ถาม:  ...........................
      ตอบ :  ตอนที่ไปอยู่วัดท่าขนุน พระเณรเขาเยอะแล้ว ต้องสอนหนังสือเขาก็บอกเขาว่า “ในชีวิตผมสอบได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ จนผมนับไม่ได้ นับไม่ถูก จำไม่ได้ว่ากี่ครั้ง” เขาก็ไม่เชื่อ คราวนี้พอผมไปเรียนบาลี แล้วผมทำได้เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เขาถึงจะเชื่อ เพราะว่าอาจารย์บาลีแกตัดแหลกลาญจริง ๆ ผิดจุดหนึ่งตัดคะแนนหนึ่ง ผิดตัวหนึ่งตัดคะแนนหนึ่ง อาจารย์แกหงุดหงิดมาก แกตัดผมไม่ได้ แกเดินบ่น บอกว่า “ไม่เชื่อหรอก ว่านักเรียนจะทำได้ เพราะไม่เคยมีใครทำได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์” คราวนี้มาเสียฟอร์มไปครั้งหนึ่งเมื่อวาน มีหนังสือมติชนรายสัปดาห์ มีบททดสอบ ๑๐๐ ข้อ เขาอบกว่า “ถ้าใครทำได้ถึง ๓ ใน ๔ ชาตินี้ไม่ใครหลอกคุณได้แน่ ถ้าทำได้สักครึ่งหนึ่ง คุณดำรงชีวิตอยู่ในโลกที่มีแต่ความหลอกลวงได้สบายมาก ถ้าทำได้ไม่ถึง ๑ ใน ๔ คุณต้องปรับปรุงตัวเองใหม่ ไม่อย่างนั้นมีโอกาสโดนเขาหลอกได้” อาตมาทำได้ ๙๙ ข้อ ผิดไปข้อหนึ่ง แหม...เสียท่ามันได้ เสียประวัติเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  ข้อที่ผิดคืออะไรครับ ?
      ตอบ :  เขาถามว่า “ราศีมีน คือคนเกิดเดือนมีนา สัญลักษณ์คือ ปลา ๒ ตัว ตัวหนึ่งว่ายทวนน้ำ ตัวหนึ่งว่ายตามน้ำ แสดงออกซึ่งบุคลิกที่ขัดแย้งกัน ถูกหรือผิด ? อาตมาอันไปตอบว่า “ผิด” เพราะไปจำสลับกัน ไปจำว่า ราศีเมถุนเป็นคนคู่ คนเกิดเดือนมิถุนายน เป็นคนหันหลังให้กัน ก็ไปว่าอันนั้นบุคลิกขัดแย้งกัน แต่ความจริงใช่ทั้งคู่ ทั้งสองอันเหมือนกัน แต่เราไปจำผิด ก็เลยตอบผิดไปข้อหนึ่ง เสียดายจังเลย
      ถาม :  อย่างพระอานนท์นี่เป็นพหูสูต แล้วอย่างหลวงพี่ความสามารถมาก ?
      ตอบ :  เรียนอยู่แค่ ป.๒ อ่านหนังสือหมดไปห้องสมุดเลย พอจะเป็นพหูสูตได้ไหมล่ะ ?
      ถาม :  เกิดจากการทำอานิสงส์อะไรมาครับ ?
      ตอบ :  จะต้องมีสมาธิเป็นพื้นฐาน คนมีสมาธิเป็นพื้นฐานความจำจะดี
      ถาม :  ต้องมีสมาธิขนาดไหน เกิดชาติหน้าถึงจะได้จำได้อย่างนี้ครับ ?
      ตอบ :  มีนิดมีหน่อยได้ทั้งนั้น ยิ่งมีเยอะก็ต้องยิ่งดีเยอะ หรือไม่อีกทีก็ทำบุญอะไรที่เป็นธรรมทาน
      ถาม :  อย่างพระสารีบุตรไหมครับ ที่ถวายพระไตรปิฎก ?
      ตอบ :  เออ...! อย่างนั้นแหละ
      ถาม :  ถ้าคนอยากจะปัญญาดี ความจำดีนี่ก็มีสมาธิ ?
