ถาม:  ...........................?
      ตอบ :  ไม่ได้มันก็รั้งกันเอง มันก็ดิ้นอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมไปเสียที
              อันดับ ๒ ต้องไม่อยาก อยากที่ว่าเมื่อกี้เดินตรงเสาไปต่อไม่ได้จ้ะ ถึงเวลาให้วางความอยากนั้นเสีย ตั้งใจสบาย ๆ คิดว่าเรามีหน้าที่ภาวนา มันจะรู้ ไม่รู้ จะเห็น ไม่เห็น เป็นเรื่องของมัน ไม่เกี่ยวกับเรา
              อันดับต่อไป อย่าขี้สงสัย เรื่องของเทวดา เรื่องของพรหม เรื่องของนิพพาน เป็นของละเอียด เราไม่คุ้นชินกับมัน ในเมื่อเราไม่คุ้นชินกับมัน เราต้องเชื่ออารมณ์แรก แล้วยิ่งถ้าฝึกพร้อม ๆ กันหลายคน นี่พาเสียเยอะ เสียเยอะตรงที่ว่าเราขี้สงสัย
              สมมุติว่าโยมมาจากต่างจังหวัดคนมาทางเหนือ ผ่านเข้ามาทางรังสิต-ดอนเมือง-ลาดพร้าว อีกคนมาทางตะวันออก เข้ามาทางบางจาก-บางนา-พระโขนง อีกคนมาทางสายใต้ เข้ามาทางพุทธมณฑล ถึงกรุงเทพฯ เหมือนกันไหมล่ะ แต่เขาเห็นกรุงเทพฯ เหมือนกันไหม ไม่เหมือนหรอก
              คราวนี้เราเห็นไม่เหมือนเขา พอคนอื่นเขาตอบแล้วเรา เอ๊ะ! ทำไมไม่เหมือนเขา เรียบร้อยเจ๊งแล้วจ้ะ สวรรค์เอาแค่จตุมหาราชก็พอ ชั้นหนึ่งถ้าเปรียบโลกมนุษย์เรา ก็เหมือนกับเข่งใหญ่ ๆ ใบหนึ่ง ที่เราเหมือนส้มใบหนึ่งหย่อนลงไปเท่านั้นเอง ใหญ่ขนาดไหน นึกเอา เราเปรียบแค่กรุงเทพฯ เดียว เมืองเดียว
              เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่ไปที่เดียวกันจริง ๆ จะเห็นไม่เหมือนกัน และอีกอย่างหนึ่งเทวดาก็ดี ญาติโยมของเราที่เสียชีวิตไปแล้วอยู่ข้างบนก็ดี เห็นไม่เหมือนกัน หรือพระก็พระที่ท่านมาสงเคราะห์ ถ้าไม่ใช่องค์เดียวกันมา ก็คนละอย่างกัน ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่าขี้สงสัย รู้สึกอย่างไร ให้เชื่อตามนั้น ตอบตามนั้น
              ข้อสุดท้ายสำคัญมาก ต้องมั่นใจในตัวเอง ทำได้แล้ว กลับบ้านไปย้อนทวนบ่อย ๆ เจอมาเกิน ๙๙ เปอร์เซ็นต์ อยู่ต่อหน้าครูทำได้ ลับหลังไปไม่เป็น ขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้ามีแค่นี้ทำได้สบาย แต่ให้เข้าใจ เคล็ดลับอีกนิดหนึ่งว่า มโนมยิทธิ มะโน แปลว่า ห้วงนึกความคิด ความรู้สึก จะใช้คำว่าอะไรมันใช่ทั้งนั้น เรานึกถึงบ้าน เห็นไหมล่ะ เห็นชัดด้วย แต่เห็นด้วยตาหรือเปล่า ? ไม่ใช่ นั่นแหละมโน นึกถึงคนที่เรารักเห็นไหมล่ะ เห็นชัดมาก ใช่สายตาเห็นไหม ? ไม่ใช่ เราต้องเอาตรงจังหวะนั้นแหละ เรานึกถึงบ้าน นึกถึงคนที่เรารัก เราเห็นชัดมาก เพราะชินกับมัน แต่เรื่องของเทวดา เรื่องของพรหม เรื่องของนิพพาน เราไม่ชิน
