ถาม:  รถทัวร์สายกรุงเทพฯ-บ้านนอกไม่มี มีแต่กรุงเพทฯจังหวัดนั้น จังหวัดนี้ ดูเหมือนว่าคนเราจะรู้สึกไม่มั่นใจเมื่อรู้สึกว่าเงินในกระเป๋ามีน้อยหรืออยู่ในจังหวัดพื้นที่ ๆ ไม่เจริญ เราจะสร้างความมั่นใจให้ตัวเองได้อย่างไรบ้าง ? ที่พึ่งของคนทั่วไปไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจนเข็ญใจคือสิ่งใด ?
      ตอบ:   การที่จะสร้างความมั่นใจให้แก่ตัวเองได้อันดับแรกต้องมีศรัทธา คือความเชื่อมั่นต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ได้แก่การเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย การเชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การเชื่อมันในผู้นำ การเชื่อมั่นในตนเอง เป็นต้น ข้อที่สองต้องเป็นผู้มีศีล ถ้าศีลเราทรงตัวจะมีความกล้าหาญไม่ว่าอยู่ในสังคมไหนก็ไม่หวั่นไหว ข้อที่สามต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มาก ถ้าเคยผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ มามากความมั่นใจจะเกิดขึ้นกับตัวเอง และข้อสุดท้ายต้องเป็นผู้มีปัญญา คนมีปัญญาอยู่ที่ไหนก็มีความเชื่อมั่นในตัวเองไม่ต้องหวั่นไหวกับอะไรทั้งนั้น ถ้าถามว่าเราควรจะยึดอะไรเป็นที่พึ่ง ? ที่พึ่งส่วนใหญ่ของเราก็คือ ทาน ศีล ภาวนา
              แต่คราวนี้ว่า ทาน ศีล ภาวนา นั้นเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนเราและหลวงปู่หลวงพ่อนำมาถ่ายทอดต่อ ดังนั้นที่พึ่งที่แท้จริงของเราก็คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งไหนที่ท่านสอนเราทำตามนั้น จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงได้
      ถาม:  ท่านพระลกุณฑกภัททิยะเถระ ในเรื่องนั้นท่านว่าเห็นฟันเพียงซี่เดียวของหญิงสาว แล้วเอามาคิดเป็นกรรมฐานที่ว่านั้นอยู่ในหมดใดของกรรมฐาน ? และใช้อารมณ์คิดอย่างไร ?
      ตอบ:   อัฏฐิกะอสุภ คือเป็นอสุภกรรมฐานในจุดที่เพ่งกระดูกเป็นอารมณ์ ให้เห็นว่าร่างกายนี้ที่มันมีความสวยงามอยู่จริง ๆ แล้วมันทรงตัวอยู่ได้ เพราะกระดูกเป็นแกน ถ้าถอดกระดูกออกซะอย่างเดียวทุกอย่างก็แห่งเหี่ยวหมดท่า สภาพที่แท้จริงของเรามีแต่กระดูกนี้เท่านั้นที่ทรงตัวอยู่ แต่ว่าก็ทรงตัวเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ถ้าหากว่าผ่านกาลเวลานานไป ๆ ขนาดกระดูกมันก็ผุเปื่อยสลายไปไม่มีอะไรหลงเหลือเหมือนกัน ไม่ว่าจะตัวเขาหรือตัวเราก็มีสภาพดังนี้เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด เกิดมาเมื่อไหร่ก็ทุกข์อย่างนี้อีก เขาก็ทุกข์ เราก็ทุกข์ แล้วเราจะเกิดมาทุกข์ทำไม ? ท่านวางกำลังใจอย่างนี้ล่ะจ้ะ
              พระลกุณฑกภัททิยะเถระมีเรื่องตลกอยู่อย่าง คนเห็นท่านเป็นเณรอยู่เสมอ ตัวเล็กนิดเดียว พระต่างจังหวัดมาไม่รู้หรอกนี่พระอรหันต์ก็เขกหัวเล่น พระพุทธเจ้ากลัวจะเป็นโทษต้องแกล้งไปถามว่าเห็นพระเถระมั้ย ? บอกว่าไม่เห็น บอกว่าที่นั่งอยู่ตรงข้างหน้านี่ไง บอกว่าเห็นแต่เณรตัวเล็ก ๆ บอกนั่นแหละพระเถระ พระอื่นถึงจะรู้ว่านั่นพระอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้าจะเรียกพระอรหันต์ทุกองค์ว่า “พระเถระ” ท่านบอกว่าในอดีตชาติ ท่านเป็นนายช่าง แล้วท่านก็รับจ้างสร้างแต่พวกวัดวาอารามอะไรซะด้วย แต่คราวนี้ว่าท่านเป็นคนค่อนข้างช่างต่อรอง เขาจะสร้างเจดีย์สูงหนึ่งโยชน์ท่านบอกครึ่งโยชน์ก็พอ เขาจะสร้างปราสาทสูงครึ่งโยชน์ท่านก็บอกว่าหนึ่งส่วนสี่โยชน์ก็พอ ต่อลดไปเรื่อย ๆ
              คราวนี้อานิสงส์ตัวนี้แหละ เกิดชาติใหม่ตัวท่านกระจึ๋งเดียว เขาเรียก พระลกุณฑกกภัททิยะเถระ ท่านภัททิยะร่างเล็ก คนเห็นเป็นเณรอยู่เสมอ
      ถาม:  ท่านพระกุมาระกัสสปะ เถระ ในเรื่องท่านว่าเป็นผู้เลิศในการตอบปัญหาธรรม การมีปัญญาที่ว่านั้นอาศัยอานิสงส์ใดเป็นเหตุ ?
