ถาม:  พอขึ้นรถไป โห...เห็นพญามารจมหูเลย มันงัดรถเอียงไปข้างหนี่งแล้ว ถาม เฮ้ย ๆ ทำอะไรน่ะ ? เขาบอกว่า ไม่ว่ายังไง ๆ ก็จะไปให้ได้ใช้ไหม บอกเออ ! ฝีมือเอ็งใช่ไหม ? เขาบอกว่าใช่ เขาอยากลองดูว่าเราแน่แค่ไหน จะไปจริงหรือเปล่า หม้อลมเบรกระเบิด ซ่อมเสร็จ เกียร์หลุด ๒ ครั้ง ซ่อมเสร็จ คราวนี้จะคว่ำรถเลยนะ ก็เลยบอก คิดดูให้ดี ๆ นะ ต่อให้คว่ำรถไป อาตมาก็ไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ขู่มัน แต่คนอื่นเขาจะเดือดร้อนกันเยอะ โดยเฉพาะถ้าเขาตายกัน ถ้าเขาลงนรกเขาก็รอดมือเอ็งชั่วคราว ถ้าขึ้นสวรรค์ไปเป็นเทวดา เป็นพรหม ยิ่งสบายใหญ่ รอดเอ็งไปอีกนาน ตกลงเอ็งจะให้เขาอยู่กับเอ็งดี หรือว่าจะให้เขาไปดี มันคิดอยู่พักหนึ่ง เออ...ไปก็ได้ เราก็เห็นมันหายไป ก็นึกว่าสบายใจแล้ว ที่ไหนได้ พอมันหายไป ยางระเบิดตึ้มเลย ยังดีนะเป็นยางหลัง เพราะยางหลังมันมีคู่กันอยู่ จัดแจงลงไปถอดเปลี่ยนยางใหม่ จากปกติที่เคยไปถึงมัณฑะเลย์ประมาณ ๙ โมงเช้า กลายเป็น ๑๕.๓๐ น. ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงกำหนดการของเราได้ เพราะว่าที่เราเดินทางจะไม่เหมือนชาวบ้านเขาหรอก ของเราขอให้ไปให้ถึงได้ไปไหว้สถานที่ที่เราต้องการก็พอ ไม่มีการไปเที่ยว ไปเล่นกินลมชมวิวอะไรทั้งนั้น ไปถึงก็จองตั๋วรถขากลับไว้ก่อน ไปถึง ๑๕.๓๐ น. รถจะออก ๕ โมงเย็น
              คราวนี้ก็เช่าแท็กซี่ไปไหว้หลวงพ่อมหามุนี แวะไปหารู้จักเสร็จเรียบร้อย กลับมาขึ้นรถ ยังเหลืออีกตั้ง ๒๐ นาที แล้วเราก็กลับได้ ลักษณะนั้นไม่มีใครเชื่อหรอก ไปมัณฑะเลย์เขาไปกันทีครึ่งเดือน ของเราไปตั้ง ๔-๕ ที่เราไปแค่ ๕ วัน คือวันหนึ่งออกจากวัด แล้วรถออกกลางคืน ตรงไปย่างกุ้ง เช้าเราอยู่ย่างกุ้ง ทำธุระหาซื้อของ วัสดุสารพัด ซือ้เสร็จฝากรถ เขียนเลยว่าให้ไปส่งที่ไหน รถที่ผ่านทางสายนั้นจะรับไปส่งเอง ก็จ่ายไปให้ตามที่เขาเรียกว่าเท่าไหร่ ซึ่งดู ๆ แล้วถ้าเป็นบ้านเรา อาจโดนขายกลางทางเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่บ้านเขารับรองถึงทุกชิ้น คนของเขายังเหมือนบ้านนอกสมัยก่อนของเรา ใครอายุมากหน่อยจะเจอ