              ดังนั้นเราต้องเชื่อความรู้สึกแรก แรก ๆ มันเหมือนกับปิดตาอยู่ในห้องมืด ๆ เขาส่งของมาชิ้นหนึ่งคลำไปคลำมาเดี๋ยวก็บอกได้ว่าอะไร พอคลำบ่อย ๆ พอคล่องตัวเข้า แตะปุ๊บก็รู้ว่าอะไร พอมันถึงตัวคล่องตัวนี้ ความมั่นใจจะเกิด เมื่อความมั่นใจเกิดปุ๊บ จิตมันนิ่งมันสงบ ไม่ตื่นเต้นแล้วเหมือนกับน้ำสงบ เราชะโงกหน้าเมื่อไหร่เห็นหน้าตัวเองเมื่อนั้น
              ตอนนี้ภาพจะเกิด พอภาพเกิด และด้วยความเคยชินก็คือเพ่งดู จะเอาให้ชัดกว่าเดิม เพ่งเมื่อไหร่หายเมื่อนั้นแหละจ้ะ มีจำนวนมากต่อมากด้วยกันติดอยู่ตรงนี้เยอะเหลือเกิน เพราะว่าจะไปเพ่งดูจิต เราต้องส่งไปถึงที่นั่นเราถึงเห็นภาพได้
      ถาม :  และอย่างที่เพ่งกสิณล่ะคะ ?
      ตอบ :  อันนั้นคนละอย่างกันจ้ะ อันนั้นของเขาพื้นฐานจากกสิณ แต่อันนี้มโนมยิทธิ จิตของเราต้องส่งไปถึงที่นั่น เราถึงจะเห็นภาพได้ ในเมื่อเราไปเพ่งคือเราใช้สายตา การนึกถึงตาคือนึกถึงตัว เป็นการดึงจิตกลับ ภาพมันจะหาย คนติดอยู่อย่างนี้นานหลายปีเหลือเกิน ประสาทจะกินเอา ทำไป ๆ มา ๆ หาย ๆ เราต้องทำใจให้สบาย ๆ ว่า จะเห็นหรือไม่ก็ตาม ก่อนหน้านี้เรารู้ถูกต้องอยู่แล้ว ถ้าทำใจอย่างนี้ได้ เห็นไม่เห็นช่างมัน เรามีหน้าที่ทำของเราอย่างเดียว จะเห็นภาพ เห็นได้ชัดเจน เห็นได้นาน แล้วกว่าจะข้ามมาถึงขั้นตอนนี้ได้ยากมาก ยากตรงที่เราหยุดความอยากรู้อยากเห็นตัวเองไม่ได้
              เคล็ดลับอีกข้อหนึ่งก็คือ กำลังใจของเราเร็วเหลือเกิน ไม่มีอะไรเร็วกว่าใจอีกแล้ว นึกถึงบ้านตอนนี้อยู่ที่บ้าน นึกถึงที่ทำงานตอนนี้อยู่ที่ทำงาน นึกถึงสวรรค์อยู่ที่สวรรค์ นึกถึงพรหมอยู่ที่พรหม นึกถึงพระนิพพานอยู่ที่พระนิพพาน ถ้าหากว่าเราเข้าใจตรงจุดนี้ ถ้าครูฝึกบอกว่าขอบารมีพระยกจิตของเราขึ้นสู่จุฬามณีเจดียสถาน ให้นึกเดี๋ยวนั้นว่าตรงหน้าของเราคือจุฬามณี คนที่ได้มโนมยิทธิหรือว่าได้อภิญญาเขาจะเห็นเราอยู่ตรงนั้นเลย แล้วกำหนดใจสบาย ๆ ขอบารมีพระช่วยสงเคราะห์ว่าจุฬามณีลักษณะเป็นอย่างไร ตอบตามครูว่าไปแค่นี้แหละ ไม่เห็นจะยาก