      ตอบ:   อานิสงส์ที่จะทำให้มีปัญญาเกิดจากอันดับแรก อานิสงส์การภาวนา ถ้าใครภาวนาจิตสงบอยู่เสมอปัญญาจะเกิดได้ง่าย เกิดชาติใหม่ฉลาดมาก ข้อที่สองก็คือว่าต้องเป็นผู้ที่มีการให้ธรรมทาน ธรรมทานนี่จะว่าเราปฏิบัติได้แล้วนำไปสั่งสอนคนอื่นเขาก็ดี ให้เป็นหนังสือหรือพระไตรปิฎกอะไรก็ดีจัดเป็นธรรมทานทั้งนั้น ถ้าหากว่าเป็นธรรมทานแท้คือ หนังสือธรมะก็ยิ่งอานิสงส์มาก จะมีปัญญาฉลาดมากต้องมีการภาวนาอย่างหนึ่งและให้ธรรมทานอย่างหนึ่ง
              พระกุมาระกัสสปะเถระ ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายในสังฆมณฑลชนิดที่พระเทวทัตเกือบ ๆ จะจับแม่ท่านสึก เพราะแม่ท่านเป็นภิกษุณีแล้วก็ท้องป่อง พระเทวทัตไปตัดสินจะจับสึกท่าเดียว คณะสงฆ์ต้องมอบหมายให้พระสารีบุตรและนางวิสาขามหาอุบาสิกาเข้าไปจัดการ เสร็จเรียบร้อยพระสารีบุตรท่านก็มีปัญญา ท่านก็ให้นางวิสาขามหาอุบาสิกาไปซักไซ้ไล่เรียง นับวันย้อนหลังกันเลยเกิดเมื่อไหร่ ไล่ไป ๆ ปรากฏว่ามันไปครบ ๑๐ เดือนตอนก่อนท่านบวช ก็แสดงว่าติดท้องมาโดยที่แม่ไม่รู้ ตั้งแต่ตอนบวชมานี่ศีลท่านครบทุกสิกขาบทแน่นอน ก็เลยกลายเป็นว่าทั้งภิกษุและภิกษุณีช่วยกันเลี้ยงเด็ก พอโตขึ้นมาหน่อยก็ให้บวชเณรแล้วท่านก็เป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ
      ถาม:  ในตำราได้ว่าไว้เกี่ยวกับเรื่อง พระนารธะ ว่า บรรดาวรรณะกษัตริย์และสมณชีพราหมณ์ต่างพากันทิ้งบ้านทิ้งเมืองเพื่อมาปฏิบัติธรรมกันหมด ท่านแสดงธรรมหัวข้อใดเป็นพิเศษครับ ?
