ถาม :  ในกรณีพระเทวทัตและพระเจ้าอชาตศัตรู ที่หลวงพ่อว่าตกนรกไปอเวจีก็ลงไม่นาน ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะครับ ที่เป็นอย่างนี้เฉพาะกรณีหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไม่ทุกกรณี มีบุคคลเป็นจำนวนมาก กล่าวว่า พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู ย่อมต้องรู้อยู่ว่าพระเทวทัตเข้ามา แล้วจะทำสังฆเภท แล้วทำไมถึงยังรับเข้ามาบวช ตัวนี้แหละที่เราจะเห็นน้ำพระทัยของท่านว่าเปี่ยมไปด้วยความเมตตาจริง ๆ ศัตรูที่ตามจองล้างจองผลาญมาทุกครั้งที่เกิดร่วมชาติกัน ท่านยังเมตตาสงเคราะห์เขาเพราะท่านรู้ว่า ถึงไม่รับเขาเข้ามาเขาก็หาทางทำลายล้างท่านอยู่แล้ว ซึ่งมันมีแต่โทษโดยส่วนเดียว แต่ว่าถ้ารับท่านเข้ามาแล้ว สอนให้ปฏิบัติในขั้นต้นท่านจะได้อภิญญา แล้วตรงจุดนี้เป็นกุศลมหาศาลก็เลยช่วยบรรเทาโทษไปได้ อย่างชนิดที่เรียกว่าจากหนักกลายเป็นเบา
              แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ ก่อนที่จะโดนธรณีสูบหมดตัว พระเทวทัตท่านเอ่ยปากขอขมา ด้วย ๒ เหตุนี้รวมกันก็เลยทำให้โทษท่านน้อย แต่ว่าถ้าสิ้นศาสนานี้ก็จะพ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว ก็ไปเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้ตรงจุดนี้แย่แน่ ๆ เลย ถ้าคนอื่นมีอยู่ในลักษณะที่นี้ที่เขากล่าวว่าครุกรรมฝ่ายกุศล
              ครุกรรมฝ่ายกุศลก็คือ ๑. ถ้าหากว่าทรงฌานสมาบัติได้ ๒. ได้ทำบุญกับพระที่ออกนิโรธสมาบัติ ครุกรรมอันนี้จะเห็นผลทันตา เห็นผลทันตาก็คือ ส่งผลในชาตินี้ คนที่ได้สมาบัติโดยเฉพาะสมาบัติ ๘ กำลังใจของเขาสบายมากอยู่แล้วใช่ไหม มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก อย่างบางคนติดอยู่แค่นั้นไม่ไปนิพพานกัน ส่วนผู้ที่ทำบุญกับพระที่ออกนิโรธสมาบัติก็จะรวยในวันนั้น พระเทวทัตท่านได้อภิญญาได้สมาบัติอยู่แล้ว กุศลตัวนี้ก็เลยไปบรรเทาโทษจนเหลือแค่หน่อยเดียวในสายตาของเรา ไม่อย่างนั้นลงอเวจีอายุเป็นกัป ท่านลงแค่ประมาณ ๕,๐๐๐ ปีแค่นั้น
      ถาม :  แล้วอย่างกรณีพระเจ้าอชาตศัตรูล่ะครับ ?
