ถาม :  เรื่องการตั้งหิ้งพระที่ว่าต้องหันหน้าพระไปทางทิศตะวันออกกับทิศเหนือใช่มั้ยคะ ทิศตะวันตกไม่ได้ ?
      ตอบ :  ตะวันตกก็ได้ แต่ว่าถ้าไม่ใช่เหนือกับตะวันออกแล้ว ถึงหาเงินเก่งสักเท่าไหร่ มันมีอันต้องใช้จนหมด
      ถาม :  ที่ว่าสมัยก่อนใช้อภิญญากันเยอะอย่างใช้สร้างปิรามิดสมัยไอยคุปต์แล้วที่หนูเคยอ่านหนังสือของหลวงปู่อ่ำ พระเจ้าฟ้ารั่วกับพระเจ้าฟาโรห์ก็คืออันเดียวกันใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกันยังไม่ได้อ่าน แล้วไงล่ะ
      ถาม :  ก็ไม่อยากจะเพ้อเจ้อ แต่บางครั้งพออ่านแล้วมันก็อดคิดไม่ได้ ?
      ตอบ :  มีอยู่คนหนึ่งจำไม่ได้แล้วว่าชื่ออะไร มันซื้อเกาะเป็นเกาะ ๆ เลย แล้วมันก็สร้างเป็นปราสาทราชวังขึ้นมาด้วยหินก้อนมโหฬารที่สกัดมาจากปะการังพวกนั้นน่ะ แต่คนเขาอัศจรรย์ตรงที่ว่าเขาไม่เห็นมันมีเครื่องมืออะไรเลย รถยกซักคันก็ไม่มี แต่เดี๋ยว ๆ หินก้อนเบ้อเร่อก็ตั้งฉึกลงไปก้อนหนึ่ง อีกไม่กี่วันมาก็ตั้งฉึกลงไปอีกก้อนหนึ่ง แล้วพอคนไปถามคนนั้นมันพูดได้ประเภทที่เรียกว่าน่าเตะมากเลย มันบอกว่ามันรู้ความลับแรงดึงดูดของโลกมันก็เลยทำได้ พอ ๆ กับเดวิด คอปเปอร์ฟิลด์เลย มันรู้ความลับแรงดึงดูดของโลก ก็จริงของมันนะเถียงมันไม่ได้
      ถาม :  แล้วอย่างนี้พวกเราก็มีสิทธิ์ที่จะเกิดในสมัยพระเจ้าฟ้ารั่วสิคะ ?
      ตอบ :  ก็ของเราเกิดก่อนหน้านั้นก็เยอะ อย่างสมัยพวกโรมันเรืองอำนาจพวกกรีกเรืองอำนาจ เคยไปตีบ้านตีเมืองเขามาเยอะ มาชาตินี้ก็เลยเจอคืนบ้างร้องจ๊ากไปตาม ๆ กัน สภาพเศรษฐกิจตกน่ะมันไม่ได้ตกส่งเดช มันเกิดจากวารกรรมของคนส่วนใหญ่ ตอนนั้นประเภทไปตีบ้านตีเมืองเขา ไปกวาดต้อนทรัพย์สมบัติผู้คนช้างม้าวัวควายเขามา มันก็เท่ากับทำให้เขาจนลำบากไปพักหนึ่ง ถึงจะเอามาแล้วจัดทีทำกินให้อะไรให้ก็จริง แต่กว่าเขาจะตั้งหลักได้มันก็เสียเวลาไปนาน มาตอนนี้เศรษฐกิจตกไม่นานร้องกันซะ ตอนทำไม่คิด
      ถาม :  จริง ๆ แล้ว ส่วนใหญ่ที่ท่านเขียนน่ะ คืออันนั้นเป็นความจริงมั้ยคะ ?