      ตอบ :  ทำสมาธิเอาไว้ก่อนได้เปรียบ แล้วก็ถวายพระไตรปิฎกซ้ำเข้าไปด้วย (หัวเราะ) ตอนแรกพอไปบวชแล้วหลวงพ่อท่านตั้งฉายาให้ ท่านว่า “สุธมฺมปฺญโญ” ผู้มีปัญญาในการปฏิบัติธรรมดีมาก เราก็เอ๊ะ...! กูมีตรงไหนวะ...! ทำไปทำมา ตอนหลัง ๆ ปรากฏว่าเรื่องง่าย ๆ คนอื่นก็เห็นว่ายาก เราก็ เออ...เราคงจะมีจริง ๆ คือตอนนั้นยังไม่แน่ใจจริง ๆ แต่หลวงพ่อท่านยืนยันว่า “ฉายานี้พระพุทธเจ้าท่านตั้งให้ แล้วท่านตั้งให้ตรงตัวทุกคน” อย่างของสมชาย (นราธิป เย็นทรวง) เขาเป็น “สุธมฺมยาโน” ผู้มียานอันนำธรรมไปดีแล้ว เพราะว่า...เขาจัดรถทัวร์ให้คนไปไหว้พระอยู่ตลอด ของผู้การสถาพร เป็น “สุธมฺมวีโร” มีความกล้าหาญที่จะปฏิบัติธรรมอันดี ตอนนี้เป็นพลตรี พลโทแล้ว ทหารไม่กล้าก็ไม่ได้ใช่ไหม ? ล่าสุดได้ข่าวว่าเป็น ผบ.มทบ. ๑๓ ตอนนี้ไม่รู้ว่ายันไหนแล้ว หลายปีเต็มทีแล้ว ไม่ได้ติดตามข่าวคราว
      ถาม :  อย่างคนที่ปัญญาไม่ดี ชาตินี้ปัญญาไม่ดี แต่ว่าอยากจะให้ดีขึ้นภายในชาตินี้ ?
      ตอบ :  ?“ภาวนา” นี่แหละ ตัวภาวนาเป็นการสร้างสติ และทำให้จิตสงบ ถ้าสติมั่นคงความจำก็จะดี ถ้าจิตใจสงบความจำก็จะดี
      ถาม :  คาถาเงินล้าน ดัง ๆ ข้างนอก กับในใจอย่างนี้ ในใจถือว่าเป็นการภาวนา ข้างนอกถือว่าเป็นการสวดมนต์หรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ภาวนาด้วยกันนั่นแหละ
      ถาม :  ภาวนากับสวดมนต์ ต่างกันอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  อันเดียวกัน เป็นการสร้างสติ สร้างสมาธิด้วยกันทั้งคู่ การสวดมนต์ ถ้าสติไม่ดีก็สวดผิดใช่ไหม ? แล้วการภาวนาของเรา ก็นึกตามไป ถ้าหากว่าเผลอ สติขาด ก็นึกถึงคำภาวนาไม่ได้ สรุปแล้วอันเดียวกันนั่นแหละ เป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่งเหมือนกัน
      ถาม :  ทำไมเวลาเราสวดมนต์ในใจ คือสวดมนต์ไป แล้วใจไปคิดเรื่องอื่น แล้วกลับมาทำต่อ ?
      ตอบ :  ลักษณะนั้นอาจจะเป็นการแยกจิตทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ แต่ว่าระวังไว้ว่า ถ้าต้องการประเภทคุณภาพจริง ๆ ต้องดึงกลับเข้ามาอยู่กับลมหายใจเข้า-ออกให้ได้ ไม่อย่างนั้นเผลอเมื่อไร ? แว็บไปเรื่องอื่น
      ถาม :  ตอนที่เรานั่งสมาธิ จิตเราก็พยายามคิดในเรื่องของการตัดร่างกาย ความตาย นั่งคิดในใจไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นจะถือว่าเป็นวิปัสสนาญาณได้หรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ใช่จ้ะ เพียงแต่ว่าตอนนั้นยังเป็นแค่จำได้ก่อน แต่พอเราคิดไป ๆ จนสภาพจิตยอมรับความเป็นจริงทุกอย่างไปตามนั้นแน่นอน ตอนนี้เราจะทำได้ ถ้าจิตยังไม่ยอมรับ จะเป็นแค่จำได้ เพราะฉะนั้น...ถามว่าถ้าหากว่าเป็นสัญญา คือจำได้ สำคัญไหม ? สำคัญมาก เพียงแต่ว่า...เราต้องทวนบ่ยอ ๆ ย้ำบ่อย ๆ จนกระทั่งจิตยอมรับ จากสัญญาก็จะเป็นปัญญา จากจำได้ก็จำทำได้
      ถาม :  คนที่บวชทุกคน พระพุทธเจ้าตั้งฉายาให้หมดเลยหรือครับ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ อุปัชฌาย์ตั้ง แต่บังเอิญว่าของหลวงพ่อ เวลาที่ท่านจะตั้งให้ ท่านถามพระก่อนว่าควรจะใช้ฉายาอะไร ?
