ช่วงแรกของเล่ม "เมืองลับแล"
สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ถาม: ก็คิดอย่างนั้น แต่ว่าถ้าทางโลกเรายังต้องใช้ชีวิตอย่างนี้ ?
ตอบ : ถ้าเรายังคลุกอยู่กับโลกนี่ กำลังสมาธิสำคัญที่สุด คืออย่างน้อย ๆ นี่ กำลังใจของเราต้องตั้งอยู่ระดับปฐมฌาน อุปจารสมาธิสู้มันไม่ไหว ถ้าอยู่ในปฐมฌานสภาพจิตมันจะไวแล้วก็มั่นคง โดยเฉพาะตัวนิวรณ์ มันกินใจเราไม่ได้ ถ้าเราทรงตัวได้มั่นคง โอกาสที่กิเลสมันจะกินเรามันก็ยาก
เพราะฉะนั้นถ้าจิตมันต้องการนิ่งอยู่กับการภาวนาไป ถ้าจิตมันต้องการคิดก็คิดใน ๓ นัยนี้ คือตามแบบของไตรลักษณ์ คือลักษณะปกติ ๓ อย่าง ตามแบบของอริยสัจ หรือตามแบบของวิปัสสนาญาณ ๙ เลือกเอาอันใดอันหนึ่ง
ถาม : คนที่ได้สังขารุเปกขาญาณนี่ คือเป็นพระโสดาบันแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่แน่ ฆราวาสธรรมดาปุถุถชนธรรมดาก็ได้ คือคำว่าสังขารุเปกขาญาณรู้จักวาง แล้วการปล่อยวางของแต่ละระดับขั้นเขาไม่เท่ากันไงล่ะ
ถาม : ถ้าเราตายในขณะที่อยู่ในโคตรภูญาณ เราจะไปไหนกำลังใจขนาดโคตรภูญาณนี่ ?
ตอบ : เราก็ต้องดูว่ากำลังของเราตอนนั้นอยู่ระดับไหน ถ้าหากว่าโคตรภูนี่ มันยังเข้าไม่ถึงความเป็นพระอริยเจ้าก็จะอยู่ในระดับของพรหม ต้องใช้คำว่าพรหม เพราะว่าบุคคลที่เข้าถึงระดับนั้น อย่างน้อยมันต้องมีฌานเป็นเครื่องหนุนอยู่
แต่คราวนี้ถ้าเราตายขณะที่จิตเข้าในส่วนนั้น แต่คลายออกมาเป็นอารมณ์ปกติ เรียกว่าตายนอกฌานก็อาจจะอยู่แค่จตุมหาราช แต่ถ้าทรงฌานอยู่ก็ไล่ตั้งแต่พรหมชั้นที่ ๑ ขึ้นไปถึงพรหมชั้นที่ ๑๑ เพราะตั้งแต่ ๑๒ นี้จะเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่อนาคามีขึ้นไป
ถาม : (ไม่ชัด)?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขาก็หวังอย่างนั้นน่ะ อาตมาก็เคยคิด เออ ตอนนี้มันดี ๆ ทำไมมันไม่ตายเลยวะ ถ้าวาระมันไม่ถึงก็ยอมทนไปเถอะ เพราะว่าถ้าเราไม่อยู่ในลักษณะนั้น แสดงว่ามันยังขาดสังขารุเปกขาญาณอยู่ คือมองไม่เห็นเความเป็นจริงในสังขารจนปล่อยวางได้ เราต้องมองอยู่ในจุดที่ว่าในเมื่อปกติธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการอยู่กับสังขารร่างกายที่น่าเบื่อหน่ายนี้ อย่างไรเสียก็ไม่เกิน ๑๒๐ ปีก็ตายลงไปแน่นอน การอยู่ไม่เกิน ๑๒๐ ปี ดีกว่าเกิดอีกหลาย ๆ ชาติหรือนับชาติไม่ถ้วน ถ้ามันสามารถสิ้นสุดการเวียนตายเวียนเกิดลงไปได้ ระยะเวลาแค่ ๑๒๐ ปีมันก็แค่หลับตาลงแล้วก็ลืมตาขึ้นมันก็ผ่านไปแล้ว ลองไปนึกถึงระยะเวลาที่ต้องตาย ๆ เกิด ๆ นับกัปไม่ถ้วนมันนานแค่ไหน
ในเมื่อระยะเวลาแค่แป๊บเดียวนี่ทำไมเราจะอยู่กับมันไม่ได้ มันสำคัญอยู่ตรงใจเรา ถ้าใจเราปล่อยวางมันจะไม่ทุกข์ ถ้าใจเราดิ้นรนเมื่อไหร่มันก็แบกเอาทุกข์เข้ามาไว้ สังขารุเปกขาญาณนี่เขาปล่อย รู้วิธีปล่อย ปล่อยเป็น
ถาม : คนที่ได้สังขารุเปกขาญาณ ก็คือต้องได้นิพพิทาญาณก่อน ?