ขอให้เชื่อความรู้แรกที่แว่บเข้ามา แต่อย่าเอ๊ะ! โยมสังเกต เอ๊ะ! เมื่อไหร่ผิดเมื่อนั้น พอเอ๊ะ! มันน่าจะเป็นอย่างนั้น มันน่าจะได้คำตอบใหม่ขึ้นมาทันที แล้วไอ้คำตอบใหม่พาเจ๊งทุกที พอย้อนทวนมาคำตอบเก่าของเราจะถูก เพราะฉะนั้นความรู้สึกแรกของเราสำคัญที่สุด จับจุดตรงนั้นให้ได้ ถ้าจับจุดตรงนั้นได้ เป็นเรื่องง่ายเลย
      ถาม :  ขอเล่าประสบการณ์ ๗-๘ ปีที่แล้ว มาที่บ้านสายลมครั้งแรกก็ไม่ได้อะไรกลับไป แล้วก็ไม่เข้าใจเหมือนกับไม่ได้มีครูให้ทำ เสร็จแล้วก็ไปเจอคนที่บ้านสายลม เขาบอกเดี๋ยวไปที่บ้านนะ ไปก็คุยกันแบบนี้ แล้วก็ให้ไปนั่งก็นั่ง แต่ว่าพอลงมาเขาก็มาหยุดตรงหน้ารูปหลวงพ่อ ก็มาเลยทันทีเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เห็น เราก็บอกว่าเอ๊ะ! ไม่ได้ขออะไรนี่ครับ ก็เลยไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้น แต่ก็คิดว่าน่าจะได้ ก็เลยไม่รู้จนถึงวันนี้ว่าที่เห็นภาพมันใช่หรือไม่ใช่ ก็เลยยังตั้งคำถามมาตลอด ๗-๘ ปีแล้วที่เห็น
      ตอบ :  ถ้าเรามั่นใจว่า อันนั้นเป็นพระพุทธเจ้าก็น้อมใจกราบได้เลย กราบอย่างไรก็ถึงท่านอยู่แล้ว
      ถาม :  ก็เลยพยายามหาคนที่ตอบได้ โอกาสที่จะไปหาคนที่ตอบคำถามแล้วก็คุยกันได้ และก็พูดภาษาเดียวกันก็มีคนรู้น้อย บางทีไปถามก็จะไม่ได้ให้คำตอบ ก็เลยติดคาใจเพราะว่าไม่ได้ทันหลวงพ่อ
      ตอบ :  อาตมาเองก็ไม่อยากจะมานั่งตอบตรงนี้ โดนบังคับให้มานั่งตอบ ถ้าวันไหนหนีได้ หนีสุดชีวิตเลย โยมคงไม่รู้หรอกว่าคนนั่งตั้งแต่ ๗ โมงเช้าจนถึง ๓ ทุ่ม มันทรมานขนาดไหน ลองนั่งแข่งกันไหม เอาแค่ ๒ ชั่วโมงก็แย่แล้ว ในเมื่อโดนจับมัดอยู่ตรงนี้ก็จำเป็น พ้นจากนี้ไม่ตอบใครเลย อยู่ที่วัดก็ไล่กลับ แล้วบางคนไปหาถึงวัด แล้วบอกว่าพระองค์นี้คบยากจังไปถึงวัดแล้วยังไม่รับแขกเลย อาตมาเข็ดแล้วจ้ะไอ้เรื่องนั่งรับ ฉะนั้นขอเดือนละครั้งเดียวก็พอ ๔ วัน
      ถาม :  แล้วบางทีภาพพระเลื่อน
      ตอบ :  อันนี้กำหนดใจตามท่านไปเลยจ้ะ นึกอยู่อย่างเดียวพระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ไหนนอกจากพระนิพพาน ท่านอยู่ที่ไหนเราก็อยู่ที่นั่น กำหนดใจตามไปได้เลย เพราะว่าบางทีท่านพาเราไปที่ไหนก็ได้
      ถาม :  หลวงพ่อคะ น้องเขาอยากจะถามชื่อเขาค่ะ
      ตอบ :  ชื่ออะไร ?
      ถาม :  จันทิมา แปลว่าอะไร ?