              สมัยก่อนรถไม่ค่อยมี จะเข้าเมืองแต่ละทีลำบาก เขาจะมีการฝากให้รถเอาไปขาย ฝากเอาไปให้คนโน้น ฝากเอาไปให้คนนี้ สมัยก่อนนี่เห็นโชเฟอร์รถเป็นพระเอกเลย เพราะว่าทุกอย่างเขารับหมด คราวนี้บ้านเขาปัจจุบนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ถึงเวลาไปต่างบ้านต่างเมือง ฝากข้าวของ เงินทองไปให้ญาติที่โน้น้ ไปให้โยมที่นี่ เราประสาทจะกิน ตัวเราเองมีย่ามใบเดียว แต่มีของอีกค่อนคันรถ เพราะว่าเขาฝากไป โดยเฉพาะฝากพระปลอดภัยแน่ ๆ เพราะว่าทหารเขาไม่ยึด เพราะบอกว่าของพระ
              จากที่นั่นก็มาพระธาตุอินทร์แขวน เราก็ต้องลงรถที่เมืองพะยาจี เพราะจากพระยาจีจะเข้าเมืองหงสาวดี แล้วจะเข้าย่างกุ้ง เราจะเสียระยะทางตั้ง ๖๒ ไมล์ แล้วจับรถสองแถวต่อไป ถึงพระธาตุอินทร์แขวนประมาณ ๔-๕ โมงเย็น ไปซื้อตั๋วขึ้นพระธาตุ เพราะว่าอีก ๘ ไมล์ ๘ ไมล์นี่ขั้นเขาอย่างเดียว เกือบ ๑๓ กิโลเมตร เราก็ไปนั่งรถ มีพระอีก ๒ องค์บอกที่ของผมครับ เราก็นั่งตาปริบ ๆ แล้วขายตั๋วให้กูทำไมวะ ! ก็เอาตั๋วให้มันดู ปรากฎว่านายท่าเขาลงทะเบียนรถผิดคันให้ เราก็เลยเสียจังหวะไปรอบหนึ่ง ขึ้นถึงพระธาตุเกือบค่ำ พอขึ้นไปเหลือไมล์สุดท้ายที่เขาไม่ให้รถขึ้น เราก็จัดแจงย่ำพรวด ๆ ขึ้นไปเป็นหมาหอบแดดอยู่ข้างบนโน้น ไหว้พระธาตุปิดทองเสร็จเรียบร้อย แล้วก็ลง ลงจนถึงข้างล่าง พวกที่ไปรถด้วยกันเขาเพิ่งจะขึ้น คือเขาเดินขึ้น ขาไม่แข็งอย่างเรา ค่อย ๆ เดินต้วมเตี้ยม ๆ ไปเรื่อย โดยเฉพาะฝรั่งเห็นเราลงมาแล้ว เขางงมากเลย มึงไปอีท่าไหนวะ ? ถึงแล้วหรือ ? คิดว่าเราเปลี่ยนใจกลางทางหรือเปล่าก็ไม่รู้ จากนั้นก็ลงมาหาที่พัก เราเป็นคนไทยเขาดูออก พวกโรงแรมค่าร้านค้าเช็ดเลย คือปกติเราพักโรงแรม เขาจะคิดเป็นดอลล่าร์ เขาจะได้เยอะ
              คราวนี้เราไปพักร้านค้าที่เป็นร้านอาหาร เขาจะมีที่พักให้ฟรี แต่มีข้อแม้ว่า อย่างน้อยต้องกินอหารของเขาหนึ่งมื้อ ซึ่งอาหารเขาไม่แพงใช่ไหม ลักษณะนี้ต่างประเทศเขามีเยอะ ประเภท B&B (Bed and Breakfast) นอนแล้วกินอาหารเช้าด้วย (หัวเราะ)
              คราวนี้พวกโรงแรมก็มาต่อว่า เพราะพวกเราไปทีไรเขาไม่ได้เงิน พวกร้านค้าเล็ก ๆ เขาได้หมด เพราะพวกเราไปมีเกวียนขี่เกวียน มีสองแถวไปสองแถว มีรถทัวร์ไปรถทัวร์ ไปอย่างนั้นมันหมดน้อย ถ้าหากว่าไปอย่างเป็นทาง ประเทศพม่านี่มีเงินหมื่น ไม่ต้องเข้าบ้านเขาหรอก เพราะไปถึงเขาบังคับแลกก่อนเลย ๓๐๐ ดอลล่าร์ หมื่นกว่าแล้วนะ ใช้ไม่หมดห้ามเอาออก (หัวเราะ) จะเข้าไปถ่ายรูป กล้องถ่ายรูปกล้องละ ๖ ดอลล่าร์ ถ้านำรถเยนต์เข้าไป เข้าได้ไม่เกิน ๑๘ วัน ค่าธรรมเนียมวันละ ๒๕ ดอลล่าร์ ต่อคัน มันกวาดเงินดอลล่าร์อย่างเดียว แล้วเงินพม่าที่แลกอย่างเป็นทางการ มันใช้ทั่วไปไม่ได้ มันจะเป็นเงินที่ทำพิเศษมาสำหรับใช้ในแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น ถึงเวลาพ่อค้า แม่ขายต้องเอาไปแลกกับธนาคารอีกทีหนึ่ง แล้วมันจะได้น้อย พม่ามันหมั่นไส้อเมริกา คุณแลก ๑ ดอลล่าร์อย่างเก่งก็ได้ ๕-๖ จั๊ต แต่เงินไทยแลกดอลล่าร์ได้เกือบ ๓๐ ตกลงไปพม่าภูมิใจมาก เงินไทยใหญ่กว่าดอลล่าร์เยอะเลย (หัวเราะ) ดอลล่าร์ในตลาดมืดนี่พันกว่านะ แต่ถ้าแลกเป็นทางการเขาให้คุณแค่ ๕-๖ จั๊ตแค่นั้น จะเอาหรือไม่เอา ถ้าอยากเข้าไปเที่ยวก็ต้องเอา มันไม่ง้อด้วย จากพระธาตุอินทร์แขวน
              พอรุ่งเช้าก็อย่างว่า รถออก ๗.๓๐ น. แต่ ๙.๓๐ น. รถยังไม่ออก เราก็วางแผนอย่างดิบดีเลย จากอินทร์แขวนวิ่งไปวัดหลวงพ่อตามะยะให้ทันเพลใช่ไหม ? เพราะว่าหลังเพลท่านจะรับแขก พอท่านรับแขกเรียบร้อย เราจะจับรถวิ่งกลับเมาะละแหม่ง แล้วก็เช่ารถกลับวัดหนองบัว
              ปรากฎว่ามันวิ่งไปถึงวัดหลวงพ่อตามะยะเกือบ ๔ โมงเย็น เสียแผนหมดเลย ก็เลยต้องยอมมัน ถึงเวลาก็ค้างซักคืนหนึ่ง ไปกราบหลวงพ่อท่านรอบ ๖ โมงเย็น เสร็จเรียบร้อยค้างคืน รุ่งเช้าก็ตีกลับแต่มืด คราวนี้ก็มาถึงวัดหนองบัว ปรากฎว่ามันทะแม่ง ๆ เพราะว่าช่วงระหว่างนั้นมันมีนิมิตแปลก ๆ นิมิตพวกนี้ไม่มีที่ดีกับเราเลย ก็แปลกใจ มารู้ความจริงทีหลัง คือ ตัวผู้ใหญ่บ้านที่หนองบัว เขาส่วนใหญ่สมัยก่อนเขากินวัด ต้องใช้คำว่า “กินวัด” คือหาผลประโยชน์จากวัด ตั้งแต่ครูบาน้อยไปอยู่ เขาหาผลประโยชน์ไม่ได้ เพราะว่าพวกนี้เขาซี้กับทหาร ถึงเวลาเขาก็ขออนุญาตทหารเพื่อทำไม้ได้ เขาก็เอาไม้มาเสนอให้เราเพื่อนำมาสร้างวัด คราวนี้ไม้ที่จะสร้างวัด ไม้มันใหม่ มันจะบิดจะแตก เราก็เลยไม่เอา พอเราไม่เอาไม้เขา เขาก็เปลี่ยนใหม่ ซื้อวัสดุก่อสร้างมาขาย ของเขาราคาถูกกว่า แต่เราก็ไม่ซื้อ เพราะเป็นของไม่มีคุณภาพ อย่างปูนถ้าเราซื้อปูนไทย ถุงหนึ่งก็ประมาณ ๓-๔ พันจั๊ตพม่า แต่เขาเอามาขายให้เราในระดับ ๒-๓ พันจั๊ตแค่นั้นเอง แต่เป็นปูนที่เปิดปากถุงแล้ว ปูนที่เปิดปากถุง คือเอาถุงปูนไทย แล้วไปโรงโม่ปูนพม่า โม่ปูนใส่ให้ ปูนที่เขาทำในลักษณะนั้น มันไม่เหนียว มันร่วน มันไม่เกาะตัว ในเมื่อมันไม่เกาะตัว ขนาดเราเอามาผสมน้ำแล้วปั้นทิ้งไว้ ๓ ชม.เคาะโป๊ะ แตกกระจายเลย ขืนเราเอาปูนแบบนั้นไปสร้างวัดก็บรรลัยเท่านั้นเอง ในเมื่อเราไม่ซื้อเขาซักอย่าง เขาก็หาผลประโยชน์อะไรไม่ได้