      ถาม :  สมัยก่อนหลวงพ่อเป็นพระอุปัชฌาย์ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ท่านไม่ได้เป็นอุปชฌาย์ คือทั่ว ๆ ไป เขาจะให้อุปัชฌาย์ตั้งให้ แต่ของหลวงพ่อ ท่านขอให้พระตั้งฉายาให้ แล้วอุปัชฌาย์ก็ทำตาม คือว่ามหาเถระสมาคม เขากำหนดระเบียบใหม่ออกมาว่าจะเป็นอุปัชฌาย์จะต้องมีตราตั้งเป็นทางการถึงบวชได้ ไม่อย่างนั้น สมัยก่อนพระพุทธเจ้าท่านกำหนดว่า พระภิกษุที่บวชได้ ๑๐ พรรษาขึ้นไป เป็นผู้รู้ธรรมวินัยดี อาจจะสั่งสอนลูกศิษย์คุ้มครองตัวเองได้ รักษาตัวเองได้ สามารถเป็นอุปัชฌาย์บวชกุลบุตรได้
              แต่คราวนี้ว่าทางมหาเถระสมาคม เขาตั้งใจว่า พอไปเจอประเภทเฒ่าเหลวไหล สักแต่ว่าครบ ๑๐ พรรษา แล้วบวชไปเรื่อย ก็เลยมีแต่นักบวชเฮงซวยมากกว่า เต็มไปหมด เขาก็เลยพยายามควบคุมด้วยการต้องบังคับ ว่าเป็นผู้ที่มีตราตั้ง ถ้าหากว่าทำผิดพลาดจะได้ถอดออกจากการเป็นอุปัชฌาย์ได้ ก็ยังเละอยู่เหมือนเดิม เขาก็เลยมาเพิ่มขึ้นอีกว่า จาก ๑๐ พรรษา ก็มาเป็น ๑๕ พรรษา ถึงจะสอบตราตั้งอุปัชฌาย์ได้ ปัจจุบันนี้เป็น ๒๐ พรรษา
              หลวงพ่อท่านเซ็งกับระเบียบใหม่ ๆ เฮงซวยที่เหมือนกับค้านพระพุทธเจ้า ท่านก็เลยไม่ไปสอบ ขนาดหลวงพ่อสมเด็จบอกว่า “ไม่ต้องหรอก คุณส่งชื่อไปเฉย ๆ ไม่เข้าอบรม ไม่ต้องสอบก็ได้” หลวงพ่อก็ไม่เอา เลยว่าถึงวาระถึงเวลาแล้ว ท่านเองท่านบวชพระมาตั้งเท่าไหร่ ? อยู่ ๆ มาบอกว่า “บวชไม่ได้” ท่านก็เออ...! อย่างดีก็ให้ศีลเสร็จเรียบร้อย เรียกว่า “ปัพพัชชาจารย์” คือผู้บวชให้แก่เณร แล้วพอขึ้นตอนต่อไปก็เป็นเรื่องของอุปัชฌาย์กับคู่สวดเขา ตอนช่วงนั้น...หลวงพ่อท่านเป็นผู้ให้ศีล
      ถาม :  .................................
      ตอบ :  สรุปแล้วอาจารย์ขลังจริง ใช้ได้ทั้งคู่ใช่ไหม ? แต่บังเอิญว่าตะกรุดมี ๒ ดอก ดอกบัวเลยลุ้นไม่ขึ้น เดี่ยวต่อเดี่ยวยังพอลุ้นบ้าง ไปเจอตะกรุด ๒ ดอกเข้าเลยลุ้นไม่ขึ้น ก็เขาเล่นติดตัวทั้งผัวทั้งเมียเลย
              ตะกรุดมหาสะท้อน ต้องทำด้วยของมีค่า ต้องเป็นเงิน ทอง หรือนาก อย่างใดอย่างหนี่ง ยิ่งของที่มีราคาอานุภาพยิ่งสูง แปลกดีเหมือนกัน แล้วก็ต้องกำหนดด้วยว่าน้ำหนักอย่างน้อย ๑ บาท สมัยที่หัดทำใหม่ ๆ ทำด้วยเงิน ๖๐ ดอก โดนแย่งไปเสียหมด
      ถาม :  ใครแย่งครับ ?
