ถาม:  ฝันไม่ดี ฝันอะไรก็ไม่รู้ ?
      ตอบ :  ฝันไม่ดี เออ ดีนะที่มันเป็นแค่ฝัน ถ้ามันเป็นจริงเราก็แย่เลย แต่ถ้าฝันดีเก็บเอาไว้มันเป็นกำลังใจกับเรา (หัวเราะ) สรุปแล้วดีหมด
      ถาม :  ความฝันนี่ พระอริยะยังมีอยู่มั้ยคะ จนถึงพระอรหันต์เลยหรือเปล่า ?
      ตอบ :  มีจ้ะ เพราะว่าฝันมันมี ๔ ประเภท มันเกิดจาก ธาตุวิปริต กรรมนิมิต จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์ แล้วกรรมนิมิตกับเทพสังหรณ์นี่ต่อให้เป็นพระอริยเจ้าก็ยังมีอยู่เป็นปกติ ธาตุวิปริตมันกินมากท้องไส้ไม่ดีฝันเรื่อยเปื่อย
              กรรมนิมิตความดีความชั่วที่เราทำมาจะส่งผลอย่างไร ถ้าหากว่าจิตสงบอยู่ใน่วงของอุปจารสมาธิเมื่อไหร่นิมิตจะปรากฎให้รู้ ส่วนใหญ่เราตีความไม่ถูกพอเกิดแล้วจึง อ๋อ จิตนิวรณ์อันนี้ฟุ้งซ่านคิดมาก หรือไม่ก็เมาท์มากตอนกลางวันเก็บไปฝันตอนกลางคืน เทพสังหรณ์นี่เทวดาเขาช่วยสงเคราะห์ เมื่อไหร่ ๆ ก็เซ่อไม่รู้ซะที เอ้า ช่วยหน่อย
      ถาม :  ฝันว่าเจอผี แสดงว่าไม่ดี ?
      ตอบ :  อ๋อ ไม่หรอกจ้ะ ถ้าฝันลักษณะนั้นเอาไว้วัดกำลงใจตนเอง เราฝันว่าเจอผีความกลัวเรามีมั้ย ? เราสามารถนึกถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ได้มั้ย ? จิตของเราเกาะการภาวนาได้มั้ย ? กลัวตายมั้ย? วัดความรู้สึกของเราได้หมด เพราะในฝันนั้นจะเป็นกำลังใจที่แท้จริงของเรา เพราะฉะนั้นยิ่งฝันจะยิ่งรู้ว่าที่แท้แล้วมีนิดเดียวน่าเวทนาเหลือเกิน ตอนตื่นอยู่คิดว่ามีเยอะ
      ถาม :  ผมฝันน่ากลัวมาก ฝันว่ามีภูเขาอยู่ลูกหนึ่งใหญ่ ๆ แต่เป็นโพรง และก็ไปกับเพื่อนประมาณ ๓-๔ คน แต่ผมพลัดหลงเดินไปคนเดียว พวกนั้นก็เป็นกลุ่มกันไป แล้วผมก็ไปสู้กับคล้าย ๆ นายนิรยบาลนะครับ เสร็จแล้วก็ไปเจอองค์สุดท้ายก็เป็นพระยายมไม่ทราบว่าเป็นลุงพุฒิหรือเปล่า ผมดันเอาหอกไปแทงท่านอีก ท่านบอก งั้นแกลงไปใหม่ ผมก็เลยลงไปเริ่มต้นข้างล่างใหม่ ?
      ตอบ :  สงสัยตอนกลางวันมันเล่นเกมส์มากไป (หัวเราะ) เจอมอทัลคอมแบ็ทภาคพิเศษเข้าให้ ไม่มีอะไรหรอก ถ้าหากว่าท่านเอาเราลงไป เราก็ไม่ได้นั่งอยู่นี่แล้วสิ เพียงแต่ว่าถ้าอยู่ในลักษณะนั้นน่ะก็ให้เข้าใจว่า จริง ๆ แล้วกำลังใจของเราโอกาสที่จะพ้นอบายภูมิมันยังยาก เราอาจจะทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันไม่ดีเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้นในขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ต้องรู้จักระมัดระวังเอาไว้เสมออย่าไปประมาทว่าเราดีแล้ว ต้องคอยระวังรักษากายวาจาใจของเราให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไปกว่านี้ เรื่องของฝันนี่ จริง ๆ แล้วมันวัดการปฏิบัติของแต่ละคนได้เลย
      ถาม :  ฝันว่าเจอผี ครั้งที่หนึ่งเรียกหลวงปู่ ครั้งที่สองเรียกหลวงพ่อ ครั้งที่สามเรียกพระพุทธเจ้า ?
      ตอบ :  ก็แสดงว่าถ้าในสภาพฉุกเฉินขนาดนั้นเรายังสามารถเกาะพระรัตนตรัยส่วนใดส่วนหนึ่งได้ แสดงว่ากำลังใจของเราตอนนั้นมีดีมากกว่าชั่ว ถ้าฝันดีเก็บไว้เป็นกำลังใจ ถ้าฝันไม่ดีลืมมันไปเลยไม่ต้องไปใส่ใจ
      ถาม :  คนที่ร่ำรวยมาก ๆ แล้วเขาสร้างวัด ผลจากการสร้างวัดทำให้เขาได้อยู่ชั้นไหน ?