      ตอบ:   ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทุกองค์หรือพระอริยเจ้าทุกองค์ท่านแสดง มันจะรวมลงทั้งหมดในเรื่องของความทุกข์ของโลกนี้และร่างกายนี้ คราวนี้ว่ามันแตกแขนงออกไปได้ต่าง ๆ นานา อย่างพระพุทธเจ้าของเราก็สอนเอาไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ หัวข้อด้วยกัน
              คราวนี้สำคัญอยู่ตรงที่ว่าหัวข้อไหนใครเป็นผู้ชอบใจอย่างไรก็จะบอกกันปากต่อปาก ๆ ไป จนประเภทที่เรียกว่าคนเขาร่ำลือกันกว้างไกลกันออกไป คนก็มากันมากขึ้นทุกที ๆ อย่างของท่านนี่ประเภทที่เรียกว่ามากันแทบหมดเมืองเลยไปกันชนิดเมืองร้างกันไปข้างเลย
      ถาม:  เพลง Rhythm & Blue “blue” คำนี้เข้าใจว่าไม่ได้แปลว่าสีฟ้า แต่แปลว่า เพ้อ, พร่ำเพ้อ เพลงลักษณะนี้จะมีการโหยหวนและเอื้อนเสียงในเรื่องความรักและอื่น ๆ แต่อย่างไรก็ดีไม่ว่าจะเป็นเพลงหรือดนตรีประเภทใด ดูเหมือนเราจะได้ประโยชน์ของดนตรียากหน่อย แต่จะพบประโยชน์ของเพลงในเรื่อง พระอภัยมณี เมื่อพระบิดาท่านถามว่าประโยชน์ของปี่ท่านเรียนมาทำอะไรได้บ้าง ? ก็ได้รับคำตอบว่า เป่าปี่แล้วสามารถทำให้คนเป็นอะไรก็ได้ หรือเอาไว้ฆ่าคนก็ได้ เรื่องประโยชน์ของเพลงในด้านหนึ่งยังคงพอจะมีประโยชน์โดยประการใดหรือไม่ ?
      ตอบ:   ประโยชน์ก็มีแต่ถ้าหากว่าขาดสติโทษก็มาก ไอ้ blue ของเราที่ว่าน่ะ ถ้าหากว่าแปลเป็นไทยชัด ๆ เขาเรียกว่า เพลงโศก ในเมื่อมันเป็นเพลงโศกมันก็มีการคร่ำครวญกันเป็นปกติใช่มั้ย ? ก็อย่างที่สุนทรภู่ท่านว่า อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์ ดนตรีจริง ๆ มีคุณมหาศาล เพราะว่าอย่างน้อย ๆ ทำให้จิตใจของเราเบิกบานแจ่มใสได้ แต่ถ้าหากเราไปยึดติดมันอย่างเดียวก็จะเกิดโทษ สำหรับคนทั่ว ๆ ไปแล้วมีประโยชน์ใช้ในการจรรโลงชีวิต แต่สำหรับนักปฏิบัติถ้าไม่รู้จักคิดไม่รู้จักพิจารณาไปหลงยึดติดก็ทำให้ทุกข์อีก
              จริง ๆ แล้วเสียงดนตรีที่เราฟังน่ะมันหยาบมาก ถ้าหากว่าดนตรีทิพย์ของเทวดาของนางฟ้าเขานี่ ฟังแล้วไม่อยากเลิกเพราะจริง ๆ แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในความเป็นทิพย์ โอกาสที่เราจะสัมผัสมันก็น้อยอยู่แล้ว โดยเฉพาะใครเห็นนางฟ้ามานี่หมดอยากเลย ภาษิตจีนเขาบอกว่า ผ่านทะเลเห็นน้ำไร้ความหมายไปเลย ทะเลมันกว้างขนาดไหนบ่อน้ำมันกระจึ๋งเดียว แล้วเห็นสวยขนาดนางฟ้ามานี่ขนาดท่านนันทะกำลังจะแต่งงานแท้ ๆ หมดอยากเลย
              เปรียบเทียบว่าถ้าหากนางชนบทกัลยาณีที่จะแต่งกับตัวเองเปรียบกับนางฟ้าแล้ว นางชนบทกัลยาณีก็เหมือนกับนางลิงขี้เรื้อนหูแหว่งจมูกวิ่นหมดท่าเลย อาตมาเองเห็นแล้วอยากได้ สวยจริง ๆ (หัวเราะ) เดี๋ยวต้องเอาอย่างท่านนันทะบ้าง พระพุทธเจ้าบอกว่านันทะ ถ้าเธอปฏิบัติธรรมตามที่ตถาคตบอก ตถาคตรับรองว่าจะให้นางฟ้าเป็นภรรยา พระนันทะเถระก็เอาซิสวยกว่าสาวที่หมายมั่นปั้นมือไว้ตั้งเยอะนี่ ถึงเวลาตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติกลายเป็นพระอรหันต์ไป (หัวเราะ)
