สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  .....ต่อจากฉบับที่แล้ว
      ตอบ :  ทีนี้โยมพ่อแกเป็นจีนประเภทคุยกันรู้เรื่องก็นับว่าเก่งแล้ว ก็ไม่ได้ซักถามรายละเอียดว่าเขาถวายข้าวพระกันตอนไหน แกก็ถวายตอนทุ่มหนึ่ง อาตมาเองก็โดนในลักษณะนั้นแหละคือว่าพอถึงเวลาท่านก็จะอุ้มเราคอพับคออ่อนไปสวดมนต์ ฟังอยู่ทุกวันก็เลยจำได้ กลายเป็นว่าสวดมนต์ได้ตั้งแต่ก่อนจะไปโรงเรียน พอไปโรงเรียนสวดมนต์ได้แล้ว ครูก็เลยให้เป็นหัวหน้าชั้น
              ทีนี้มันมีของแปลกอยู่มันแปลกตรงที่ว่าโยมพ่อพูดไทยไม่ได้แต่คุยกับพระองค์นั้นรู้เรื่อง สมัยนั้นคนจีนจะไม่ให้ลูกชายบวช เพราะว่าพระจีนถ้าบวชแล้วเขาไม่สึกกัน เพราะฉะนั้นพระองค์นั้นต้องเป็นพระไทย ในเมื่อเป็นพระไทยแล้วสามารถคุยกับโยมพ่อรู้เรื่องได้อันต้องนับว่าอัศจรรย์ ส่วนอีกอย่างก็คือว่าสิ่งที่ท่านแนะนำเหมือนกับหลวงพ่อแนะนำเลย หลวงพ่อท่านแนะนำในคู่มือปฏิบัติกรรมฐานแบบง่าย ๆ ให้สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน เพราะอย่างน้อยตาเห็นพระพุทธรูปเป็นพุทธานุสติ การสวดมนต์เป็นธรรมานุสติ เพราะว่าสาธยายในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน การเห็นรูปพระสงฆ์เป็นสังฆานุสติ แล้วให้ถวายข้าวพระทุกวันเพื่อให้จิตมันชิน ถึงเวลาจิตมันเกาะมันจะได้ไม่เผลอไปทำความชั่ว เพราะว่าแทนที่จะไปคิดฟุ้งซ่านก็เอาไปคิดว่า เออ เราจะเอาอะไรไปถวายพระแทน ท่านแนะนำเหมือนกันทุกอย่างแล้วข้อสุดท้ายก็คือว่าโยมพ่อเขาเชื่อจริง ๆ เพราะเห็นกับตาว่าพระองค์นั้นท่านมีความสามารถก็เลยอยู่ในลักษณะที่ว่ามั่นใจในคาถาที่ท่านให้เลยสวดอยู่ทุกวัน แล้วถึงเวลาเขาจะมีงิ้วประจำปี ที่ศาลเจ้าพ่อถึงเวลาเจ้าเข้าทรงเขาก็จะเขียนฮู้ให้ จะมีการประเภทที่เรียกว่าลงให้อะไรให้แต่ละคน พอโยมพ่อเข้าไปทีไรไม่เคยได้ลงหรอก เจ้าเขาบอกว่าลื้อไม่ต้อง มีพระคุ้มครองอยู่แล้ว เขายืนยันเลยนะ แต่ว่าเจ้าที่เห็นมาตั้งแต่เด็กนั่นเขาเก่งจริง ๆ ถึงเป็นร่างทรงเป็นอะไรก็ตาม เขาตัดลิ้นเอามาเขียนยันต์ที่เรียกว่าฮู้น่ะ พอเขียนเสร็จก็หย่อนกลับไปเหมือนกับโยมขนมเข้าปากมันก็ติดอยู่ตามเดิม เขาทำกันอย่างนั้นเห็นกันคาตาตัดจริง ๆ หยิบออกมาเขียนแทนพู่กันเลย
      ถาม :  โยมพ่อพูดไทยไม่ได้ แล้วสวดมนต์ได้ยังไง ?