      ตอบ :  จริงมั้ย จริงของท่านแต่คนยังไม่ยอมรับอีกเยอะเลย
      ถาม :  จริงของท่าน เพราะว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์บารมีเต็มใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ก็เอาเป็นว่าอย่าไปเถียงกันตรงนั้นดีกว่า เคยนั่งคุยกับท่าน ท่านบ่น ๆ น้อยใจเหมือนกัน ท่านบอกว่า ผมบอกมันไม่เคยฟังผมหรอก มันเชื่อแต่จอร์จ เซเดส์ คนนั้นเขาเป็นนักประวัติศาสตร์ตะวันตกใช่มั้ย มันบอกคนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไตก็ต้องอัลไตตามมันไป โอ้โห เทือกเขาอัลไตเจ้าประคุณเถอะน้ำแข็งทั้งนั้นใครจะไปอยู่ได้
      ถาม :  ที่ท่านบอกว่าพระเจ้าฟ้ารั่วเป็นหลวงพ่อฤๅษี ?
      ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกันจ้ะ เอ๊ะ ทำไมต้องรั่วด้วย เอาดี ๆ ไม่ได้เหรอ
      ถาม :  ก็หลวงปู่อ่ำเขียนว่าพระเจ้าฟ้ารั่วนี่คะ หนูก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ?
      ตอบ :  อาตมารู้จักแต่ฟ้ารั่วมะกะโท ยังจำได้มั้ยในเรื่องราชาธิราชน่ะ ก็จะเป็นต้นวงศ์ของพระเจ้าราชาธิราช เป็นคนมอญที่โดนกวาดต้อนมา มาตอนหลังก็ได้ไปเป็นใหญ่เป็นโตในเมืองมอญเขากลายเป็นพระเจ้าฟ้ารั่ว และขอเจ้าหญิงจากไทยไปแต่งงานด้วย ถ้าองค์นี้ล่ะฟ้ารั่วจริง ๆ
      ถาม :  แล้วฟาโรห์ล่ะ ?
      ตอบ :  ฟาโรห์ก็อ่านฟาโรห์สิอย่าไปอ่านฟ้ารั่ว เรื่องฟ้ารั่วเลิกรั่วได้แล้วจ้ะ อะไรที่นานไปไม่ยืนยันให้หรอก ยืนยันไปมันก็ไม่มีคนช่วย
      ถาม :  ผีพรายที่อยู่ในน้ำที่ชอบดึงขาคนน่ะค่ะ จริง ๆ แล้วมันเป็นผีแบบไหน
      ตอบ :  เป็นอสุรกายพวกหนึ่งจ้ะ อสุรกาย ผู้มีกายอันไม่กล้า เขาเลยต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ กว่าที่มันจะหมดกรรมหมดอะไรมันก็นาน แต่คนที่ไปตายถ้าวาระเขามาไม่ถึงทำอะไรเขาไม่ได้หรอก มันต้องวาระเขามันถึงด้วย อย่างเช่นว่า ถึงอายุขัยคือยังไง ๆ ไม่ตายตรงนั้นก็ต้องตายที่อื่นแน่ ๆ เพราะวาระมันมาถึงแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือว่าอุปฆาตกรรมใหญ่มันเข้ามาก็เลยทำให้หมดอายุลงช่วงนั้นได้ เขาสามารถที่จะเอาไปแทนเขาได้
      ถาม :  ที่ว่าเขาไปฉุดขาคนตาย จริง ๆ แล้วเขาดึงจริงหรือเปล่าคะ หรือว่าเป็นตะคริวไปเองแล้วหาว่าผีดึง ?
      ตอบ :  ถามว่า ดึงจริงไหม ที่ดึงจริง ๆ ก็มีเพียงแต่ว่ามันน้อยมาก
      ถาม :  ที่บอกว่าเขาเอาไปทุกปีอะไรอย่างนี้ ?
      ตอบ :  เอาไปทุกปีต้องหลังวัดท่าขนุนนะ ปีที่แล้ว ๗ ศพ ปีนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาเท่าไหร่
      ถาม :  อย่างนั้นเขามาเอาไปหรือคะ ?
      ตอบ :  เปล่า วาระมันถึงพอดี น้ำกำลังแรงดันลงไปเล่นแล้วมันจะเหลือหรือ ?
      ถาม :  แต่ถ้ายังไม่ถึงที่แรงแค่ไหนยังไงก็ไม่ตาย ?