              ผู้ใหญ่บ้านคนนี้มีประวัติในทางไม่ดีมาเยอะ เคยกระทั่งให้ทหารจับลูกบ้านตัวเองไปเรียกค่าไถ่ แล้วแบ่งกันน่ะ คราวนี้วันนั้นนิมิตไม่ดีตั้งแต่เช้ามืดแล้ว จะมีปัญหากับผู้ใหญ่ พอทำวัตรเสร็จเพิ่งตี ๕ กว่า ๆ เห็นผู้ใหญ่เขาเตรียมตัวจะลงเรือ เราก็แปลกใจว่ามันจะไปไหนวะ ! ปกติอากาศหนาวแบบนี้ นอนหลับอุตุสบายใจกว่า แล้วมันจะไปไหน พอเห็นเข้าก็เลยนึกขึ้นมาได้ บอกครูบาน้อย บอกอยู่ไม่ได้ต้องไปแล้ว ปรากฎว่าเรามีทีมงานที่ดี เพราะว่าพอบอกว่าอยู่ไม่ได้ ครูบาน้อยก็จัดแจงต้มน้ำ ท่านเทก็ไปค้นมาม่ามา ท่านโมก็วิ่งไปตามเรือเลย ซดมาม่าเสร็จ ก็โดดลงเรือ โยมเขางงกันมากเลย บอกไปแล้วหรือ ? บอกไปแล้ว ขืนช้าอยู่ไม่ได้แน่ เรือจะไปส่งที่ท่าเรือสองแคว รถสองแถวที่สองแควเที่ยวแรกจะออก ๘.๓๐ น. เราไปถึง ๖ โมงกว่า ไม่รอสองแถว จ้างมอเตอร์ไซค์เลย ๓,๕๐๐ จั๊ตวิ่งไปส่งที่เมืองมุด่ง ข้ามเมืองไปแล้วนะ อย่าคิดว่าปลอดภัย มันวิทยุตามกันได้ พอข้ามไปก็หารถที่จะเดินทางมาด่านเจดีย์ ๓ องค์ ก็ไปจี้รถทะเบียนมอญ เพราะตอนขาไปรถคนรู้จักกันเขาทะเบียนพม่า แล้วพวกนี้เขาเดินทางไปไหน ขากลับถ้าเขากลับก็จะกลับรถคันเดิม
              เพราะฉะนั้นข่าวที่ส่งออกไปคือ พระไทยมาองค์เดียว แล้วก็เป็นรถทะเบียนกระเหรี่ยง ปรากฏว่าเราไปรถทะเบียนมอญ พอไปถึงเมืองตันบวยเซียทก็บอกให้รถหลบด่าน เพราะว่าเราไปบ่อย พอจะรู้ว่าซอกแซกไปทางไหนถึงไม่เจอด่าน หลบด่านโผล่ไปอีกมุมของเมืองรอดไปด่านที่หนึ่ง ใจคอไม่ค่อยดีเหมือนกัน กลัวมันจะดักทุกซอกทุกมุมแล้วไปไม่รอด พอออกจากเมืองตันบวยเซียทตรงมาจะมีทางสายหนึ่ง ทางสายนั้นจะเริ่มเข้าป่า เพื่อผ่านพื้นที่ป่าออกมา พื้นที่ตรงจุดนี้พวกกระเหรี่ยงคริสต์ยึดครองอยู่ เขาเรียกพวกทหารป่า พวกทหารป่าเป็นศัตรูกับรัฐบาล และพวกทหารป่านี่แหละคือพวกของผู้ใหญ่เขา ในเมื่อพวกทหารป่าเป็นพวกของผู้ใหญ่เขา พอไปถึงตันบวยเซียทเราก็เริ่มมองหาทาง