      ตอบพระเจ้าอชาตศัตรู พอท่านรู้ตัวว่าท่านทำไม่ดีกับพ่อท่าน พอดีกับลูกคลอดพระมเหสีก็มีพระประสูติกาล ปรากฎว่าพอรู้ตัวเองปุ๊บ ความรักลูกมันเต็มหัวใจเข้ามา ก็เลยทำให้ท่านนึกขึ้นมาได้ว่า ที่ท่านขังพ่อทรมานพ่อให้อดข้าว นั่นเป็นความผิดพลาดอย่างมหาศาลเพราะว่า คนเป็นพ่อแม่รักลูกขนาดไหน รักลูกขนาดนี้เอง ก็เลยรีบให้ราชบุรุษไปปล่อยตัวพระเจ้าพิมพิสารออกมา แต่ว่าไม่ทัน พระเจ้าพิมพิสารสิ้นพระชนม์เสียก่อน พอท่านทราบอย่างนั้นก็เกิดเดือดเนื้อร้อนใจ วิปปฏิสาร เกิดเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมา นอนไม่หลับติดต่อกันหลาย ๆ คืน จนกระทั่งผอมซูบซีดไปและทนความรู้สึกทรมานในบาปกรรมตัวเองไม่ไหว ก็ไปกราบสารภาพกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็เทศน์สามัญญูผลสูตรให้ฟัง จนกระทั่งท่านคลายใจจากตรงจุดนั้น ว่า เออ! คนเราถึงทำชั่วไปแล้วแต่ถ้าหากว่าเราไม่ไปคิดถึงความชั่วนั้น ตั้งหน้าตั้งตาทำดีกรรมดีก็ยังส่งผลให้ได้อยู่ ความจริงแล้วถ้าหากเทศน์สามัญญูผลสูตรจบ ถ้าท่านไม่มีโทษตรงที่ทำอนัตริยกรรมฆ่าพ่อ ท่านจะเป็นพระโสดาบัน โทษตัวนี้มันปิดมรรคผลอยู่ท่านเป็นไม่ได้ ตั้งแต่นั้นมาพอท่านสบายใจ กลับไปกินได้นอนหลับ ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำนุบำรุงพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ ถึงขนาดที่เรียกว่า เป็นศาสนูปถัมภกคนสำคัญ
              จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายพอหลังพุทธปรินิพพานไปแล้ว ๓ เดือน ก็ยังเป็นองค์อุปถัมภ์ในการสังคายนาพระไตรปิฎกอีก ท่านทำบุญมหาศาลขนาดนั้น โทษจากหนักก็เลยกลายเป็นเบาแทนที่จะลงอเวจีมหานรก ก็ไปลงสัญชีพนรกแทน ของเราไม่ชั่วขนาดนั้นหรอก ยังพอมีหวังอยู่
      ถาม :  แล้วอย่างกรณีสังฆเภท ถ้าฆราวาสไปมีส่วนให้พระแตกกันทำอย่างไร ?
      ตอบ :  ก็ยุ...เอาเรื่องข้างนี้ไปพูดกับข้างโน้น เอาเรื่องข้างโน้นไปพูดกับข้างนี้ จนกระทั่งเขาเหม็นขี้หน้ากัน ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างอยู่นี่โทษยังไม่เกิดจริง โทษของสังฆเภทจริงต่อเมื่อ เขาแยกโบสถ์กันทำสังฆกรรม อยู่วัดเดียวกัน
      ถาม :  ถ้าอยู่คนละวัดล่ะคะ ?
      ตอบ :  อยู่คนละวัดมันปกติอยู่แล้ว นี่เขาแยกกันคนละโบสถ์ แต่ถ้าวัดเดียวกันแยกโบสถ์เมื่อไหร่ ก็สังฆเภท ชัดเลย
      ถาม :  แล้วสมมติว่าความเชื่อของแต่ละอย่าง สายหนึ่งไปพูดว่าอีกสายหนึ่ง เถียงกันไปเถียงกันมาก็ยังไม่ถึงสังฆเภทหรือครับ ?