ตอบ : คือมันจะผ่านนิพพิทาญาณก่อน พอเห็นว่าทุกสิ่งเบื่อหน่ายแล้ว ก็มาพิจารณาอีกครั้งหนึ่งว่า ถึงเบื่ออย่างไรก็ต้องอยู่กับมันเพราะมันยังไม่ถึงวาระ ในเมื่อจำเป็นจะต้องอยู่กับมันก็ให้เห็นว่าถ้าอยู่กับมันแล้วจะพ้นการเวียนตายเวียนเกิดไปได้ ในสภาพที่แท้จริงจะพ้นทุกข์ไปได้ อยู่กับมันแค่นี้ก็เท่ากับวาระแป๊บเดียวเท่านั้นเอง ทำไมเราจะอยู่กับมันไม่ได้ ก็ยอมรับมันเสียเห็นว่าธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้ ในเมื่อธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้ อย่างไรเสียเราก็จะไม่เกิดมาอีก ช่างหัวมัน
ถาม : ถ้าบางคนเขาคิดว่าเขาปล่อยวางหมดทุกอย่างไม่สนใจอะไร อย่างนี้ถือว่า ?
ตอบ : มันต้องดูด้วยนะ กลัวจะเป็นการปล่อยวางแบบที่หลวงพ่อชาท่านว่า ปล่อยวางแบบควาย คือว่ามีอยู่วาระหนึ่ง ลมพายุฝนมันมา แล้วพัดเอาหลังคามุงแฝกของกุฏิเปิดไป พระท่านก็นั่งตากแดดไป ฝนตกก็ตากฝนไป หลวงพ่อชาท่านเห็นก็ทนไม่ไหว ไปถึง...คุณ...ซ่อมหลังคาหน่อยสิ พระท่านก็บอกว่า ไม่ต้องหรอกครับ ผมปล่อยวางแล้ว หลวงพ่อชาท่านบอกว่า ปล่อยวางแบบนี้เขาเรียกว่าปล่อยวางแบบควาย ควายมันทนแดดทนฝนกว่าคุณเยอะเลย
คนที่มีปัญญาเรื่องอะไรที่ยังพอแก้ไขได้เขาจะแก้ไข แก้ไขจนสุดกำลังกาย กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ ไม่มีทางแก้ไขได้แล้วเขาถึงยอมรับว่ามันเป็นกฎของกรรม ไม่ใช่ของที่แค่ปีนขึ้นไปซ่อมนิดเดียวมันก็เรียบร้อยแล้วไม่ยอมทำแล้วบอกว่าปล่อยวาง
เพราะฉะนั้นที่เขาบอกว่าปล่อยวางได้ก็ต้องดูว่าปล่อยวางยังไง เดี๋ยวจะเจอแบบที่หลวงปู่ตื้อท่านเทศน์ พอท่านเทศน์เสร็จญาติโยมก็ แหม อีตอนนี้ อิฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วเจ้าค้า หลวงปู่ตื้อท่านบอก อีตอแหล โกรธหน้าดำหน้าแดงไปเลย นั่นแหละ แล้วหลวงปู่ตื้อท่านก็หัวเราะ เห็นมั้ยวางได้หรือเปล่าล่ะ ? เพราะวางได้มันต้องไม่โกรธสิ แต่ไม่ต้องไปว่าเขานะ ไปว่าเขาแรง ๆ เดี๋ยวเขาจะสวนเอา
ถาม : ทำไมปลาโลมาถึงฉลาด ฉลาดเพราะสมองใหญ่หรือว่าเป็นสัตว์พิเศษ ?