      ตอบ :  ? หลวงพี่สมคิด วัดตะเคียนงาม รายนั้นเขาถือว่าเขาเป็นลูกศิษย์เรา ทั้ง ๆ ที่บวชพรรษาเดียวกัน เพราะว่าเราเป็นอาจารย์สอนกรรมฐานเขามาก่อน เขาก็เลยถือว่าเขาเป็นลูกศิษย์ พอเขาได้ไปเขาก็เอาไปใส่ในบาตรน้ำมนต์ แล้วก็เอาไปทำน้ำมนต์พรมให้ลูกศิษย์เขา
              วันหนึ่งมีโยมคนหนึ่งผีเข้า หามกันมา ดิ้นโวยวาย ๆ มา ท่านก็จัดแจงคว้าน้ำมนต์ขึ้นมาสาดโครม มันร้องกรี๊ดเงียบไปเลย เท่านั้นแหละมึงมั่งกูมั่งแย่งกันปากบาตรหกคะมำคว่ำคะเมน ตะกรุดก็พลอยโดนตะครุบไปด้วย แล้วเขาก็มาถามว่าอาจารย์ยังมีอยู่ไหมครับ ถ้าหากว่ามีทุนก็มีนะ แต่ตอนนี้ยังไม่มีทุน เพราะว่าเงินบาทหนึ่งเราเอาไปให้เขารีด เขาก็คิดหลายสตางค์ จะทำด้วยนากหรือทองก็แพงเกินไป เงินถ้าเวลาเอาไปให้เขารีดนี่ต้องบอกให้เขาเผาก่อน ไม่อย่างนั้นจะเป็นที่เขาเรียกว่า “เงินเป็น” จะเด้งดึ๋ง ๆ ม้วนไม่ได้
      ถาม :  ต้องกว้างเท่าไร ยาวเท่าไรคะ ?
      ตอบ :  ความกว้างสัก ๑ นิ้วครึ่ง ความยาว ๓ นิ้วก็ได้ เพราะถ้าหากว่าแคบกว่านั้นมันจะหนา ม้วนยาก ความกว้าง ๑ นิ้วครึ่ง ความยาว ๓ นิ้ว กำลังดี เขียนรูปพระแค่ ๕ องค์ เขียนเล็ก ๆ ก็ได้ สำคัญตรงที่เขียนว่าทำใจอย่างไรเท่านั้นเอง ตะกรุดมหาสะท้อนนี่ผลของมันก็คือ ใครทำดีทำชั่วกับเรามันจะย้อนกลับเป็นร้อยเท่าทั้งนั้น จริง ๆ แล้วเหมาะเอาไว้ป้องกันไสยศาสตร์
              ที่หลวงพ่อท่านทำและได้ผลครั้งแรก ท่านบอกว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งอยู่ที่สมุทรสาคร ไปโดนเขาทำเสน่ห์ วัน ๆ ก็นั่งตาลอย ไม่ทำอะไรหรอก พอหลวงพ่อท่านไปเทศน์ทางด้านนั้น ไปช่วยเขาสร้างโบสถ์ พ่อแม่เขาก็มาปรึกษาว่าจะทำอย่างไร หลวงพ่อก็บอกว่ามีวิชาที่เขาเรียกว่า ตะกรุดมหาสะท้อน เพียงแต่ว่าต้องใช้ของแพงก็คือ เงิน ทอง หรือนาก น้ำหนัก ๑ บาท มาทำตะกรุด ถ้าหากว่าวัตถุยิ่งราคาแพง อานุภาพยิ่งสูง พ่อแม่เด็กก็เลยเอาทองมาเลย หลวงพ่อก็ทำให้ แล้วก็ให้เขาอาราธนาไปแขวนคอเด็ก ปรากฏว่าพอแขวนปุ๊บเด็กก็หาย แต่คนทำตาลอยแทนคือมันจะโดนคืนไปเลย กติกาก็คือห้ามเด็กใช้ แล้วก็ห้ามเข้าไปในสถานที่ที่คนหรือสัตว์กำลังคลอดอยู่ ที่ห้ามไม่ให้เด็กใช้คือจะดีจะชั่วมันคืนหมด ถ้าพ่อแม่เผลอไปตีเด็กเดี๋ยวมันโดนคืนเป็นร้อยเท่าไม่รู้ว่า เดิน ๆ ไปตกบันไดหรือโดนรถชนอะไรให้ยุ่งไปหมด จะซวยเอา ก็เลยบอกว่าให้เด็กไม่ได้
      ถาม :  แล้วอาวุธละครับ ?
