ถาม:  หลวงพ่อฤๅษี พูดถึงหลวงปู่มั่นว่าอย่างไรบ้าง ?
      ตอบ:   ไม่เคยได้ยิน
      ถาม:  ไม่ได้กล่าวถึงเลยหรือครับ ?
      ตอบ:   ไม่มีใครถามถึง เพราะไม่มีใครสงสัย รู้อย่างเดียวว่าหลวงปู่มั่นท่านสร้างพระเป็นพระ ส่วนหลวงพ่อเรางานหนักกว่า หลวงพ่อสร้างคนเป็นพระ หนักกว่าเยอะ สร้างพระเป็นพระ ถ้าหากว่าตั้งใจดี ท่านมีศีลเป็นเครื่องคุ้มอยู่แล้ว ก็เหลือแต่ว่าจะปฏิบัติได้เท่าไหร่เท่านั้น
              ส่วนหลวงพ่อสร้างคนเป็นพระ โอ้โห! คนแปลว่ายุ่งอยู่แล้ว สมัยนั้นบางองค์ได้เห็นหลวงปู่มั่นแค่แวบเดียว มาสมัยนี้ครูบาอาจารย์เป็นหลักชัยให้แก่ญาติโยมจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ตอนที่หลวงปู่มั่นไม่สบายท่านนั่งรถไฟไปรักษาตัวที่เมืองอุบล เขาไปรอกันที่สถานีรถไฟ ถึงเวลารถไฟผ่านมาก็พนมมือไหว้หลวงปู่ ๆ ก็โผล่หน้าไปที่หน้าต่าง เออ! ตั้งใจปฏิบัติกันเน้อ นั่นแหละทั้งชีวิตได้ฟังคำสอนแค่นั้น ของเรานี่มันเฟ้อเกินไป
              สมัยนั้นต้องเดินเท้าข้ามกันทีละหลาย ๆ จังหวัดกว่าจะได้พบครูบาอาจารย์ ของเรานี่มันกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารและก็ไม่เห็นคุณค่าของข้าวสารเสียด้วย
              หลวงพ่อวิริยังค์เล่าให้ฟังว่า ตอนสมัยที่ท่านเป็นเณร ถึงเวลาพระก็จะไปถามข้อธรรมคำสอนกับหลวงปู่ ท่านเองท่านก็อยากได้ข้อธรรมเพื่อปฏิบัติบ้าง ท่านมีหน้าที่ต้มน้ำ ใช้หม้อดินต้มน้ำทิ้งไว้ พอหลวงปู่เริ่มเทศน์ เสียงหลวงปู่เบามาก ก็ย่องไปใต้ถุนกับเพื่อนเณร ๒-๓ องค์ เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ พอยิ่งฟังก็ยิ่งดื่มด่ำ เพราะว่าธรรมะที่แท้จริงจะลึกซึ้งมาก อัศจรรย์มาก องค์ไหนปฏิบัติอย่างไรก็อธิบายให้ครูบาอาจารย์ฟัง ท่านก็จะแก้ไขให้เป็นฉาก ๆ ไป ฟังเพลินหันมาอีกทีน้ำที่ต้มไว้แห้งหมดหม้อ หม้อดินโดนเผาจนทะลุ ทุกคนไม่ต้องทำอะไรแล้ว ช็อคกันตาตั้ง งานนี้โดนตีตายแน่เลย หลวงปู่ดุขนาดไหนก็รู้
              ปรากฏว่าหลวงปู่ทำเฉยไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ทำอะไรเลย คือคนที่รู้ผิด และที่ผิดเพราะว่าเจตนาจะฟังธรรม ท่านรู้ท่านก็เลยไม่ได้ลงโทษอะไร แล้วคิดดูว่าหลวงพ่อวิริยังค์สร้างเจดีย์สูงที่สุดของประเทศไทย สมัยนั้นเป็นแค่เณร โอกาสจะฟังธรรมโดยตรงยังไม่มีต้องคอยรับใช้พระ
              สมัยปัจจุบันนี้ ถ้าสมัยนั้นก็เหลือหลวงตาบัวองค์เดียวที่เป็นพระ นอกนั้นก็เป็นเณรและมาบวชพระทีหลัง หรือไม่ก็เป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์อีกทีหนึ่ง
      ถาม:  ตอนนี้มีกี่องค์คะ ?