      ตอบ :  โยมพ่อพูดไทยไม่ได้เลย แต่ถามพระท่านว่าสวดยังไง พระท่านก็สวดให้ฟังจบหนึ่งก็จำได้แล้ว เรื่องนี้อาตมาได้มาจ้ะ มรดกเรื่องความจำดี ได้มาไม่ได้ขนาดโยมพ่อก็จริง แต่ว่าเรื่องคาถาต่าง ๆ เวลาหลวงปู่หลวงพ่อท่านบอก ถ้ามันยาวหน่อยก็ขอบอกซักครั้งหรือสอง ถ้ามันสั้นหน่อยครั้งเดียวก็จำได้แล้ว
              คราวนี้มีอยู่เรื่องหนึ่งคือว่าในวงการของเจ้าที่ทางบ้านเกิดน่ะ มันจะมีวิชาประเภทหนึ่งคือว่าเวลาคนตายแล้วไปถึงไหนเขาจะให้คนลักษณะเหมือนกับเข้าทรงตามไปดูได้ แต่เขาจะสั่งห้ามขาดไว้เลยว่า พอไปถึงเขตหนึ่งมันจะมีแม่น้ำเล็ก ๆ อยู่ แล้วจะมีเรือเตรียมรับข้ามน้ำ เขาบอกว่าให้หยุดอย่าไปขึ้นเรือ ถ้าขึ้นเรือแล้วจะกลับไม่ได้ เขาจะสั่งไว้อย่างนั้นเลย
              ปรากฏว่าลักษณะที่ภาวนาเพื่อเตรียมพร้อมไปดูคนว่าตายแล้วไปไหนน่ะ มันมโนเต็มกำลังชัด ๆ เลย คนภาวนาใหม่ ๆ มันก็จะดิ้นปุ๊บปั๊บ ๆ บางคนตีขาตัวเองจนเขียวไปหมด บางคนทุบอกตัวเองจนเขียวไปหมด แล้วถ้าหากว่ายังไม่เห็นอาจารย์ที่ควบคุมอยู่เขาจะเอาตั่วป้อลักษณะเหมือนกับกระดาษเงินกระดาษทองมาจุดไฟให้ตรงหน้าแล้วก็จะมองเห็น มันก็คือลักษณะส่องไฟเมื่อสอนมโนมยิทธิเต็มกำลัง ก็เลยยังไม่รู้ว่าวิชานี้มันมาจากจีนหรือมาจากไทย คาดว่าอาจารย์สุขแกอาจจะเรียนมาจากตำรานี้แหละ เพราะอาจารย์สุขแกเป็นคนราชบุรี ราชบุรี นครปฐม มันสายเดียวกันอยู่แล้ว
      ถาม :  ขอเรียนถามประวัติหลวงพ่อจง ?
      ตอบ :  ต้องถามว่าจงไหน
      ถาม :  ที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านเคยพูดไว้ ?
      ตอบ :  หลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอกจ้ะ อยู่อยุธยา ถ้าสมัยนี้นับว่าไม่ห่างจากวัดบางนมโค แต่สมัยก่อนต้องประเภทพายเรือไปมันก็ไกลหน่อย ลัดไปลัดมา หรือไม่ก็เดินตัดทุ่งไป หลวงปู่จงอายุยืนมากกว่าจะมรณภาพนี่เกือบร้อย เป็นคนร่วมสมัยกับหลวงปู่ปานแต่มามรณภาพปี ๒๕๐๘ อาตมาตอนเด็ก ๆ ยังได้ยินชื่อเสียงหลวงพ่อจงเต็มสองรูหูเลย เพราะว่าปี ๒๕๐๘ เพิ่งเข้าป. ๑ ท่านมรณภาพปีนั้น
      ถาม :  แล้วหลวงปู่ปานมรณภาพปีไหน ?
