหม ? เราก็นึกย้อนไป เออ...จริง ของที่เราอยากได้ไม่ช้าก็เร็วเราต้องได้ ก็เลยบอกว่าไม่มีครับย่า ถ้าผมอยากได้จริง ๆ ไม่ช้าหรือเร็วมันก็ต้องได้ ท่านบอกว่า แล้วยังไม่พอใจอีกหรือ กำลังใจของพวกเจ้าน่ะเข้มแข็งเกินไป ถ้าหากว่าเป๋ มันจะเป๋กระฉูดไปเลย มันจะไปด้านเดียว ไม่มีตรงกลาง เพราะฉะนั้นก็เลยต้องบล็อกกันเอาไว้ก่อน ถ้ากำลังใจเริ่มดีขึ้นก็จะค่อย ๆ คืนมาให้ ให้มันเยอะทีเดียวไปยาวเลย มันก็จะไปรัก โลภ โกรธ หลง เอาชื่อเสียงลาภยศกับเขา มันไม่สนใจจะเข้าวัดเข้าวาหรอก
      ถาม :  ถ้าคนที่มีกำลังใจด้านชั่ว
      ตอบ:   เขาเลี้ยวกลับนิดเดียวเท่านั้นเอง เขากลายเป็นคนดีไปเลย อย่างพวกที่เล่นไสยศาสตร์ ถ้ากลับมาทำดีหน่อยเดียวก็กลายเป็นพวกได้อภิญญาไปเลย เพราะกำลังใจมันเท่ากัน เพียงแต่ใช้ผิดวิธีเท่านั้น
      ถาม :  สรุปว่ากำลังใจเข้มแข็ง ทำได้ทั้งความดีความชั่ว
      ตอบ:   มันอยู่ในทาน ศีล ภาวนา เหมือนกัน กำลังใจเข้มแข็งอย่างเดียวยังไปไม่ได้จ้ะ ปัญญามันต้องเกิดรู้แจ้งเห็นจริง ทำให้สภาพจิตมันยอมรับความเป็นจริงนั้นได้ ก็ไปนิพพานได้ ส่วนใหญ่มันไม่ยอมรับ มันยังยึดว่าตัวกูของกูอยู่
      ถาม :  ฝันเห็นรูปพระ แต่ไม่ชัด
      ตอบ:   ไม่จำเป็นเลยจ้ะ ถ้าฝันเห็นพระได้ แสดงว่ากำลังใจของเราเกาะอยู่ในด้านดีมากกว่าด้านชั่ว พระพุทธหรือพระสงฆ์เหมือนกัน ฝันเห็นพระ ฝันเห็นนิมิตในสิ่งที่ดีงาม แสดงว่ากำลังใจเราเกาะในด้านดีมากกว่าด้านชั่ว ถือว่าเป็นมงคลใหญ่อยู่
              ตอนที่เราฝันน่ะ เป็นกำลังใจที่แท้จริงของเรา ตอนที่เรามีสติสัมปะชัญญะ เราอาจจะควบคุมกำลังใจของเราให้อยู่ในด้านดีได้ แต่ถ้าเผลอสติเมื่อไร มันอาจจะชั่วไม่รู้ตัว ตอนหลับเป็นตอนที่เราเผลอซะส่วนใหญ่ เพราะคนที่จะทรงกำลังใจชนิดหลับและตื่น รู้ตัวเสมอกันนั้นมันหายาก ในเมื่อขณะทีเราหลับ เป็นเวลาที่เราปล่อยกำลังใจของเราตามปกติของมันแล้วเรายังเกาะแต่สิ่งที่ดี ๆ ได้ ก็คือว่าเป็นส่วนที่น่าพอใจ
      ถาม :  อยากจะรู้ภาพที่เห็น...