      ตอบ :  ยังไม่ถึงที่อย่างอาตมาจมไปนอนเล่นอยู่ใต้น้ำตั้งนานเนกาเลยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย
      ถาม :  ขอคำแนะนำเรื่องการตัด (ไม่ชัด) จะทำยังไง ?
      ตอบ :  ให้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ ให้เห็นว่าทุกอย่างไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ก็จบ ง่ายนิดเดียว อวิชชา จริง ๆ มันเป็น ๒ ศัพท์ด้วยกัน คือ ฉันทะ พอใจในมันก็เลยเกิดราคะ ยินดีอยากมีอยากได้ สิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดฉันทะพอใจมันจะเข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาเห็นรูปถ้ารู้สึกว่าสวยก็คือพอใจ พอพอใจมันก็จะไปอยากได้ หูได้ยินเสียงรู้สึกว่าเพราะมันก็จะไปพอใจ แล้วมันก็อยากจะฟังอีก จมูกได้กลิ่น เออ หอมดี อยากจะดมอีก
              คราวนี้เราจำเป็นต้องสร้างสติให้รู้เท่าทันมันให้ได้ โดยที่ว่าพอเห็นให้สักแต่ว่าเห็น คือให้มันติดอยู่แค่ตาอย่าให้มันเข้าไปในใจ ได้ยินให้สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นให้สักแต่ว่าได้กลิ่น เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันต้องสร้างสติให้เป็นมหาสติคือรู้เท่าทันโดยเฉียบพลัน แล้วก็สามารถปิดกั้นมันให้อยู่แค่ตรงนั้น มันจะไม่สามารถทำอันตรายเราได้ ถ้าเราสามารถรู้เท่าทันมันตลอดโดยที่ไม่พลาดให้กับมันอีก ก็แปลว่าคุณสามารถที่จะป้องกันไม่ให้มันกำเริบขึ้นมาได้
              อย่าลืมว่า คำว่า ตัดกิเลส ตัดกิเลส จริง ๆ มันตัดไม่ขาดหรอก รัก โลภ โกรธ หลง มันอยู่กับเรานี่แหละ แต่ว่าที่เขาว่าท่านตัดขาดนั้นน่ะ คือว่าท่านสามารถที่จะรู้เท่าทันมันจนกระทั่งไม่แตะต้องต้นเหตุ ในเมื่อไม่ไปสร้างเหตุผลร้ายที่จะเกิดขึ้นกับท่านมันก็ไม่มี เรื่องมันก็เลยจบลงแค่นั้น ฟังดูยากมั้ย ? เมื่อกี้แกล้งโยนช้างให้แบกเลย ที่บอกให้มองทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ทุกอย่างยึดถือมั่นหมายไม่ได้ นั่นน่ะช้าง แต่ตอนนี้ย่อยลงมาแล้วเหลือตัวเล็ก ๆ ลงมาหน่อยแบกให้ไหวแล้วกัน
      ถาม :  มวยไทยเหมือนที่เขาแสดงทำเป็นท่า ๆ แล้วก็มีท่าโน้นท่านี้ติดต่อกันไปเลย ?