      ตอบ :  ยัง ตัวอย่างชัดที่สุด ภิกษุโกสัมพี ฝ่ายหนึ่งเป็นธรรมธร คือนักปฏิบัติ ฝ่ายหนึ่งเป็นวินัยธรคือแม่นตำรา วันหนึ่งพระอาจารย์ใหญ่ที่เป็นฝ่ายธรรมธรท่านเข้าห้องน้ำพอดี ฝ่ายวินัยธรท่านตามเข้าไป พอเข้าไปถึงก็เห็นว่าท่านคาน้ำเอาไว้ที่กะโหลก กะโหลกก็คือ ใช้กะลามะพร้าวที่เขาใช้ราดส้วมคาน้ำอยู่หน่อยหนึ่ง ฝ่ายวินัยธรท่านแม่นตำรา ท่านก็ตำหนิเอาว่า ท่านทำอย่างนี้ไม่ถูก มันต้องอาบัติ เพราะถ้าหากว่าไปคาทิ้งไว้อย่างนั้น พวกยุงมันไข่ลงไป มันจะกลายเป็นลูกน้ำ ถ้าเกิดไปราดลงพื้น มันตายก็ต้องอาบัติอยู่แล้ว ฝ่ายธรรมธรท่านก็ดี คือ ท่านเป็นนักปฏิบัติอยู่แล้วใช่ไหม ? ท่านก็บอกว่ากระผมยังไม่รู้ถึงสิกขาบทนี้ เมื่อพระคุณท่านเมตตาบอก กระผมก็ขอแสดงคืนอาบัติ คือจะขอแสดงอาบัติด้วย
              คราวนี้มาเสียตรงพระวินัยธรท่านบอกว่า เออ! รู้ตัวแล้วก็ไม่เป็นไรหรอก พอตัวเองบอกเขาว่าไม่เป็นไรหรอก พระธรรมธรท่านก็สบายใจ ท่านก็ไปปฏิบัติของท่านต่อ แต่พระวินัยธรไปพูดกับลูกศิษย์ว่า พระธรรมธรเป็นนักปฏิบัติประสาอะไร ลูกศิษย์ลูกหาเต็ม อาบัติแค่นี้ก็ไม่รู้ ถ้าพูดแค่นี้ก็ยังไม่มีปัญหา มีปัญหาตรงลูกศิษย์ปากคันไปพูดกับลูกศิษย์ถึงอีกฝ่ายหนึ่งว่า เฮ้ย! อาจารย์เอ็งเฮงซวยมากเลย อาบัติแค่นี้ก็ไม่รู้ สอนพวกเอ็งมาได้อย่างไร ? ทางด้านโน้นก็ไปบอกอาจารย์ บอกว่าลูกศิษย์ทางโน้นเขามาบอกว่า เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ๆ อาจารย์ฝ่ายธรรมธรก็ยัวะขึ้นมาว่า พระวินัยธรสับปลับนี่หว่า ตอนนั้นบอกว่าไม่เป็นไร แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาเผาตูอีก ก็เลยทะเลาะกันไปใหญ่โต กลายเป็นแบ่งเป็นคนละฝ่ายไป ขนาดพระพุทธเจ้าเสด็จไปห้ามด้วยตัวเองแล้ว ไม่ฟังท่านก็เลยต้องหนีไปอยู่ในป่า
              จนกระทั่งชาวบ้านทั้งหลายเห็นว่าพระพุทธเจ้าต้องไปลำบากลำบนอยู่ในป่าก็เพราะว่าลูกศิษย์ไม่สามัคคีกัน ก็เลยใช้วิธีลงโทษ ลงโทษด้วยการไม่ใส่บาตรให้กิน พออดข้าวไม่มีแรงทะเลาะกันไม่ไหว ก็เลยต้องเข้าไปหาผู้นำชาวบ้านบอกว่า ตกลงว่าจะสามัคคีกันแล้ว ผู้นำชาวบ้านก็บอกว่า แค่นี้ยังไม่พอต้องไปขอขมาพระพุทธเจ้า แล้วก็ทูลอาราธนาท่านออกมาจากป่าเสียก่อนถึงจะยอมยกโทษให้ ทั้งสองฝ่ายก็เลยต้องตกลงจับมือสามัคคีกันไปทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าออกจากป่ามา ไม่อย่างนั้นยังไม่ได้กินหรอก ชาวบ้านอย่างนั้นปัจจุบันไม่ค่อยมี มันน่าจะเอาเสียที จริง ๆ แล้วมีนะแถว ๆ ทองผาภูมิใกล้ ๆ วัด แต่บิณฑบาตไม่ได้กิน แกให้ลูกศิษย์หุง
      ถาม :  เรื่องของการเป่ายันต์เกราะเพชร บอกว่ามีที่สามารถจะเป่าได้ทั้งหมด ๙ รูปใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  หมายถึงว่า บุคคลที่หลวงพ่อท่านครอบครูการเป่ายันต์เกราะเพชรให้ มีอยู่ ๙ องค์ด้วยกัน ไม่ใช่ผู้ที่สามารถทำได้ ผู้ที่สามารถทำได้ ไม่แน่จะถึง ๙ หรือเกิน ๙ ก็ได้