      ตอบ :  ปี ๒๔๘๑ หลวงพ่อจงอยู่มาอีกเกือบ ๓๐ ปี คนรุ่นเดียวกันแท้ ๆ ตอนหลวงปู่ปานมรณภาพนั้นท่านอายุ ๖๒ หลวงพ่อจงอยู่ซะเกือบร้อยรุ่นเดียวกัน ก็มันมีงานวัดบางนมโคอยู่ งานวัดบางนมโคนี่พอสิ้นหลวงปู่ปาน หลวงพ่อท่านก็จะนิมนต์หลวงพ่อจงมาเป็นประธานเป็นปกติ หลวงพ่อจงท่านก็จะมีประเภทลงนะหน้าทอง เมตตามหานิยม เป่าหัวให้ญาติโยม ก็เป่าไป ก็ทำไป งานมัน ๙ วัน ๙ คืน ก็เป่ากันน้ำลายแห้งกันตรงนั้นแหละ พอเลิกงานหลวงพ่อท่านก็นับ ๆ เงิน เรียนยอดรายงานหลวงปู่ว่า หลวงพ่อครับ หลวงพ่อได้ตั้ง ๘,๐๐๐ แน่ะ
              สมัยก่อนมหาศาลเลยนะ อย่าลืมว่าก๋วยเตี๋ยวมัน ๒ ชาม ๕ สตางค์เอง เงินร้อยสมัยโน้นมันน่าจะเป็นหมื่นสมัยนี้ แล้ว ๘,๐๐๐ มันจะเท่าไหร่ล่ะ เสร็จแล้วหลวงพ่อจงก็บอกว่า เอ้อ ลองไปนับเงินที่เขาบริจาคหน้ารูปปั้นหลวงปู่ซิ หลวงพ่อก็ให้เขายกพวกตู้บริจาค พวกบาตรมานับ ๆ ได้ ๘,๐๐๐ เหมือนกัน หลวงพ่อจงท่านก็บ่นบอก สู้หลวงปู่ปานไม่ได้ซักทีว่ะ ท่านใช้คำว่าสู้ท่านปานไม่ได้ซักที หลวงพ่อก็ถาม ทำไมครับ อื้อ ดูซินั่งเฉย ๆ ล่อซะ ๘,๐๐๐ ข้าเป่าหัวคนแทบเป็นลมได้เท่ากัน แล้วจะสู้ได้มั้ยล่ะ เคยถามหลวงพ่อเหมือนกันว่า ระหว่างหลวงพ่อกับหลวงปู่ถ้านับความดังแล้วใครดังกว่า ลูกศิษย์บ้า ๆ อยากรู้อย่างนี้มีเหมือนกันนะ พวกเราคิดบ้างมั้ย เราอยากรู้จริง ๆ ระหว่างหลวงพ่อกับหลวงปู่ใครดังกว่ากัน หลวงพ่อบอกว่า ถ้าหากว่านับในความดังกันแล้ว หลวงปู่ปานดังกว่า ถามว่า ทำไมถึงดังกว่า สมัยหลวงปู่ปานอย่างเก่งก็คนเป็นหมื่น ?สมัยหลวงพ่อจัดงานทีคนมาสองสามแสน ท่านบอกว่าเอ็งอย่าลืมว่าสมัยนี้มีทั้งวิทยุ ทั้งโทรทัศน์ ทั้งโทรศัพท์ รถรามันก็ดีวิ่งแป๊บเดียวถึง สมัยโน้นเขาแจวเรือกันเป็นวัน ๆ กว่าจะไปถึง แล้วข่าวคราวมันไปจากปากต่อปากเท่านั้น แล้วปากต่อปากนี่คนไปขนาดหุงข้าว ๘ กระทะพร้อม ๆ กันเลี้ยงคน หุงทั้งวันไม่พอเลี้ยงคน เลี้ยงคนไม่ทันล้างชามไม่ทันต้องใส่เข่งไปเขย่าเอา หลวงพ่อท่านบอกว่าเวลาจัดงานแต่ละทีหน้าวัดนี่ประเภทเดินข้ามได้เลย เรือมันจอดกันแน่น ไม่ต้องพายเรือข้ามฝั่งหรอก
              สมัยนั้นพระที่อยู่กับหลวงปู่ปาน ถ้าหากว่าเป็นช่วงพรรษาบางที ๒๐๐-๓๐๐ องค์ ถามหลวงพ่อว่าทำไมเยอะขนาดนั้นครับ ท่านบอกว่าหลวงปู่ปานเก่งบาลี โดยเฉพาะประโยค ๘ วิสุทธิมรรคแปลนี่ท่านตั้งวิเคราะห์ได้ทุกตัว ลูกศิษย์ก็เลยไปเรียนกับท่านเยอะ เอาแค่ว่าพระเป็นร้อย ๆ ยังไม่พอ แล้วยังมีคนไข้ที่ไปรักษาไข้อีกเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นทุกวันคนมันจะเต็มวัดไปหมดยังกะวัดมีงาน
      ถาม :  คนเยอะ ๆ แล้วนอนกันยังไง ?