      ตอบ :  จันทิมาแปลว่าอะไร ก็เหมือนกับดวงจันทร์ไง อาจจะมีแบบบูด ๆ เบี้ยว ๆ เว้า ๆ แหว่ง ๆ บ้าง ก็เป็นปกติใช่ไหม อย่างนั้นถ้าหากเราไม่ได้ดี ๒๔ ชั่วโมง ว่าเราไม่ได้
      ถาม :  น้องเขาสงสัย เขาเห็นชื่อเขามีอยู่ในบทแผ่เมตตาด้วย
      ตอบ :  อ๋อ ! อันนั้นเขาหมายถึง พระจันทร์ แต่ว่า อิมินา ปุญญะกัมเมนะ ผลบุญอันข้าพเจ้าได้ทำไว้นี้ อุปัชฌายาคุณุตตะรา ขออุทิศให้กับอุปัชฌาย์ผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง อาจะริยูปะการา จะ อาจารย์ผู้มีพระคุณในการอุปการะสั่งสอนเรา มาตาปิตา จะ ญาตะกา บิดามารดาและญาติทั้งหลาย ปิยา มะมัง บุคคลอันเป็นที่รัก สุระโย จันทิมา พระอาทิตย์ พระจันทร์ท่านมีคุณให้แสงสว่างทั้งกลางวันกลางคืน ราชา คือพระราชาที่ปกครองเรา คุณะวันตา บุคคลผู้มีคุณ นะราปิ จะ มนุษย์ทั้งหลาย ให้เขาไปเรื่อย ไปนั่งอุทิศให้กับผี ๆ มันก็อด ไม่ตรงมันสักทีหนึ่ง ให้ใครหมดล่ะจ้ะ
              อันนั้นเราประเภทขยันให้ พรัหมะมารา จะ อินทา จะ โลกะปาลา จะ เทวตา พรัมะคือพรหม มาราคือมาร อินทาคือพระอินทร์ โลกะปาลา คือท้าวจตุโลกบาล จะ เทวตาคือเทวดาทั้่่งหลาย ให้หมด
      ถาม :  หลวงพ่อคะ ถ้าฝันกลางวันจะมีอะไรไหมคะ ?
      ตอบ :  บางอย่างมันไม่แน่ว่าจะเป็นฝัน มันเป็นนิมิตก็มี อาตมาเองตาใส ๆ ก็เห็น
      ถาม :  หนูกลัว ตอนแรกเหมือนกับว่าเก็บเหรียญมาได้ก่อน แล้วก็เก็บพระได้เป็นกำ เป็นสร้อย สุดท้ายเป็นของคนตาย เป็นฮวงซุ้ย ไปเจอศพแล้วรู้ชื่อเขาด้วยเห็นรูปเขาด้วย
      ตอบ :  จ้ะ แล้วไม่ถามหวยซะเลย
      ถาม :  ตอนนั้นหนูมีความรู้สึกกลัวอย่างเดียวค่ะ
      ตอบ :  เรื่องนิมิตมันจะชัดเจนมาก แล้กว่าเราจะรู้ความหมายบางทีก็ต้องขอให้เกิดแล้ว อย่าลืมว่าฝันบางทีเป็น ธาตุวิปริต ท้องไส้ไม่ดี กรรมนิมิต บุญกรรมที่เราทำไว้แสดงเหตุ จิตนิวรณ์ เก็บความฟุ้งซ่านไปฝัน เทพสังหรณ์ เทวดาสงเคราะห์