ตอบ : ก็ธรรมดาของสัตตว์เดรัจฉาน เพียงแต่ว่าสัตว์เดรัจฉานบางประเภท อย่าลืมไม่ใช่บางประเภท สัตว์เดรัจฉานทุกประเภทมันก็คือคนนั่นเอง แต่ว่ามันมีบางประเภทอยู่ในลักษณะที่ว่าส่วนบุญในขณะที่เป็นคนมันยังพอมีอยู่ มันก็เลยได้ไปเกิดอยู่ในลักษณะว่าเป็นสัตว์ที่มีสมองโตกว่าเขาหน่อยหนึ่ง รู้จักคิดอะไรได้มากกว่าคนอื่นเขาสามารถสื่อสารได้อะไรได้ จะเรียกว่ารู้มากก็ได้ บางทีมันอาจจะฉลาดกว่าเรา มันรู้มากขนาดนั้น แต่มันไม่อยากจะมาปกครองคน มันคงรู้ว่าปกครองคนนี่รับรองได้ว่าหัวคงระเบิดแน่
ถาม : มีเรื่องทางโลก เอ๊ะ เราจะปล่อยวางดีหรือเราจะตัดสินใจดี ตัดสินใจลำบาก ?
ตอบ : ก็ดูก่อนสิ ถ้าสามารถแก้ไขแล้วทำให้สถานการณ์มันผ่อนคลายลงดีกับทุกฝ่ายก็ทำไปเถอะ ถือว่าสร้างกุศลใส่ตัว อย่างน้อย ๆ ก็อาจจะสงเคราะห์คนหมู่มากหรือไม่ก็เฉพาะคน ๆ นั้นได้ มีโอกาสก็ทำ ไม่ใช่ทุกอย่างก็ไปปล่อย ๆ ถ้าปล่อยวางเดี๋ยวก็แย่
ถาม : เคยเจออาจารย์ที่มาแกล้งเราเรียกค่าทำงานราชการ เรียกใต้โต๊ะ ใช่มั้ยคะ ? แล้วเขาก็มาเอาเงินเราไปก้อนหนึ่ง ตอนนั้นก็สับสนมาก แต่ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร อยากจะไปบอกอาจารย์อีกหลายท่านแต่เขาจะมีโทษ แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเขาก็จะมาแกล้งเราอีก ?
ตอบ : ก็ทำสิจ้ะ ให้รู้ซะบ้างว่าไผเป็นไผ
ถาม : ถ้าเกิดเขามีโทษนี่ เราจะไม่เกิดกรรมหรือคะ ?
ตอบ : เกิดจ้ะ แต่ว่าโดยนิสัยอาตมาสันดานส่วนตัวอยู่ในลักษณะว่า เราไม่ทำเขาก็ถือเป็นบุญของเขาแล้ว ถ้าเขามาทำเราก็ถือว่าเป็นความซวยของมัน นี่นิสัยส่วนตัวเลยนะ ไม่แนะนำให้ใครใช้ เพราะฉะนั้นถ้าคนอื่นเริ่มก่อนอาตมาสวนกลับนี่หนักกว่าหลายเท่าเลย นี่มันสันดานส่วนตัวเป็นอย่างนี้มาตลอด
ถาม : ตอนนั้นทุกข์มากเลย ?
ตอบ : ไม่ต้องทุกข์หรอกจ้ะ ถ้าเป็นอาตมาก็ไม่ยากหรอก บอกผู้บังคับบัญชาก็เรียบร้อยเลย หลักฐานทุกอย่างพร้อม
ถาม : ถ้าเราทำผิดไปแล้วก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ?
ตอบ : เสียเวลาจ้ะ ตั้งหน้าตั้งตาคิดถึงแต่ความดี จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา จิตถ้าไม่เศร้าหมองยังไงก็ไปสุคติอยู่แล้ว ชั่วแล้วห้ามคิด ให้รีบทำดีเอาไว้ให้ชิน
ถาม : การทำสมาธิโดยใช้ลมปราณนี่ทำให้มีพลังจิต ?