      ตอบ :  ประเภทนอนเรียงกันเป็นลูกระนาด พระที่อยู่วัดใกล้ท่านก็มาเช้าเย็นกลับ แต่ที่ไกลหน่อยก็ต้องจำพรรษาอยู่เลย หรือไม่ก็ต้องสัตตาหะมา
      ถาม :  แล้วเรื่องห้องน้ำล่ะคะ ?
      ตอบ :  สมัยนั้นเขาเป็นส้วมหลุม ง่าย
      ถาม :  กราบเรียนถามต่อ หลวงพ่อท่านเล่าว่า หลวงพ่อจงพูดว่าถ้ามีศีล ๕ แล้วให้มีศีลข้อเดียวก็ไม่ตกนรก อยากทราบว่าข้อไหน ?
      ตอบ :  มีศีลข้อเดียวแล้วไม่ตกนรกเนี่ยมันเกิดจากคนหนึ่ง มันไปขึ้นบ้านเขาก็คือย่องเบาจะไปขโมยนั่นแหละ แต่ไอ้นี่มันถือสัจจะว่าลูกเขาเมียใครมันจะไม่แตะ ไปเจอลูกสาวเจ้าของบ้านนอนโป๊อยู่ ผู้หญิงบางคนก็นอนดิ้นเหมือนกัน สมัยนั้นมันนุ่งแต่ผ้าถุงน่ะ นอนดิ้นหน่อยมันก็หลุดแล้ว ไอ้นี่ก็เหมือนเจอนะจังงังเข้า ไปไม่เป็น มันก็เดินวนไปวนมานั่นแหละ นึกถึงสัจจะตัวเองจะไม่แตะต้องลูกเขาเมียใคร แต่แหม มันก็สวยเหลือเกิน คราวนี้มันก็เดินไปบ่นไปของมันประเภทด่าตัวเองไม่ให้ยุ่ง กิเลสมันก็พยายามบอกว่ายุ่งเหอะ เจ้าของบ้านตื่นจับตัวได้ มันบ่นจนพ่อเขาตื่น คราวนี้ไม่ต้องหนีแล้ว ขืนกระโดดหนีเจอลูกซองแน่ ก็เลยต้องยอมให้เขาจับไว้ เขาก็ถามมันเรื่องอะไร พอเขาถามเสร็จเรียบร้อย ก็เห็นใจในความมีสัจจะของมัน เขาก็เลยปล่อยตัวมัน พอปล่อยตัวก็เลยเอามาคุยกัน แทนที่จะไปติดคุก คุกสมัยก่อนมันน่ากลัว เหมือนยังกะตกนรกดี ๆ นี่เอง มันก็เลยคุยว่ามันมีศีลข้อเดียวมันก็รอดนรกมาได้ คนจะรอดนรกได้มันต้องมั่นคงอย่างนั้นจริง ๆ และเขาเป็นคนมีสัจจะ ประเภทโอกาสเปิดทุกอย่างแล้วได้แต่นั่งด่าตัวเอง
      ถาม :  ๕ ข้อ ข้อไหนสำคัญที่สุด ?
      ตอบ :  ก็ต้องบอกว่า สุราเมรัย ถ้าหากว่าเมาเมื่อไหร่นี่อีก ๔ ข้อไม่เหลือ
      ถาม :  เห็นคนเขาบอกว่าเมื่อก่อนมี ๔ ข้อ ข้อ ๕ มาเพิ่มจริงหรือคะ ?
      ตอบ :  แต่ว่าถ้าหากว่านับอย่างพระ ๔ ข้อแรกขาดความเป็นพระหมดเลย ข้อสุดท้ายท่านปรับแค่ปาจิตตีย์ คือว่าฆ่าสัตว์ ถ้าฆ่ามนุษย์ตายด้วยเจตนาโดนอาบัติปาราชิกขาดความเป็นพระ ถ้าหากว่าลักทรัพย์หยิบฉวยข้าวของที่เจ้าของไม่ได้ให้ได้ราคาบาทหนึ่งขึ้นไป โดนอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระ กาเมสุมิจฉาจารเสพเมถุน ของพระนี่ไม่ต้องห่วงเลยล่ะ โดนขาดแหง ๆ อยู่แล้วล่ะ ส่วนมุสาวาทา ถ้าอวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตนก็ขาดความเป็นพระ ก็เหลือแต่ว่าข้อสุดท้ายดื่มสุราเมรัย ดื่มสุราเมรัยนี้ทางพระเขาปรับอาบัติปาจิตตีย์ ต้นเหตุจากพระสาคตเถระ ซึ่งท่านชำนาญเตโชกสิณ
      ถาม :  หลับตาแล้ว พยายามนึกเห็น แต่ไม่รู้สึกเห็น แม้ว่ารูปภาพจะอยู่ตรงหน้า ?