      ตอบ:   ยังงั้น พอถึงเวลาฝันใหม่อีกที แล้วถามท่านว่าท่านเป็นใคร
              บางอย่างเป็นนิมิตที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ อาตมาเคยเห็นสถานที่หนึ่งอยู่ ๓๐ กว่าปี เห็นอยู่แทบทุกคืน แล้วก็เพิ่งจะเจอไปเมื่อไม่นานมานี้เอง ช่วงประมาณ ๑๐ กว่าปีนี้เอง ลักษณะเหมือนกับว่าเราฝันว่า เราหนีศัตรูอยู่ ถ้าหนีไปถึงตรงนั้นเมื่อไรนี่แปลว่าเรารอดแน่ เพราะว่าเราจะชำนาญสถานที่นั้นมาก พวกศัตรูจะไม่ชำนาญเท่ากับเรา เราจะหนีชนิดทวนน้ำตกขึ้นไป แล้วก็ไปซ่อนอยู่ในถ้ำหลังน้ำตก ซึ่งไม่มีใครหาเจอ
              ตอนแรกเราก็สงสัย สถานที่นี้จะมีจริงหรือเปล่าหว่า ? ทำไมเราเห็นมันได้ทุกคืน ตั้งแต่เด็กพอรู้ความเห็นแล้ว แล้วก็เลยพยายามที่จะหาอยู่ว่ามันอยู่ที่ไหน ไปเจอเข้าตอนนั้นไปเที่ยวน้ำตกพุม่วง อู่ทอง ตอนแรกก็ไม่ได้ใส่ใจมันหรอก คือมันไม่คุ้นตา แต่ตอนจะกลับปวดปัสสาวะ ก็เลยย่องไปทางด้านหลัง ไปแอบปัสสาวะอยู่องค์เดียว พอไปถึง เอ๊ะ... ทำไมที่มันคุ้นตานักหว่า นึกไปนึกมา เฮ้ย...เราฝันเห็นอยู่เอง เนี่ย...ตรงนี้เองแหละ เสร็จแล้วก็เดินไปดู ดูรอบบริเวณภูมิประเทศ ทุกอย่างเหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าส่วนที่เป็นน้ำตกมันไม่มี เป็นหน้าผาลงมาเฉย ๆ ก็เลยไปถามชาวบ้านว่า ตรงนี้เป็นน้ำตกมาก่อนรึเปล่า? เขาบอกว่าทุกวันนี้ก็ยังเป็นน้ำตกอยู่ แต่ว่าหน้าแล้งมันแห้ง เพราะว่าเขาทำลายป่าข้างบนมากไปหน่อย ก็เลยเพิ่งจะรู้ว่าที่เราฝันเห็นอยู่ทุกวันมีจริง ๆ
      ถาม :  สามารถเชื่อใครได้เต็มที่หรือไม่ เป็นเพราะกรรมหรือเปล่า ?
      ตอบ:   ไม่ใช่หรอก มันอาจจะเป็นตัวปัญญาเลยก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าแม้แต่ท่านเทศน์อะไรก็อย่าเพิ่งเชื่อ จนกว่าจะทำตาม แล้วได้ผลตามนั้นก่อนแล้วค่อยเชื่อท่าน การเชื่อท่านสอนไว้ในกาลามสูตร ที่จงอย่าเชื่อ ๑๐ หัวข้อด้วยกัน อย่าเชื่อโดยเขาเล่าสืบ ๆ กันมา อย่าเชื่อเพราะสมณะนี้เป็นครูของเรา อย่าเชื่อเพราะมีกล่าวอ้างไว้ในตำรา อย่าเชื่อเพราะว่าตรงแล้วเข้ากับทิฏฐิของตน ท่านบอกเอาไว้หมด
              พระสารีบุตรโดนพระปุถุชนอื่น ๆ ตำหนิ เพราะพระพุทธเจ้าท่านถามว่า สารีปุตตะ ดูก่อนสารีบุตร สิ่งที่ตถาคตกล่าวมา เธอเชื่อหรือไม่ พระสารีบุตรบอกยังไม่เชื่อพระเจ้าข้า เท่านั้นแหละ โดนเป็นชุด พระพุทธเจ้าต้องถามต่อว่า ทำไมพระสารีบุตรถึงไม่เชื่อ ท่านบอกว่าต้องปฏิบัติได้ก่อนว่าสิ่งนั้นทำได้จริงหรือไม่ ถ้าทำได้จริงถึงจะเชื่อ ถ้ายังไม่ได้ลองปฏิบัติจะยังไม่เชื่อก่อน
      ถาม :  เป็นวิจิกิจฉารึเปล่า ?
      ตอบ:   มันไม่ใช่ คนละอย่าง ตัววิจิกิจฉามันลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติ มันไม่ได้มอบกายถวายชีวิตให้จริง ๆ เรื่องเชื่อมันละส่วนกัน
      ถาม :  ....ไม่ชัด...
      ตอบ:   ไม่ใช่ ท่านทำของท่านได้แล้ว ในเมื่อทำได้แล้ว ญาณคือเครื่องรู้ มันเกิดขึ้น ยืนยันแล้ว่าความรู้นี้ถูกต้องจริง เพราะฉะนั้นสิ่งอื่น ๆ ที่พระพุทธเจ้ากล่าวมา ก็ต้องเป็นจริงตามนั้น ท่านถึงเชื่อ การปฏิบัติมันจะมีอุปกิเลสอยู่ มันจะมีตัวหนึ่งที่เรียกว่าญาณ คือเครื่องรู้ ถ้าปฏิบัติไปถึงระดับของมันแล้ว มันจะรู้ คำว่าอุปกิเลส คือ ใกล้จะเป็นกิเลส อุปะ แปลว่า ใกล้ ใกล้จะเป็นกิเลส พอเครื่องรู้เกิดขึ้นแล้วเราไปยึดว่า เออ...กูเก่ง กูดี กูรู้แล้วอะไรอย่างนี้ มันก็จะเป็นกิเลสเลย แต่ถ้าเรามีสติรู้อยู่ว่ามันเป็นเครื่องอาศัยเท่านั้น เป็นของแถมที่ได้มาจากการปฏิบัติเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นแค่อุปกิเลส คือใกล้จะเป็นกิเลส แต่ยังไม่ใช่ ยึดมันเมื่อไร เป็นเมื่อนั้น
              คราวนี้ญาณเครื่องรับรู้ตัวนี้มันเกิดขึ้น มันแจ่มแจ้งมาก มันรู้เลยว่าผลที่ปฏิบัติมาทุกอย่างเป็นจริงตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ในเมื่อสิ่งที่สอนมาแค่สุกขวิปัสโก ยังเป็นจริงขนาดนี้ เรื่องเตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ก็ต้องจริงด้วย ท่านก็มอบกายถวายชีวิตให้กับพระศาสนา ให้กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปเลย ตอนนั้นเชื่อจริง ๆ แล้วเพราะทำได้ผล
      ถาม :  เอารูปพระสงฆ์ไว้สูงกว่าพระพุทธ
      ตอบ:   ก็จริง ๆ แล้วไม่สมควร ในพระนิพพานจริง ๆ แล้วไม่มีการแบ่งเขาแบ่งเรากัน คือทุกคนที่เข้าไปในพระนิพพาน แปลว่าจิตบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงแล้ว แต่คราวนี้มีอยู่ตัวหนึ่งว่าบารมีแต่ละคนที่สร้างสมมามันต่างกัน ถ้าเราขึ้นไปอธิษฐานขอให้เห็นตามสภาพความเป็นจริง ก็อาจจะเห็นว่าของท่านอยู่ปะปนกันไปหมด องค์โน้นเล็ก องค์นี้ใหญ่ แต่ถ้าหากว่าอยากรู้ว่าจริง ๆ แล้วเป็นยังไง ท่านก็จะจัดลำดับให้ดู
              อย่างเช่นว่า นี่เป็นพระพุทธเจ้า นี่เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นี่เป็นพระอรหันตสาวก เป็นอัครสาวก เป็นมหาสาวก เป็นปกติสาวก แต่ถ้าหากว่าในสมมติของโลกเราแล้ว เราไม่ควรที่จะทำอย่างนั้น เพราะว่าอย่างไรเสีย พระสงฆ์ก็คือลูก จึงไม่สมควรไว้สูงกว่าพ่อ
      ถาม :  ก็มันกฎแห่งกรรม ถ้าคุณสร้างกรรมเอาไว้เยอะ ไม่เคยสร้างทานบารมีคุณก็ไปหล่นปุ๊ที่มุมนั้น พวกฮวงจุ้ยอะไรต่าง ๆ มันเกิดจากบุญ จากกรรมของเราเหมือนกัน คนทำดีไว้จริง ๆ ก็ได้ที่ดีทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องเลือก
      ตอบ:   แล้วฮวงจุ้ย (ไม่ชัด)