      ถาม :  แถวบ้านผมเขามีวิ่งควาย แล้วเจ้าอาวาสมีเป่ายันต์เกราะเพชรด้วย แต่ว่า “เกาะ” ของเขาจะไม่มี “ร” ครับ เป็น “เกาะ” จริง ๆ
      ตอบ :  อันนั้น ของเขาทำไว้เพื่อความมั่นคง จะได้เกาะ มีเยอะต่อเยอะด้วยกัน อย่างหลวงพี่แป๊ะ วัดสว่างอารมณ์ จังหวัดนครปฐม อันนั้นก็ไปหาหลวงพ่อชนิดที่เรียกว่า หัวไม่วางหางไม่เว้น แต่แกเป่ายันต์เกราะเพชรวันอาทิตย์ ก็คิดเอาก็แล้วกัน สมัยนั้นหลวงพ่อท่านบอกว่า เล็ก ถ้าต่อไปข้างหน้าใครบอกว่าเป็นลูกศิษย์ข้า ๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะว่า มันมาหาข้าวันหนึ่งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ปีหนึ่งก็หลายพันคนแล้ว ถ้าเขาไปบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ? เหมือนอย่างกับสมัยหลังที่คนโน้นก็ลูกศิษย์หลวงปู่ปาน คนนี้ก็ลูกศิษย์หลวงปู่ปาน แต่ท่านบอกว่าให้สังเกตไว้อย่างหนึ่งว่า เขาดำเนินปฏิปทาตามรอยข้าหรือเปล่า ถ้าหากว่าทำตาม คุณไม่ประกาศว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ท่านก็เต็มใจรับ
      ถาม :  ในการเป่ายันต์เกราะเพชร จะมีตานแขวนและของมีคม ?
      ตอบ :  อ๋อ! อันนั้นแสดงว่าหลายครูบาอาจารย์รวมกัน ตานใช้ตานแทนที่มาทางสายเหนือ ของหลวงปู่ครูบาชัยวงษ์ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย
      ถาม :  ที่บอกว่าโรคหรือกรรมสามารถถึงพระอรหันต์ได้ ดูอย่างหลวงพ่อท่านก็ยังเจ็บป่วย แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ท่านทรงฌาน ๔ ตลอดเวลา ท่านสามารถรู้ทันไปหมด และอย่างโรคอัลไซเมอร์ จะไปทำอะไรท่านได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  เคยเจอไหมล่ะ ท่านที่เป็นไม่มีลักษณะของพระที่เรียกว่า หลงลืมบ้างตามประสาคนแก่ทั่ว ๆ ไป มีแต่ว่าสติที่มั่นคงเฉพาะหน้า ร่างกายนี้ไม่ดีอย่างไร ไปนิพพานเชื่อว่าท่านไม่ลืมหรอก เท่าที่ปรากฏมา อย่างเช่นหลวงปู่ทองเทศ หลวงปู่บุดดา อายุ ๑๐๐ กว่าปีแล้วไม่เห็นท่านความจำเสื่อมเสียที
      ถาม :  แต่ลืมก็มีบ้างหรือคะ ?
      ตอบ :  ลืมก็มีบ้าง หมายความว่าสภาพร่างกายคนแก่ขนาดนั้น จากประสบการณ์ที่ตัวเองเจอมายังไม่เคยเห็นท่านลืมเลย หลวงปู่มหาอำพัน อายุ ๘๘ ปี ลูกศิษย์มากี่คนทักชื่อถูกหมด ถามไปถึงลูก ถึงหลาน ถึงเหลนด้วย มีกี่คน จำได้อยู่
      ถาม :  แล้วประเภทที่รู้แต่ชื่อเล่น แต่รู้ว่าชื่อจริงเขาด้วยว่าชื่ออะไร มีไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าบอกท่าน ๆ ก็รู้อยู่แล้ว ถ้าไม่บอกท่าน ถ้าเป็นพวกอภิญญาหรือปฏิสัมภิทาญาณ ก็ปิดท่านไม่ได้เหมือนกัน บางทีคุยเผลอ ๆ เรายังไม่ทันจะบอก ท่านหลุดออกมาเสียแล้วอย่างนี้
      ถาม :  พวกฤๅษี ปู่ฤๅษีทั้ง ๑๐๘ พระองค์ จริง ๆ แล้วท่านเป็นอะไรคะ ?