      ตอบ :  เอาแค่นี้ หลับตาแล้วนึกถึง จะติดตาอยู่แวบหนึ่ง อย่าเพิ่งไปเพ่ง นึกแบบที่เรานึกถึงหน้าคนอื่น ไม่ใช่ใช้สายตา หลับตาลงแล้วนึกถึง เหมือนกับเรานึกถึงบ้าน นึกถึงรถยนต์ของเรา นึกถึงหน้าคนอื่น ชัดไหมล่ะ ? นึกได้หมดทุกอย่าง ถามว่าเห็นไหม ? ไม่เห็นหรอก แล้วทำไมนึกได้ ? จริง ๆ ก็ชัดใช่ไหม ? อันนั้นที่เราเห็นได้ เพราะเราคุ้น เราคุ้นก็เลยสามารถกำหนดใจได้ว่า ชัดเจนอย่างไร ? ลักษณะเป็นอย่างไร ? แต่ว่าของรูปพระ เรายังไม่คุ้น ในเมื่อเรายังไม่คุ้น ก็ต้องใช้วิธี หลับตา-ลืมตาเป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง ลืมตามองภาพ แล้วหลับลงนึกถึง พอภาพหายไปก็ลืมตามองใหม่ พอหลับตานึกถึง จะนึกได้แวบหนึ่ง แวบหนึ่งหายไปก็ลืมตามอง แล้วก็นึกถึงใหม่พร้อมกับคำภาวนา พุท-โธ ไปเรื่อย จนกว่าจะติดตาติดใจ ชนิดหลับตาหรือลืมตาก็นึกถึงได้ชัดเจนเท่ากัน แล้วคราวนี้ต้องรักษาภาพให้ดี ถ้าไม่รักษาก็หายอีก แค่นั้นแหละ ไม่ใช่ไปนั่งจ้องจนน้ำตาไหล นั่นไม่ใช่...! คำว่า “กสิณ” แปลว่า “เพ่ง” คือกำหนดจิตเฉพาะไว้ไม่ใช่ใช้สายตาเพ่ง
      ถาม :  ...................................
      ตอบ :  ถ้าหากว่าคนที่เป็นคู่บารมีกัน อย่างไรก็ต้องไปเกิดเจอกันอีก คราวนี้ในเมื่อคนเป็นพระโสดาบัน อย่างเก่งก็เกิดอีก ๗ ชาติ ถ้าเกิดเป็นพระโพธิสัตว์ ไปอีกหลายกัปแล้วทำอย่างไร ? ต้องไปหาคู่ใหม่ (หัวเราะ)
      ถาม :  ชาติที่เป็นพระโพธิสัตว์ ชาติที่ ๑๐ จะไม่มีลูกไม่มีเมีย ?
      ตอบ :  ชาติที่จะไม่มีลูกไม่มีเมีย มีอยู่ชาติเดียว คือชาติที่ตั้งใจบำเพ็ญเนกขัมบารมี แต่ไม่ใช่หมายความว่า ไม่มีลูกไม่มีเมีย มีลูกมีเมียแต่สละไป
      ถาม :  พระเวสสันดร ชาติที่บารมีเต็ม ๓๐ ทัศ ไม่มีใครตามไปได้ ?
      ตอบ :  อย่างของพระเวสสันดร ก็กัณหาชาลีกับพระนางมัทรี รอพระศรีอริยเมตไตรย์ วิริยาธิกะของแท้ อยู่ไหม ? อายุเป็นแสนปีช่วงนั้น แค่ร้อยปีก็แย่แล้ว
      ถาม :  หลวงพี่เคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน ปรารถนาอะไรธิกะคะ ?
