ช่วงแรกของเล่ม "จารชนในสายฝน"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมกราคม ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ...(ไม่ชัด)...
      ตอบ:   ปกติแล้ว เรื่องของการพยากรณ์มรรคผล จะเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าองค์เดียว คราวนี้อันไหนที่กล้าพูด คือได้ยินจากหลวงพ่อ ท่านช่วยยืนยันให้แล้ว ในเมื่อหลวงพ่อท่านช่วยยืนยันให้แล้ว ก็แปลว่าบอกได้ แต่ถ้าให้พูดเองไม่พูดหรอก เพราะโอกาสพลาดมันเยอะ เราไม่รู้รอบเหมือนพระพุทธเจ้า
              เพราะฉะนั้นขอยืนยันว่า พระเจ้าตากสินไปนิพพานแล้ว ก็เลยไม่ใช่คุณตากสินคนนี้ รู้ไหม ทำไมคำว่า ตากสิน ภาษาอังกฤษที่เขาเขียน พม่าเขาอ่านว่าตากสิน จริง ๆ คือพม่านี่ ตัว t จะออกเสียง ต หมด เราไปถึงเขาบอกว่านายตากสิน ก็ยังงง ๆ ใครหว่านึกอยู่ตั้งนาน
              เพราะฉะนั้นเขาก็เป็นนายตากสินของพม่า ไม่ใช่เป็นพระเจ้าตากสิน พม่านี่เขาสารพัดจะทำ ตอนที่นายกทักษิณไป เพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้พม่าเขาจะเรียกว่าล้าหลังก็ได้ คือมัวแต่มาเล่นไสยศาสตร์อะไรกันอยู่ นายกไทยไป พูดง่าย ๆ คือว่าตั้งแต่แรกเริ่มจนกระทั่งจบนี่ อยู่ใต้การทำไสยศาสตร์เขาตลอดทุกรูปแบบ ไม่ว่าอาหารการกิน ไม่ว่าที่หลับที่นอน กระทั่งอะไรยัดอยู่ใต้หมอนนี่ใส่ไว้เพียบเลย ต้นไม้เอาไปให้ปลูก เขาเอาต้นอโศกให้ปลูก ที่บ้านเราเรียกว่าต้นโศก ก็ต้นโศกนี่ใบมันลู่ ๆ อยู่ในลักษณะว่าไปอ่อนน้อมค้อมหัวให้กับเขาอะไรยังงั้น มันเล่นทำทุกรูปแบบ เสียดายเราดันไปอยู่ที่นั่นพอดี พอไปอยู่พอดีก็เลยเห็นความสนุกของเขา คัน ๆ มือขึ้นมา เราก็เล่นสนุกของเราบ้าง
      ถาม:  แล้วหลวงปู่ทวดล่ะครับ ?
      ตอบ:   หลวงปู่ทวด สมัยอาตมา หลวงปู่ทวดท่านตามสงเคราะห์อยู่ ยิ่งข้ามไปทางพม่า อย่างกับเขตของท่าน ท่านรับหน้าที่ไปเลย
      ถาม:  ท่านยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ:   เอ้า พระโพธิสัตว์ก็พระโพธิสัตว์ ง่ายดี
      ถาม:  ขยายต่อได้ไหมครับ?