      ตอบ:   ไม่ทราบจ้ะ ต้องถามท่านดู เพราะที่เหลือ ๆ น้อยมาก ตอนนั้นหลวงตาบัวน่าจะได้สัก ๘ พรรษา อยู่เป็นหลักที่นั่น นึกเอาก็แล้วกันหลวงปู่มั่นสร้างพระเป็นพระ แล้วสมัยนี้กระแสเริ่มบางลง เริ่มจางลง เนื่องจากครูบาอาจารย์ที่ทันหลวงปู่มั่นน้อยลงทุกที และขณะเดียวกันถ้าหากเป็นสายหลวงพ่อก็ค่อย ๆ โตขึ้น เริ่มอายุมากขึ้น คนรู้จักมากขึ้น ก็เลยเหมือนกับว่าอันหนึ่งพอเริ่มลด คลื่นลูกแรกพอเริ่มถอยกำลังลง คลื่นลูกต่อไปก็ดันขึ้นมาพอดี ถ้าหากเป็นผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมกันจริง ๆ ก็ยังมีครูบาอาจารย์ไม่ว่าสายไหนก็ตามก็คือลูกศิษย์พระพุทธเจ้าด้วยกันนั่นแหละ ธรรมะก็มี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เพียงแต่จะถนัดส่วนไหนมาเท่านั้นเอง
              ถ้าหากว่าเป็นผู้ปฏิบัติตั้งใจจริง นักปฏิบัติสมัยนี้ก็เยอะ ฆราวาสที่มีความสามารถก็มาก ยังเป็นผู้ที่โชคดีอยู่ ส่วนประเภทจนป่านนี้ก็ยังไม่ดูดำดูดี วัดวาอารามหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่เคยไป ยิ่งนานไปกระแสทางโลกยิ่งเร็วขึ้น ๆ ถ้าอยู่ในท่ามกลางกระแสนั้นความสับสนวุ่นวายก็จะมากขึ้น โอกาสที่จะใช้สติ สมาธิ เพื่อเอาตัวให้รอดก็น้อยลงไปทุกวัน เราต้องเริ่มวางรากฐานตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่อย่างนั้นเสร็จเขาหมด สังเกตว่าเด็กสมัยใหม่นี้สมาธิสั้นกันนั้นทั้งนั้น ทุกอย่างเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ดูหนังสมัยก่อนถ้าไม่ชอบก็ไปปิดสมัยนี้กดรีโมทเปลี่ยนเอา ๆ
      ถาม:  เมื่อก่อนปิดมากก็ไม่ได้ มีแค่ ๒ ช่อง
      ตอบ:   สงสารเด็กสมัยนี้มาก ถ้าหากว่าผิดท่าผิดทางไป สาหัสแน่นอน
      ถาม:  ไม่นานมานี้ได้ยินลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่นพูดว่า อายุพระศาสนาของหลวงปู่มั่นมีอยู่ ๑๐๐ ปี กำลังจะสิ้นสุดแล้ว
      ตอบ:   ดู ๆ แล้วถือว่ากระแสเริ่มจางลง เพราะว่าส่วนใหญ่ที่เหลือคือ หลานศิษย์ เหลนศิษย์แล้ว
      ถาม:  หลวงพี่เคยพบหลวงปู่เทพโลกอุดรไหมครับ ?
      ตอบ:   ไล่ท่านไม่ทันจ้ะ ท่านไปวัดท่าซุง ๓-๔ ครั้งด้วยกัน
      ถาม:  ท่านไม่เคยมาสงเคราะห์หลวงพี่บ้างหรือครับ ?
      ตอบ:   ไม่เคย เพราะว่าหลวงปู่เอางานเดียวก็คือ งานสงเคราะห์บริวารของท่านเอง ใครเป็นคนของท่านถึงวาระท่านจะไปสงเคราะห์เขาเอง ส่วนใหญ่จะไปสอนในเรื่องอภิญญาสมาบัติ และต่อด้วยวิปัสสนาญาณ เพราะว่าท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน แล้วอยู่ ๆ ก็เลี้ยวมาเป็นสาวกภูมิกะทันหัน ลูกศิษย์ตามไม่ทัน บริวารตามไม่ทัน ท่านก็เลยต้องอธิษฐานตัวเองให้อยู่จนเป็นกัปป์เพื่อที่จะเก็บคนของท่านเอง
      ถาม:  องค์อื่นถ้าเกิดบารมีจะทำได้ไหมครับ ?