              กรรมนิมิตถ้าเกิดขึ้นมันจะชัดเจนมาก เหมือนกับตัวเองสัมผัสได้ทุกอย่างเลย สมัยก่อนบวชอยู่วัดท่าซุงใหม่ ๆ อยู่ได้ไม่ถึงพรรษา กำลังนอนภาวนาอยู่ เห็นงูจงอางตัวเบ้อเร่อ ตอนนั้นกุฏิจะอยู่มุมวัด จะมีกุฏิมุมวัดอยู่ ๔ มุม พอดีตรงมุมกำแพงหลังร้านอาหารของป้ากิมกี มีต้นพุทราใหญ่อยู่ต้นหนึ่งขึ้นคลุมไปครึ่งกุฏิ เย็นดีมาก เพราะว่าคลุมทางด้านตะวันตก แดดบ่ายมันโดนไม่ได้
              คราวนี้นอนภาวนามองออกนอกหน้าต่าง โอ้โห! งูจงอางตัวมโหฬารเลื้อยมาตามยอดพุทราระเนระนาดมาเป็นทาง พอมันเห็นเราปุ๊บมันพุ่งเข้าใส่ ไอ้เราก็ตกใจตัวแข็งทื่อกระดิกไม่ไหว งานนี้กูตายแน่ ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านมาจากทางไหนไม่รู้ ดูไม่ทัน พอมันพุ่งเข้ามาท่านเอาไม้เท้าตวัดเขี่ยปลายคางนิดเดียว มันฉกเลยหัวใส่พื้นตึงสนั่น ตัวมันใหญ่ก็หล่นฟาดใส่หน้าอกเรา จุกอยู่ตั้งนาน แล้วงูมันก็เลื้อยลงบันไดไป เราเองพอขยับได้ ก็ด้วยความตกใจคิดจะวิ่งหนีงู ก็วิ่งลงบันไดตามงูไปถึงข้างล่าง อ้าว! ประตูปิดอยู่นี่หว่า หรืองูมันจะอยู่ข้างล่าง มองซ้ายมองขวาก็ไม่มี แอบดูใต้บันไดก็ไม่มี ดูในห้องน้ำก็ไม่มี อ้าว! หลวงพ่ออยู่ข้างบน วิ่งขึ้นไปดูหลวงพ่อก็ไม่มี ดูอีกที่หนึ่งหน้าต่างของเราทั้งเหล็กดัด ทั้งมุ้งลวด แล้วงูมันเข้ามาทางไหนล่ะ แต่ภาพมันชัดเจนขนาดนั้น แล้วเสียงงูมันเลื้อยก็ยังได้ยินอยู่ ภาพหลวงพ่อที่เอาไม้เท้าสะกิดคางจนงูมันฉกเลยหัวเราไป ก็ยังเห็นอยู่ชัด ๆ กว่าจะตีความได้เกือบจะโดนสาวงาบไปรับประทานแล้ว
      ถาม :  แล้วต้องรอไปก่อนหรือคะ ?
      ตอบ :  ต้องรอไปก่อน ใกล้ ๆ แล้วมันจะรู้เอง หรือไม่รู้ก็รู้ตอนเกิดแล้ว เรื่องของนิมิตมันไม่ใช่ความฝัน นิมิตมันจะมาไม่มีหัวไม่มีท้าย อยู่ ๆ ก็มา อยู่ ๆ ก็ไป มันจะเกิดขึ้นเหมือนอย่างกับตัดเอาหนังท่อนหนึ่งไว้ให้เราดูเฉย ๆ อย่างนั้นแหละ แต่ไม่บอกว่าเริ่มเรื่องอย่างไรและจบอย่างไร มันคล้าย ๆ กับว่าเป็นเรื่องของกรรมนิมิต คือกรรมเขาจะแสดงเหตุให้รู้ แต่เขาบอกทั้งหมดไม่ได้ ในเมื่อบอกทั้งหมดไม่ได้ก็พยายามเต็มที่แล้วให้แค่นั้น
      ถาม :  หนูไม่ชอบเจอ แต่เจอบ่อย ๆ หนูมีความรู้สึกมากกว่าคนอื่น เห็นผีค่ะ
      ตอบ :  ไม่จริงมั้ง หลวงพ่อเห็นอยู่ทุกวัน บอกว่าเห็นมากกว่าคนอื่นจริงหรือ ?