              แล้วในที่สุดก็เห็นมีพระอยู่ ๔-๕ องค์ เขาจะไปด่านเจดีย์ ๓ องค์ก็เลยชวนเขามาขึ้นรถ บอกว่ารถนี้เราเหมาไว้แล้ว ถ้าเขาจะไปเราคิดถูก ๆ เท่านั้น ก็เลยโดดแห่ขึ้นมาเพียบเลย พอเลี้ยวเข้าป่าปุ๊บ เจอเลยด่านแรกไม่เคยเจอมาก่อนเลย ทหารป่าจะอยู่ใกล้เมืองขนาดนี้ โผล่มา ๕ คนอาวุธเพียบเลย โผล่มาถึง ข่าวของเขาก็คือ พระไทย ๑ องค์ ไปกับรถทะเบียนกระเหรี่ยง นี่มันพระพม่า ๗-๘ องค์ แล้วก็รถทะเบียนมอญด้วย ก็เลยเรียกค่าคุ้มครองไป ๕๐๐ จั๊ต แล้วก็ปล่อยเราผ่าน ด่านที่สอง เจอแบบเดียวกันอีก ปกติถ้าหากว่ามันตรวจมันตรวจด่านเดียว พวกนี้มารยาทดี รถคันไหนที่มันตรวจแล้ว ก็แปลว่าจะวิทยุบอกพวกมันตลอดเส้นทาง จะไม่มีการตรวจซ้ำ คราวนี้ตรวจซ้ำ เราก็แหงละ ฝีมือผู้ใหญ่ชัวร์เลย เพราะผู้ใหญ่ต้องหาเราให้เจอ แต่อย่างว่าข่าวก็คือ พระไทยองค์หนึ่ง รถทะเบียนกระเหรี่ยงนี่ตั้ง ๗-๘ องค์ แล้วรถทะเบียนมอญด้วย ก็เลยเก็บอีก ๕๐๐ จั๊ต แล้วก็ปล่อยผ่าน เราก็วิ่งมาเรื่อย ๆ
              จนกระทั่งเลยบ้านตองซุนมา ตรงนั้นจะเป็นป่าใหญ่ รถมันก็ติด ก็ช่วยกันเข็น ช่วยกันลาก ไปถึงเจอรถหกล้อขวางทางอยู่ เราก็ตายหว่า! นี่กูต้องเข็นหกล้อด้วย หรือ? (หัวเราะ) ปรากฏว่าไม่ใช่หรอก ทหารมันปิดกลางป่าเลย ๕๐-๖๐ คัน ติดแถวยาวเป็นกิโลเลยแล้วมันก็เดินดูทีละคัน ๆ เพื่อหาพระไทยหนึ่งองค์ เนื่องจากว่าโดนเจ้านายด่าหูตูบมาทางวิทยุว่า ถ้าแค่นั้นมึงหาไม่ได้ก็ไปตายห่าซะ (หัวเราะ) มันตรวจแล้วตรวจอีก ก็หาไม่เจอ รถทะเบียนกระเหรี่ยง พระไทยองค์ จะเอาที่ไหนมา มีแต่พระทั้งคันรถ แล้วทะเบียนมอญด้วย เราก็อยู่ตรงนั้นแหละมันวิทยุตอบไป เจ้านายมันก็ด่าแม่มันอีก มันก็ย้อนกลับมาหาทีละคัน ๆ พอหาไม่ได้ มันก็รายงานเจ้านายมันใหม่ เพื่อให้โดนด่าอีก ไป ๆ มา ๆ จนเจ้านายมันเชื่อแน่ว่าไม่มี ในเมื่อไม่มี กักรถเอาไว้เยอะขนาดนี้เรียกค่าคุ้มครองมันซะเลย มันล่อคันละ ๕,๐๐๐ จั๊ต รวยไปเลยงานนั้น เราก็ไม่นึกว่าเราจะสร้างความร่ำ รวยให้มันได้เยอะขนาดนั้น
              อย่าลืมว่าอาตมามาสร้างวัดให้เขาไป ถ้าคิดเป็นเงินพม่านี่มัน ๔๐๐-๕๐๐ ล้านแล้วนะ มันจับอาตมาไปเรียกค่าไถ่ ดีกว่าขายวัสดุเยอะเลย อย่ามองโลกในแง่ดีภาษิตจีนเขาบอก "จิตใจทำร้ายคนไม่ควรมี แต่จิตใจระแวงคนไม่ควรละเลย" แล้วในที่สุดเราก็เผ่นข้ามด่านเจดีย์ ๓ องค์มา พอรุ่งขึ้นสั่งวัสดุก่อสร้างเรียบร้อย เปลี่ยนจีวรเป็นสีนี้กลับไปใหม่ เพราะว่าวันนั้นใส่จีวรพม่าจีวรพม่าแดงโร่เลย