      ตอบ :  มันจะมีในระหว่างที่ฝึกอยู่ มันจะมีแม่ไม้คือท่าสำคัญและก็ลูกไม้ ลูกไม้นี่มันจะเกิดความแตกฉานชำนาญของเรา พอแตกฉานชำนาญแล้ว มันสามารถที่จะใช้ในลักษณะที่เรียกว่า แตกแขนงออกไปจากท่าปกติได้ แล้วมันก็จะมีพวกไม้ตายส่วนใหญ่แล้วแต่ละสำนักเขาจะเก็บเอาไว้เป็นความลับ ถ้าไม่ใช่ลูกศิษย์ที่เชื่อถือไว้วางใจได้จริง ๆ เขาจะไม่สอนให้
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  มันต้องดูด้วยว่าจังหวะใคร ถ้ามันต่างคนต่างเรียนมาด้วยกันมันขึ้นอยู่กับจังหวะ ใครมีโอกาสที่จะออกอาวุธก่อน แต่ว่ามวยไทยโบราณนี่ ส่วนใหญ่มันทีเดียวอยู่ ไม่ต้องเสียเวลาซ้ำหรอก ก็ประวัตินายขนมต้มที่ไปต่อยกับมวยพม่าตั้ง ๑๐ คนผลัดนั้นน่ะ ก็คือลักษณะนี้แหละ ถ้ามันไม่ทีเดียวอยู่ก็เหนื่อยตาย แต่ว่ามวยพม่ามันดีอยู่อย่างหนึ่งเท่าที่ไปดู ๆ มาแล้ว แหมงวดนั้นอยากจะลงไปชกเองเสียดาย คนชนะจะได้ ๔๐๐ มั้ง คนแพ้จะได้ ๒๐๐ มันน้อยไปหน่อย ถ้าหากว่ามันเยอะจะไปชกกับมันเอาเงินมาสร้างวัดหนองบัว มวยพม่าเขาจะเปรียบเป็นคู่ ๆ สมมติว่ามี ๑๐ คู่ จะต่อยคู่ละยก พอครบยกแล้วก็ไปนั่งรอ แปลว่าคุณต้องรออีก ๙ ยกกว่าจะได้ข้นเวทีใหม่ อย่างนั้นต่อยทั้งวันก็ได้ สบาย
      ถาม :  เอาถึงยอมแพ้ หรือว่า ?
      ตอบ :  ต้องยอมแพ้กันไปข้างหนึ่ง หรือไม่ก็ประเภทไม่สามารถจะต่อสู้ได้ ถึงแพ้ถึงชนะกัน ไม่อย่างนั้นเขาตัดสินเสมอหมด ถ้าติดสินเสมอหมด อย่างที่ว่าคนชนะ ๔๐๐ คนแพ้ ๒๐๐ นั่นมันก็จะได้คนละ ๓๐๐ ถ้าเสมอกัน
      ถาม :  มวยแต่ละสำนักอย่างมวยไชยา มวยท่าเสา เขาพันมือไม่เหมือนกันหรือคะ ?
      ตอบ :  ลักษณะพันมือก็ต่างกัน ท่าตั้งมวยก็ต่างกัน
      ถาม :  สอนถึงการพันมือเลยหรือคะ ?
      ตอบ :  มัต้องทำเพราะป้องกันการบาดเจ็บ เขาจะสอนหมดเริ่มตั้งแต่ปั้นหมัด ปั้นศอก ปั้นเข่า ไปเลย ทำอย่างไรจะออกอาวุธโดยที่ตัวเราไม่บาดเจ็บไปซะเอง ประเภทต่อยแล้วมือซ้นนิ้วเดาะจะไม่มี
      ถาม :  รู้จักนายขนมต้มมั้ยคะ ?
      ตอบ :  ตอนนั้นไม่รู้สิ ตอนนั้นไม่รับประกันจ้ะ ถามว่าคนเก่งขนาดนั้นกลายเป็นเชลยเขาได้อย่างไร น้ำน้อยมันแพ้ไฟ ในเมื่อร็ว่ามันเยอะขนาดนั้นจะไปสู้กับมันก็มีแต่ตายอย่างเดียว ก็เลยยอมมันก่อนรักษาชีวิตเอาไว้ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ตราบนั้นโอกาสที่จะแก้คืนมันยังมีอยู่