      ถาม :  หรือหนูอาจจะคิดไปเอง
      ตอบ :  ไม่ใช่หรอกจ้ะ เป็นเรื่องปกติของมัน ทำใจสบาย ๆ สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ สัตว์ทั้งหลายอย่ามีเวรแก่กันและกันเลย เอาใจของเราที่ประกอบไปด้วย ความเมตตา หวังดี ปรารถนาดีต่อเขา อยากให้เขาพ้นทุกข์ มีแต่ความสุขเป็นที่ตั้ง อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ อยู่ที่ไหนก็สบาย บางทีท่านทั้งหลายเหล่านี้เมื่อมาแล้วส่วนใหญ่เขาต้องการบุญกุศลของเรา แสดงว่าในอดีตมาไม่ใช่ชาตินี้ อาจจะเป็นก่อนหน้านี้ก็ได้ เราเคยทำบุญไว้เยอะ เมื่อเห็นพวกเขาให้กำหนดใจสบาย ๆ ว่า บุญกุศลทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจวบจนบัดนี้ ขอให้เขาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไหร่ ขอให้เขาได้รับด้วย แค่นั้นแหละ หรือไม่ถ้าหากว่าให้แล้วยังไม่ไป ทำใจสบาย ๆ เหมือนกับนึกในใจ ถามว่าต้องการอะไร ให้บอกให้ชัดเจน ถ้าไม่เกินวิสัยเราจะช่วย มีเพื่อนพวกนี้ดีอยู่อย่างหนึ่ง จะไปไหนก็ไม่ต้องกลัว
      ถาม :  แต่หนูกลัว
      ตอบ :  กลัวเป็นเรื่องปกติ ใครบอกไม่กลัวก็บ้า ที่ไม่กลัวจริง ๆ ก็มีแต่พระอรหันต์ บุคคลที่ไม่มีความกลัว มี ๔ ประเภท ปรากฏว่าเป็นคนครึ่งหนึ่ง เป็นสัตว์ครึ่งหนึ่ง เขาว่า ม้าอาชาไนย ช้างศึกพระเจ้าจักรพรรดิ พระเจ้าจักรพรรดเองที่ไม่กลัว เพราะว่าไม่มีใครเป็นศัตรู และพระอรหันต์เป็นผู้ไม่มีเวรภัยกับใครแล้ว เพราะฉะนั้นทั้ง ๔ ประเภทนี้เขาไม่กลัวอะไร ถ้าเราไม่ใช่ ๑ ใน ๔ นี้ ต้องกลัวเป็นปกติ
              เรื่องการรู้เห็นเป็นเรื่องปกติจริง ๆ น่าชื่นชม เพราะแสดงว่าในอดีตเราต้องเคยทำเอาไว้ดี พวกทิพจักขุญาณต่าง ๆ มันถึงจะเกิดขึ้น การที่เราจะรู้เห็นสิ่งลี้ลับต่าง ๆ ได้มี ๒ อย่างด้วยกัน อ ย่างแรกคือ เราปรับคลื่นตรงกับเขา อย่างที่สองคือเขาปรับมาตรงกับเรา ถ้าเราปรับไปตรงกับเขา ปรับตรงเมื่อไหร่ก็จะรู้เห็นได้เมื่อนั้น เหมือนกับโทรทัศน์ ถ้าตรงช่องเมื่อไหร่ภาพก็จะมี แต่ถ้าเขาปรับนี่สบาย จะชัดเจนแจ่มใสมาก เห็นได้นานด้วย
              เพราะฉะนั้นโอกาสที่เขาจะปรับมาหาเราแปลว่าจะต้องมี ๑. มีกรรมเนื่องกันมา ๒. ต้องการความช่วยเหลือ หรืออยากจะให้เราช่วยเขา จะเกิดจากสองสาเหตุ ฉะนั้นกำหนดใจสบาย ๆ เหมือนเรานึกในใจว่า เป็นใคร มาจากไหน จะให้ช่วยเรื่องอะไรให้บอก ถ้าไม่เกินวิสัยเราจะช่วย แล้วความรู้สึกมันจะไหลมาเอง บางทีได้ยินเป็นคำพูด บางทีก็รู้สึกเองว่า มันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เราต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้
      ถาม :  ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเจ้าที่เจ้าทางค่ะ