      ตอบ :  อาวุธ ถ้าเรามั่นใจก็น่าจะได้นะ ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเราเหมือนกัน เคยพกติดตัวอยู่ตะกรุดทองคำ ตอนนั้นศึกษาเป็นครั้งแรกก็ไปขอให้หลวงพ่อท่านทำให้ เอาแผ่นทองไปเลย ทองคำดีกว่า พอท่านทำเสร็จเราก็ต้องไปขอขมาท่าน เพราะหลวงพ่อท่านป่วยอยู่ พอตอนเช้าประมาณ ๗.๐๐ น. กว่า ท่านทำเสร็จ ท่านก็ให้หลวงพี่ประทีปเอามาให้ เราก็ไปนั่งกรรมฐาน ปรากฏว่าได้นิมิตเห็นหลวงพ่อท่านมาบอกว่า ธงแดงก็มีแล้ว ยันต์เกราะเพชรก็มีแล้ว ลูกแก้วมันก็มี มันยังจะเอาตะกรุดอีก ก็เลยต้องเอาพานดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมา เพราะว่าเราขอให้ท่านทำ ก็เท่ากับว่าใช้ท่าน พอถือพานดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปถึง ท่านก็ เออ! รู้ตัวก็แล้วกันไป เป็นไงลูกศิษย์มันอยากโง่ต้องตามไปด่าในนิมิตถึงจะฉลาด
      ถาม :  ตอนนี้มีแต่ปัญหา ทำอะไรก็ไม่เหลือเลย ไม่ทราบว่าจะแก้กรรมนี้อย่างไร ?
      ตอบ :  จะแก้อย่างไร อันดับแรกดูหิ้งพระก่อนนะจ้ะ พระพุทธรูปต้องหันไปทิศเหนือหรือทิศตะวันออกเท่านั้น ถ้าหากว่าห้องพระหันผิดทิศ ทำเงินเท่าไรมันจะไม่เหลือ ถ้าหันทิศอื่นทำเงินเก่งแค่ไหนมันจะไม่เหลือ มีอันต้องใช้จนหมด ดูก่อนว่าหิ้งพระบ้านเราหันไปทางทิศไหน อันดับต่อไปก็ดูทิศของศาลพระภูมิ ศาลพระภูมิต้องอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือทิศเหนือ หรือทิศตะวันออกของตัวบ้าน ได้แค่ ๓ ทิศเท่านั้น ทิศอื่นก็เจ๊งเหมือนกัน
      ถาม :  ศาลพระภูมิต้องหันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่หัน อยู่ทิศนั้นของบ้าน หันทิศไหนก็ได้อยู่ที่เราบูชาสะดวก
      ถาม :  หลวงพี่อนันต์ ท่านเป็นผู้อัญเชิญ
      ตอบ :  อ๋อ! ถ้าอย่างนั้นน่าจะถูก พระภูมิหน้าหันทิศไหนก็ได้ สำคัญว่าตั้งศาลอยู่ทิศนั้นของบ้านหรือเปล่า
      ถาม :  อยู่ใกล้ครัวเป็นอะไรหรือเปล่า ?
      ตอบ :  เรื่องของศาลพระภูมินี่อย่าอยู่ใกล้หน้าต่างหรือห้องส้วมก็พอ เพราะว่าส่วนใหญ่คนจะทิ้งของสกปรกลงหน้าต่างและห้องส้วม ก็ไม่ต้องบอกอยู่แล้วใช่ไหม เทวดาท่านรักษาความสะอาดมากกว่าเราเยอะ ท่านจะไม่ชอบใจ ถ้าหากว่า ๒ อย่างนี้ผ่านไปก็แปลว่าเป็นเรื่องของเราเองแล้ว
              เรื่องของเราเองถ้าเกี่ยวกับบริวารเขาให้บนเสด็จในกรมหลวงชุมพร เสด็จในกรมท่านเป็นทหาร ท่านมีระเบียบวินัย เพราะฉะนั้นถึงเวลาให้บนท่าน ขอให้มีลูกน้องดี ๆ และขอให้หน้าที่การงานของเราเจริญก้าวหน้าคล่องตัว