              ตอนนั้นเขาก็ร่ำลือกันว่าพระนันทะเถระปฏิบัติธรรมเพราะต้องการแลกนางฟ้า คราวนี้อยู่ ๆ ก็เหมือนกับเงียบไปเฉย ๆ เลิกไปเฉย ๆ ก็ไปแซวท่านว่าไม่เอานางฟ้าแล้วรึ ท่านก็บอกว่าของท่านเองขึ้นชื่อว่าความอยากแบบนั้นไม่มีอีกแล้ว แหม! พระสมัยนั้นก็ร้ายไปฟ้องพระพุทธเจ้าว่าพระนันทะเถระท่านพยากรณ์มรรคผลตัวเองเป็นปาราชิก พระพุทธเจ้าต้องยืนยันให้ว่าท่านพูดความจริงไม่ถือว่าเป็นปาราชิก
              มันมีเพลงอยู่เพลงหนึ่ง ถ้าใครเคยฟังดนตรีไทยบุหลันเลื่อนลอยฟ้า บางคนเรียกว่า เพลงทรงสุบินนิมิต รัชกาลที่ ๖ ท่านนิมิตว่ามีเทวดามาเล่นเพลงนี้ให้ฟังแล้วท่านก็ตั้งใจจำไว้ พอตื่นขึ้นมาก็รีบเรียกทางดนตรีมาบอกให้สมัยก่อนเขาใช้คำว่า “ต่อเพลง” คือมาบอกให้ว่าต้องเล่นยังไงจังหวะยังไงเสียงยังไงก็เลยกลายเป็นเพลงบุหลันเลื่อนลอยฟ้า เท่าที่เคยฟัง ๆ มามี ๒-๓ คน เป่าขลุ่ยเก่ง สีซอเก่ง เล่นแคนเก่ง เก่งขนาดที่ว่าเขาเล่นแล้วเราไม่อยากให้เลิก แต่ไอ้คนเล่นมันจะเหนื่อยตายเอาโดยเฉพาะเครื่องเป่า ดนตรีมันไม่เกินอะไรไปกว่า ดีด สี ตี เป่า เขย่า เคาะ มีอยู่แค่นั้นแหละ แต่แหมคน ๆ หนึ่งเล่นได้ถึงขนาดที่เราไม่อยากให้มันเลิกนี่มันเหนือมนุษย์เหมือนกันนะ แต่ทุกอย่างเกิดจากการฝึกฝน
              การเล่นดนตรีต่าง ๆ เป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง เพราะว่ามือไม้ก็ดีอะไรก็ดี มันจะต้องไปพร้อม ๆ กับความรู้สึกต้องกำหนดไปด้วยว่าต้องเล่นโน้ตไหนต้องเล่นอย่างไร สมาธิต้องดีไม่ดีก็พลาด แล้วยิ่งโบรารณนี่เขาเล่นต่อกันปากเปล่าไม่มีโน้ตไม่มีอะไร มาสมัยนี้ฝรั่งเขาพยายามจะทำดนตรีของเราให้เป็นสากลมีการใส่โน้ตลงไป ใส่โน้ตเมื่อไหร่เดี้ยงเมื่อนั้น
              ดนตรีสมัยก่อนเขาจะมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยลักษณะที่เรียกว่าเป็นลูกไม้ประจำสายดนตรีเขาอยู่ ถ้าทุกอย่างไปโดนจับลงบล็อกเดียวกันมันก็หมดไปเลย คนสมัยก่อนเขาเล่นพวกนี้แหละ ทำให้จิตใจเขาสงบเยือกเย็น ก็เลยมีธรรมะเป็นปกติ ถึงเวลาก็ปฏิบัติธรรมได้ง่าย และขณะเดียวกันเวลาที่บวชเข้าไปศึกษาปฏิบัติธรรม ก็เข้าถึงธรรมได้ง่ายเข้าถึงฌานสมาบัติได้ง่าย ใจมันเย็นมันนิ่งอยู่แล้ว พอไปเจอของที่มันหยุดเลยก็ไม่ต้องใช้กำลังมาก แต่สมัยนี้ใจมันเตลิดเปิดเปิงอยู่ตลอดเวลา พอไปเจอของหยุดเข้ากลายเป็นคนละทิศสุดโต่งไปคนละข้างเลย สมัยนี้ก็เลยทำพวกสมาธิได้ยาก
      ถาม:  ถ้าอย่างนี้คนไปฟังเพลงแล้วรู้สึกเศร้า ๆ ล่ะครับ แล้วก็นึกถึงความไม่เที่ยงนี่จะเป็นธรรมะได้มั้ยครับ ?