              คราวนี้เอาสปอร์ตไรเดอร์กลับไป ขนวัสดุก่อสร้างเข้าพม่า ราคาอีกเกือบ ๓ ล้านพม่า ขนกลับไปว่าจ้างรถมันให้บรรทุกเสร็จเรียบร้อย เราก็กลับเมืองไทย จนป่านนี้มันยังงมอาตมาไม่เจอหรอก แล้วเดี๋ยวเดือนมีนาคมนี้ ฉลองวัดก็จะย้อนกลับไปอีก แล้วก็จะไปร่อนให้มันเห็นมันจะไม่กล้าทำอะไร เพราะงานฉลองวัดนี่ ทหารพม่าก็มา ทหารมอญก็มาทหารกระเหรี่ยงก็มา พวกทหารป่า พวกกระเหรี่ยงคริสต์จะไม่กล้า แล้วพองานเสร็จเราก็จะหายไปอีก มันหาไม่เจอหรอก คือมันเป็นเรื่องอะไรที่สนุกมากเลย พูดง่าย ๆ ว่าจะต้องกล้าเสี่ยงกับลูกปืนหน่อย
              เพราะว่าคราวที่แล้วก่อนเข้าพรรษา แหม...มันยิงกระจายเลย พระวัดอนังกวีนไปตกใจวิ่งหนีเลยโดนมันยิงเจ็บสาหัสไป ๒ องค์ ของเราโดนมันยิง ดินกระจายเต็มขาเลย เฉย ๆ คือของเราเคยชินกับเรื่องอย่างนี้ ความคิดของตัวเองก็คือว่าเราไม่หาเรื่องเขาก็นับเป็นบุญของเขา แต่ถ้าเขามาหาเรื่องเรามันก็ซวยก็เลยไม่คิดจะกลัว แล้วพวกนี้แปลก ถ้าเราไม่กลัวมันนี่ มันคิดว่าเราเส้นดีบ้านเมืองที่มีเส้นมีสาย แล้วใครเส้นใหญ่กว่า มันก็ดีเหมือนกัน ถ้าเรายิ่งกล้าเถียงมันนี่ มันยิ่งกลัว มันกลัวจะเจอเส้นใหญ่ มันไม่รู้หรอกว่าเราหน้าด้านไม่ได้เส้นใหญ่หรอก
              คราวที่แล้วที่โดนจับที่ย่างกุ้ง นายกทักษินเขาไปพอดีเราไปถ่ายรูปนายก มันคิดว่าเราเป็นสายสืบของไทย มันก็เลยจับ นั่งเถียงกับมันอยู่ ๒ ชม. แล้วมันก็โวยวาย ของเรามีหนังสือรับรองเป็นพระพม่าครูบาญานออกให้ มันก็อุตส่าห์ไปตามพระมา บอกว่าพระบวชตั้งนานขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่มีใบสุทธิอีก พระองค์นั้นท่านก็ว่าตามซื่อ คือพม่าแบ่งการปกครองออกเป็น ๗ รัฐ ๗ มณฑล รัฐ ก็คือ ชนกลุ่มน้อย อย่างรัฐมอญรัฐกระเหรี่ยง รัฐกะฉิ่น รัฐชีน รัฐยะไข่ ส่วนที่เป็นมณฑล หรือ ดิวิชั่น ของเขาก็จะเป็นพวกที่เจริญแล้ว อย่างมณฑลย่างกุ้ง มณฑลมัณฑะเลย์ เขาก็จะมาเล่นงานเราตรงที่ว่า บวชมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมยังไม่มีใบสุทธิอีกพระท่านก็ตอบตามซื่อว่า มันแล้วแต่นโยบายเจ้าคณะรัฐ หรือเจ้าคณะมณฑล บางคณะบางมณฑลนี่ พระบวชแล้วก็สึก ๆ ทำใบสุทธิไปให้ก็เสียเปล่า ก็จะรอให้ ๓-๕ พรรษาก่อน หรือแล้วแต่นโยบายของเขา พระท่านก็ตอบตามซื่อ แต่ว่ามันกลายเป็นดีกับเรา มันก็เอาใหม่อีก แล้วทำไมอายุป่านนี้แล้ว ทำไมพูดพม่าได้แค่นี้เอง ครูบาน้อยเขาบอก โอ๊ย...