      ตอบ :  ต้องถามเขาว่าใจเขาเกาะอะไร ถ้าหากว่าใจเขาเกาะความชั่วก็ต้องถามว่าอยู่ขุมไหนไม่ใช่อยู่ขั้นไหน คนทำดีตลอดชีวิตไม่แน่ว่าจะได้ดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในมหากัมมวิภังคสูตร ท่านบอกว่าบุคคลผู้ตั้งใจเจริญสมาธิภาวนาทรงฌาน ๔ ได้ ได้ทิพจักขุญาณรู้เห็นนรก สวรรค์ แล้วกล่าวว่า บุคคลผู้ทำชั่วลงนรกทั้งหมด บุคคลผู้ทำดีไปสวรรค์ทั้งหมด เราตถาคตขอกล่าวว่าไม่ใช่ ทำดีก็อาจจะลงนรกได้ทำชั่วก็อาจจะขึ้นสวรรค์ได้ มันสำคัญตรงจิตสุดท้ายเกาะอะไร
              ตัวอย่างชัด ๆ ก็อย่างพระนางมัลลิกาเทวี ทำดีมาตลอดชีวิต จิตเกาะความชั่วเศร้าหมองเพียงนิดหน่อยเอง ลงนรกซะ ๗ วัน ส่วนมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรนั่นทำชั่วมาตลอดชีวิต ก่อนตายได้ขอให้พระพุทธเจ้ามารักษาเราจะได้หายป่วย นึกถึงพระพุทธเจ้าแค่นั้นเองก็ไปสวรรค์ซะ ๗ วันเหมือนกัน ถามว่า ยุติธรรมมั้ย ? ยุติธรรมจ้ะ เพราะว่าท่านก็ไปอย่างละนิดเดียว เพราะทำความดีนิดเดียวทำความชั่วนิดเดียว เพียงแต่ว่าจะมีโอกาสทำความดีใหญ่ต่อมั้ย ?
              อย่างของมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรท่านมีโอกาสฟังพระพุทธเจ้าเทศน์กลายเป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่ากรรมอื่น ๆ ก็เจ๊ากันไป พระโสดาบันขนาดท่าน ก็คงจะไม่เผลอลงมาเกิดให้มันเสียเวลา โดนทวงยับเยินแน่เลย อย่างของท่านมัลลิกาเทวีขึ้นไปสบายข้างบนแล้ว พ้นจากนรก ๗ วันไปจ้อย
      ถาม :  ๗ วันนรกหรือว่า ?
      ตอบ :  ๗ วันมนุษย์จ้ะ อย่าคิดว่าน้อยน่ะ ของเราเอาไฟจิ้มซะจึกเดียว ยังร้องจ๊ากเลย นั่นแช่อยู่ ๗ วัน
      ถาม :  อย่างนี้คนทีทำความชั่วมาตลอดชีวิต แล้วมาแก้ตัวยึดเอาความดีตอนที่ใกล้จะตายได้มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ต้องดูว่าคิดได้มั้ย ถ้าสามารถทำได้นี่ได้นะ โบราณเขาถึงได้สอนภาวนา อรหัง ๆ พุทโธ ๆ ก่อนตาย คือให้ใจมันเกาะความดี แต่คนที่กรรมมันแรงจริง ๆ ไม่ไหวหรอก อย่างที่หลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่าที่ท่านเทศน์คู่กับหลวงพ่อของเราว่า คนมันหาปลามาตลอดชีวิต คราวนี้ตอนก่อนตายก็กระวนกระวาย เพราะว่าเห็นทุคติว่าตัวเองต้องไปแน่นอน แล้วจิตใจมันว้าวุ่น ญาติพี่น้องก็บอกว่า อรหัง ๆ ก็บอกว่า ไอ้โต ๆ พอบอกพุทโธ มันบอกไอ้ช่อน ตกลงมีแต่ปลาทั้งนั้น ถ้าอย่างนั้นไม่รอดแน่นอน
              เพราะฉะนั้นจะไปคิดว่าขี้โกงเอาวินาทีสุดท้ายมันไม่ได้ เพราะขนาดคนทำดีมาตลอดชีวิต เผลอนิดเดียวยังไปเกาะความชั่วได้ คนทีทำแต่ความชั่วมา จิตมันย่อมชินกับความชั่วมากกว่า โอกาสเกาะความดีมันยาก มันต้องทำดีให้ชินจิตมันจะได้เกาะความดีไว้
      ถาม :  ถ้าเรามีญาติผู้ใหญ่ก่อนที่จะตาย ?