ตอบ : คือมันได้ทั้งพลังกายและก็พลังจิต แต่ว่าการทำสมาธิแบบใช้ลมปราณภายในนี่มันมีจุดบกพร่องใหญ่อยู่จุดหนึ่ง ก็คือว่าพอร่างกายมันดี ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มันก็พลอยดีไปด้วย เพราะว่าการใช้พลังปราณมันเป็นการกระตุ้นภายใน จักระบางแห่งอย่างเช่นว่าจุดศูนย์ใต้สะดือ มันจะเป็นจุดที่กระตุ้นแล้วจะเกิดอารมณ์เพศได้ง่าย แต่ว่ามันจะดีกับร่างกาย เพราะมันทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ฉะนั้นก็เลือกเอาว่าจะเสี่ยงกับมันมั้ย ? แหล่งพลังงานบางจุดมันก็ให้พลังงานมหาศาลจนนึกไม่ถึง เพียงแต่เราจะควานมันเจอไหม
ถาม : แต่ว่าทางศาสนาพุทธนี่ไม่แนะนำให้ ?
ตอบ : คือวิธีที่พระพุทธเจ้าท่านบอกเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ว วิธีอื่นมีผลเหมือนกันแต่มันช้า ท่านใช้คำว่าเป็นธรรมอันเนิ่นช้า มีอยู่ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าท่านเสด็จออกจากป่าประดู่แล้วก็กำใบประดู่ลายมากำมือหนึ่ง ตรัสถามภิกษุว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใบประดู่ในกำมือตถาคตกับใบประดู่ในป่าอันไหนมากกว่ากัน พระท่านก็บอกว่า ใบประดู่ในป่ามากกว่าจนประมาณไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ภิกขเว ดุก่อนภิกษุทั้งหลาย นั่นแหละสิ่งที่ตถาคตรู้คือใบประดู่ในป่า แต่ที่ตถาคตสอนพวกเธอคือใบประดู่กำมือเดียว คือสิ่งที่ท่านสอนนนี่มันมุ่งตรงเป๊ะเลยไม่เสียเวลาด้วย อันอื่นไม่ใช่ท่านไม่รู้ ท่านรู้แล้วเพียงแต่ว่ามันยังมีจุดบกพร่องอยู่อะไรอยู่
ปัจจุบันบางสำนักก็ยังมีการสอนลักษณะนั้น จะมีการเดินลมปราณในลักษณะคล้าย ๆ กับเปิดแหล่งพลังงานในร่างกายบ้างก็มี มีการฝึกทรมานตัวเองถึงขนาดต้องไปนอนแช่อยู่ในอุจจาระปัสสาวะก็มี สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นพระพุทธเจ้าท่านหัดมาแล้ว และก็ทำหนักกว่าคนอื่นเขาด้วย ท่านยืนยันว่าไม่บรรลุมรรคผล อย่าลืมว่าท่านเรียนมาจนหมดแล้ว ไปไม่รอดแล้วท่านถึงมาเริ่มด้วยตนเอง จะลองดูมั้ยเผื่อบรรลุเร็ว
ถาม : (ไม่ชัด) ?
ตอบ : อย่าไปให้ความสนใจมันสิ ถ้าเราให้ความสนใจมันเมื่อไหร่ มันก็จะมีผล ถ้าเราไม่ให้ความสนใจมันก็ไม่มีผล ลักษณะของราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็เหมือนกัน มันเป็นคุณสมบัติประจำร่างกายนี้ ตราบใดที่ยังมีร่างกายนี้อยู่ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มันก็ยังคงมีอยู่ของมัน เพียงแต่ว่าเราอย่าไปสนใจมัน อย่าไปให้ความร่วมมือมัน อย่าไปนึกคิดปรุงแต่งเพิ่มเติมกับมัน ถ้าหากว่าเราสามารถทำได้อย่างนี้มันก็เกิดไม่ได้ ไม่มีคนไปร่วมมือใส่ฟืนใส่ไฟให้กับมันที่ไหนมันจะลุกต่อได้ล่ะ
ถาม : ถ้าเป็นวิญญาณเป็นอะไรนี่ ไม่มีสังขารก็ไม่มีกิเลส ?