              คราวนี้การบนเขาจะต้องจัดเครื่องบนก่อน ตอนบนก็ต้องให้บนเสร็จก่อน แล้วก็ต้องให้เหมือนกัน ของที่ใช้บนก็จะมี หมูต้ม ๑ ชิ้น อย่างน้อยต้องครึ่งกิโลกรัม หัวหมูก็ได้ ไก่ต้ม ๑ ตัว ข้าวปากหม้อ ๑ ถ้วย ข้าวหุงแล้วตักออกมาก่อน เขาเรียกว่าข้าวปากหม้อ อย่าเพิ่งไปกินเสียล่ะ ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมจีนน้ำพริก ของทุกอย่างให้วางบนผ้าขาวที่ปูกลางแจ้ง ตั้งโต๊ะ ๑ ตัว ปูผ้าขาว แล้วก็จุดธูป ๕ ดอก
              บอกท่านว่าจะให้ช่วยอย่างไร เวลาบนตอนเช้าคือ เวลา ๗.๕๐ น. ตอนบ่ายคือ ๑๔.๕๐ น. เวลาต้องแน่นอนเพราะถ้าผิดเวลาท่านไม่ได้รับ ให้เตรียมทุกอย่างให้พร้อม พอเวลา ๗.๕๐ น. ก็จัดแจงได้เลย หรือไม่ก็บ่าย ๑๔.๕๐ น. ก็จุดได้เลย วันไหนก็ได้จ้ะ สำคัญตรงที่ว่าถ้าสำเร็จแล้วแก้บนแบบนี้อีกชุดหนึ่ง ตกลงของท่านจะบนสำเร็จ บนสำเร็จก็ต้องให้ท่านก่อนชุดหนึ่ง พอสำเร็จแล้วแก้บนแบบนี้อีกชุดหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องของบริวาร ถ้ายิ่งคนหายนี่ยิ่งตามถนัดเลย ถ้าคนหายให้กำหนดเจาะจงไปเลยว่าขอให้ได้ตัวคืนมาภายใน ๗ วัน ๑๕ วัน หรือว่าถ้าตายก็ขอให้ได้ข่าว
      ถาม :  อันนี้กรรมเกี่ยวกับอะไรคะ ?
      ตอบ :  กรรมเกี่ยวกับอะไร ถ้าหากว่าประเภทคุมลูกน้องไม่ได้ ชาติก่อนเจ้าชูมาก ชาตินี้เกิดมาคนเขาจะไม่ฟัง
      ถาม :  ลูกน้องชอบยักยอกทรัพย์สินเงินทอง
      ตอบ :  อันนั้นก็ลูกน้องสันดานเสียด้วย
      ถาม :  บนอย่างนี้บนได้ทุกเรื่องไหมคะ ?
      ตอบ :  ทุกเรื่องจ้ะ แต่ว่าถ้าหากว่าเรื่องของบริวาร หรือว่าเรื่องของคนหาย ท่านจะถนัดเป็นพิเศษ
      ถาม :  ถ้าบนลูกเข้าโรงเรียนล่ะคะ ?
      ตอบ :  ได้จ้ะได้ จะไปเข้าโรงเรียนไหนอีกล่ะ
      ถาม :  ต้องหันหน้าทางไหนคะ ?
      ตอบ :  ก็แล้วแต่ หันไปเถอะ เพียงแต่ว่าตอนปัจจุบันนี้ท่านเป็นท้าวมหาราชทิศใต้ หันไปทิศใต้ก็ได้
      ถาม :  บ้านจำเป็นต้องมีศาลพระภูมิไหมครับ ?
      ตอบ :  จำเป็นต้องมีไหม ? ต้องใช้คำว่า “จำเป็น” เพราะว่าถ้าหากว่าเราตั้งเป็นทางการ เทวดาท่านก็จะได้รู้เราให้ความเคารพนับถือท่าน ถึงเวลาอะไรที่ไม่เกินวิสัยท่านจะได้สงเคราะห์ให้ โดยเฉพาะพระภูมิเจ้าที่นี่ถ้าหากว่าเราบอกกล่าวท่าน สิ่งร้าย ๆ ท่านจะไม่ปล่อยเข้ามาหรอก อัดกระจายหมด แต่ว่าเราไม่บอกกล่าวท่านบางทีท่านก็ปล่อยเราเหมือนกันนะ
      ถาม :  แล้วศาลที่เป็นของคนจีน ตี่จู้เอี๊ย ?
      ตอบ :  อันนั้นใช่เลย “ตี่จู้” แปลว่า พระภูมิเจ้าที่ “ภูมิ” แปลว่า แผ่นดิน “ตี่จู้” ก็แปลว่า เจ้าของแผ่นดิน
      ถาม :  ต้องหันทางทิศไหนคะ ?