      ตอบ:   แค่นั้นพอ พูดมากเดี๋ยวผิด ก็ไม่มีอะไรหรอก มีอยู่เที่ยวหนึ่งไปปักษ์ใต้ ไปแล้วสลดใจ ตรงที่ว่าอย่างวัดต้นเลียบ ที่เป็นบ้านเกิดของท่าน ต้นเลียบต้นใหญ่ ๆ ที่เขาฝังรกของท่านตอนเด็ก ๆ เอาไว้ก็ยังอยู่ นั่นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก แล้วที่สำคัญคือเจ้าอาวาส คือหลวงตาเนียร ทางด้านโน้นเขาเรียกหลวงตาว่าตาหลวง ตาหลวงจำเนียร ท่านมรณภาพแล้วไม่เน่า เขาก็เก็บใส่โลงเอาไว้ แต่ปรากฏว่าวัดนั้นไม่มีพระอยู่ เพราะว่ากรรมการมันช่วยกันกินวัดจนไม่มีใครอยู่ได้ ของเรานี่ขอให้มันมีสักอย่างหนึ่ง จะทำให้มันดังให้มันดีขนาดไหนก็ได้ ของเขามีตั้ง ๒ อย่าง แต่ทำไม่ได้
              ส่วนใหญ่พอไปก็จะต้อนให้ไปซื้อวัตถุมงคลกัน นักท่องเที่ยวก็จะรำคาญ เพราะส่วนใหญ่ก็จะไปด้วยความเคารพในองค์หลวงปู่ท่าน คราวนี้แค่นั้นก็ยังไม่เท่าไหร่ ก็ไปวัดพะโคะ วัดพะโคะนี่หลวงปู่ท่านบูรณะในสมัยที่เขาตั้งท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่อยุธยา แล้วท่านก็ขอทุนพระเจ้าแผ่นดินไปบูรณะขึ้นมา มีกระทั่งรอยเท้าของหลวงปู่ ท่านเหยียบเอาไว้ให้ และที่สำคัญแก้วจักรพรรดิคู่บารมีหลวงปู่ก็อยู่ที่นี่ แต่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญเลย
              ส่วนใหญ่ไปก็ต้อนให้ไปซื้อวัตถุมงคล เราเห็นแล้วรำคาญ ไปถึงกราบ ๆ หลวงปู่ครับ ขอแก้วผมได้ไหม ? ท่านบอกจะเอาหรือ ? เอาครับ ผมไม่ขอไปทั้งลูกหรอก ผมขอแค่อานุภาพของแก้วก็พอ ท่านบอกว่าได้ พอท่านบอกว่าได้ เราก็อาราธนามาใส่พระของเราเสร็จเรียบร้อย กราบงาม ๆ ๓ ที เดินขึ้นรถไปแน่บ ที่เหลือก็ยกเปลือกให้เขาไป ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ตามสงเคราะห์ตลอด บางทีป่วยไปไม่ไหว ท่านก็ช่วยค้ำประคองซ้ายประคองขวาไปจนได้นั่นแหละ คือของดีขนาดนั้นถ้ามีอยู่จะเป็นแก้วจักรพรรดิคู่บารมีท่านก็ดี หรือว่าจะเป็นเจดีย์ที่ท่านสร้างก็ดี กระทั่งรอยบาทที่ท่านประทับเอาไว้ก็ดี ให้มีสักอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ถ้าเป็นเราถือเป็นต้นทุนมหาศาล จะทำให้ดี จะทำให้ดังขนาดไหน ทำได้ทั้งนั้น แต่เขาไม่ค่อยใส่ใจ
      ถาม:  แล้วอานุภาพ แบ่งให้ลูกศิษย์ต่อได้ไหมครับ ?
      ตอบ:   ถ้าเวลาพุทธาภิเษกหรืออะไร ก็จะขอให้ท่านช่วย พอขอบารมีของท่าน ขออานุภาพแก้วจักรพรรดิมา ก็โดนย้ายไปอยู่วัดท่าขนุน ตั้งแต่นั้นมางานท่วมหัวเลย รับอะไรไม่รับ รับของอย่างนั้นมา พระเจ้าจักรพรรดินี่ เขาต้องสงเคราะห์คนทั้งโลก ของเราแค่สงเคราะห์พระไม่กี่วัดเองเกือบตาย ก็ทุกวันที่ทำอยู่เหมือนกับสร้างเมืองทั้งเมือง และสิ่งที่เราทำคนอื่นเขาไม่กล้าทำ เขากลัวว่าเงินมันจะช็อต แต่ของเรานี่ไม่ได้กลัวเลย
              เพราะว่าอันดับแรกก็แก้วมณีรัตนของหลวงพ่อใช่ไหม ก็แก้วจักรพรรดิดี ๆ นี่เอง แล้วนี่ยังมาของหลวงปู่ซ้ำเข้าไปอีกรอบหนึ่ง ๒ เด้งขนาดนี้ ไม่ต้องไปกลัว เราจะทำอะไรทำไปเถอะ อาจารย์สมพงษ์นี่ นั่งตัวเกร็งเลย เราจ่ายเงินแต่ละงวด พอกฐินจบปั๊บ อาจารย์สมพงษ์คว้าเงินมาทั้งหมดเลย อาจารย์นิมนต์ครับ กฐินมันได้เงินมาสองแสนหนึ่งหมื่นกว่าบาท พอรับเงินกฐินมาวันนั้น เราก็จ่ายไปวันนั้น ๒ แสนกว่า ๆ พอขยับไปอีก ๑๐ วัน ก็จ่ายไปอีก ๒ แสนกว่า อาจารย์สมพงษ์บอก ถ้าเป็นผมเป็นลมไปแล้ว
      ถาม:  ............................................