ตอบ : มีจ้ะ เพราะว่าสภาพจิตของเขายิ่งภพภูมิต่ำเท่าไหร่มันก็ยิ่งมืดบอดเท่านั้น ขนาดเทวดาพรหมก็ยังมีอยู่ ยังมีในส่วนที่ต้องขวนขวายเพื่อให้หลุดพ้นจากภูมินั้นเข้าสู่ที่สุดของท่าน ก็ยังลำบากอยู่ดี ถามว่า เทวดามีกิเลสไหม มี กิเลสละเอียดกว่าเราเยอะ ประณีตกว่าเราเยอะ
เพราะว่าทุกอย่างอยู่ในความเป็นทิพย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสแต่สิ่งที่เป็นทิพย์ ในเมื่อมันยิ่งละเอียดมันก็ยิ่งละยาก กลายเป็นว่าเราได้เปรียบท่านซะด้วยซ้ำไป ทำให้จริงเถอะ ท่านสบาย ท่านได้เปรียบเราตรงที่ว่าอย่างน้อย ๆ อัตภาพที่จะทุกข์ของท่านมันไม่ทุกข์เหมือนกับร่างกายของเรา มันจะมีส่วนทุกข์ของใจ ถ้าหากว่าจะดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากจุดนั้น
ถาม : เรื่องของอานาปานสติครับ คือถ้าภาวนาพุทโธหรืออะไรไปก็ตามเราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสมาธิเราจะหลุดไปเมื่อไหร่ ผมก็เลยลองใช้วิธีนับ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ไปเรื่อย ปรากฎว่ามันมาหายที่ประมาณ ๒๐๐ กว่า ๆ นั่นแสดงว่าสมาธิเสียหรือว่ามันเข้าไป ?
ตอบ : มี ๒ อย่าง อย่างแรกคือสติขาด อย่างที่สองคือเริ่มเป็นปฐมฌานอย่างหยาบ ถ้าอย่างหยาบจิตกับประสาทมันจะเริ่มแยกออกจากกัน มันก็เลยทำให้ลืมหายใจแล้วก็ลืมนับไป
ถาม : ถ้าอย่างนี้สติกับสมาธิต้องอยู่ด้วยตลอด ?
ตอบ : สติกับสมาธิต้องไปด้วยกันตลอด ขาดสติเมื่อไหร่มันก็เหมือนกับเคลิ้มหลับไป
ถาม : อย่างนี้ถ้าเป็นฌาน ๔ ?
ตอบ : ก็รู้อยู่ตลอด เพียงแต่มันไม่สนใจอันอื่นที่นอกเหนือจากที่รูู้อยู่ตรงหน้าเท่านั้น จิตกับประสาทแยกจากกันเด็ดขาด ตอนนั้นตะโกนกรอกหูก็ไม่ได้ยิน เพราะเขาเอาแต่เฉพาะหน้า มันจะสุขเยือกเย็นสว่างไสวอยู่เฉพาะหน้าจุดเดียว
ถาม : (ไม่ชัด) ?
ตอบ : เอาเป็นว่าสติมันขาดเพราะสมาธิไม่พอ สรุปแล้วทั้งคู่เลย ถ้าสมาธิพอสติมันจะไม่ขาด
ถาม : มีอยู่ครั้งหนึ่งจับอานาฯ ส่วนมากจะเป็นตอนที่ภาวนาจนหลับไป จิตมันจะรวม มันแบบเคลื่อนอกไปแล้วไปรวมเป็นดวง พอเราตามไปแต่ก็ยังไม่ถึงกับสนใจดีมันก็จะหายไป แสดงว่าไปสนใจมัน ?
ตอบ : เขาให้รู้ไว้เฉย ๆ กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ บางสำนักเขาให้ใช้คำว่ารู้หนอ ๆ แทน แค่นั้นเองถ้าเราไปให้ความสนใจมัน จะติดตามมัน จะบังคับมันเมื่อไหร่ ก็เป็นอันว่าพังเมื่อนั้น เพราะว่าตรงนั้นความฟุ้งซ่านมันเกิดแล้ว คือตัวอุทธัจจะมันเกิดขึ้น แล้วเราต้องการจะปรุงแต่งก็แปลว่านิวรณ์มันเข้ามา พอนิวรณ์เข้ามาความเป็นฌานมันสลายตัวไป สิ่งที่ควรจะรู้จะเห็นมันก็เลยไปด้วย ต่อไปกำหนดรู้ไว้เฉย ๆ จ้ะ
ถาม : อ่านในหนังสือหลวงพ่อ ที่พูดถึงหลวงพ่อคล้ายนี่ ใช่หลวงพ่อคล้ายวาจาสิทธิ์ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ องค์นี้หลวงปู่คล้ายเจ้าอาวาสวัดบางนมโค หลวงปู่คล้ายถ้าหากว่าตามประวัติบางทีเราอ่านไม่เจอเลย แต่บางคนก็เจออยู่ ที่ท่านถามหลวงปู่ปานว่า อยากดูช้างมั้ย ? พอหลวงปู่ปานบอกว่า อยากดู ท่านก็เอาผ้าอาบของท่านวางลงบนพื้นกลายเป็นช้างตัวเบ้อเริ่มเลย อยากขี่ไหม ? ก็ให้ขี่ ตอนที่หลวงพ่อท่านเล่าว่าผู้ที่มีบารมีดีย่อมมีครูบาอาจารย์ดี นั่นน่ะท่านจะกล่าวถึงครูบาอาจารย์ของหลวงปู่ปาน แล้วท่านก็สรุปว่า หลวงปู่ปานสร้างบารมาดีถึงได้มีครูบาอาจารย์ดี ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่คล้าย หลวงปู่สุ่นอย่างนี้ หรือไม่ก็หลวงพ่อเนียม หลวงพ่อโหน่ง
ถาม : ถ้าเรายังไม่ได้มโนเราต้องทำอย่างไรบ้าง ถ้าเราแบบ ?