      ตอบ :  อยู่ทิศ ไม่ใช่ หันทิศศาลพระภูมิให้อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวบ้านจะดีที่สุด รองลงไปก็ทิศเหนือ รองลงไปก็ทิศตะวันออก หน้าศาลหันไปตรงไหนก็ได้ที่เราบูชาสะดวก แต่ตัวศาลให้อยู่ทิศนั้นของบ้าน เพียงแต่ว่าศาลที่อยู่ทิศตะวันออกของบ้าน มีอานุภาพพิเศษคือให้หวยแม่น ให้คนไปขอมาหลายรายแล้ว แต่คนกลัวผีเพราะว่าจะต้องไปตอนดึกประมาณสัก ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม เอากระดาษกับดินสอไปใส่ไว้ในศาล อธิษฐานของหวยท่าน แล้วก็ต้องรีบไปเอาตอนประมาณตี ๓ ตี ๔ อย่าให้ฟ้าสว่าง ถ้าฟ้าสว่างตัวเลขจะเลือนหมด เพราะเลขจะมีลักษณะเหมือนกับพรายน้ำเขียว ๆ พอโดนแสงสว่างจะมองไม่เห็น เคยให้เขาไปเอา เขาไปสายไปหน่อย เขาบอกเขากลัวผี เขาบอกว่ามันเลือนจนมองไม่รู้เรื่องแล้วเป็นเลขอะไร ไม่ต้องไปเจตนาตั้ง คือถ้าเราเห็นว่าบ้านใครศาลอยู่ตะวันออกของบ้าน ก็ขออนุญาตใช้หน่อย
      ถาม :  แล้วทางทิศเหนือล่ะครับ ?
      ตอบ :  มีพิเศษแค่ทิศตะวันออกให้หวยแม่น นอกนั้นถ้าเราให้ความเคารพท่าน ไม่เกินวิสัยท่านก็สงเคราะห์ให้
      ถาม :  แล้วถ้าเกิดไปตั้งทิศตะวันตกล่ะครับ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไร เจ๊งแน่ ๆ เลย ทิศตะวันตกเป็นทิศของอากาศเทวดาชั้นจตุมหาราช ท่านเป็นเจ้านายพระภูมิอีกทีหนึ่ง ก็เท่ากับว่าคุณเอานายพลมาเป็นทหารรับใช้ ท่านนายพลคงจะยินดีอยู่หรอก
      ถาม :  เคยมีคนรู้จัก เขาตั้งทางทิศตะวันตกครับ
      ตอบ :  อยู่ได้ไม่ถึง ๒ ปี ไม่ใช่เทวดาไปฆ่าคนนะ เพียงแต่ว่าในเมื่อเราทำผิด ท่านก็ไม่ให้ความคุ้มครอง พวกอกุศลกรรมต่าง ๆ มันเขามา แทนที่จะเบาลงด้วยอานุภาพของท่าน ก็กลายเป็นรับไปเต็ม ๆ ถึงได้เดี้ยงเร็วไปหน่อย จดให้ดี ๆ นะ จดผิดทำผิดอย่ามาโทษอาตมา
      ถาม :  ไม่ทราบว่าทำบุญสะเดาะเคราะห์ วัดท่าขนุน วันที่เท่าไหร่คะ ?
      ตอบ :  สะเดาะเคราะห์วันที่ ๑๓ เมษายนจ้ะ เวลาบ่ายโมง มีรอบเดียว เพราะว่าขอกรรมการเขาแล้ว กรรมการเขาว่าอยากให้ประเพณีครบ ถ้าเราทำสะเดาะเคราะห์ทั้ง ๓ วัน จะไปชนกับอย่างอื่น เพราะวันที่ ๑๔ เมษายนเขาจะแข่นก่อนพระเจดีย์ทราย และวันที่ ๑๕ เมษายนเขาจะมีการละเล่นโบราณต่าง ๆ แล้วก็สรงน้ำพระ ก็เป็นอันว่าวันที่ ๑๓ เมษายนมีวันเดียว รอบเดียว บ่ายโมงตรงจ้ะ ช่วงเช้าก็เป็นการทำบุญใส่บาตรแล้วก็เทศน์ตามปกติ
      ถาม :  แล้วคนที่ไม่ได้ไปล่ะครับ ?
      ตอบ :  หมดสิทธิ์
      ถาม :  แล้วส่งไม่ได้หรือครับ ?
      ตอบ :  มันไม่ใช่เป่ายันต์นี่หว่า พระท่านถึงจะอนุญาตให้ส่งได้ นี่สะเดาะเคราะห์ ก็คือคุณต้องไปทำความดีด้วยตัวคุณเอง ถ้าหากว่าความดีของเราไม่มีมันก็หนีเคราะห์ไม่ได้
      ถาม :  ศาลพระภูมิจำกัดที่การตั้งหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ได้ ถ้าไม่มีที่จริง ๆ หัวนอนเขาก็ตั้งกันมาแล้ว เพียงแต่ว่าจำกัดก็คือ อย่าไปใกล้ส้วมหรือใกล้หน้าต่าง เพราะคนส่วนใหญ่จะทำสกปรก เทวดาท่านรักความสะอาด ท่านจะรังเกียจมาก
      ถาม :  แล้วทำอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ทำอย่างไร อันดับแรก-ก็เตรียมสถานที่ อันดับสอง-ก็ยกศาลมาตั้ง อันดับสาม-ก็จัดเครื่องบูชา อันดับสี่-หาเวลาที่เหมาะสม แล้วก็บวงสรวงของท่านสงเคราะห์ ก็แค่นั้นเอง ง่ายจะตาย
      ถาม :  แล้วเวลาที่เหมาะสมล่ะครับ ?