ที่บ้านเหรอมันไม่ค่อยจะพูดพม่ากันหรอก ไม่รู้มันเกลียดอะไรนักหนา พวกทหารพอได้ยินว่าเกลียดพม่า มันเลยเงียบไปเลย เพราะว่ามันรู้ว่าตัวเองทำไม่ดีมันเป็นเรื่องอะไรที่มันมาก ถ้าเรากล้าพูดกล้าเถียง เขาจะไม่กล้ายุ่งกับเราของเรามั่นใจว่าครูบาอาจารย์ดี ตรงนี้ต้องใช้คำว่าเชื่อดีนะ คือเชื่อว่าท่านคุ้มครอง รักษาเราได้ในทุกที่ ไม่ใช่อวดดีนะ เชื่อว่าดี เชื่อในความดีของพระรัตนตรัย
              ฉะนั้นไม่ว่าจะไปที่ไหน ไม่เห็นต้องไปหลบไปซ่อนที่ไหนเลยคนอื่นก่อนจะไปต้องไว้คิ้วซะยาว เราวันไปยังโกนซะเลี่ยนเลย แล้วอยู่พม่าก็โกนมันเรื่อย ไม่ได้ใส่ใจหรอก ระเบียบของเรามันเป็นอย่างนี้ แล้วงวดนี้ที่ไปสงสารคนหลายคน เพราะว่าของเราไปในลักษณะอาจารย์ใหญ่ที่ไปทำประโยชน์ให้เขา ควักเงินทีหลายๆ ร้อยล้านสร้างวัดให้ลูกศิษย์อย่างนี้ทั้งพระทั้งฆราวาสเขาอยากเจอ พระเขาอยากให้เราช่วย ฆราวาสเขาเห็นเราเป็นพระโพธิสัตว์ ในชีวิตนี้แค่ได้เห็นก็เป็นบุญแล้ว เขาก็จะสั่งเอาไว้เลยถ้าอาจารย์มาอย่าลืมบอกนะ จะได้ไปกราบ ปรากฏว่าคืนแรก ไปค้างที่วัดคะแลบ้านน้อย ตัวหลวงปู่เจ้าอาวาส เขาสั่งครูบาน้อยว่า ถ้าอาจารย์ไปอย่าลืมบอกนะ เขาจะได้ขอให้ช่วยสร้างศาลาซักหลังหนึ่ง อาตมานอนอยู่นั่นคืนหนึ่งเต็ม ๆ แถมกินข้าวไปอีกมื้อหนึ่ง ไม่รู้หรอก มันวาดรูปอาจารย์ใหญ่ต้องแก่งั่ก ไปค้างอยู่ที่นั่น เขาถามครูบาน้อยว่าเป็นใคร ครูบาน้อยก็บอกว่าเพื่อนพระมาจากไทย ก็ดูหลวงปู่แกงง ๆ นะ เพราะแกเห็นว่าเรานอนบนเตียง คือนอนบนเตียงนี่ต้องอาวุโส แกคิดว่าครูบาน้อยที่เป็นเจ้าอาวาสหนองบัวอาวุโสกว่า แกเห็นเราอาวุโสกว่าเลยมาถามพรรษาปรากฏว่าหลวงปู่ยังน้อยกว่าเรา ๑ พรรษา ก็เป็นอันว่ารอดตัวไป คราวนี้ตอนออกมาเดินไปหัวเราะไป ครูบาน้อยบอก ถ้าหลวงปู่เขารู้จะทำอย่างไรนะ บอกมี ๒ อย่าง อย่างแรกถ้าหากไม่เตะคุณกลิ้งอยู่ตรงนั้น ก็เลิกคบคุณไปเลย(หัวเราะ) ไม่รู้หรอก จนกว่าจะถึงวันฉลองวัด เพราะวันฉลองวัดเขานิมนต์พระแถวนั้นทุกวัดเลย วันที่ ๘-๑๒ มีนาคม
      ถาม :  มัณฑะเลย์นี่ เขาบอกว่าฝังคนทั้งเป็นไม่ใช่เหรอคะ?