ตอบ : ไม่จำเป็นจ้ะ เอ้า กติกาการไปนิพพาน ๑. เคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ ๒. เคารพพระธรรมจริง ๆ ๓. เคารพพระสงฆ์จริง ๆ ๔. รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ๕. คิดว่าตายแล้วจะไปนิพพาน มีข้อไหนบอกว่าต้องได้มโนบ้าง ไม่มี สรุปแล้วต่อให้เป็นวิชชา ๒ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ก็ตาม ท้ายสุดมันก็จะมาลงที่สุกขวิปัสสโก คือมันต้องอาศัยปัญญา เพียงแต่ว่าบุคคลที่มีกำลังของวิชชา ๒ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ นี่ มันเหมือนกับคนที่แข็งแรงมาก ยิ่งแข็งแรงมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะหยิบอาวุธที่มีความคมกล้าและก็หนักหน่วง เพื่อเอามาตัดโค่นต้นกิเลส มันก็ยิ่งสามารถจะหยิบได้ง่าย ตัดโค่นได้ง่ายกว่าคนอื่นเขามันได้เปรียบกว่ากันตรงนี้ แต่ถ้าหากเรารู้ว่ากำลังน้อย หยิบอันเล็กขึ้นมาค่อย ๆ ตัดค่อย ๆ ฟันไปไม่ขี้เกียจซะอย่าง มีความขยันหมั่นเพียรเป็นปกติมันก็ถึงได้เหมือนกัน
ถาม : คำว่า มาร นี่ คือมารที่มีชีวิต มีตัวตนจริง ๆ ?
ตอบ : มีตัวตนจริง ๆ ขอยืนยันมีจริง ๆ มันฟัดอาตมาเกือบตายมาแล้ว
ถาม : รูปร่างหน้าตาเป็นยังไงครับ ?
ตอบ : อธิบายไม่ถูกเพราะมันพิลึกพิลั่นเหลือเกิน ต้องใช้คำว่ามันเป็นยังไงล่ะ อภิสังขาร คือมันเหนือการปรุงแต่ง แล้วแต่ว่ามันจะให้เป็นยังไง มันก็เป็นอย่างนั้น อย่างพวกคุณก็สามารถเป็นมารได้ อาตมาก็สามารถเป็นมารได้ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างของเราไม่ว่า คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ มันสามารถเอาเป็นเครื่องมือเพื่อที่จะเล่นงานเราได้ทั้่้งหมด
ถาม : ตัวมารนี่ก็มีความสามารถมีความคิดเอาอะไรมาเล่นงานเราได้ ?
ตอบ : สุดยอดของอะไรล่ะ ต้องใช้คำว่า สุดยอดของฝ่ายชั่วเขาเลย
ถาม : แล้วอยู่ภูมิไหน ?
ตอบ : เหนือกว่าเทวดาต่ำกว่าพรหมนิดหนึ่ง จะอยู่สวรรค์ชั้นที่ ๖
ถาม : ไม่ดีขนาดนี้แล้วยังไปอยู่สวรรค์ได้หรือคะ ?