      ตอบ:   ถ้าถามอันนี้ใช้คำว่า เพิ่มปัญญา และต้องขยันด้วย ไม่ใช่เอะอะก็จะให้แต่พระช่วย ถ้าเป็นสายของวัดสุทัศน์ จะใช้คาถาสุนทรีวาณีจะทำให้เกิดความแตกฉานในสิ่งที่เรียน ถ้าตามสายของหลวงพ่อเราจะใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์
      ถาม:  ถ้าพระธาตุเสด็จ จะมีแสงไหมคะ ?
      ตอบ:   มีจ๊ะ สว่างมาก บอกไม่ถูกว่าสว่างขนาดไหน สว่างชนิดที่กลางคืนอ่านหนังสือสบายเลย
      ถาม:  ถ้าเกิดว่าไม่สว่างขนาดนั้น เป็นสีแดงล่ะคะ ?
      ตอบ:   พระธาตุส่วนใหญ่ท่านจะสว่าง ถ้าหากว่าไม่ขาวก็จะออกนวล ๆ ไปทางสีฟ้าหรือสีเขียวนะจ๊ะ ถ้าหากเป็นพวกสีแดง อาจจะเป็นพวกทรัพย์ใต้ดิน
      ถาม:  แต่ไปสว่างที่เกศาหลวงปู่ต่าง ๆ และก็มีพระบรมสารีริกธาตุค่ะ
      ตอบ:   อันนี้ไม่มั่นใจจ๊ะ แต่พระธาตุเสด็จเท่าที่พบส่วนใหญ่จะเป็นขาวสว่างนวล หรือไม่ก็ออกสีเขียว ฟ้า ๆ อย่างนั้นคือจะสว่างมาก แต่ว่าจะมีประกายสีเขียว สีฟ้า ให้เรารู้เหมือนกัน สีฟ้าอ่อน สีเขียวอ่อน ๆ
      ถาม:  อันนี้แดงเหมือนบั้งไฟพญานาค แต่อันเล็กกว่า
      ตอบ:   ไม่มั่นใจเหมือนกัน ต้องดูเอง ตอนที่เห็นพระธาตุเสด็จนั้น ก็กำลังนั่งกรรมฐานอยู่ครั้งแรก ตอนนั้นยังเป็นฆราวาสอยู่ ท่านมา โอ้โห! สว่างไปทั้งฟ้าเลยแล้วก็ลงวูบมาตรงหน้าหิ้งพระที่เรานั่งอยู่ แหม ! ดีใจแทบตายวิ่งไปเปิดตลับดู อ้าวไม่มี ดูไปดูมา อยู่ในตลับพี่ชาย คนนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็นแท้ ๆ มันได้ไป ของเรานั่งกรรมฐานแทบตายไม่ยักได้ ที่จำได้ เพราะว่าตอนที่ท่านลอยมาท่านแสดงลักษณะให้เห็นชัดเลยว่ามีรูปร่างลักษณะแบบไหน จำได้ว่าเหมือนกับเมล็ดข้าวสาร และมีรอยบิ่นอยู่หน่อยหนึ่ง พอไปเปิดดู อ้าว! อยู่ในกล่องของพี่ชาย เราก็อดไปตามระเบียบ
              แล้วได้ไปพุทธมณพลกันหรือยัง ? ถ้าไปให้ไปก็ให้ไปช่วงนี้ เอาช่วงที่ไม่ใช่วันหยุด เพราะว่าถ้าตรุษจีนหรือมาฆบูชาคนจะมาก แล้วหลังจากมาฆบูชาไม่นานก็จะกลับแล้ว
      ถาม:  ไปเขาตะเกียบ
      ตอบ:   พระครูวีระศักดิ์ ก็รู้จักสนิทกันดีจ้ะ แต่ว่าระยะหลังไม่ได้ไปมาหาสู่นานแล้ว เป็น ๑๐ ปีแล้ว รู้จักท่านตั้งแต่ยังเป็นฐานานุกรม ตอนนี้เป็นพระครูอะไรแล้วก็ไม่รู้ ท่านชื่อ วีระศักดิ์ ฉายา กิตฺติวโร ที่โน่นก็ใกล้ ๆ หลวงพี่นิภัทรอีกองค์หนึ่ง หลวงพี่นิภัทรท่านโทรศัพท์ไปบอกว่า