      ตอบ :  บรรดาฤๅษีต่าง ๆ สมัยเก่า ส่วนใหญ่ท่านจะชำนาญอภิญญา มักจะเกิดเป็นพรหม แต่ว่าน้อยรายที่จะเป็นสุทธาวาสพรหม ที่พระอริยเจ้าตั้งแต่อนาคามี เพราะส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวก อรูปพรหม หรือไม่ก็พรหมโลกียะตั้งแต่ ๑-๑๑ หรือไม่ก็เล่นไปโน่นเลย ๑๗-๑๘ ๑๙-๒๐ แต่ชั้น ๑๒-๑๖ ไม่ค่อยจะเป็นกัน เพราะฉะนั้นถ้าเอ่ยถึงคำว่า ฤๅษี ให้นึกถึงพรหมไว้ก่อน
      ถาม :  อย่างหลวงปู่ฤๅษีตาไฟ ฤๅษีนารอท ฤๅษีนารายณ์ อะไรอย่างนี้ ท่านเป็นพรหมมาหรือคะ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพรหม เพราะว่ามักจะชำนาญในอภิญญาสมาบัติกันทั้งนั้น เพราะเป็นอภิญญาโลกีย์
      ถาม :  .....................................
      ตอบ :  ฤๅษีต่าง ๆ อย่าง ฤๅษีนารอท ฤๅษีตาไฟ ฤๅษีตาวัว เป็นต้น ท่านมักจะเป็นที่พึ่งของชาวบ้าน โดยเฉพาะเรื่องของการรักษาโรคโดยสมุนไพร ใบยา คราวนี้ชาวบ้านเจ็บป่วยกันเยอะมาก แล้วแต่ละคนก็อยู่ไกล ๆ ไม่เหมือนสมัยนี้ มีรถ มีเรือ มีเครื่องบิน สมัยก่อนส่วนใหญ่เดินเท้าหรือขี่เกวียน พอคนเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ด้วยความเมตตาประจำใจของท่าน ท่านก็ใช้วิธีประกอบยาแล้วก็เสกลักษณะเหมือนกับปล่อยของ คือให้ยามันวิ่งไปหาคนเพื่อจะไปรักษาคนคนนั้น
              แต่สมัยหลังมันเล่นเอามาเสกอย่างอื่นแล้วก็ปล่อยไปเข้าพุงกัน แสดงว่าวิชาการดีขนาดไหนก็ตามแต่มันจะต้องมีไอ้แสบซักตัวหนึ่งที่มันนอกคอกไปจนได้ ลักษณะปล่อยคุณปล่อยของอะไรต่าง ๆ ก็คือลักษณะที่สมัยก่อนท่านใช้ในการรักษาโรคนั่นเอง
      ถาม :  แล้วอย่างนี้คนที่เป็นลูกศิษย์ที่ไปครอบครูไปอะไรกันมา เขาทำแบบไปอวด ?
      ตอบ :  กรรมใครกรรมมัน
      ถาม :  แล้วพระฤๅษีท่านไม่ ?
      ตอบ :  ไม่รู้จะช่วยยังไง อย่าลืมว่าพรหมนี่ท่านวางเฉยได้มากกว่าเทวดาอีกนะ
      ถาม :  อ๋อ แสดงว่าบางทีอาจจะมีพวกเปรต พวกอสุรกายมาสวมรอยเป็น?
      ตอบ :  ไอ้พวกแอบอ้างน่ะเยอะต่อเยอะด้วยกัน
      ถาม :  ถ้าเป็นลูกศิษย์จริง ๆ ท่านจะไม่ให้เขาทำชั่วร้ายอย่างนั้นใช่ไหมคะ?
      ตอบ :  ก็ห้ามเขาไม่ได้เหมือนกัน ถ้ามันอยากจะทำซะอย่างไม่รู้จะห้ามมันยังไง
      ถาม :  แล้วถ้าเกิดเขาอาราธนาบารมีพ่อปู่ฤๅษีของเขาแล้วมาทำ ?