      ตอบ :  ก็พยายามบอกท่านหรือไม่ก็เปิดเสียงพระสวดให้สนั่นบ้านไปเลย อย่างของมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรนั่นอย่าคิดว่าท่านไม่เคยทำความดี ท่านเคยทำความดีในอดีตชาติ คือเคยสร้างพระพุทธรูปมา อานิสงส์ของการสร้างพระพุทธรูปมาวินาทีสุดท้ายก่อนจะตายนึกถึงพระพุทธเจ้าได้ เพียงแต่อันนี้ในตำราเขาไม่ได้บอกไว้เท่านั้น
      ถาม :  ออกรถ ?
      ตอบ :  ออกรถวันพฤหัส เอามาเก็บไว้ที่บ้าน แล้วใช้วันอาทิตย์
      ถาม :  เรื่องฮวงจุ้ย จำเป็นไหมคะ ?
      ตอบ :  ก็มีผลอยู่บ้าง แต่ไม่จำเป็นมากนัก เพราะว่าเรื่องของฮวงจุ้ย จริง ๆ ก็เป็นเรื่องของพลังแม่เหล็กโลกจ้ะ
      ถาม :  ........................
      ตอบ :  จะเอาศพเข้า ก็ต้องบอกเจ้าที่ก่อน จะเอาศพออกก็ต้องบอกเจ้าที่ก่อน จะทำอะไรก็ต้องบอกก่อนทั้งนั้นแหละจ้ะ จะไทยจะจีนก็เถอะ เรื่องของเจ้าที่สำคัญมาก ถ้าท่านโอเค ก็ดีทุกอย่าง ถ้าท่านไม่โอเค ก็ยุ่งทุกอย่างเหมือนกัน
      ถาม :  เวลามีพิธีการจัดงาน แล้วขอให้ฝนไม่ตก แล้วฝนไม่ตกจริง ?
      ตอบ :  ก็มีอยู่เยอะ มีทั้งใช้อำนาจของอภิญญาสมาบัติ ถ้าพวกนี้ก็ต้องเป็นปฐวีกสิณ มีทั้งใช้คาถา คาถาจะเกิดจากพระให้ เทวดาให้ พรหมให้ ถ้าหากว่าใช้ ท่านจะใช้กำลังของท่านช่วย ถ้าหากเป็นคาถาที่เขาผูกขึ้นมาด้วยฤทธิ์อำนาจของอภิญญา คนที่ผูกเขาจะช่วย แล้วอีกอย่างหนึ่งมันเป็นพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นและมั่นใจจริง ๆ ถ้าหากว่าทำแล้วก็มีผล เช่น เอาตะไคร้ฝังดิน เอารากขึ้นฟ้า
      ถาม :  ตอนนั้นมีอยู่ทีหนึ่ง เขาจัดงานแถวมีนบุรี โดยรอบบริเวณฝนตกหมดเลย แต่บริเวณนั้นฝนไม่ตก ?
      ตอบ :  ของอาตมาตอนที่อยู่เกาะพระฤๅษี คนเขารู้กันเลย รู้ว่าถ้างานเสร็จต้องรีบเผ่น ถ้าช้าเปียกแน่นอน...! เรื่องของธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ เราห้ามเขาไม่ได้ บังคับให้ไม่เกิดไม่ได้ แต่สามารถขอให้มาช้า มาเร็ว ไปซ้าย ไปขวา ขึ้นบน ลงล่างได้ ของเราก็ขอแค่นิดเดียวเท่านั้น พอพ้นเวลาก็เชิญตกลงมาได้เลย
              ครั้งล่าสุดก็ไล่คนอื่นกลับ บอกให้รีบ ๆ ไปเดี๋ยวจะเปียกฝน ปรากฎว่าอาตมาเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำอยู่คนเดียว เพราะว่าต้องขนหัวลูกกลึงหินอ่อน ที่จะเอาไปทำเสมาโบสถ์วัดหนองบัวของท่านนาวินเขา แล้วมันหนัก คนอื่นเขายกไม่ไหว แล้วตั้ง ๙ ลูกกว่าจะยกเสร็จ เปียกโชกอยู่คนเดียว
              อันนั้นของเราใช้วิธีง่ายที่สุด จุดธูปบอกเจ้าที่เขา ทำงานที่เป็นบุญเป็นกุศล ขอให้ท่านโมทนาด้วย ที่ขอก็คือว่า ขออย่าให้ฝนตกในระหว่างที่งานยังอยู่ ส่วนใหญ่จะขอลักษณะนั้น แรก ๆ โยมก็ยังไม่มั่นใจ เพราะว่าเมฆดำลงต่ำจนจะติดหัวคนอยู่แล้ว อย่างไรก็ตกแน่ ๆ แต่ไม่ตกหรอก ถ้างานยังไม่เสร็จ ก็ไม่ตก ถ้าจำเป็นจะต้องตกก็คนอยู่ข้างในเรียบร้อย จะไม่เปียก
      ถาม :  แสดงว่าเทวดาท่านช่วย ?