              ท่านเล็ก ผมเป็นโรคหัวใจสาหัส หมอที่เป็นเพื่อนของผม เขาบอกว่าผมอยู่ได้อีกเดือนครึ่งแค่นั้นเอง ตายแน่ ๆ หาอะไรสั่งเสี่ยซะหน่อย ผมต้องการให้คุณช่วยผม ถามว่าจะให้ช่วยอย่างไร ? ทำอย่างไรก็ได้ให้ผมอยู่จนงานเสร็จได้ไหม ? ถามว่าทำไมไม่ให้คนอื่นช่วยล่ะ ? ท่านบอกว่าผมมอง ๆ แล้ว ผมเชื่อมือท่านคนเดียว เลยบอกว่าเอาแค่งานเสร็จนะ ท่านบอกว่าได้ ก็ถามพระว่าได้ไหม พระบอกว่าได้ ได้ก็ตกลง ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้จะ ๕ เดือน ๖ เดือนแล้วยังไม่ตายซะทีเสร็จงานหรือยังก็ไม่รู้ หรือว่าทำช้า ๆ เรื่องอย่างนี้ถ้าถามพระก็รู้ ท่านจะบอกว่าอยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้ การที่อยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้นั้นเป็นเรื่องของท่านแล้ว ไม่ใช่เรื่องของเราใช่ไหม ? ถ้าท่านบอกว่าได้ ก็แปลว่าได้ ก็ยืนยันกับพี่เขาไปว่าได้แน่ อยู่แค่งานเสร็จ ไม่ได้ถามว่างานอะไร เพราะว่าแวะไปหาพี่นิภัทรทีไรเป็นอันว่าต้องควักกระเป๋าทุกที พี่เขาจะบอกบุญเก่งมาก
      ถามหลวงพ่อฤๅษีเคยพบ ครูบาศรีวิชัย ไหมครับ ?
      ตอบ:   เคยจ้ะ ท่านบอกว่าพระทองคำ ถ้าพระทองคำกับพระสุปฏิปันโนของหลวงพ่อก็เหมือนกันคือต้องเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริง ๆ ลูกศิษย์ของครูบาศรีวิชัยก็เหมือนกับหลวงปู่มั่นนั่นแหละ คือลูกศิษย์ทุกองค์นี่เป็นหลักเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ทั้งหมดเลย
              ล่าสุดก็หลวงปู่ครูบาวงษ์ที่เพิ่งมรณภาพไป รุ่นใหญ่เลยก็หลวงปู่ครูบาขาวปี รุ่นหลัง ๆ ก็หลวงปู่ครูบาบุญทืม หลวงปู่ครูบาพรหมจักร หลวงปู่คำแสนใหญ่ หลวงปู่คำแสนเล็ก หลวงปู่ครูบาชุ่ม วัดวังมุย หลวงปู่ครูบาธรรมชัย มาถึงรุ่นหลวงปู่ครูบาวงษ์ (หลวงปู่ครูบาวงษ์ สมัยนั้นป็นเณรเอง)
      ถาม:  หลวงปู่ครูบาขาวปี เท่าที่รู้ท่านไม่ได้บวชเป็นพระนี่ครับ ?
      ตอบ:   ก็นุ่งผ้าขาวนั่นแหละ พวกกะเหรี่ยงแทบจะเอาช้างแห่ไปเลย เพราะกะเหรี่ยงเขาถือว่าถ้าห่มผ้าขาวนี่ก็คือพระของเขา เขาเลยดีอกดีใจ ตุ๊นุ่งเหลืองนั่นตุ๊ของพวกเจ้า ตุ๊นุ่งขาวของพวกเฮาเอง ตกลงว่าท่านยิ่งสึกยิ่งสบาย แต่จริง ๆ คนมันไม่มีลูกตา
      ถาม:  แล้วอย่างนี้ถ้าท่านไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ท่านเป็นพระอริยะขึ้นมาในขั้นสูงสุดจนถึงมรณภาพ ?