      ตอบ:   ได้ แต่ว่าคนที่ถึงขนาดนั้น ถ้าหากไม่มีงานใครเขาอยากจะอยู่กัน อยู่วันก็ทุกข์วันหนึ่ง อยู่ปีก็ทุกข์ปีหนึ่ง
      ถาม:  แต่ท่านไม่ได้อยู่ด้วยขันธ์ ?
      ตอบ:   อยู่ด้วยร่างกายมนุษย์นี่แหละ นี่คือตัวอย่างที่ชัดที่สุด ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้มีความชำนาญในอิทธิบาทและอธิษฐานร่างกายให้อยู่เป็นกัปป์ก็ได้ เสร็จแล้วพระอานนท์ก็ไม่ได้ระแวง พระพุทธเจ้าก็บอกว่าปวาลเจดีย์ก็ดี ฉัพพัณตรเจดีย์ก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ ๆ สำคัญ สมควรที่จะอธิษฐานร่างกายเพื่อให้อยู่ทั้งนั้น พระอานนท์ก็ไม่ได้ทูลอาราธนาให้อยู่ต่อ
              จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสเปรียบว่า ถ้าหากเป็นเกวียนเก่าออดแอด คานก็ผุ ดุมก็หลวม ควรที่จะเปลี่ยนเกวียนใหม่ดีกว่า พระองค์เลยตัดสินปลงอายุสังขารไปเลย พอปลงอายุสังขารก็เกิดแผ่นดินไหว โดยธรรมชาติหากแผ่นดินไหว พระพุทธเจ้าบอกว่าเกิดด้วยเหตุ ๘ ประการด้วยกันคือ
              ๑. ลมกำเริบ ก็คือ การเคลื่อนไหวของพื้นดินใต้โลก เพราะว่าพื้นดินใต้โลกเป็นหินละลายร้อน ๆ ถึงเวลากลายเป็นไอขึ้นมาสะสม มากเข้า ๆ ไม่มีที่ไปก็ดันฝาช่องขึ้นมา ดันทีหนึ่งพื้นใต้โลกก็เคลื่อนไหวขึ้นมาเป็นแผ่นดินไหว ภาษาบาลีเรียกว่า “ลมกำเริบ”
              ๒. ผู้มีฤทธิ์บันดาล ผู้ได้อภิญญาสมาบัติต้องการให้แผ่นดินไหวอย่างไรก็ได้ อย่างเช่นพระอุปคุตทำให้ดู พอท่านทำแล้วพระเจ้าอโศกมหาราชก็กล่าวว่า จะเชื่อได้อย่างไรว่าเกิดด้วยฤทธิ์ของท่าน อาจจะบังเอิญพอดีก็ได้ พระอุปคุตบอกว่า ถ้าเช่นนั้นให้พระเจ้าอโศกมหาราชตักน้ำมาหนึ่งขัน แล้วเดี๋ยวจะให้ไหว เสร็จแล้วแผ่นดินก็ไหว น้ำในขันก็ไหวจริง ๆ ท่านก็เลยยอม นั่นเกิดจากผู้มีฤทธิ์บันดาล
              ๓. พระโพธิสัตว์จุติลงสู่พระครรภ์ ตัดสินว่าจะเกิดเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว วันที่เข้าสู่พระครรภ์มารดาก็เกิดแผ่นดินไหว
              ๔. พระโพธิสัตว์ประสูติ ก็เกิดแผ่นดินไหว
              ๕. พระโพธิสัตว์ตรัสรู้ ก็เกิดแผ่นดินไหว
              ๖. พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา ก็เกิดแผ่นดินไหว
              ๗. พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร ก็เกิดแผ่นดินไหว
              ๘. พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็เกิดแผ่นดินไหว
              พอเกิดแผ่นดินไหว ท่านใช้คำว่า ไหวจนถึงน้ำที่รองแผ่นดิน แสดงว่าลงลึกมาก พระอานนท์ก็เลยทูลถามว่า แผ่นดินไหวเพราะเหตุใด พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ปลงอายุสังขารแล้ว พระอานนท์กราบทูลให้อยู่ต่อ อธิษฐานร่างกายอยู่ได้ไม่ใช่หรือ ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ทันแล้ว เพราะว่าอธิษฐานคือตั้งใจไปแล้ว รับอาราธนาของพญามารไปแล้ว
      ถาม:  เสียดาย ไม่งั้นจะได้พบ
      ตอบ:   อย่างพวกเรานี้ถ้าได้พบก็เอ้อระเหยลอยชายต่อไป หนูตกถังข้าวสาร ไม่รู้คุณค่าของข้าวสาร มันเยอะเกินไป ต้องใช้ความพยายามไขว่คว้าเอาหน่อย
      ถาม:  ในเมื่อมีดีอย่างนี้แล้ว หลวงปู่เทพโลกอุดรอุตส่าห์โปรดบริวารของท่าน ทำไมหลวงพ่อเราไม่อยู่โปรดบ้าง ?