      ตอบ :  ท่านช่วยจริง ๆ แต่ท่านก็ไม่ฝืนกฎของกรรมมาก ก็อยู่ลักษณะที่เรียกว่า มาก่อน มาหลัง ห้ามเลยทีเดียวไม่ได้หรอก อย่างเช่น ลมมา พายุมา เราจะไปบังคับให้พายุสลายตัว หรือห้ามไม่ให้มาทางนั้นเลยไม่ได้ แต่ว่าขอให้สูงขึ้นไป เพื่อให้ทรัพย์สินสิ่งของที่เป็นของสงฆ์ไม่เสียหายได้ ยังต้องไปทางนั้นอยู่
              เรื่องของน้ำ เรื่องของลม จะมีทางเฉพาะของเขาสังเกตุไหม ? ทำไมแม่น้ำถึงต้องไปตรงนั้น เพราะว่าจุดนั้นจะเป็นพื้นที่ที่ต่ำกว่าเพื่อน มันเหมาะที่เขาจะไปได้ เรื่องของลม ก็มีช่องทางเฉพาะของเขาอยู่ เมฆหมอกก็ลักษณะเดียวกัน ถึงเวลาให้เขาไปทางอื่น ไปไม่ได้ เพราะทางอยู่ตรงนั้น เพียงแต่ว่ามาช้าหน่อยหนึ่ง มาเร็วหน่อยหนึ่ง ขึ้นบน ลงล่าง อะไรก็ได้ แต่ไปเส้นเดิม
      ถาม :  อย่างที่เล่าว่าสมัยสงครามโลก (ไม่ชัด) ช่วยกันปัดลูกระเบิดให้ไปลงไกล ๆ ก็สามารถ ?
      ตอบ :  ทำได้จ้ะ ถ้าเป็นอาตมาเสียเวลาไปปัดมัน ให้มันทิ้งไม่ลงเลยหมดเรื่อง แบกกลับไปด้วย ง่ายกว่าไหม ? อย่าให้สลักล็อกคลายแบกกลับไปแล้วกัน กดเท่าไหร่ ? ปลดระเบิดไม่ออกได้ไหม ? ปรากฎว่าไม่ได้ เพราะอยู่ในลักษณะที่ว่าทำให้ทรพัย์สินเขาเสียหาย ก็เลยอยู่ในลักษณะว่าอยากยิงก็ยิงไป อย่าให้ถูกก็แล้วกัน เรื่องของอำนาจอภิญญาสมาบัติ แต่ละคนจะได้รับอนุญาตให้ใช้ไม่เท่ากัน เพราะว่าถ้าหากว่ายังไม่ยอมรับกฎของกรรม แล้วให้ไปใช้เต็ม ๆ นี่บรรลัยแน่ ๆ เลย จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสับสนไปหมด คนขี้สงสารก็จะช่วยเขาท่าเดียว ไม่ได้ดูว่าเขาทำกรรมอะไรมาถึงเป็นอย่างนั้น ดังนั้นแต่ละคนก็เลยได้รับอนุญาตไม่เท่ากัน
      ถาม :  หลวงพี่เคยใช้ไหมคะ เวลาเตรียมตัวสอบข้อสอบ ?
      ตอบ :  เคยจ้ะ ตอนเป็นพระก็เคย พระก็ยังต้องเรียนต้องสอบ ไม่ได้อ่านหนังสือ แต่สอบได้ที่ ๑
      ถาม :  ตั้งจิตแล้วก็สวด ?
      ตอบ :  ตั้่งใจขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดาทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ขอให้ช่วยสงเคาาะห์ ให้เราทำข้อสอบได้ถูกต้อง และก็ถูกใจกรรมการคนตรวจสอบด้วย แล้วก็ว่าคาถาไป รับกระดาษคำถามมา อย่าเพิ่งอ่านให้คว่ำลง ตั้งใจว่าคาถา ๓ จบ พลิกขึ้นแล้วลองอ่านดู ถ้าคิดว่ายังทำได้ไม่หมด ให้คว่ำลง แล้วว่าอีก ๗ จบ คราวนี้อยากเขียนอย่างไร ? ให้เขียนไปตามนั้น
      ถาม :  เอ็นทรานซ์ ?