ตอบ : ใครว่าท่านไม่ดี มาร แปลว่า ผู้ฆ่า ผู้ขัดขวาง คือฆ่าเราจากความดี ขวางเราจากความดี แต่ถ้าเราสามารถผ่านตรงจุดนั้นไปได้ท่านจะกลายเป็นผู้หนุนเสริมที่ดีที่สุด เพราะว่ายังไง ๆ ข้อสอบตรงจุดนั้นเราผ่านมาแล้ว เราไม่มีวันสอบตกอีก เพราะฉะนั้นมารไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นครูที่ดีที่สุดของเรา เพียงแต่ว่าท่านขยันเหลือเกิน เผลอเมื่อไหร่สอยเราเมื่อนั้น พลาดวินาทีไหนก็ร่วงเมื่อนั้น
ถาม : ทุกคนเลยใช่มั้ยครับ ?
ตอบ : ทุกคนเลย ก็บอกแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรานี้เขาใช้งานได้หมด ไม่ว่าจะที่เราเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม สังเกตไหมว่าบางทีชอบ ๆ หน้ากันอยู่แท้ ๆ แยกเขี้ยวใส่กันแล้ว
ถาม : อย่างนี้โดนของหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอกจ้ะ ต้องใช้คำว่ามารดลใจ เขามีตัวมีตนมีอะไรจริง ๆ ทุกอย่างเลย เพียงแต่ว่าเราจะสามารถรู้เห็นเท่าทันเขามั้ย มารกับความดีมารอยเดียวกันเป๊ะ ยกเว้นก้าวสุดท้าย ก้าวสุดท้ายความดีพาเราขึ้นแต่มารมันดึงเราลง ไม่ต้องกลัวจ้ะ ทำเป็นนักเรียนที่ชอบก็แล้วกันชอบการเรียนชอบข้อสอบ ถ้าเราทำตัวอย่างนั้นได้มารไม่น่ากลัวหรอกจ้ะ สนุกซะอีก สอบได้กำไร สอบตกได้บทเรียน สรุปแล้วได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่มีอะไรเสียเลย เดี๋ยวต่อไปมาข้อสอบอย่างนั้นอีกครั้งหนึ่ง ถึงจะสอบตกอีกมันก็ตกไม่หนักเท่าครั้งแรกแล้ว
พอย้ำเข้าหลาย ๆ ทีเดี๋ยวมันก็ผ่านไปเอง ใครโดนบ่อย ๆ ขอให้รู้เถอะว่า สิ่งที่คุณทำนั่นน่ะมันใกล้ความดีมากแล้ว แต่ถ้าคนไหนนาน ๆ โดนทียังห่วยเกินไป เขาไม่อยากจะแล ตั้งใจจะละตัวไหนจะตัดตัวไหนมันเอาตัวนั้นมาเลย อยากรู้ว่าแน่จริงแค่ไหน เห็นหรือยังว่าฝีมือเขาขนาดไหน
ถาม : คือกำลังคิดว่าเป็นเพราะอกุศลกรรม ?
ตอบ : อกุศลกรรมนั่นล่ะกำลังเขาเลย แต่ว่าตัวตนเขามีจริง ๆ นะ
ถาม : เราจำเป็นต้องไปดูดวงชะตามั้ยคะ ?
ตอบ : ดวงก็คือบุญเก่ากรรมเก่าที่เราทำมา เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราตั้งหน้าตั้งตาทำตอนนี้ให้ดี ดวงมันก็มีผลหน่อยเดียว เพราะกำลังความดีพอมันสูง มันก็จะส่งผลให้ดวงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย
เพราะว่าปัจจุบันนี้อีกหนึ่งวินาทีข้งหน้ามันก็คืออดีตแล้ว กรรมที่ส่งผลในปัจจุบันนี้มาจากอดีตทั้งสิ้น ในเมื่อเราทำปัจจุบันให้ดีไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันก็กลายเป็นความดีในอดีตและส่งผลให้ปัจจุบันข้างหน้าของเราดีขึ้น ถ้าหากว่ามั่นคงในพระรัตนตรัยไม่ต้องไปดูดวงให้เสียเวลาหรอกจ้ะ คนมันถามว่าเขม่นตาซ้ายจะเป็นอย่างไร บอกลาภใหญ่จะมา แล้วเขม่นตาขวาล่ะ ลาภที่ใหญ่กว่านั้นอีกจะมา สรุปแล้วอะไรเกิดขึ้นอาตมาว่าดีทั้งนั้น
|