      ตอบ:   โปรดไปก็เท่านั้น ถ้าลูกทำตัวน่ารักก็น่าอยู่สงเคราะห์หรอก แต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่ทำอย่างกับมันจะอยู่ค้ำฟ้าไม่รู้จักตาย แทนที่จะเร่งรัดปฏิบัติก็ประมาท ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง แล้วก็ทิ้งมากกว่าทำเสียด้วย ถ้ายังอยู่ต่อไปก็จะยังประมาทเหมือนเดิม อย่าลืมว่าตอนนั้นแต่ละคนล้วนแล้วแต่คิดว่าหลวงพ่อจะอยู่เป็นร้อยปีทั้งนั้น ไม่ได้คิดว่าหลวงพ่อจะตายด้วยก็เลยประมาทไปกันใหญ่
              สมัยอยู่ที่วัดท่าซุงนั้นไม่เคยไว้วางใจเลยว่าหลวงพ่อจะอยู่ได้ วันไหนที่เกิดฝนฟ้าผิดปกติจะรีบลุกขึ้นมานั่งกรรมฐาน กลางดึกกลางดื่นอย่างไรก็เอา เพื่อที่จะดูว่าหลวงพ่อท่านไปหรือยัง
              ชายาพระอินทร์ในความหมายก็คือ เมียแบบมนุษย์ ส่วนบาทบริจาริกา หรือบรรดานางฟ้าเหมือนกับเครื่องประดับบารมี มันคนละเรื่องกับเมียเลยนะ พวกนั้นจะมีเป็นแสน ๆ ก็มีไป แบบเดียวกับเทวดา นางฟ้า มีเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ผู้ที่เป็นเทพบุตร เทพธิดา มีไม่มาก เพราะคำว่า เทพบุตร เทพธิดา คือผู้ที่ไปเกิดอยู่บนตักเขา
              อันนั้นเป็นเทพบุตร เทพธิดา คือเป็นลูกของเขา ถ้าเกิดอยู่ในเขตของวิมานก็เป็นบริวารของวิมานนั้น เหมือนกับเป็นเครื่องประดับที่แสดงออกซึ่งบุญบารมีของท่าน ถ้าหากปัจจุบันก็มีองค์เดียว องค์ที่มีชายา ๔ องค์นั้นตรัสรู้ไปแล้วจ้ะ
      ถาม:  ..................................
      ตอบ:   นั่นแหละ หลวงปู่ศุข มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่า หลวงปู่ศุขมาหาเป็นเทวดาอยู่ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี คือ สวรรค์ชั้นที่ ๖ ชั้นสูงสุดของสวรรค์ ท่านบอกว่าความจริงแล้วท่านต้องไปเกิดเป็นพรหมแต่ไปไม่ได้ เพราะห่วงลูกอมวิเศษของท่านอยู่ ลูกอมนี้ท่านได้มาจากเขาสามร้อยยอดที่ประจวบคีรีขันธ์ ท่านบอกว่าคืนหนึ่งที่ท่านทำกรรมฐานอยู่ มีเทวดามาบอกว่าถ้าอยากได้ลูกอมวิเศษให้ไปที่เขาสามร้อยยอด และก็ซื้อปลาไปทอดที่นั่น จะมีคนมาขอกิน และคนไหนคลุมหัวมาไม่ได้เห็นหน้าเห็นตามาขอปลา บอกมันว่าเอาลูกอมวิเศษมากแลก ท่านก็อุตส่าห์ซื้อปลาหอบหิ้วกระทะเข้าป่า ไปตั้งกระทะทอด ปรากฏว่ามีมาจริง ๆ ท่านบอกมันเป็นผี พอถึงเวลามันอยากกินปลามากเลย ทอดแล้วปลาคงกลิ่นถูกใจ บอกให้ลูกอมวิเศษมาแลกมันก็ยอมแลก
              พอหลวงปู่ศุขได้ลูกอมวิเศษมาจากที่เทวดาบอกแล้ว จะประเภทล่องหนหายตัวได้ เดินบนน้ำ ดำดินอะไรก็ได้ ท่านก็เลยตั้งใจว่าพอฉันเช้าเสร็จก็จะออกเดินจากเขาสามร้อยยอดที่ประจวบ กลับไปถึงวัดปากคลองมะขามเฒ่าทันเพล