      ตอบ :  ลูกศิษย์หลวงพ่อเขาใช้อย่างนี้กันทั้งนั้นแหละจ้ะ เด็กที่จบจากโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระ รุ่นแรก จบมา ๖๓ คน ไปสอบต่อระดับปริญญาตรี ๔๔ คน ได้ ๔๓ ติดสำรอง ๑ คน แล้วคนติดสำรอง คนตัวจริงสละสิทธิ์ ตกลงได้ครบ รุ่นแรกยืนยัน เพราะเขาต้องไปฝึกรรมฐานทุกอาทิตย์ ก่อนเข้าก็ฝึกกรรมฐานอยู่ รุ่นหลัง ๆ นี้ไม่รู้เหมือนกันว่าไปถึงระดับไหน ? ได้ผลจริง ๆ จ้ะ พอตั้งกำลังใจนึกถึงปุ๊บ...เหมือนกับมีพลังงานบางอย่างวิ่งลงทางกระหม่อม มือจะสั่น หัวใจจะเต้นเร็ว อยู่ในลักษณะว่าบังคับมือจะไม่ได้ ต้องบังคับค่อย ๆ เขียน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะอ่านออกบ้าง ไม่ออกบ้าง กรรมจะไม่ตรวจเอา
              อันนั้นสำหรับคนที่ความรู้สึกชัด ๆ นะ คนที่ไม่ชัดไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง ? ตอนช่วงนั้นสอบนักธรรมเอกอยู่ แล้วป่วยเป็นไวรัสลงตับด้วย มาเลเรียด้วย ไม่มีแรง อ่านหนังสือไม่ไหว ได้แต่นอนกินน้ำหวาน ขวดกองพะเนินเลย ถึงเวลาก็ไปสอบกับเขา จำเป็นละครับ ขออนุญาตใช้หน่อย เสียอย่างเดียว ไปดื้อกับเขาหน่อยหนึ่ง คือความรู้สึกบอกชัด ๆ เลยว่าตัวนี้ แต่เราเองไม่เชื่อ ตอนเดินไปห้องน้ำ เสียงบอกชัด ๆ เ ลยเป็นภาษาบาลีมา เราไม่เชื่อก็เลยไม่ไปเปิดตำราดู ตอนเขียนก็เลยตกไปตัวหนึ่ง โดนตัดไป ๕ คะแนน
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ใช้ทุกครั้งไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ได้
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ก็ไม่ต้องอ่านหนังสือ ?
      ตอบ :  ก็สำคัญตรงนั้นแหละ จนกระทั่งมีคนถามหลวงพ่อว่า แล้วเด็กจะไม่โง่หรือครับ ? หลวงพ่อบอกว่า ถามอะไรก็ตอบได้ แล้วโง่ไหมล่ะ ? จริง ๆ ให้อ่านหนังสือไว้ แต่ไม่ต้องไปเคร่งเครียดมาก เพราะว่าถ้าเราอ่านหนังสือจากที่เราไม่มีความคล่องตัว จะได้เกิดความมั่นใจ ถ้าเราไม่อ่านอะไรเลย บางทีขาดความมั่นใจ สภาพจิตมันไม่เปิดก็มืดตื๋อ ไปไหนไม่เป็นเหมือนกัน ถ้าเราอ่านผ่านตาเอาไว้บ้าง ถึงเวลามันจะนึกออก
      ถาม :  อย่างที่เราทำงานที่ต้องแก้ปัญหา ใช้ได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ใช้ได้จ้ะ ยิ่งสมาธิดีเท่าไหร่ ? ยิ่งง่ายเท่านั้น จะเห็นช่องทางไปเองว่า ควรจะทำอย่างไร ? พออายุเริ่มมาก ชักขี้ลืมก็ใช้ได้ จะทำเรื่องอะไร ? ตั้งใจนึกถึงเรื่งอนั้นว่าเวลานั้นเราจะทำ แล้วก็ว่าคาถาสัก ๓ จบ ถึงเวลาจะนึกถึงเอง
      ถาม :  .................
      ตอบ :  เรื่องของการดูดวง ดูหมอ โดยมโนมยิทธิ จริง ๆ แล้วทำได้จ้ะ แต่ว่ากฎเกณฑ์มีอยู่ อันดับแรก ที่หลวงพ่อสั่งไว้ชัดเจนเลย คือว่าอย่าไปประจันหน้าต่อหน้าคนถาม คนถามไม่รู้จักพอ บางอย่างบอกได้แค่ที่พระหรือเทวดาท่านบอก แต่มันจะซักเอารายละเอียด อันนั้นไม่ได้เลย ท่านบอกว่าให้อยู่ในห้องพระอย่างเดียว แล้วให้เขาเขียนคำถามส่งเข้ามา หาคนของเรา รับคำถามส่งเข้ามา แล้วกำหนดใจถามพระท่านดู รู้อย่างไร ? เขียนตอบไปอย่างนั้น อย่าให้เขาซักต่อหน้า ซักถามต่อหน้า ถ้าหากว่า กำลังใจไม่มั่นคงจริง จะเกิดอคติขึ้นในใจ คือลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะโกรธ ลำเอียงเพราะหลง ลำเอียงเพราะกลัวอะไรก็ตาม จะทำให้ความรู้ของเราผิดเพี้ยนไปได้ อันดับที่สอง สิ่งที่รู้มา ถ้าหากว่ามีความคล่องตัวในมโนมิยทธิจริง ๆ เขาจะรู้ว่าต้องตอบเท่าไหร่ ? ไม่ใช่รู้ร้อยบอกร้อยหนึ่ง แต่ว่าอาจจะรู้ร้อยหนึ่ง บอกได้แค่หนึ่งแค่สองเท่านั้นก็ได้ เรื่องนี้บางคนทำใจไม่ได้อกจะแตกตายเหมือนกัน รู้ ๆ อยู่แต่พูดไม่ได้