      ตอบ:   ที่ไหน ๆ มันก็เหมือนกัน
      ถาม :  ที่ขุดหลุมใหญ่ฝังคนทั้งเป็น
      ตอบ:   ที่ฝังทั้งเป็นมันเกิดจากพระนางศุภยลัต ท่านจะทำลายพวกคู่แข่ง ก็เลยใช้วิธีจัดงานรื่นเริง ให้มีพวกหนัง พวกละคร เสียงสนั่นหวั่นไหวทางด้านโน้นก็แอบเอาคนไปฝัง จะแหกปากร้องยังไง ก็ไม่มีคนได้ยิน ครั้งแรกที่เข้าไปในวังมัณฑะเลย์ กระแสของมัน ดันเราชนิดหงายหลังไม่ให้เข้าก็เลยบอกกับเขาว่า นี่ข้ามชาติ ข้ามภพแล้วเจ้าประคุณเถอะ ที่มาตอนนี้ก็มาลักษณะของพระด้วย คือนั่นเป็นเมืองหลวงของเขา แล้วถ้าอยู่ ๆ มีศัตรูไปลอยชายอยู่ในเมืองหลวง แล้วเขาจำได้ด้วยนี่ เขาจะทำอย่างไร? ถึงเราบอกอย่างนั้นแล้ว เขาก็ยังไม่ยินดีต้อนรับ มันจะประเภทกระหนาบบีบเราแบนเลย ไปไหนทุกย่างก้าวก็ตามไปด้วยเพื่อเป็นการป้องกัน แต่อยู่ในลักษณะที่คนอื่นจะมองไม่เห็น พอเราเดินดูจนกระทั่งทั่ว ถ่ายรูปจนได้ตามความพอใจ พอออกพ้นปุ๊บ มันปล่อย เดินไม่เป็นเลย ใครไม่เคยต้องลองดูที่มีพลังมหาศาลเหมือนกับอยู่ใต้น้ำ เป็นสิบ ๆ เมตรแล้วอยู่ ๆ กลายเป็นออกที่โล่งไปเฉย ๆ ถ้าใครเดินเป็นนี่ยอดมนุษย์จริง ๆ ของเรานี่เดินไปยังงง ๆ เลยนี่กูเดินอย่างไรนี่ จากที่เคยใช้แรงขนาดนั้น เพื่อจะลากตัวเองไปมันกลายว่ามันเกินไป มันเหมือนกับว่าเราโถมใส่อะไรบางอย่าง แล้วอยู่ ๆ มันไม่มีไม่หัวทิ่มพื้นก็บุญแล้ว ลักษณะบีบเราเอาไว้ เพื่อที่จะไม่ให้เราไปทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อเขาในความคิดเขา พอเราออกพ้นเขตเขาก็ปล่อยมันเหมือนกับเราแบกของเป็นพัน ๆ กิโลแล้วมันหายวับไปเฉย ๆ
      ถาม :  มันเป็นคำอธิษฐาน หรือคะ?
      ตอบ:   ไม่ใช่หรอก ตัวพวกมันเลย มันเอาขนาดนั้น สุดยอดเลยเรื่องของความจิตที่มันจำ แต่ว่ามันยึดมั่นมากเกินไป ถึงไปไหนไม่รอด ขึ้นรถสองแถวคันหนึ่งเจ้าของรถเขาก็สั่งครูบาน้อย สั่งนักสั่งหนาว่า ถ้าหากครูบาจากเมืองไทยมาแล้วบอกนะ จะพาลูกพาเมียมากราบด้วยดูนั่งรถมันวันหนึ่งเต็ม ๆ เลย นั่งอยู่ติดกันด้วย เพราะว่ารถเขาเป็นคันเล็ก ๆ แล้วส่วนใหญ่จะให้พระนั่งหน้า ก็ ๒ องค์ก็นั่งเบียดกัน แล้วต้องนั่งคร่อมเกียร์ แล้วก็เบียดกับเขาด้วย เดี๋ยววันฉลองวัดก็รู้เองว่าอะไรจะเกิดขึ้น