              มีอยู่รายหนึ่งคือมหาเทพ มหาเทพนี่ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นทหารในชั้นยศไหน เพราะว่าสมัยก่อนมันจะมียศ เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นขุน เป็นหลวง เป็นพระ เป็นพระยา อะไรพวกนั้น มหาเทพนี่ในประวัติศาสตร์ไทยไม่ได้กล่าวถึงเลย แต่มันไปอยู่ในจารึกทองคำที่เจดีย์ของพม่า พม่าเขามีการรื้อเจดีย์มาซ่อมและก็เจอจารึกประวัติมหาเทพ ตอนอยุธยาแตกเขารั้งท้ายเพื่อจะป้องกันพวกที่หนีออกจากเมือง พูดง่าย ๆ ว่าพม่าตามล่ากันข้ามวันข้ามคืน เข้าใกล้เมื่อไหร่ก็เป็นอันว่าตาย แต่ไม่สามารถทำอันตรายมหาเทพได้ เพราะว่าเขาหนังเหนียว
              จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของพวกคนไทยหนีเข้าไปในวัด มหาเทพก็ยืนขวางประตูอยู่ พวกพม่าก็ไม่กล้าเข้าใกล้ก็ได้แต่รออยู่ห่าง ยืนกันอยู่เป็นวันจนกระทั่งเขาสงสัย ทำไมแกไม่ขยับเลย เข้าไปดูตายไปแล้ว เหนื่อยตาย คราวนี้คนมันประเภทมัวแต่ชงักอยู่ทางด้านโน้นก็แอบหนีกันไปหมดแล้ว กลายเป็นว่าเสือตายแล้วก็ยังมีอำนาจอยู่
              คราวนี้มันคงประทับใจเขาทางด้านพม่าก็เลยจารึกแผ่นทองใส่ไว้ในเจดีย์บอกว่าเกิดเป็นคนมันควรที่จะมีความกล้าหาญยอมเสียสละเพื่อส่วนรวมขนาดนั้น แต่เขาไม่ได้บอกชั้นยศเอาไว้ จริง ๆ แล้วถ้าฟังจากชื่อมันน่าจะเป็นชั้นยศทางทหาร เพราะว่าอย่างพระยาเทพประชุน อย่างนี้มันก็จะมีอยู่ ฝีมือขนาดนั้นคิดว่าอยู่ในบ้านในเมืองด้วยมันต้องมียศมีศักดิ์อยู่ แต่คราวนี้เขาไม่ได้บอกยศเอาไว้
      ถาม :  ดูเหมือนทหารพม่าเขาไม่เก่งเท่าไหร่ ทหารไทยเราเก่งกว่าเยอะแยะเลย ?
      ตอบ :  ที่เก่ง ๆ เขามีอยู่ เพียงแต่ว่าของเรามันยังไม่ไปเจออย่างนั้นน่ะ อย่างบุเรงนองกับพระนเรศวรมันน่าจะประเภทรำกันซักยกหนึ่งจะได้รู้ว่าใครเป็นใครใช่มั้ย มันก็ไม่ได้อีกเพราะบุเรงนองท่านเป็นรุ่นปู่ พระนเรศวรรุ่นหลานบุเรงนองเป็นพ่อของนันทบุเรง นันทบุเรงเป็นพ่อของมหาอุปราช พระนเรศวรรุ่นเดียวกับมหาอุปราช คนหนึ่งแก่งั่กแล้วอีกคนหนึ่งเพิ่งจะโตโอกาสจะเจอกันมันไม่มี
      ถาม :  บุเรงนองนี่มาจากคนไทยไม่ใช่เหรอ ?
      ตอบ :  อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกัน กลายเป็นมหาราชหนึ่งในไม่กี่องค์ ของพม่า สมัยนั้นหัวเมืองทางเหนืออยู่ใต้ปกครองของพม่า อยู่นานกว่าไทยอีก มันก็เลยไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นไทยหรือเปล่า
      ถาม :  (ไม่ชัด) ?