              เพราะฉะนั้น คนที่จะใช้มโนมยิทธิเพื่อดูหมอจริง ๆ ดี เพราะว่าอย่างน้อย ๆ เป็นการควบคุมกำลังใจของตนให้ใสสะอาดอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นดูหมอไม่ได้ แต่ว่าต้องมีข้อจำกัดอยู่ในลักษณะนี้ แล้วอีกอย่างหนึ่ง เมื่อดูหมออย่าใช้คำว่า "ค่าครู" ถ้าต้องการรายได้ บอกเขาเลยว่า จะเป็นค่าดู ค่ากิน ค่าอยู่ของหมออะไรก็ว่าไป อย่าใช้คำว่า "ค่าครู" ค่าครูเมื่อไหร่ ? เราใช้เองไม่ได้ (หัวเราะ) ค่าครูต้องเอาไปถวายเป็นสังฆทาน หรือใส่บาตรเป็นอาหารพระไปเลยเท่านั้น
      ถาม :  แต่ก่อนหลวงพ่อเคยสั่งห้ามเอาไว้ว่า ไม่ควรที่จะเอาไปใช้ในทางที่ (ไม่ชัด) ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วมโนมยิทธิ หลวงพ่อท่านเคยพูดว่า ต้องคล่องตัวขนาดดูหมอได้ ถึงจะใช้ได้ แต่ว่าขณะเดียวกัน ให้ดูในลักษณะสงเคราะห์เขา ไม่ใช่ดูเพื่อตั้งใจจะเอาผลประโยชน์จากเขา
              มีลูกศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่ง ตอนนั้นเป็นอาจารย์อยู่วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันนี้ก็คงเป็นสถาบันราชภัฏไปแล้ว ขนาดตอนนั้นพันเอกณรงค์ กิตติขจร จะตั้งพรรคการเมือง ขอเชิญไปเป็นที่ปรึกษา เพราะเขารู้จริง แม่นด้วย พูดอะไรเป็นอย่างนั้นเลย เพราะว่าเขารักษาใจของเขาดี แกปฏิเสธ คือให้ลาออกจากครูแล้วต้องการเงินเดือนเท่าไหร่ ? เขาให้ แต่แกไม่เอา คือต้องลักษณะอย่างนั้น ไม่ใช่ถึงเวลา ลาภยศ ชื่อเสียงมาถึง แล้วหลงใหลตามไป บรรดาหมอดูด้วยมโนมยิทธิระยะหลังที่เสียมากเพราะว่า เมื่อถึงเวลาปล่อยให้ใหลตาม รัก โลภ โกรธ หลง แล้ววิชาการก็เสื่อมลง เพราะพระท่านไม่สงเคราะห์อีก มีเยอะจ้ะ
      ถาม :  ที่ว่า "ง่าย" แต่จริง ๆ ทำยาก ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ? เทคนิค ?
      ตอบ :  พอทำเป็นแล้ว ซ้อมบ่อย ๆ ซ้อมทุกวัน ทั้งวันยิ่งดี
      ถาม :  เหมือนกับตอนนี้ สำหรับผมเองเรื่องของมโนมยิทธิ เรื่องของการกำหนดลมหายใจ ง่าย บอกลูกเหมือนกัน วิธีการคือว่า เราดูว่าเราหายใจเข้า แต่จริง ๆ นั้นทำได้ยาก
      ตอบ :  คือแค่รู้ตามเฉย ๆ ส่วนใหญ่แล้วจะไปเผลอบังคับให้รู้ อย่างนั้นไม่ได้ลักษณะบังคับรู้ เราต้องมีความเชี่ยวชาญในการทรงฌานแล้ว คล่องตัวมากแล้ว ลักษณะอย่างนั้นเหมือนกับการบังคับรู้ คือกำหนดใจเมื่อไหร่ ? เป็นไปได้ แต่ถ้าหากว่าฝึกแรก ๆ เขาแค่กำหนดรู้ตามไปเฉย ๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ
              แล้วอีกอย่างหนึ่ง การจะรักษามโนมยิทธิให้แจ่มใสนั้น อย่าทิ้งภาพพระเป็นอันขาด แต่ละวัน ๆ ทั้งวันอย่างน้อย ๆ ความรู้สึกส่วนหนึ่งต้องเห็นภาพพระอยู่นี่ อยู่บนศีรษะของเราก็ดี ครอบกายของเราอยู่ก็ดี ต้องเห็นอยู่ตลอด ให้ท่านแจ่มใสชัดเจนอยู่เสมอ จิตจะสะอาด ปราศจากนิวรณ์ เป็นการแบ่งความรู้สึก อาจจะสัก ๒๐-๓๐ เปอร์เซนต์ นึกถึงเบา ๆ สบาย ๆ ท่านก็นั่งของท่านอยู่อย่างนี้ เขาถามอะไร ? เราก็แค่นึกถึงท่าน คำถามนี้อยากจะตอบอย่างไร ? ความรู้สึกจะไหลออกมาเอง แล้วอีกประมาณ ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ เราก็บังคับให้ร่างกายทำงานทำการของเราไปตามปกติ ถ้าทำใจอย่างนี้ได้ จิตสะอาดมาก การรู้เห็นจะคล่องตัวมาก แต่ว่าส่วนใหญ่ก็คือว่า จับ ๆ แล้วก็หายไป พอรู้ตัวขึ้นมา ก็จับใหม่ อันนี้ก็ยังดี แต่ส่วนใหญ่หายแล้วหายเลย
      ถาม :  เราจะรู้ได้อย่างไรว่า คนที่คุยด้วย เขาจะรู้ว่าเรารู้ หรือไม่รู้ ?