              สมัยนี้รถยนต์ยังวิ่งไม่ทันเพลเลย ประจวบถึงชัยนาทนะจ๊ะ วิ่งกันเช้ายันค่ำ แล้วคราวนี้คนเรือคนแรกที่พบท่าน เขาเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ศุขพอไปถึงริมน้ำก็เรียกเขาให้รับข้ามฝั่ง พอพายไปถึงกลางน้ำ หลวงปู่บอก ร้อนโว้ย ลงน้ำดีกว่าแล้วก็ตุ๊บลงน้ำไปเลย คนเรือคิดว่าหลวงปู่ตกน้ำหรือเปล่า รีบพายเรือขึ้นฝั่ง ปรากฏว่าหลวงปู่ไปนั่งรออยู่บนท่าน้ำตั้งนานแล้ว แสดงว่าจะเดินบนน้ำ เดินใต้น้ำได้ทั้งนั้น เสร็จแล้วหลวงปู่ก็บอกหลวงพ่อว่าเพราะไอ้ลูกอมนี่แหละ ทั้ง ๆ ที่ท่านได้ฤทธิ์ได้อภิญญาขนาดนั้นน่าจะไปเกิดเป็นพรหม ไปไม่ได้ อยู่ได้แค่ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเท่านั้น และบอกหลวงพ่อว่าลูกอมอยู่ข้างเจดีย์พร้อมกับทองอีก ๒๐ บาท ฝังรวมกันไว้ให้หลวงพ่อไปขุดมาเพื่อใช้ประโยชน์ แล้วหลวงปู่ท่านจะไปเป็นพรหมเสียที ไปอย่างนั้นจิตมันผูกอยู่ไปไม่ได้ หลวงพ่อก็บอกว่า ในเมื่อหลวงปู่ยังติดอยู่แค่นั้น แล้วเรื่องอะไรผมจะเอาล่ะ หลวงปู่ศุขตื้ออ้อนวอนเท่าไหร่หลวงพ่อก็ไม่รับ คืนต่อไปหลวงปู่ศุขมาใหม่พาหลวงปู่ปานมาด้วย ให้หลวงปู่ปานเป็นคนขอร้อง เจอคำสั่งครูบาอาจารย์เข้า บอกว่ารับของเขาหน่อยสิ เขาจะได้ไปได้
              อย่าลืมว่าพระโพธิสัตว์เป็นเพื่อนกัน ถ้าหลวงปู่ศุขไม่ใช่พระโพธิสัตว์คงไม่ไปตามหลวงปู่ปานมาหรอก รับของเขาหน่อยสิ เขาจะได้ไปเป็นพรหมได้สบายหน่อย หลวงพ่อท่านก็บอกว่าก็ขนาดหลวงปู่ยังติดอยู่แค่นั้น แล้วผมจะรับทำไมขอรับ หลวงปู่ปานท่านก็แนะนำว่า แกก็อย่าโง่มากสิ ตั้งใจว่าสิ่งนั้นเราขอรับมาแล้วถวายเป็นของสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องไปขุดอะไรหรอก ทิ้งไว้อยู่ที่นั่นแหละ หลวงพ่อบอกว่าอย่างนั้นก็ได้ ผมรับแล้วนะ แล้วจะตั้งใจถวายเป็นของสงฆ์ในพระพุทธศาสนา หลวงปู่ศุขท่านก็โมทนาแล้วก็ไปเป็นพรหม เป็นเดี๋ยวนั้นเลย บอกว่าจากชุดเทวดาเปลี่ยนเป็นพรหมเลย กลายเป็นแก้วแกมทอง สวยแพรวพราวไปหมด บอกขอบอกขอบใจเสร็จเรียบร้อยก็ไปเลย ประเภทเข็ดมานานแล้ว เสร็จแล้วหลวงพ่อบอกว่าพวกแกจะเอาไหมข้าจะบอกให้ไปขุด ปรากฏว่ามีพระหลายรูปบอกเอาครับ หลวงพ่อท่านบอกว่าขุดแล้วก็อยู่ตรงนั้นเลยนะ จากที่เอาครับก็เลยไม่มีใครเอา ท่านบอกฝังไม่ลึกหรอกประมาณศอกเดียวเอง ใครลองไปขุดก็ได้เจดีย์วัดโน้นไม่ใหญ่เท่าไหร่ ต่อให้ขุดรอบเจดีย์ก็ไม่เหนื่อยเท่าไหร่หรอก
      ถาม:  แสดงว่าหลวงปู่ศุขยังไม่ได้รับคำพยากรณ์ ?