      ตอบ :  ถ้าพูดถึงทางเมืองฉอดทางเมืองแม่สอดอะไรพวกนั้น มีอีกคนหนึ่งก็คือพระวอ พระวอนี่ต้องเรียกว่าเจ้าพ่อกระเหรี่ยง เพราะว่า แกเป็นผู้นำกระเหรี่ยงและก็ซื่อสัตย์ภักดีต่อทางอยุธยามาก พอทราบข่าวศึกก็มีใบบอกลงมาทางอยุธยาขอกำลังหนุนไป แต่ปรากฏว่าทางอยุธยาประเภทตัวเองยังไม่รักษาเลยจะไปช่วยใคร พระวอเขาก็มีลูกน้องอยู่ประเภทเกณฑ์มาหมดก็แค่หลักพันแล้วไปปะทะกับกองทัพหลายหมื่นมันจะเหลือหรือ ? สู้กันชนิดที่ไม่เหลือซักศพน่ะ ปัจจุบันเป็นเจ้าพ่ออยู่ที่โน่นเขาสร้างศาลไว้ให้ใหญ่มโหฬารเลย
              มีอยู่เที่ยวหนึ่งหลวงพ่อไปบวงสรวงพุทธาภิเษกที่ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินที่จังหวัดตาก ทางด้านโน้นเขานิมนต์ พระวอแกเข้าทรงกระโดดโหยงเหยงเข้ามา เราก็แปลกใจทำไมต้องกระโดดด้วยว่ะ แกบอกขี่ม้า ถามว่าเอาอะไร เขาบอกไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นว่ามีคนยังรู้คุณของพระมหากษัตริย์รู้คุณของนักรบท่านก็ดีใจด้วยก็เลยอดเข้ามาแสดงความยินดีไม่ได้เพราะว่าตัวเองตายคนไม่เห็นคุณค่าท่านขนาดมีใบบอกเข้าอยุธยามามันน่าจะรีบส่งกองทัพขึ้นไปช่วยแกก็ไม่ส่ง แกยันทัพพม่าอยู่จนไม่มีทางจะยันอยู่แล้วด้วยคนระดับพันกับคนหลาย ๆ หมื่นมันเอาไม่อยู่ จนกระทั่งโดนเขาถล่มซะราบหมดทั้งกองทัพเลย ถามว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรมั้ย คือลักษณะจะทำบุญให้มั้ย ท่านบอกไม่ต้องหรอกเอาดาบไปถวายไว้ที่ศาลเล่มหนึ่งก็พอ ตกลงยังพกดาบอยู่นึกว่าแกจะขอเอ็ม ๑๖
              พอเดินทางไปตรงจุดนั้นต้องยอมรับว่า รัก โลภ โกรธ หลง นี่มันมีอานุภาพมหาศาลจริง ๆ ขนาดเรานั่งรถยังนั่งจนตูดด้านแล้ว สมัยนั้นมัน เดินมาตีเราน่ะ ฉันทะมันเหลือเฟือ เป็นเราไปขนาดนั้นคงไม่เอาเหนื่อยตายเลย โอ้ นั่งรถยังนั่งจนเบื่อ แล้วคิดดูซิมันยกกองทัพมากว่าจะมาถึงแรมกันเป็นเดือนเป็นปี แล้วถ้าเจ้านายขี่ช้างขี่ม้าก็ต้องวิ่งไล่ให้ทัน
      ถาม :  กรณีถ้าเจอหมูตกจากรถ เจ้าของเขาไม่เห็นเขาไปแล้ว ?
      ตอบ :  ถ้าเขาไม่รู้ก็อุ้มไปได้ไม่มีใครเขาว่า
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ไม่เป็นอทินนาทานหรือคะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าหล่นขนาดนั้น คนมันประเภทรู้ตัวว่าหายแน่อยู่แล้วมันปลงแล้วล่ะ แต่ของพระไม่ได้นะ พระถ้าเจตนาเอาแล้วเจ้าของเขาปลงใจว่าเขาไม่ได้คืนแล้วโดนอาบัติปาราชิกเลย ถ้าเขายังทวงอยู่ไม่เป็นไร ถ้าเขาเลิกทวง เออ ช่างหัวมัน ซวยเลย ถ้าจะช่างหัวมันต้องให้เขาบอกว่าเขาให้เรา ถ้าเขาไม่ให้ล่ะแย่แน่เลย
      ถาม :  ขณะนั่งภาวนาจิตมันยอมอยู่กับภาวนา ถ้าจิตเราฟุ้งซ่านจะดึงจิตให้มันกลับมาอยู่รวมกับภาวนาได้อย่างไร ?