      ตอบ:   ยาก ถ้าหากว่าจะนึกให้เป็นธรรมะจริง ๆ ต้องนึกตั้งแต่เขาเล่น เสียงทุกอย่างก็ไม่เที่ยง เคาะมันก็ปิ๊งเดียว ถ้าไม่เคาะต่อเนื่องทำนองมันก็ไม่ออกมา แสดงว่ามันไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป คนเล่นทั้งหลายก็เหนื่อยกว่าจะเล่นได้ คนเหนื่อยมันทุกข์มั้ยล่ะ ? ที่ต้องมาเล่นดนตรีเพราะอะไรล่ะ ? เพื่อปากท้องตัวเอง เพื่อครอบครัวตัวเอง ถ้าหากว่าไม่ได้เล่นขึ้นมาไม่มีเงินไม่มีทองไม่มีทรัพย์สินไปจุนเจือครอบครัวตัวเอง ก็ประกอบไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน และท้ายสุดทั้งตัวคนเล่นก็ดีเครื่องดนตรีก็ดี มันพังทั้งคู่ แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักคิดรู้จักพิจารณาอย่างนี้มันจะจืดไม่เป็นท่า
      ถาม:  ............................................
      ตอบ:   พระอุปคุตท่านจะจำพรรษาอยู่สะดือทะเล เขาก็เลยมักจะนิยมสร้างพระอุปคุตเอาไว้กลางน้ำ หรือไม่ก็ถ้าเป็นองค์เล็ก ๆ เขาก็จะใส่ไว้ในขันน้ำ ท่านมีหน้าที่คอยมารักษาความปลอดภัย ตอนพระเจ้าอโศกมหาราช ท่านฉลองพระบรมสารีริกธาตุ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน พระอุปคุตท่านก็เลยต้องกินไปมองฟ้าไป พญามารจะมาเมื่อไหร่ ? ก็เลยอยู่ท่าแหงนหน้าอย่างนั้นแหละ
              พระอุปคุตท่านเป็นพระมหาลาภ ส่วนใหญ่ท่านจะเข้านิโรธสมาบัติ แล้วถึงเวลาก็จะไปโปรดคน ทางพม่าเขาก็เลยนิยมกัน เพราะถือว่าเป็นพระลาภมาก ทางด้านเหนือของเรานี่ถ้าหากว่าเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ที่ตรงกับวันพุธ เขาว่าเป็นวันที่พระอุปคุตออกบิณฑบาต เขาจะมาปลุกพระตั้งแต่เที่ยงคืนไปรับบาตรกัน อาตมาโดนปลุกมาหลายยกแล้ว คือสาเหตุเกิดจากว่ามีคนหนึ่งเขาได้ใส่บาตรพระอุปคุต แล้วเขารวยวันนั้นเลย
              เพราะส่วนใหญ่ถ้าหากว่าได้ทำบุญกับพระที่ออกนิโรธสมาบัติทำคนเดียวจะรวยวันนั้นเลย คราวนี้พอไปพูดกันต่อ ๆ ไปอีกคนหนึ่งก็เออ...กูจะทำก่อนมึงมั่ง ถึงเวลาเขาก็ตื่นให้เร็วกว่าหน่อยหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็กูตื่นให้เร็วกว่ามึงหน่อยหนึ่ง ก็ไล่กันไปเรื่อยกลายเป็นตักบาตรเที่ยงคืนไป พระก็เลยลำบาก(หัวเราะ) คนที่เขาใส่บาตรเขาได้ใส่วันนั้น เขาก็เลยถือเป็นต่อ ๆ กันมาว่าถ้าขึ้น ๑๕ ค่ำ ตรงกับวันพุธ พระอุปคุตจะบิณฑบาตร
      ถาม:  ถ้าเกิดเราไม่ทำฮวงจุ้ย แล้ว(ไม่ชัด)
      ตอบ:   ถ้าเราเชื่อกฎของกรรม ผู้ที่อยู่ในฮวงจุ้ยที่ดีก็คือเคยทำกรรมดีไว้ก่อน โบราณเขาดูอย่างที่ท่านบอกว่า “อย่าปลูกเรือนขวางตะวัน” เขาจะให้ตามตะวัน คือหันข้างให้ทิศโคจรของพระอาทิตย์ เพื่อที่ว่าแสงแดดจะได้ไม่ส่องเข้าบ้านตรง ๆ แล้วอีกอย่างเขาจะดูทางลม คือปลูกเรือนทำอย่างไรให้มันรับลมหน้าร้อน แล้วขณะเดียวกันก็กำลังลมหน้าหนาว แล้วท่านก็จะบอกว่าจะต้องปลูกต้นไม้อะไรอยู่ทิศไหน ไอ้นั่นยิ่งกว่าฮวงจุ้ยอีก (หัวเราะ)