      ตอบ :  อันนั้นมีอยู่สองประการด้วยกัน คือว่าคนที่ใช้มโนมยิทธิอยู่ในลักษณะรู้ใจคนอื่นเขานะ รู้ได้แค่คนที่เสมอกันหรือต่ำกว่า ถ้าคนสูงกว่าเรารู้ของเขาไม่ได้
      ถาม :  เราจะรู้ได้อย่างไร เขาฝึกได้หรือไม่ได้ ?
      ตอบ :  ถ้าเราสอนเขา ตอนช่วงนั้นกำลังใจของเรา เราจะมีกำลังของพระหรือครูบาอาจารย์คุมอยู่ จะตามติดลูกศิษย์ได้คล่องมากเลย อย่าคิดว่าเป็นความสามารถของเรา ให้คิดอยู่เสมอว่าเป็นเรื่องของพระท่าน ท่านจะสงเคราะห์ลงมาอย่างไร ? แล้วแต่ท่าน ตามใจท่าน ในขณะที่เราฝึกอยู่ไม่ว่าศิษย์จะคิดอย่างไร ? เราจะรู้หมด เข้าใจหมด
              เพราะฉะนั้นการฝึกมโนมยิทธิให้กับคนอื่น เป็นครูสอนเขานี่ จะได้เปรียบตรง เจโตปริยญาณ คือการรู้ใจคนอื่น ยิ่งฝึกมากเท่าไหร่ ? จะยิ่งมีความคล่องตัวมากเท่านั้น ตอนแรกอาตมาก็คิดว่าเป็นความสามารถของตนเอง แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เพราะว่าเวลานั่งอยู่ต่อหน้าลูกศิษย์ เราไม่รู้เลยว่าเขาคิดอย่างไร ? แต่ถึงเวลาแล้ว ปากเราจะพูดออกไปอย่างนั้น หลุดออกไปอย่างนั้น แล้วจะตรงพอดี อันนี้ก็เลยมั่นใจว่า เป็นกำลังของพระหรือครูบาอาจารย์ทีท่านสงเคราะห์ ส่วนตัวเจโตปริยญาณนั้น ถ้าจะใช้ไม่ใช่ใช้ดูคนอื่น ดูคนอื่นประโยชน์น้อยเต็มที เขาให้ดูใจตัวเอง ดูให้รู้ว่าตอนนี้ใจของเรามีความดีไหม ? ถ้าไม่มีความดี สร้างความดีขึ้นมา ถ้ามีความดีอยู่แล้วทำความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ดูใจตัวเองว่าตอนนี้มีความชั่วอยู่ไหม ? ถ้ามีความชั่ว ขับไล่ออกไป ระมัดระวังไว้อย่าให้เข้ามา เขาดูกันอย่างนี้ ถ้าสามารถตามใจตัวเองได้ทัน การรู้ใจคนอื่นเป็นเรื่องง่าย ถ้ารู้ใจตัวเองไม่ทันรู้คนอื่นก็เท่านั้น
      ถาม :  ตัวผมเองค่อนข้างมีความขี้สงสัยมากไปหน่อย ก็เลยกลับมาเหมือนจุดเริ่มต้นใหม่ เหมือนสมัยก่อนไม่ยอมรับ แล้วเหมือนต้องการสอบถามกับคนที่เขารู้ แล้วให้เขาบอกว่า สิ่งที่เรารู้ หรือไม่รู้ จะเกิดอย่างนี้ขึ้นมา ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าอย่างนี้จะไม่จบ เพราะว่าเราจะขาดความมั่นใจในตัวเอง แล้วเราจะสอบถามไปเรื่อย ประเด็นเดียวกับเมื่อกี้ว่า ถ้าเป็นหมอดูอย่าไปนั่งต่อหน้าให้เขาซัก ถ้าเราทำเองได้ จะจบ จบตรงที่่ว่าอยากรู้อะไร ? จะรู้ เพียงแต่รู้แล้วพูดได้หรือไม่ได้ ตอนถ้ารู้แล้วพูดไม่ได้ จะอกแตกตายไปเอง (หัวเราะ)
      ถาม :  นั่งแล้วไม่ได้เลย มีไหมคะ ?