      ตอบ :  มาอยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ กำหนดความรู้สึกใหม่ กำหนดความรู้สึกทั้งหมดให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า จริง ๆ อันนั้นน่ะมันเป็นความสามารถที่สูงกว่า คือลักษณะแยกจิตทำงานหลาย ๆ อย่าง คราวนี้มันมาแย่ตรงที่ว่าภาวนาอยู่มันก็ฟุ้งได้
              ดังนั้นวิธีแก้ก็คือดึงใจอยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ จัง ๆ พอมันหลุดก็ดึงกลับมา พอมันหลุดก็ดึงกลับมา จนกระทั่งมันเคยชิน พอมัน เคยชิน แล้ว มัน ก็จะไม่เป็นอีกอันนั้น แสดงว่าของเก่าเราเคยทำได้เยอะ ถ้าทำได้เยอะแล้วมันจะเป็น อาตมาก็เคยฟุ้งซ่านมันไปเลย สารพัดเรื่องบางทีมันคิดไปสองเรื่องสามเรื่องคิดพร้อม ๆ กันได้ของเก่าเราเคยทำได้เยอะ ถ้าทำได้เยอะแล้วมันจะเป็น อาตมาก็เคยฟุ้งซ่านมันไปเลย สารพัดเรื่องบางทีมันคิดไปสองเรื่องสามเรื่องคิดพร้อม ๆ กันได้ อันหนึ่งก็ภาวนา อันหนึ่งก็ฟุ้งซ่าน เอ๊ะ มันยังไงของมันวะ กว่าจะรู้กว่าจะดึงมันกลับได้แทบแย่
      ถาม :  เป็นเหมือนกันเจ้าค่ะ สวดมนต์อยู่ก็ไปคิดเรื่องอื่นได้ ?
      ตอบ :  นั่นล่ะเก่ง แสดงว่าวิสัยเดิมมันอภิญญาแท้ พวกอภิญญาแท้นี่มันสามารถแยกจิตทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้ ที่เก่งจริง ๆ ต้องท่านปู่พระอินทร์ ท่านคิดเรื่องพันเรื่องพร้อม ๆ กันได้ เขาเลยเรียกท่านว่า สหัสนัยน์ผู้มีตาพันดวง รับรู้เรื่องพันอย่างได้พร้อม ๆ กัน
      ถาม :  แต่บางตำราเอาเรื่องนี้ไปเขียนซะน่าเกลียด ?
      ตอบ :  นั่นของทางฮินดูเขา เทวดาของฮินดูนี่กิเลสมากกว่าคนอีก
      ถาม :  อย่างนั้นเขาก็ต้องตกนรก เพราะปรามาสท่านขนาดนั้น ?
      ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกัน ก็เทวดาฮินดูเขายังผิดลูกผิดเมียกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน สู้รบกันให้อุตลุตไปหมด แต่ว่าฮินดูมันเก่งมันตั้งเทวดาฮินดูได้พอถึงเวลาให้ความเคารพองค์นี้ องค์นี้มีความสามารถอย่างนี้ ข้างบนก็เดือดร้อนนะสิ ต้องหาเทวดาที่มีความสามารถคล้ายคลึงกับที่มันว่ามารับตำแหน่ง
      ถาม :  ที่บ้านจะมีบาตรวิระทะโย พอไหว้พระแล้วก็จะใส่บาตร การใส่บาตรนี่มีเวลาด้วยไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่มีจ้ะ ถ้าหากว่าเป็นการถวายบูชาที่หิ้งพระบ้านเราเวลาไหนก็ได้ ดูตัวอย่างโยมพ่ออาตมา ทำการทำงานเสร็จกินข้าวอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว ก็มาถวายข้าวพระตอน ๑ ทุ่ม