              เพราะฉะนั้นโบราณจริง ๆ เขาทำละเอียด สังเกตมั้ยบ้านไทยสมัยก่อนส่วนใหญ่จะเป็นบ้านทรงสูง เพราะว่าเมืองไทยเราเป็นที่ลุ่มซะส่วนใหญ่ น้ำจะท่วมเป็นปกติ สมัยนี้มาปลูกบ้านติดพื้น แล้วถึงเวลาก็มาโอดครวญว่าน้ำท่วม ๆ บรรพบุรุษทำยังไงก็ไม่ดู แล้วทรงบ้านของไทยที่ต้องเป็นหลังคาทรงสูง ลักษณะจั่วสูงน่ะ เพื่อให้ระบายลมดี บ้านเราหน้าร้อนมันร้อน ทุกอย่างเขาทำเอาไว้พร้อมแล้ว ภูมิปัญญาบรรพบุรุษน่ะ สมัยนี้มันไม่ได้ศึกษา ตามอย่างฝรั่งไปเรื่อย ไม่ได้ดูดำดูดีอะไรเลย แล้วจะไปโทษใคร
      ถาม:  แล้วอย่างห้องหนูหัวนอน (ไม่ชัด)
      ตอบ:   นอนไปเถอะ ถึงเวลาก็จับภาพพระหลับ คือเขาถือว่ามันกระจายพลังได้ไง เพราะถ้าหากว่าอยู่ใต้คานเขาถือว่ามันกดทับลงมาจะทำให้ชีวิตไม่สะดวก แล้วถ้าหากว่านอนอยู่เลือดลมก็เดินไม่สะดวก
              จริง ๆ แล้วเรื่องของฮวงจุ้ยนี่มันเกี่ยวกับกระแสปราณของโลก ซึ่งจริง ๆ ก็คือสนามแม่เหล็กโลกนั่นแหละ สังเกตมั้ยถ้าหากคนจีนเขาดูฮวงจุ้ยเขาจะดูจากเหนือไปใต้ แนวเขาไหนที่วิ่งอยู่ในระหว่างเหนือใต้ ถ้าหากว่ากางโอบเป็นรูปครึ่งวงกลมได้ยิ่งดี เขาให้สร้างบ้านอยู่ตรงนั้น แต่จุดที่สร้างบ้านก็ต้องดูให้ดี
              อย่างเช่นว่าจะต้องสร้างบ้านอยู่เกือบ ๆ จะเป็นจุดยอดเขา เพราะว่าเขาถือว่าภูเขาคือมังกร ถ้าหากว่าไปสร้างบ้านอยู่ตรงปากมังกรก็โดนเจี้ยะ แต่จริง ๆ แล้วก็คือเรื่องที่ว่าทำอย่างไรถึงจะปลอดภัย สร้างบ้านอยู่ที่ราบอันตรายมาถึงได้ สมัยก่อนศึกเหนือเสือใต้มันมีเยอะ คนร้ายมากสัตว์ ร้ายมาก ถ้าอยู่ที่ราบระวังป้องกันลำบากก็สร้างกันอยู่บนยอดเขาอะไรอย่างนี้
      ถาม:  ถ้าเรามั่นใจในพระพุทธเจ้า
      ตอบ:   ไม่มีปัญหาจ้ะ อยู่ไปเถอะ ที่ไหนว่าไม่ดีอาตมาไปอยู่แล้วดีทั้งนั้น (หัวเราะ) มันสำคัญอยู่ที่เรา ถ้ากำลังใจยังไม่ดีเรื่องเหล่านี้จะมีผลมาก แต่ถ้าหากว่ากำลังใจดีมั่นคงเสียแล้ว เรื่องเหล่านี้แทบไม่มีผลเลย
      ถาม:  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   ถ้าหากว่ามันอยู่ในบริเวณที่ดีใช่มั้ย ? คนที่อยู่ที่นั่นก็จะมีความเจริญ ไม่ว่าการปลูกพืชผล สมัยเก่าการเกษตรเป็นส่วนใหญ่มันก็จะดี ถ้าเป็นสมัยนี้เขาก็นิยมเหมือนกัน หุบเขาลักษณะนั้น เพราะว่าปุ๋ยมันไหลจากภูเขาลงมาที่ราบ ถึงเวลาเราสร้างบ้านอยู่ข้างบนน้ำมาก็ไม่ต้องกลัวสัตว์ร้ายมา คนร้ายมาก็ไม่ต้องกลัว แต่เราเพาะปลูกในหุบเขาข้างล่าง พวกซากพืชซากสัตว์อะไรจากภูเขาถึงเวลามันโดนน้ำตีลงมาปลูกอะไรมันก็งามทั้งนั้น
      ถาม:  สมมุติผมไปห้องสมุด แล้วเขาไปซื้อหนังสือมาจากบริษัทหนึ่ง แล้วห้องสมุดเขาอนุญาตให้ซีร็อกได้ แต่ว่าในหนังสือนี่เขียนว่าห้ามก๊อปปี้ห้ามทำซ้ำ ถ้าเกิดสมมุติว่าผมไปซีร็อกตามที่ห้องสมุดอนุญาต (ไม่ชัด)
      ตอบ:   เราขโมยหรือเปล่าล่ะ ?