      ตอบ:   ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะว่าพระโพธิสัตว์ ถ้าหากว่าท่านไม่อยู่ชั้นดุสิต ท่านก็ไปอยู่บนพรหมเลย เวลาของพรหมเร็วกว่า ไปอยู่แป๊บ ๆ ก็ได้ลงมาเกิดแล้ว ที่เร็วกว่าจริง ๆ ก็คือ เวลาของพรหมช้ามากจนเวลาโลกมนุษย์มันผ่านไปเร็ว ท่านก็อยู่ข้างบนแป๊บเดียว ข้างล่างผ่านไปเร็วเหลือเกินแล้ว
              เรื่องลูกอมวิเศษ สมัยเด็ก ๆ มีโยมคนหนึ่งก็ได้ลูกแก้ววิเศษมาจากต้นกล้วยตานี โยมคนนี้แกเชื่อเรื่องผีตานี ในสมัยก่อนเขาต้องไปหักล้างถางพงจับจองที่ดิน เท่ากับไปถางป่าดี ๆ นี่เอง แกไปเจอต้นกล้วยตานีอยู่ในเขตที่จับจองของแก แกก็ไม่ไปโค่นไม่ฟัน เขาก็ดูแลอย่างดี ชนิดที่เรียกว่าไม่มาขีดกั้นรั้วกั้นเขต มีอยู่คืนหนึ่ง แกใช้คำว่าฝันนะ เห็นนางตานีมาบอกว่า นางตานีหมดอายุแล้วจะไปเกิดแล้ว มีของดีอยู่อย่างหนึ่ง และเห็นว่าคน ๆ นี้มีศีลมีธรรม เป็นผู้มีสัจจบารมี และที่สำคัญก็คือให้ความเคารพแก ก็เลยบอกว่าจะทิ้งของสิ่งนั้นเอาไว้ให้ เป็นของดีเอาไว้ป้องกันตัวนะ ไปหาดูเอาเถอะอยู่ที่ต้นกล้วยนั้น
              และรุ่งเช้าแกก็ไปเห็นต้นกล้วยมันออกหัวปลี กล้วยออกปลีมันจะเป็นเครือแล้วใช่ไหม ถ้าหากลูกมันแก่แล้วต้นมันจะตาย แสดงว่าเขาจะหมดอายุจริง ๆ แกหาจนทั่วก็ไม่เจอ แกก็คิดว่าน่าจะอยู่ในปลีกล้วย แต่เห็นว่ากล้วยกำลังออกเครืออยู่ แกก็เลยใจเย็นรอไว้หน่อย เพราะว่ากล้วยตกเครือไม่นานหรอก ไม่นานเขาใช้คำว่าสุด สุดก็คือ หมดหวีกล้วยแล้วจะเหลือแต่หัวปลี พอสุดแล้วก็ไปขอตัดเขามา แล้วผ่าดูข้างในเจอลูกแก้วอยู่ลูกหนึ่ง เป็นลูกแก้วสีเหลืองจางมน ๆ แกบอกว่าแกเอามาบูชาไว้ วันดีคืนดีเปล่งแสงสว่างได้เหมือนกัน ตั้งแต่ได้แก้วนั้นมาไม่ว่าจะทำอะไรก็คล่องตัวไปหมด บางทีไร่ของคนอื่นเขาโดนสัตว์ป่าลงทำลายพืชผลบ้าง แต่ของแกปลอดภัยทุกที ก็เลยกลายเป็นว่าถึงเวลาของคนอื่นโดนทำลายของแกอยู่ได้ ตัวเองก็ไม่ลำบากแล้วที่เหลือก็ขาย กลายเป็นดูฐานะดีกว่าคนอื่นเขา ตอนนั้นเขาใช้คำว่า แก้ววิเศษ เด็ก ๆ ของเราเองได้ยินแล้วอยากได้นัก
      ถาม:  สังเกตดูพระเครื่องที่ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ทำ มีความนิยมต่างกันอย่างของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต มีความนิยมสูง ซื้อขายกันในราคาแพง ของครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อเคยพูดไว้ว่า เป็นพระสุปฏิปันโน เวลาผ่านไป ๒๐ ปี ก็ยังเงียบ ๆ อยู่ไม่มีความนิยมก็มี มีอะไรเป็นเครื่องวัด ?