      ตอบ :  คือคนเรานี่ ขนาดมันอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้ามันยังโกงมาซะเยอะเลย อย่างเมื่อกี้ที่เขาถามว่าอะไร ลูกศิษย์หลวงพ่อ ๆ แล้วก็ยืมสตางค์ไป มันไปใจอ่อนเพราะคำว่าลูกศิษย์หลวงพ่อ และก็ปรากฏว่าคนบอกว่าลูกศิษย์หลวงพ่อศีล ๕ ขาดมันซะทุกข้อเลย อย่างนั้นไหวไหม ไม่ไหวนะ
      ถาม :  บางคนเขาบอกว่าพ่อปู่ฤๅษีตาไฟเป็นองค์เดียวกับพระอิศวร ?
      ตอบ :  อันนี้อาตมาไม่ทราบจ้ะ เอาไว้ถ้ามีโอกาสเจอเดี๋ยวถามให้ไม่รู้จะโดนท่านเผาซะก่อนหรือเปล่านะตาไฟ มีอยู่เที่ยวหนึ่งหลายปีแล้ว ทางวัดมหาธาตุฯเขาสร้างพระรอดรุ่นหนึ่งแล้วก็เชิญพวกฤๅษีมาเสก เราเองก็เลยเซ็งมันสร้างพระแต่เอาฤๅษีมาเสก ในเมื่อสร้างพระเอาฤๅษีมาเสกเราก็เลยลองดูว่ามันเก่งแค่ไหน มันเก่งจริงๆ ว่ะ
      ถาม :  เชิญมาแบบตัวเป็น ๆ เลย ?
      ตอบ :  ใช่ เอามาจากอินเดียเลย พวกโยคี พวกฤๅษี แต่เขาเก่งใช้ได้จริงๆ เรื่องของฤทธิ์ เรื่องของกสิณ ใช้ได้จริง ๆ เขาให้ลองเลย เขานอนทอดตัวยาวกับพื้นแบมือออกแล้วให้เราเหยียบบนฝ่ามือ เขายกเราขึ้นได้ ปรกตินอนท่านั้นมันใช้กำลังไม่ได้ เราก็เลยแกล้งเหยียบมันแบนติดดินไปเลย(หัวเราะ) คราวนี้เขารู้ว่าเราแกล้งก็ยัวะจะเผา เราต้องรีบเผ่นขืนช้าโดนมันเผาแน่ ๆ
      ถาม :  ถ้าเขาเผาจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น ?
      ตอบ :  จะเกิดอะไรขึ้น ก็ไหม้นะสิ (หัวเราะ)
      ถาม :  ถ้าเป็นคนอื่นโดนเผา ?
      ตอบ :  มันก็คงกลับบ้านเก่าไปเลย เรื่องของฤทธิ์ เรื่องของเตโชกสิณทำเป็นเล่นไปนะ อานุภาพของมันยิ่งใหญ่กว่าที่เราคิด ต้องการให้ไหม้แค่ไหนมันไหม้แค่นั้น ประเภทว่าให้ไหม้ทั้งตัวเสื้อผ้าไม่เป็นอันตรายก็ไม่เป็นกำหนดเฉพาะได้ สังเกตไหมว่ามันมีบันทึกเกี่ยวกับการตายแบบแปลก ๆ โดนเผากลายเป็นเถ้าถ่านแต่รอบข้างไม่ไหม้ยังไม่รู้เหมือนกันว่าพวกนั้นมันบังเอิญเคยได้กสิณไฟในอดีตมาก่อนหรือเปล่า แล้วตอนที่เผลอ ๆ ก็เลยไปเข้า
      ถาม :  ถ้าเกิดว่าเขาทำกสิณไฟใส่ เราอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าคลุมอะไรจะเกิดขึ้นคะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าระดับเดียวกันมันก็โอเค ถ้าระดับเดียวกันเขาไม่ใช้บารมีพระพุทธเจ้าหรอก เขาก็เล่นน้ำดับเลย แต่ถ้าระดับไม่ถึงเขานี่เผ่นไว้ก่อนปลอดภัย ไม่อยากให้เรื่องมันยาวก็เลยรีบหนี เพราะว่าถ้าอยู่แล้วเป็นเรื่องแสดงว่าฝีมือเขาไม่เลวทีเดียวแหละ