      ถาม:  ไม่ได้ขโมยครับ
      ตอบ:   แล้วเจตนาเอาไปเพื่อการค้าหรือเปล่าล่ะ ?
      ถาม:  เปล่าครับ
      ตอบ:   เปล่า แล้วจะไปเดือดร้อนอะไรล่ะ อย่าลืมว่าที่ของเขาการละเมิดลิขสิทธิ์ ส่วนใหญ่ทำเพื่อการค้า ถ้าหากเพื่อความรู้ ถ้าหากไม่ต้องการให้ละเมิด มันจะทำมาทำเกลืออะไร ! เพราะความรู้มันต้องการให้เราอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ที่เขาทำก็คือเพื่อการค้า ในเมื่อทำเพื่อการค้าก็ทำให้เขาเสียลิขสิทธิ์
              อย่างหนังสือหลวงพ่อ หนังสือสมบัติพ่อให้ เขาเอาไปหากินมาหลายรอบแล้ว จนจะออกใหม่อยู่กลางตลาด ทั้ง ๆ ที่ประเภทก๊อปไปทุกชิ้นเลย นั่นเขาก็บอกสงวนลิขสิทธิ์แต่มันจะทำขายซะอย่าง ทางวัดก็ไม่เห็นไปฟ้องร้องอะไรมัน อยากทำอะไรก็ให้มันทำไป ความจริงถ้าเรามีของหลวงพ่อครบทุกชิ้น มานั่งถ่ายรูปเองสวย ๆ ทำซะเองเล่มหนึ่ง ของอาตมาเองถึงไม่ครบทุกชิ้นก็เกือบ ๆ ครบ แต่ว่าไม่ค่อยเหลือหรอกให้เขาหมด
      ถาม:  คนที่เขาอยู่อเมริกา ส่งหนังสือหลวงปู่ปานไปให้เขาแล้ว เขาเอาไปลงหนังสือพิมพ์ (ไม่ชัด)
      ตอบ:   จริง ๆ แล้วหลวงพ่อท่านบอกว่าถ้าหากว่าเป็นการเผยแพร่ธรรมะสำหรับผู้อื่นนี่ ท่านไม่สงวนลิขสิทธิ์อยู่แล้ว อันนี้ท่านบอกไว้แต่แรกเลยนะ เพราะว่าคณะโลกทิพย์ของพวกคุณบรรเจิด สังข์สวนเขาไปขออนุญาตหลวงพ่อนำธรรมะของหลวงพ่อลงหนังสือในเครืออยู่ในลักษณะว่าถ้าหลวงพ่อคิดค่าลิขสิทธิ์คิดสตางค์เขาก็ยอมจ่าย แต่หลวงพ่อท่านบอกว่าถ้าทำเพื่อเป็นธรรมทานท่านอนุญาตให้เลยไม่ต้องเสียเวลาขอ
      ถาม:  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   การกระทำที่เป็นเจตนาดีมันไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ไม่รู้ทางวัดโน้นเขาจะยินดีเท่าไหร่นะ เพราะว่าตัวเจ้าอาวาสองค์เก่า พระครูอุไร พระครูวิหารกิจจานุยุต เป็นลูกศิษย์ที่หลวงพ่อท่านบวชให้ ขอให้หลวงพ่อแวะไปวัดบ้าง เพื่อที่จะได้สงเคราะห์วัดเก่าบ้าง หลวงพ่อท่านก็ว่า วัดนั้นน่ะ จริง ๆ แล้วท่านไม่อยากไปหรอก เพราะว่าพวกบรรดามัคทายัก มันกินวัดประจำแหละ