      ตอบ:   ตอนนั้นสมเด็จวัดระฆัง หรือวัดบางขุนพรหมวัดเกศไชโยก็ดี ที่หลวงพ่อโตทำไว้ราคาหลายล้าน พระที่หลวงปู่ปานทำไว้ราคาหลายแสน ถ้าท่านที่ต้องการจริง ๆ สู้เป็นล้านเหมือนกัน พระหลวงพ่อวัดปากน้ำราคาหลายแสน ถ้าหากว่าเป็นรุ่นสวย ๆ รุ่น ๑ ด้วยเป็นล้านเหมือนกัน
              นี่ยกตัวอย่างแค่ ๓ องค์ แล้วทำไมของคนอื่นไม่ได้อย่างนั้นเพราะว่า ทั้ง ๓ องค์นี้ท่านรู้จักพระพุทธเจ้า ในเมื่อรู้จักพระพุทธเจ้า อาราธนาพระพุทธเจ้าช่วยทำพิธีให้ อานุภาพกว้างขวางกว่าของคนอื่นเขามาก คุณประโยชน์เห็นได้ชัดเจนกว่าคนอื่นเขามาก เกิดความนิยมในท้องตลาดขึ้นมาก็เลยราคาสูงกว่าของคนอื่นเขา แต่ในขณะเดียวกันครูบาอาจารย์สายอื่นท่านไม่รู้จักพระพุทธเจ้าโดยตรง ส่วนใหญ่ใช้สมาธิสมาบัติที่ท่านเองฝึกได้ทำขึ้นมา ไม่ได้รับความนิยมมากขนาดนั้น ถามว่ามีอะไรแตกต่าง ก็ต้องบอกว่า ท่านที่ว่ามานี้ท่านรู้จักพระพุทธเจ้า ในเมื่อรู้จักพระพุทธเจ้า เชิญพระพุทธเจ้ามาทำให้ได้ผลก็เกิดมากกว่าคนอื่นเขา
      ถาม:  ถ้าอย่างนั้น ผู้ที่สร้างพระสายลำพูน พระรอด ก็เป็นผู้ที่รู้จักพระพุทธเจ้าด้วย ?
      ตอบ:   ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าเองด้วย
      ถาม:  ฤๅษีวาสุเทพนี้หรือครับ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์หรือครับ ?
      ตอบ:   เป็นพระโพธิสัตว์จ้ะ เขาว่าอย่างนั้น
      ถาม:  เป็นครูบาวงษ์หรือครับ หลวงพี่เชื่อไหมครับ ?
      ตอบ:   เชื่อด้วย เขาว่าอย่างนั้นอาตมาก็เชื่อด้วย เรื่องของกำลังใจของตัวเอง ถ้าอภิญญาสมาบัติคล่องขนาดไหนก็ตามจะจำกัดด้วยเวลา ไม่เหมือนกับอาราธนาพระมาทำให้ วัตถุมงคลของท่านที่ใช้อภิญญาสมาบัติของท่านกำกับเอา หลวงปู่ปาน ท่านให้หลวงพ่อเล็กเอาไปเสกอยู่ ๓ เดือนเต็ม ๆ ช่วงระหว่างพรรษาทุกคืน ถึงเวลายกมาหา หลวงปู่ปาน บอกว่าใช้ไม่ได้ ท่านก็แบกหน้าเหี่ยว ๆ กลับไปทำใหม่
              คราวนี้ถ้าเสกขนาดนี้ใช้ไม่ได้ เลิกแล้วโว้ย จุดธูปอาราธนาพระพุทธเจ้าเสร็จเรียบร้อย พอพระพุทธเจ้าบอกพอแล้ว ก็แบกไปหาหลวงปู่ปาน ท่านบอก เออ! มันต้องอย่างนี้สิ ตกลงเหนื่อยฟรีไปเท่าไหร่ ๘๙ วัน ลักษณะอย่างนั้น เพราะว่าการใช้กำลังของสมาธิสมาบัติ หลวงปู่ปานบอกว่ามันจำกัดด้วยระยะเวลา อาจจะต้องอธิษฐานไว้ว่า ๕๐ ปี ๑๐๐ ปี ๕๐๐ ปี ต้องกำกับด้วยอภิญญาไว้อย่างนั้น อานุภาพจะคงอยู่ได้แค่ช่วงนั้น