      ตอบ :  ตั้งใจตามหลวงพ่ออย่างเดียว ไม่ได้คิดหรอกว่าจะเป็นอย่างไร ช่างหัวมัน...! เป็นว่าตกกระไดพลอยโจน ลูกศิษย์สายหลวงพ่อจริง ๆ ไม่ค่อยมีใครอยากรับภาระกันหรอก คราวนี้หลวงพี่สิงห์ท่านก็คงเซ็งเต็มทีแล้วล่ะ อาตมาเองก็เซ็งเต็มที ยิ่งเซ็งยิ่งหนัก เพราะตอนนี้ลูกศิษย์ที่ท่านเป็นเจ้าคณะตำบลลาออก ลาออกแล้วทางจังหวัดหาคนที่เหมาะสมไม่ได้แล้ว ของเราปัดแล้วปัดอีกมา ๓ ยกแล้ว ยกนี้ไม่รู้จะปัดไหวหรือเปล่า ก็เลยจะใช้วิธีว่า เร่งงานให้เสร็จ เพราะว่าท่านจะแต่งตั้งหลังจากที่เผาเจ้าคณะจังหวัดแล้ว เจ้าคณะจังหวัดท่านมรณภาพเมื่อ ๒๕ ธันวาคม แล้วจะเก็บไว้ร้อยวันแล้วถึงเผา หลังจากเผาแล้ว รักษาการเจ้าคณะจังหวัดก็จะเป็นเจ้าคณะจังหวัดอย่างแท้จริง มีอำนาจเต็ม
              คราวนี้ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ คราวนี้ก็อยู่ที่งานของเราจะเสร็จก่อนท่านไหม ? ถ้างานของเราเสร็จก่อน เราก็เผ่นทัน แต่ถ้างานเสร็จทีหลัง เราก็เสร็จท่าน คราวที่แล้วโดนท่านแคะออกจากป่าก็เพราะอย่างนี้ มาอยู่เมืองปีกว่า ๆ จะบ้าอยู่แล้ว
      ถาม :  หนูชอบเหลียวหน้า เหลียวหลังว่าจะมีอะไรมา ความกลัวเกิดกลัวผี ?
      ตอบ :  ธรรมดาจ้ะ ถ้ายังกลัวตายอยู่ จะกลัวทุกอย่าง เคยตามดูใจตัวเองเป็นปี ๆ สรุปลงไปได้ว่า “ความกลัวทุกอย่าง เกิดจากพื้นฐานความกลัวตายทั้งนั้น” กลัวผี ผีมาทำอะไร ? บีบคอ บีบคอแล้วอย่างไรจ้ะ ? บีบคอแล้วตาย กลัวงู งูมากัดมารัด แล้วอย่างไรจ้ะ ? ตาย วิธีแก้คือ ไปอยู่ป่าช้า คือคนเราถ้ากลัวถึงที่สุดแล้วจะบ้า...! คราวนี้มีบ้า ๒ อย่าง คือบ้าขาดสติและบ้ามีสติ พระปฏิบัติส่วนใหญ่ท่านจะบ้ามีสติ
              อย่างลักษณะหลวงพ่อชา ท่านไปภาวนาอยู่ในป่าช้า แล้วเสียงเดินดังก๊อกแก๊ก ตายละหว่า...ผีมาแล้ว กูงานนี้เสร็จแน่เลย เหงื่อแตกท่วมตัวเลย กลัวจนจะขาดใจตายลงไปอย่างนั้น จนกระทั่งในที่สุดก็ฮึดขึ้นมา เอาวะ...! ตายเป็นตาย ดูสักทีว่าผีหน้าตาเป็นอย่างไร ? ก็เปิดมุ้งกลดส่องไฟดู หมา...! หมามาหาอะไรกินในป่าช้า แทะศพบ้าง กระดูกบ้าง พอรู้ว่าเป็นหมาใจก็หายกลัว นั่นเกิดจากจิตตัวเองปรุงแต่งไป อาตมาเองเคยไปนั่งกรรมฐานในป่าช้า เสียงงูเลื้อยมา ได้ยินเสียงก็ตัวนิดเดียวแหละ เสียงเล็กนิดเดียว แค่นั้นเองใช่ไหม ? นั่งภาวนาไปอีกสักพักหนึ่ง เอ๊ะ...! ตัวเล็ก ๆ แต่ถ้ามีพิษกัดเราก็ตายนะ ความรู้สึกก็เลยกลัวขึ้นมาหน่อยหนึ่ง อีกสักพักหนึ่ง ก็คิดไปอีกนิดหนึ่ง น่าจะตัวใหญ่กว่าที่เราคิดนะ ที่เราคิดว่าแค่สักนิ้วมือ ก็ใหญ่เท่าถ่านไฟฉายแล้ว ไป ๆ มา ๆ ไม่ถึงชั่วโมง งูตัวนั้นใหญ่กว่าเสาเรือนอีก คือความรู้สึกมันใหญ่ขึ้นไปเรื่อย จนในที่สุดก็แบบเดียวกับหลวงพ่อชาท่านทำนั่นแหละ ให้รู้ดำรู้แดงไปเลย เปิดมุ้งกลดได้ คว้าไฟฉายไปส่องดู โธ่...! ตัวเล็กนิดเดียว แถมเป็นงูก่านปล้องที่ไม่มีพิษด้วย พอรู้อวิชชาก็หายไป แต่คราวนี้สำคัญว่า รู้อะไร ? รู้ทางโลก รู้ว่าไม่ใช่งูพิษ รู้ว่าตัวเล็ก ก็สบายใจ แต่คราวนี้รู้ว่า “จริง ๆ แล้วไม่ว่าจะเกิดเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นหญิง เป็นชาย ท้ายสุดก็ตายเหมือนกัน” ถ้าเรามั่นใจในคุณความดีที่เราทำอยู่ ถึงวาระถึงเวลา ตายแล้วเราไปดีแน่ ความตายก็ไม่ใช่ของน่ากลัว เหมือนกับเปลี่ยนรถคันหนึ่ง ร่างกายของเราก็เหมือนกับรถยนต์ ตัวเราจริง ๆ ก็คือคนขับรถ ถึงเวลารถเสีย รถพัง เปิดประตูลงได้ ก็ไปหาคันใหม่ขับ ถ้านึกว่าเหมือนกับเปลี่ยนรถสักคันหนึ่ง ก็พยายามหารถดี ๆ แล้วกันสร้างสมบุญกุศลให้มาก ๆ เอาไว้ ถึงวาระถึงเวลา จะได้มีรถดี ๆ รถสวย ๆ ขี่ ไม่ใช่ไปเจอจักรยานโปเก ปั่นกันแทบตาย
      ถาม :  การบูชาพระ (ไม่ชัด) บูชาได้ตลอดเวลา ?
      ตอบ :  จ้ะ เมื่อไหร่ก็ได้ เขาไม่ได้จำกัดเวลา แต่ถ้าถวายอาหารพระสงฆ์อย่าให้เกินเที่ยง
      ถาม :  เคยฟังเทปหลวงพ่อพูดถึง “ให้ใส่บาตรวันพระ ไม่ทุกวันพระ สองวันพระใส่ก็ได้” อยากทราบอานิสงส์การใส่บาตรวันพระเป็นอย่างไร ?
      ตอบ :  จริง ๆ ก็เป็นทานบารมีเหมือนกัน ไม่ได้สำคัญตรงว่า ใส่ตอนไหน ? สำคัญอยู่ตรงที่ว่า อันดับแรก เจตนาของเราบริสุทธิ์ไหม ? เจตนาบริสุทธิ์ คือตั้งใจทำเพื่อละความโลภจริง ๆ ตั้งใจทำเพื่อสงเคราะห์พระจริง ๆ ตั้งใจทำเพื่อเป็นบุญเป็นกุศลจริง ๆ ไม่ใช่ทำอวดเขาว่าฉันเป็นคนดีจ้ะ อันดับสอง วัตถุทาน คือสิ่งที่เราจะใส่บาตร ได้มาบริสุทธิ์ถูกต้องหรือเปล่า ? ได้ไปหยิบฉวยช่วงชิง ลักขโมยหรือฉ้อโกงเขามาไหม ? ถ้าหากว่าได้มาโดยถูกต้อง ก็เป็นอันว่ามาอันดับสาม ตัวเรา ผู้ให้ตอนนั้นมีศีลบริสุทธิ์หรือเปล่า ? ถ้าเรามีศีลบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ตัวเราบริสุทธิ์ ก็เหลือแต่ ผู้รับปฏิคาหก เป็นผู้บริสุทธิ์หรือเปล่า ? ถ้าหากว่าบริสุทธิ์ทั้งสี่ส่วนนี้ อานิสงส์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์จ้ะ ยิ่งถ้าบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ ? อานิสงส์ยิ่งมากเท่านั้น
              อย่างเช่นว่า เป็นพระโสดาบัน เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ ก็เลยกลายเป็นว่า การใส่บาตรจริง ๆ เป็นการเตือนใจตัวเราให้ทำความดี โดยที่อาศัยวาระสำคัญ คือวันโกน วันพระ เป็นเครื่องโยงจิตเรา ให้นึกว่าวันนี้วันพระควรจะใส่บาตร วันพระหรือวันอะไรก็ตาม พระก็หิวเหมือนเดิม (หัวเราะ)
      ถาม :  สามีภรรยา หยิบเงินใช้กันโดยไม่บอกกล่าว ผิดศีลไหมคะ ?