      ถาม :  มีอยู่ ก็อย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมีพลังงานของมันอยู่ โดยเฉพาะกระแสพลังงานของโลก ตำราฮวงจุ้ยก็คือ กระแสแม่เหล็กโลก อย่าลืมว่าฮวงจุ้ยนี่เขายึดทิศเหนือลงใต้ กระแสแม่เหล็กโลกก็วิ่งแนวเหนือใต้เหมือนกัน
      ตอบ:   (ไม่ชัด)
      ถาม :  เรื่องของแรงบุญนี่ตัวอย่างชัด ๆ ก็คือ มเหสีพระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าอโศกมหาราชท่านมีนางแก้ว คือ เทวดาเอาจากอุตตรกุรุทวีปมาถวายให้ อุตตรกุรุทวีป ปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่าดาวพลูโต
              คราวนี้นางแก้วนี่บุญท่านมาก พระเจ้าอโศกมหาราชมีมเหสีอยู่ตั้งห้าพัน ต้องใช้คำว่าสนม มีอยู่ห้าพัน ทุกคนก็อิจฉามารศรีเป็นที่ยิ่ง ทำไมถึงโปรดคนนี้เป็นพิเศษอย่างนี้ พระเจ้าอโศกมหาราชก็คงรำคาญ ก็เลยสั่งพวก วิเสทหลวงคือพวกพ่อครัว ไปปั้นขนมมาเท่าจำนวนคน ไม่รู้เหมือนกันเป็นพวกขนมต้มขนมโคหรือเปล่า ? ก็ต้องไปทำมาห้าพันกับอีกหนึ่งลูก ท่านถอดธำมรงค์ให้กับพ่อครัว บอกว่าซุกไว้ในขนมลูกใดลูกหนึ่งแล้วก็ไปนึ่งให้สุกพอซุกเสร็จเรียบร้อยไปนึ่งให้สุกแล้วก็ยกออกมา พระเจ้าอโศกมหาราชประกาศต่อพระมเหสี และสนมกำนัลทั้งหมดว่า ใครก็ตามหยิบขนมลูกที่มีพระธำมรงค์ของพระองค์ท่านอยู่จะตั้งให้เป็นพระมเหสีเอก พูดง่าย ๆ ตอนนี้ประเภทไล่ลดปลดออก ยศเท่ากันทุกคน ใครสามารถล้วงขนมลูกที่มีแหวนขึ้นมาได้ก็จะให้เป็นพระมเหสีเอก คราวนี้ก็แร้งลงห้าพันกว่าคน มึงก็อยากได้ กูก็อยากได้ มเหสีท่านจริง ๆ ท่านนั่งรอ รอจนเขาหยิบไปหมดเหลืออยู่ลูกเดียว ท่านก็ไปหยิบมามันก็อยู่ลูกนั้นแหละ
              ในเรื่องบุญมันแข่งกันไม่ได้ ถึงวาระถึงเวลาสมควรจะได้มันได้ของมันเอง ที่ท่านต้องทำอย่างนั้นเพราะอยากจะประกาศบุญให้รู้ว่าที่ตั้งองค์นี้เป็นมเหสี เพราะบุญเขาดีกว่าพวกเธอตั้งหลายเท่า แต่ไปบอกตรง ๆ เขาก็ไม่ยอมรับก็ต้องแสดงออกอย่างนี้ คนมันเลือกไปมีโอกาสจะได้ตั้งห้าพันครั้งยังไม่ได้ พระเจ้าอโศกมหาราชทำเอาคนรุ่นหลัง ๆ หน้าแตกยับเยิน ท่านสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุพุทธบูชา เสร็จแล้วก็วางแก้วมณี รู้จักแก้วมณีมั้ย? โคตรเพชร เอาไว้ทางประตูทางเข้าจารึกเอาไว้เลย กาลต่อไปข้างหน้าพระราชาองค์ใดที่มีฐานะยากจน ไม่มีสิ่งใดที่จะถวายบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สมพระเกียรติยศ ก็จงถือเอาแก้วมณีนี้ไปถวายบูชา
              คราวนี้หายสงสัยรึยังว่าทำไมโคตรเพชรสารพัด จึงได้มีอยู่แต่ที่อินเดีย พระเจ้าอโศกมหาราชท่านทิ้ง ๆ ไว้ให้ ให้เอาไปบูชา แต่แทนที่เอาไปบูชาพระบรมสารีริกธาตุ โน้น! อังกฤษครองเมืองมันยึดส่งเจ้านายมันหมด (หัวเราะ)