              แต่คราวนี้ลูกศิษย์ขอร้องท่านก็ไป ประมาณปี ๒๕๒๗ หลวงพ่อท่านก็ไปวัดบางนมโค ญาติโยมก็ตามไปทำบุญเยอะ ปรากฏว่าได้เงิน ๒๕๐,๐๐๐ กว่าบาท หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ให้ทำเป็นมูลนิธิฯเพื่อการศึกษา ๒๕๐,๐๐๐ บาท แล้วส่วนที่เหลือก็เอาไว้ใช้จ่ายในวัด หลังจากนั้นไม่นานปรากฏว่า เขาไม่ได้ทำตามที่หลวงพ่อต้องการคือประเภททำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามคำสั่งครูบาอาจารย์ พอหลวงพ่อท่านทราบข่าวท่านก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็เลิกคบกัน เป็นอันว่าวัดนั้นท่านก็เลิกไป เขาก็ตามมานิมนต์อยู่ตั้งหลายครั้ง แต่หลวงพ่อท่านก็บอกแล้ว ถ้าหากไม่เชื่อกันก็ไม่รู้จะไปช่วยทำไม
              ในบรรดาวัดสายครูบาอาจารย์สายหลวงปู่ปานทั้งหมด ตั้งแต่วัดน้อยของหลวงพ่อเนียมก็ดี วัดน้ำเต้าของหลวงพ่อสังข์ก็ดี วัดบางปลาหมอของหลวงพ่อสุ่น วัดบางนมโคของหลวงปู่ปาน วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อจง รู้สึกจะมีวัดบางปลาหมอหลวงพ่อสุ่นเท่านั้นที่เป็นหลักฐานเจริญใหญ่โตขึ้นมาภายหลังได้ เพราะว่าหลวงพ่อสุ่นก็เป็นอาจารย์ของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำด้วย ทางด้านวัดปากน้ำเขาก็เลยไปช่วยบูรณะให้
              ส่วนวัดอื่น ๆ ถ้าหากว่าไม่มีพระที่เอาทางด้านนี้อยู่ ส่วนใหญ่สภาพก็โทรมจนดูไม่ได้ทั้งนั้น ยิ่งวัดบางนมโคยิ่งแล้วใหญ่เลย เราไปทีหนึ่งนี่ต้องปีนเจดีย์ขึ้นไปดึงต้นโพธิ์ต้นหญ้าลงมาที ทนดูไม่ได้ แต่มันอยู่ของมันได้ทุกวัน รอบโบสถ์นี่ขยะคงหลายคันรถเลย ไม่ได้เก็บกันหรอก เวลามีงานวัด เขาให้เช่าที่วัดเพื่อตั้งร้านค้า ค้าขายกันอย่างเดียวจริง ๆ ชนิดแทบไม่มีที่ให้คนเดิน
              หลวงพ่อเคยบอกว่า แม่ตะเคียนกับแม่สะตือที่เป็นนางไม้ ที่ช่วยกันมาตั้งแต่สมัยหลวงปู่ปานยังอยู่ ท่านบอกว่าถ้าให้ความเคารพฉันเสียหน่อย เขาต้องการเงินเท่าไหร่ฉันก็หาให้ได้ แต่คราวนี้เขาไม่ให้ความเคารพกันเลย ก็เลยไม่รู้จะช่วยไปทำไม ท่านก็รอวันหมดอายุก็ไปของท่านเหมือนกัน คือมันเกินไป มันตั้งร้านก๋วยเตี๋ยวรอบต้นไม้ไม่พอ น้ำก๋วยเตี๋ยวเหลือมันก็ราดลงโคนนั้นน่ะ อย่าว่าแต่เทวดาที่รักความสะอาดเลย เราแค่เห็นก็ยังสยดสยองแล้ว รอบ ๆ โบสถ์นี่ขยะเป็นตันเลย จริง ๆ คือที่อื่นมันไม่มีที่จะทิ้งมันแน่นไปหมด มันไปทิ้งไว้ข้างโบสถ์