      ตอบ:   สาหัส ก็ไม่มีปัญหานี่ มีใครสึกพระอรหันต์ได้ เปลี่ยนได้แต่เครื่องแต่งตัวของท่าน หลวงพ่อดาบสอีกองค์หนึ่ง หลวงปู่ครูบาขาวปีวันที่ทางการไปสึกท่าน ท่านอยู่ใต้ต้นไม้ที่แห้งตาย ท่านก็ตั้งสัจอธิษฐานว่า ถ้าหากว่าท่านไม่ได้เป็นผู้ผิดจริง ก็ขอให้เทพยดาฟ้าดินแสดงเหตุการณ์อะไรบางอย่างให้ปรากฏด้วยเถิด พอท่านถอดสังฆาฏิออกพาดใส่ต้นไม้แห้ง ต้นไม้แตกใบใหม่เดี๋ยวนั้นเลย
              ต้นไม้แตกใบใหม่นี่เคยเห็นคาตาอยู่ครั้งหนึ่ง ที่วัดท่าซุงประมาณปี ๒๕๒๘ ครั้งนั้นท่านปรีชาทรงธรรม พยากรณ์ฝากโยมมาให้หลวงพ่อ ท่านปรีชาทรงธรรม ก็คือ พระศรีอริยเมตไตรยท่านบอกว่า พอถึงปีนั้น วันนั้น เดือนนั้น ศูนย์โลกุตตรพลังจะหมุนไปอยู่ที่วัดท่าซุง ถ้าถึงวันนั้น เวลานั้น หากใครที่ตั้งใจในปริยัติ คือเล่าเรียนศึกษาธรรมปฏิบัติ คือ ตั้งใจปฏิบัติธรรม ปฏิเวธ คือ การใช้ผลที่เรียน หรือว่าผลที่ปฏิบัติมา จะมีผลมากเป็นพิเศษ
              วันนั้นเราก็ตั้งใจไปเพื่อรอดูว่าจะมีอะไรบ้าง ก็เห็นคาตาเลย ต้นโพธิ์ใหญ่ที่อยู่เยื้อง ๆ จุฬามณี นึกออกไหม ? ต้นที่อยู่ข้าง ๆ โรงไฟฟ้า ตอนนั้นโรงไฟฟ้ายังไม่มี ต้นโพธิ์ทิ้งใบหมดอย่างกับตายเหลือแค่ก้าน พอช่วยงานวัดเสร็จประมาณสี่โมงกว่า หลวงพ่อท่านมารับแขก เราก็กลับเตรียมตัวไปอาบน้ำ เมื่อเดินผ่านเห็นใบไม้มันค่อยแตกขึ้นมาอย่างกับที่เขาถ่ายหนังสารคดีอย่างนั้นเลย มันโผล่ขึ้นมาแล้วค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น ๆ จนกระทั่งกลายเป็นใบโตเต็มที่ของมัน เห็นคาตาภายในไม่กี่วินาที เห็นชัด ๆ เลยถึงได้มั่นใจว่าศูนย์โลกุตตรพลังหมุนไปถึงวันนั้น เวลานั้นจริง ๆ เพราะว่าขนาดต้นไม้แห้งยังสามารถแตกใบใหม่ให้เห็นได้ แต่ถึงว่าจะโตเต็มที่ก็ยังเป็นลักษณะใบอ่อนอยู่ตามโบราณเขาเรียกว่า เพสลาด คือจะอ่อนก็ไม่ใช่ จะแก่ก็ไม่เชิง เป็นใบใหญ่เต็มที่แล้วแต่ยังเห็นเค้าใบใหม่ ๆ อยู่ แตกให้เห็นต่อหน้าต่อตา
              ส่วนของหลวงปู่ครูบาขาวปีท่านก็อย่างนั้น พอท่านพาดสังฆาฏิไป มันก็แตกใบใหม่ แต่เขาก็จับท่านสึก
      ถาม:  แล้วที่หลวงพี่พูดถึงพระศรีอาริยเมตไตรย ท่านใช้ชื่อว่าอะไรนะครับ ?