      ตอบ :  อ๋อ! อย่างนั้นสบาย ปู่จ๋าขอสองตัวงวดนี้ บอกเขาด้วยว่าเอาเลขท้าย
      ถาม :  บางทีไปนอนผิดที่หรือไปนอนที่อื่น มักจะยกมือไหว้แล้วบอกเขาก่อน ก็ไม่รู้เป็นอะไรเขาชอบมาหาเรื่อย
      ตอบ :  ก็นั่นแหละ ก็ไหว้เขาก่อน แหม! ไหว้แล้วไม่รับก็เสียมารยาทสิ เขามาทักก็ดีแล้ว กำหนดใจบอกเขาเลย ปู่จ๋าย่าจ๋าตอนนี้หนูมาอาศัยในบริเวณนี้ ถ้ามีอันตรายอะไรขอให้ช่วยป้องกันด้วย ส่วนผลบุญทั้งหมดที่หนูทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้ปู่ให้ย่าโมทนาด้วย หนูจะได้รับประโยชน์ได้รับความสุขเท่าไหร่ให้ปู่ย่าได้รับเท่านั้น ง่ายที่สุดเลย ไปไหนก็สบายไม่มีอันตรายกวนได้เลย ถ้าจะมีอันตรายท่านจะปลุกเรา จะเรียกเรา บอกให้เราหลบหลีกก่อนได้ ถือว่าเป็นมนุษย์พิเศษไปก็แล้วกัน
      ถาม :  กลัวจะบ้าค่ะ
      ตอบ :  อย่าเพิ่งบ้า ผีไม่หลอกคนบ้าหรอก ถ้าหากว่าเรากลัวมากเขาไม่หลอก ไม่กลัวเลยเขาก็ไม่หลอก เขาชอบหาคนครึ่งกลัวครึ่งกล้า มันสนุกดี คราวนี้รับรองไม่กลัวจนบ้า และขณะเดียวกันก็ประเภทที่ว่าไม่กล้าจนเกินไป
      ถาม :  หลวงพ่อคะ ถ้าเกิดมีคนไปรถล้มแล้วหมดสติไป เหมือนกับวิญญาณเขาจะไปอยู่ที่นั่นเลยหรือเปล่า ?
      ตอบ :  มีแค่ประเภทเดียวจ้ะ การที่ตายตรงไหนแล้วติดอยู่ตรงนั้น เป็นวิญญาณอยู่ประเภทเดียว จำไม่ได้แล้วว่าเขาเรียกว่าอะไร คนประเภทนี้ต้องมีคนไปตายซ้ำมันถึงจะหลุดไปได้ แต่มีประเภทเดียว ไม่ใช่ทุกคนจะต้องเป็นอย่างนั้น บางคนตายแล้วก็ไปเลย บางคนตายแล้วก็กลับบ้านก่อน เพราะยังไม่รู้ว่าตัวเองตายมีเยอะ แต่จะมีประเภทเดียวที่ตายแล้วจะอยู่ตรงนั้นจนกว่าจะมีคนมาตายซ้ำ ที่เขาเรียกว่า "ตายแทน" แล้วถึงจะหลุดพ้นจากตรงนั้นไปได้ อันนี้แสดงว่าเป็นกรรมอย่างหนึ่งที่เขาทำมา
      ถาม :  พ่อไปรถล้ม แล้วคนผ่านไปผ่านมาก็จะเห็นพ่อนั่งอยู่ตรงนั้น
      ตอบ :  แล้วเราลองไปล้มซ้ำดูไหม ? เผื่อให้พ่อหลุด
      ถาม :  หนูก็เลยลองถามดูว่า มันจะติดอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า ?
      ตอบ :  น้อยคนจ้ะ จะเห็นว่าทั่วประเทศไทยจะเป็นประเภทที่เขาเรียกว่า "โค้งร้อยศพ" อยู่แค่ไม่กี่ที่ พวกนี้จะมีแต่ศาลเพียบเลย เพราะว่าถึงเวลาตายทีเขาก็จะไปสร้างศาลไว้อันหนึ่ง แถว ๆ เขาเขียว นครสวรรค์ เคยผ่านไปไหม โค้งนั้นมีศาลเป็นร้อย ๆ ผ่านไปกลางคืนรู้สึกเสียวดีเหมือนกัน เกิดมีใครมาโบกรถขอไปด้วย ตัวใครตัวมันเหอะ ฉะนั้นสถานที่อย่างนั้น แสดงว่ามีประเภทอยู่ติดที่ ในเมื่ออยู่ติดที่ก็ต้องรอคนมาตายซ้ำ แล้วเขาถึงจะไปได้
      ถาม :  หลวงพ่อคะ ตอนแรกหนูสงสัยเรื่องภาณยักษ์ แล้วหนูก็ไปอ่านประวัติหลวงปู่ปาน มันเหมือนไม่เคลียร์ หนูไม่เข้าใจทำไมเราต้องภาณยักษ์ล่ะคะ ?
      ตอบ :  แล้วจะทำไปทำไมล่ะ