      ตอบ :  เยอะจ้ะ ที่ไม่ได้เลยเพราะไม่เข้าใจ ถ้าเข้าใจเรื่องง่ายนิดเดียว จำไว้ว่า การนั่งมโนมยิทธิ ถ้าเราอยาก จะไม่ได้ ตัวอยากขวางหน้าอยู่ เดินตรงเสาแล้วจะเดินต่อได้อย่างไร ? ถ้าเสาขวางอยู่ แล้วถามว่าไม่อยาก แล้วจะนั่งไปทำไม ? (หัวเราะ) เวลาที่เรานั่งสมาธิ ให้ลืมตัวอยากนั้นเสีย ตั้งหน้าตั้งตาทำ ถึงเวลาครูบอกให้ทำตามที่ครูบอกทุกอย่าง
              ส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะเสียตรงที่มีพื้นฐานสมาธิมาก่อน มีพื้นฐานสมาธิมาก่อนตัวพาเสียเยอะเลย เพราะมโนมยิทธิใช้ได้ใน ๒ จังหวะ จังหวะแรกคือ อุปจารสมาธิ หมายถึงอารมณ์สบาย ๆ อย่างตอนนี้แหละ ใส่ความตั้งใจเข้าไปนิดหนึ่งเท่านั้น ว่าอยากรู้เรื่องอะไร ? อีกทีหนึ่งต้องได้ฌาน ๔ ไปเลย เหมือนกับห้องสองห้อง ชั้นบนกับชั้นล่าง ทุกอย่างเหมือนกันหมด เราอยู่ห้องบนเราเห็นเหมือนกัน เราอยู่ห้องล่างเราเห็นเหมือนกัน แต่ว่าระหว่าง ๒-๓ ที่อยู่ตรงกลาง เราจะไม่เห็น เพราะว่าเป็นขั้นบันได
              ส่วนใหญ่พื้นฐานสมาธิของเรา จะอยู่ระหว่างกลาง ๆ คือเริ่มเป็นปฐมฌานขึ้นไปแล้ว ๑-๒-๓ แต่ไม่ถึงที่สุดของ ๔ แต่ขณะเดียวกัน ครูฝึกบอกว่าให้เลิกภาวนานะ ทำใจสบาย ๆ ลดกำลังใจไม่เป็น ในเมื่อลดไม่เป็น เราอยู่ระหว่างกลางบันได จะพาเราไปไม่เป็น แต่ว่าโยมไม่ต้องเสียใจน้อยใจหรอกจ้ะ อาตมายืนยันว่า คนที่จะไปนิพพานได้ ไม่จำเป็นต้องได้มโนมยิทธิ ที่ได้มโนมยิทธิมาร้อยคนน่ะ หลงทางไปซะ ๙๐ ที่หลงทางเพราะว่า พอได้แล้วมันสนุกจะไปดูอดีต ดูปัจจุบัน ดูอนาคต ดูใจคนอื่น ระลึกชาติได้ โดยเฉพาะเรื่องรู้อดีต ระลึกชาติได้ รู้แล้วแทนที่จะเข็ด ก็ไปยึดติด เธอเป็นอย่างนั้นกับฉัน เธอเป็นอย่างนี้กับฉัน แทนที่รู้แล้วจะเข็ด จะละ จะเลิก ไปฟื้นความสัมพันธ์ใหม่ ก็เลยกลายเป็นยึดติดหนักเข้าไปอีก
              กติกาการไปพระนิพพาน คือเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง ๆ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง รักษาศีลทุกข้อให้บริสุทธิ์ ไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ และตั้งใจว่าตายแล้วจะไปพระนิพพาน ไม่มีข้อไหนบอกว่าต้องได้มโนนมยิทธิ (หัวเราะ)
              ถ้าหากว่าไปตรงทางง่ายที่สุด แต่ส่วนใหญ่แล้วคนเราวิสัยมันคัน อยากรู้อยากเห็น ในเมื่ออยากรู้อยากเห็น ถ้าควบคุมสตติสัมปชัญญะได้ ปัญญามีเพียงพอ ก็จะเป็นทางลัดที่ไปได้ง่าย แต่ถ้าหากว่าปัญญาไม่เพียงพอ สติรู้ไม่เท่าทัน มันพาเราหลงสุดกู่มาเยอะแล้วจ้ะ อาตมาเจอมาเยอะต่อเยอะ จนกระทั่งทุกวันนี้ ที่นั่งอยู่ตรงนี้เฉย ๆ แค่ใครมาซักถาม แล้วตอบโดยไม่ยอมสอน เพราะว่าสงสารคนที่หลงทาง เพราะว่าถ้ามันไปแล้วไปยาวจริง ๆ มารเขาเก่ง เขารู้ว่าเราจะพ้นมือเขา เขาหาสารพัดวิธีที่จะมาดึงเราเอาไว้กับเขา อาตมาเองเคยหลงมาแล้ว อย่างชนิดที่พอเห็นทางนี่ เหงื่อแตกโทรมตัวเลย
      ถาม :  อย่างนี้ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ?
      ตอบ :  ไม่รู้เป็นเรื่องดี ขอให้เรามั่นใจในพระรัตนตรัย มั่นใจว่าสวรรค์ พรหม นิพพานมีจริง มั่นใจว่าพระพุทธเจ้าสอนถูกจริง ตั้งหน้าตั้งตาทำไปเถอะ ไปถึงง่ายที่สุดเลย