      ตอบ :  สามีภรรยา โดยกฎหมายถือว่าเป็นบุคคลเดียวกันเลย ไม่เป็นไรหรอก ถือว่ายืมก่อน เพียงแต่ไม่ได้บอกเท่านั้น
      ถาม :  แล้วศีลขาดไหม ?
      ตอบ :  ไม่ขาดหรอกจ้ะ เพียงแต่ว่า ถ้าหากว่าท่านไม่รังเกียจ ก็บอกเขาจะได้โมทนาด้วย จะได้ด้วยกัน
      ถาม :  หลวงพ่อมหาสิงห์ ท่านอยู่ไกลมาก ?
      ตอบ :  บ้านเกิดท่านอยู่แถวนั้น
      ถาม :  พระนเรศวรให้เฝ้าสมบัติท่านที่อยู่แถวนั้น ?
      ตอบ :  ไม่ใช่จ้ะ (หัวเราะ) บ้านท่านอยู่แถวนั้น
      ถาม :  เคยทราบมาว่า ถ้ำป่าไผ่เป็นที่ชุมนุมของสมเด็จพระนเรศวรสมัยก่อน ตอนที่ไปตีพม่า ?
      ตอบ :  น่าจะมีส่วน
      ถาม :  เห็นว่ามีหมวกพระนเรศวรอยู่ในนั้นด้วย ?
      ตอบ :  คราวนี้สำคัญคือว่า ท่านเป็นคนถิ่นนั้น หลวงพี่สิงห์โอกาสท่านน้อยที่สุดเลย บวชอยู่กับหลวงพ่อได้ ๓ พรรษา ชาวบ้านทางด้านโน้นก็รอไม่ไหวแล้ว เอารถมาขอหลวงพ่อแห่กลับไปเลย หลวงพี่สิงห์ท่านถึงได้บ่นน้อยใจอยู่ทุกวัน (หัวเราะ) แทนที่จะมีโอกาสอยู่กับหลวงพ่ออีกซักสิบกว่าปี เลยกลายเป็นว่าได้อยู่แค่ ๓ ปี เท่านั้น
      ถาม :  เห็นท่านสร้างวัดใหญ่ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่จะไปอยู่ในถ้ำ ในเมื่อส่วนใหญ่อยู่ในถ้ำ คนไปอย่างเก่งก็เห็นศาลาใหญ่นั่นน่ะ เพราะว่าอันอื่น ๆ ก็กลายเป็นว่าไปสร้างในถ้ำเสียหมด หลวงพี่สิงห์ปีนี้ท่าน ๖๔ แล้วนะ อย่าเห็นว่าท่านไม่แก่นะ (หัวเราะ) พระปฏิบัติส่วนใหญ่ได้เปรียบตรงที่ว่า ความเครียดน้อย หน้าตาก็เลยร่วงโรยช้าไปหน่อย กลายเป็นว่าบางคนเห็น โอ๊ย...เด็ก ๆ ใช่ไหม กว่าจะรู้ตัวอายุเท่าไหร่ ? โอ๊ย...ร้องจ้าก...!
      ถาม :  ...................................
      ตอบ :  ท่านอำนวยนั่น ลูกศิษย์หลวงพ่ออยู่ที่ไหน ? ท่านก็ตะกายไป ท่านบอกว่า “อยากจะรู้จักให้ครบ” มีอยู่วันหนึ่ง ท่านก็ลุยเข้าป่าไปดุ่ย ๆ ไปถึงก็แนะนำอาตมาเสียเรียบร้อยเลย เป็นใคร ? มาจากไหน ? เราก็เออ...ท่านเก่งว่ะ ท่านแค่ถามเขาว่า “อยู่ที่ไหน ?” แล้วตามเจอ ยอดจริง ๆ เลย