ทุกวัน อันนั้นท่านทำมาตั้งแต่อาตมายังเด็ก ๆ อยู่ประมาณ ๒-๓ ขวบกว่า ๆ เริ่มรู้ภาษา คือท่านเป็นคนจีนแล้วก็ไปเจอทีเด็ดของพระเข้า สมัยนั้นโยมพ่อมาจากเมืองจีนใหม่ ๆ ก็ไปจับจองที่หักร้างถางพงอยู่แถว ๆ ที่เรียกว่าหนองกร่าง เขตอำเภอกำแพงแสน นครปฐม หนองกร่างนี่มันน่าจะอยู่เขตพนมทวน เป็นรอยต่อระหว่างนครปฐมกับกาญจนบุรี คราวนี้เขตนั้นมันก็ยังมีป่ามีเขาอยู่ มีถ้ำใหญ่อยู่ถ้ำหนึ่งมีงูใหญ่อยู่ งูใหญ่นี่อะไรเข้าใกล้มันกินกระจายมาซะเยอะแล้ว
              วันหนึ่งมีพระธุดงค์ท่านธุดงค์ไปถึงแล้วก็ปักกลดบนหน้าถ้ำนั่นแหละ โยมพ่อก็ตกใจ ก็พยายามไปบอกกับพระว่ามันมีงูใหญ่อยู่อันตราย ให้ไปปักกลดที่อื่นเถอะ พระท่านก็บอกว่าเป็นพระถ้าหากว่าปักกลดลงไปแล้วถอนไม่ได้ผิดสัจจะ แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าของพระเขาต้องยอมตายถวายชีวิตอยู่แล้ว ก็เลยต้องถือสัจจะตรงจุดนั้น ในเมื่อท่านไม่ยอมถอนกลดโยมพ่อก็ต้องแบกปืนลูกซองไปนั่งเฝ้าให้
              สมัยนั้นนี่บริเวณนั้นทั้งหมดแทบทั้งอำเภอมีโยมพ่อคนเดียวที่มีปืนลูกซอง เพราะแกยอมลงทุนซื้อมาราคาตั้ง ๒๔ บาทของสมัยนั้นน่ะ สมัยที่ยังใช้เงินเป็นสตางค์กันอยู่ เขาจะมีแต่ปืนแก๊ป ปืนคาบศิลา ปืนตีข้าง อะไรพวกนั้น แต่โยมพ่อแกยอมลงทุนเพราะว่าบรรดาเพื่อนฝูงต่าง ๆ มาพึ่งพาอาศัยเยอะ พวกที่มาทำงานอยู่ในไร่ยาสูบก็มาก ๔๐ กว่าคน เพราะฉะนั้นต้องมีอาวุธดีหน่อย พวกโจรพวกอะไรมันก็ปล้นอยู่ โยมพ่อก็แบกปืนไปเฝ้า ลักษณะไปนอนเฝ้า ก็สั่นแหง็ก ๆ กลัว ท่านบอกพอดึกงูมันออกมา ถามโยมพ่อว่างูมันใหญ่ขนาดไหน ท่านบอกว่า มันเลื้อยออกมานี่โตเต็มถ้ำพอดีเลย ถามว่า ถ้ำมันใหญ่ขนาดไหน โยมพ่อบอกว่า โยมไปยืนแล้วมันประมาณศีรษะพอดี โยมพ่อนี่น่าจะสูงเกิน ๑๕๕ ซ.ม. ถึงแม้ว่าท่านจะร่างเล็กก็จริง แล้วถามว่า โยมพ่อทำยังไง บอกว่า มืออ่อนตีนอ่อนทำอะไรไม่ถูกหรอก แต่ว่าพระเอาดินสาดไปกำมือหนึ่งแล้วก็เอาเชือกเล็ก ๆ ไปผูกขวางปากถ้ำไว้ งูมันก็หดหายไป แล้วก็นั่งภาวนาต่อ โยมพ่อเล่าเป็นภาษาจีน คาดว่าน่าจะเป็นพวกทรายเสกพวกสายสิญจน์อะไรพวกนั้น โยมพ่อก็ทึ่งมาก ถามพระว่ามีอะไรดีถึงไม่กลัวงูไล่งูไปได้ พระท่านบอกว่ามีคาถาวิเศษ ถามว่าอะไร สอนอิติปิโสฯ ๓ ห้องให้ อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ บอกว่าให้ท่องเอาไว้ประจำทุก ๆ วัน ถ้าหากว่าท่องทุกวันคาถาจะคุ้มครอง ให้อยู่ที่ไหนก็ไม่มีอันตราย แล้วถ้าจะให้กำลังใจทรงตัวมั่นคงให้จัดข้าวหน่อยหนึ่ง กับหน่อยหนึ่ง น้ำหน่อยหนึ่งถวายพระทุกวัน