      ตอบ :  เวลาที่เหมาะสม ตอนเช้าอย่าให้เกิน ๐๙.๐๐ น. เพราะถ้าสายไป เทวดาท่านไปเทวสภากันหมด
      ถาม :  ......................................
      ตอบ :  ได้จ้ะ เลือกวันศุกร์ไปเลย วันศุกร์ปีนี้น่าหวาดเสียว พวกรู้มากเดี๋ยวมันจะเล่นเอา พอหลังสงกรานต์ไปแล้ว วันศุกร์จะเป็นอุบาทว์ ทั้งโลกาวินาศ ซึ่งจริง ๆ แล้วหลวงพ่อเคยบอกว่า ถ้าฤกษ์พรหมประสิทธิ์ว่าดี ถ้าวันอื่นบอกว่าไม่ดีไม่ต้องไปฟัง พวกรู้มากถ้าพูดไปแล้วกำลังใจอาจจะเสียได้ อย่างไรก็เลื่อง ๆ หน่อยเลือกวันอื่นแทน ปกติแล้วฤกษ์อะไรเกี่ยวกับบ้านเขามักจะเลือกวันศุกร์ เพราะเขาติดคำว่า “สุข” จะสุข จะได้สบาย อะไรทำนองนั้น
      ถาม :  แล้วขนาดศาลล่ะครับ ?
      ตอบ :  ขนาดหรือ ? อยู่ที่งบ ใหญ่เล็กก็ได้ สำคัญตรงว่าเราตั้งท่านคือการแสดงออกซึ่งความเคารพ ไม่ได้อยู่ที่ขนาด เพราะว่าพระภูมิท่านมีวิมานท่านเองอยู่แล้ว สวยกว่าไม่รู้กี่ล้านเท่า การตั้งศาลเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพท่านเท่านั้น ท่านไม่ได้มาอยู่ที่ศาลหรอก
      ถาม :  แล้วศาลจะต้องตั้งอะไรบ้างคะ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่ก็มีรูปพระชัยมงคลที่เป็นพระภูมิอยู่ แล้วมีรูปตา ยาย ช้าง ม้า วัว ควาย โอ่งเงิน โอ่งทอง ใส่ไปเถอะไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอก
      ถาม :  ไม่ใส่ก็ได้ใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ได้จ้ะ ของอาตมานี่เล่นธงพิชัยสงคราม แปะในศาลพระภูมิเลย หมดเรื่อง ง่ายดี เทวดาท่านจะได้มีอาวุธไว้ใช้ด้วย
      ถาม :  เครื่องบวงสรวงมีอะไรบ้างครับ ?
      ตอบ :  ของพระภูมิ ก็จะมีพานบายศรี ๑ ต้น ถ้าใช้บายศรีปากชาม ก็ใช้ซ้าย-ขวาคู่หนึ่ง กล้วยน้ำว้า ส้มโอ มะพร้าวอ่อน ไข่ยอดบายศรี ขนมต้มขาว ขนมต้มแดง ปลาช่อนแป๊ะซะ ๑ ตัว ถั่วทองหรือถั่วลาชมาศ หัวหมู ๑ หัว ไก่ ๑ ตัว มีหนังสือ “สมบัติพ่อให้” ไหม ไปเปิดดูในนั้นก็ได้ เขามีอยู่แล้ว
      ถาม :  ทำเองได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ยิ่งทำเองยิ่งดี เพราะว่าเขาต้องการความเคารพของเจ้าของบ้าน เจ้าของที่ ไม่ต้องไปจ้างใคร เสียเวลา ถึงเวลาก็จุดธูปอธิษฐานเลย ตอนนี้ลูกหลานมาอาศัยในพื้นที่ของท่าน ขอความคุ้มครองจากท่านด้วย ถ้าหากว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่เกินวิสัย สามารถสงเคราะห์ให้เจริญรุ่งเรืองได้ด้วยวิธีใด ก็ขอให้โปรดเมตตาด้วย