              แต่ถ้าหากเป็นการอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้ามา ถึงวาระพอพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมทั้งหลายเทวดาทั้งหมดก็ต้องมา พระพุทธเจ้าก็จะขอให้ท้าวสหัมบดีพรหมและ พระอินทร์ช่วยจัดเทวดาเพื่อรักษาวัตถุมงคลแต่ละชิ้น ไม่ต้องห่วงหรอก เทวดาชั้นต่ำ ๆ อายุของท่านเกินเราไปหลายเท่า แล้วเทวดาก็มากเหลือเกิน ต่อให้สร้างเป็นร้อย ๆ ล้านท่านก็มีครบพอที่จะดูแลได้ ในเมื่อพระพุทธเจ้าช่วยสงเคราะห์ มีพรหม เทวดา กำกับวัตถุมงคลแต่ละชิ้นให้ก็เลยกลายเป็นว่า ของจะมีคุณภาพ ในขณะเดียวกันถ้าไม่เกินวิสัยท่านก็จะสงเคราะห์ให้เต็มที่
              ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยพบมาก่อนเลย ในครูบาอาจารย์องค์อื่น แต่ว่าหลวงพ่อโต วัดระฆังก็ดีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคก็ดี ท่านให้พรเอาไว้ ท่านบอกว่า พระเครื่องของท่านจะแท้ จะเทียม จะใหม่ จะเก่าอย่างไรก็ตาม ถ้านึกถึงท่านอานุภาพเท่ากันหมด ท่านให้ขนาดนี้เลยนะ
              และที่เห็นชัด ๆ เลยก็มีนายทหาร ยศนาวาอากาศโทท่านหนึ่งอยากได้ของหลวงพ่อโต วัดระฆังมาก จนกระทั่งไปเจอเอาที่เซียนทำหลอกไว้ ถึงขนาดวิ่งไปเอากันที่เหนือยันลำพูน ยันเชียงใหม่กันโน่นในราคา ๖๐,๐๐๐ บาท ซึ่งราคาไม่สูงพอสู้ได้แกก็เอา แกก็เชื่อว่าเซียนตาถึงจริง ต้องไม่เก๊ ไม่รู้หรอกว่าเซียนมันทำไว้แหกตก แล้วก็เอาไปให้พรรคพวกของมันที่โน่นไกล ๆ หน่อย จะได้ไม่สงสัยมาถึงตัวมัน พอคุณนาวาโทแกไปได้พระมาแล้ว ขากลับก็กลับมาด้วยกัน ขับรถมารถคว่ำ อีตาเซียนที่หลอกเขาคอหักตาย ตัวคุณนาวาโทแกไม่เป็นอะไรเลย แล้วแกก็เที่ยวพูดกับเพื่อนกับฝูงว่า เพราะเขามีของดีแล้วเขารักษาไม่อยู่ แกได้มาแกก็เลยไม่เป็นอะไร ไอ้คนรู้ยังงี้ขนหัวลุก
              เห็นชัด ๆ เลยที่ท่านบอกว่า ถ้านึกถึงท่านอานุภาพเท่ากัน ส่วนของหลวงปู่ปานนี่ อาตมาเคยทำไว้ชุดหนึ่ง ไปในตลาดพระแล้วเห็นรุ่นที่เขาเรียกว่า รุ่นย้อนยุค เขาใช้คอมพิวเตอร์ถอดบล็อกมา ทำซะเหมือนเลย เราเองก็ เออ! สบายดีโว้ย จัดแจงเหมามาเลย มาถึงก็เอามาทำแล้วใช้ตามแบบหลวงพ่อก็คือบวงสรวงอาราธนาบารมีพระท่านสงเคราะห์ คนเอาไปใช้บอกว่าอานุภาพเหมือนกับที่หลวงพ่อเคยบอกไว้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะถอนพิษสัตว์อะไรได้หมด ก็บอกแล้วว่าถ้าหากเรานึกถึงท่านอานุภาพเท่ากัน จะเก่าจะใหม่ จะจริง จะเทียมท่านไม่ว่า ก็ได้ยินแค่สององค์นี้เท่านั้นแหละ ที่ท่านอนุญาตไว้ ท่านบอกว่าให้พรไว้เลย