      ตอบ:   ท่านปรีชาทรงธรรม ท่านใช้เวลาในเขียนจดหมายมาหาหลวงพ่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าติดแสตมป์อย่างไรจึงส่งถึง เวลาท่านฝากของ ฝากข้าวไปวัดท่าซุงก็ไปถึง เอากับท่านสิ
      ถาม:  แล้วมีที่อยู่ผู้ส่งไหมครับ ?
      ตอบ:   ไม่มี ท่านลงชื่อไปอย่างนั้น แต่หลวงพ่อท่านรู้ ท่านบอกว่านี่เป็นของพระศรีอาริยเมตไตรย แล้วหลวงพ่อท่านสร้างรูปพระศรีอริยเมตไตรยด้วยเหตุนี้แหละ เพราะว่าท่านช่วงสงเคราะห์วัดท่าซุงไว้เยอะมาก สงเคราะห์ไว้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ เลย
      ถาม:  หลวงพ่อฤๅษีบอกว่า หลวงปู่ครูบาวงษ์เป็นพระโพธิสัตว์หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ:   หลวงปู่ครูบาวงษ์เป็นพระโพธิสัตว์แน่นอน อีกประมาณ ๑,๐๐๐ ปี ท่านจะมาเกิดใหม่เพื่อบูรณะพระเจดีย์ชเวดากองใหม่
      ถาม:  ทำไมต้องสร้างเจดีย์ชเวดากองเหมือนพม่า ?
      ตอบ:   พระเจดีย์ชเวดากองเป็นเจดีย์ที่สำคัญมาก เนื่องจากว่าพระพุทธเจ้าในภัทรกัปทั้ง ๕ พระองค์ จะต้องมอบของใช้ หรือว่าพระธาตุส่วนใดส่วนหนึ่งเพื่อให้บรรจุไว้ที่นั่น ถ้าถามหลวงปู่ครูบาวงษ์ เจดีย์ชเวดากองตั้งอยู่กึ่งกลางของชมพูทวีป ศูนย์กลางพอดี
      ถาม:  เป็นเจดีย์องค์แรกที่พระพุทธเจ้าได้สร้างหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ:   พาณิชย์สองพี่น้องที่มีโอกาสถวายอาหารแด่พระพุทธเจ้า และปฏิญาณตนเข้าถึงพระรัตนตรัยเพียง ๒ เพราะตอนนั้นมีแต่พระพุทธกับพระธรรม ส่วนพระสงฆ์ยังไม่มี พระพุทธเจ้าเพิ่งมาตรัสรู้ใหม่ ๆ เรียกว่า ทเววาจิกะอุบาสก อุบาสกพูดถึงพระรัตนตรัยเพียง ๒ พระพุทธเจ้ารับอาหารแล้ว เขาขอของที่ระลึก พระพุทธเจ้าไม่มี ก็เลยมอบเกศาให้ไป ๘ เส้น พอเขากลับบ้านเมืองแล้วก็ไปสร้างเจดีย์ไว้บูชา เชื่อกันว่าสองพี่น้องสร้างเจดีย์ชเวดากอง
              สมัยโน้นเขาเรียกว่า เมืองสิงหคุตระ ก็พอ ๆ กับ เมืองสุนาปะรันตะปะ ก็คือสระบุรี ตักกศิลาก็คือกำแพงเพชร มิถิลา เวสาลี กาสีอยู่พม่า เดินทางไปถึงแล้วทุกเมืองชื่อเมืองก็ยังชื่ออย่างนั้น เวสาลี ก็คือ นาข้าวสาลี แต่บาลีเรียก เวสาลี หรือไพศาลี
      ถาม:  ครูบาศรีวิชัย เป็นพระ......?
      ตอบ:   ไม่ทราบ รู้แต่ว่าถ้าพระระดับนั้น ลูกศิษย์ของท่านเป็นที่พึ่งของคนได้ทั่วบ้านทั่วเมือง ถ้าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ก็ต้องเป็นอดีตพระโพธิสัตว์ คือลาพุทธภูมิแล้ว แบบเดียวกับหลวงปู่มั่น ซึ่งตอนแรกท่านก็บอกว่าท่านปรารถนาโพธิญาณเหมือนกัน แล้วก็ลา