ถาม:  สรุปว่า หลวงพ่อให้พระอะไรกับทหารคะ?
      ตอบ :  พระหลวงปู่ปานย้อนยุค ให้รุ่นอื่นแล้วเขาไม่เอา ทั้ง ๆ ที่เขารู้อยู่ บอกเขาว่า "รุ่นหลังดีกว่า" มันก็ไม่ฟัง คนไหนมีประสบการณ์รุ่นไหน ก็จะเชื่อแต่รุ่นนั้น จริง ๆ ถ้าหากเป็นพระองค์ที่ ๑๑ หรือว่าพระกริ่งพิชัยสงคราม อาตมาเชื่อขนมกินได้เลยว่าดีกว่า แต่คราวนี้เขาไม่เชื่อ เขาไม่เจออย่างนั้นน่ะ รุ่นที่โดน ๔๖ นัดไม่ใช่รุ่นนั้น
              สมเด็จองค์ปฐมนี่ ทางพม่าตอนนั้นทหารกะเหรี่ยงพุทธ เขาจับกะเหรี่ยงคริสต์ได้ แล้วพิพากษาประหารชีวิต กะเหรี่ยงคริสต์ไหน ๆ ก็จะตายแล้ว เลยเสี่ยงแย่งปืนผู้คุมแล้วหนี พวกนี้ก็ตามล่าไป ๆ ถึงตรงนั้นเป็นขุมเหมือง คือที่เขาเคยขุดทำเหมืองมาก่อนแล้วร้างไป ก็เป็นหลุมลึก ๆ ต้นไม้ขึ้นเยอะแยะ เจ้านั่นไปซ่อนอยู่ข้างในหลุม แล้วแอบยิงพวกนี้ ยิงแล้วยิงอีกแต่ยิงไม่ออก เสร็จแล้วก็ขึ้นลำใหม่ แล้วก็ยิงอีก ก็แชะ ๆ ด้าน ๆ อยู่นั่นแหละ กระทั่งพวกตามมาได้ยินเข้า เลยช่วยกันซัลโวซะพรุนไปเลย พอไปตรวจสถานที่ก็สยอง เพราะเขาคัดกระสุนที่มันสับแล้วด้านทิ้งเอาไว้เป็นกองเลย ถ้ายิงออกนี่ตายหลายคนเลย ปรากฏว่ามีพระที่เรลไปแจกอยู่รุ่นเดียวนั่นแหละ ตั้งแต่นั้นมาอาจารย์เล็กไปพม่าไม่ได้หรอก พอทหารเจอเมื่อไร มันอุ้มเข้าหน่วยมันเลย
              เรื่องของพระน่ะ จริง ๆ คือว่า พลังงานของวัตถุมงคล พลังงานแผ่ออกเป็นปกติอยู่แล้ว สำคัญตรงที่ว่า ใจของเราน่ะ รับได้แค่ไหน ถ้ากำลังใจเข้มแข็งสูงสุด จะยิงไม่ออก ถ้าหากว่ากำลังใจลดลงมาหน่อย ยิงออกแต่ไม่ถูก ลดลงมาอีก ก็ยิงถูกแต่ไม่เข้า เพราะฉะนั้นยิงแล้วไม่เข้าถือว่าห่วยแล้ว แย่ลงไปอีกหน่อยยิงเข้าก็ไม่ตาย ประเภทเฮงซวยที่สุดคือ ถึงตายก็ไปสวรรค์ เพราะมันเกาะพระอยู่
      ถาม :  แล้วทำอย่างไรคะ ที่ว่าเข้มแข็งสูงสุด?
      ตอบ :  ต้องมีการภาวนาอยู่ทุกวัน แล้วอาราธนาให้ท่านช่วยคุ้มครอง พระให้ดีแค่ไหนก็ตาม วัตถุมงคลดีแค่ไหนก็ตาม จำไว้ว่า "ถ้าวาระมาถึงไม่รอดหรอก" สมัยที่หลวงพ่อท่านขึ้นจากเรือมา แล้วทางกรมตำรวจขอตัวมาช่วยปราบไอ้พวกเสือปล้นดัง ๆ ที่หนังเหนียวกันน่ะ มีอยู่รายหนึ่งไม่มีใครยิงมันได้เลย ปรากฏว่าวันนั้นเขาส่งข่าวมาว่า "โดนยิงตายแล้ว" หลวงพ่อท่านก็ไป พอไปถึงสถานที่นั้น ปรากฏว่ามันตายแล้วจริง ๆ ในตัวมีพระมเหศวรเศียรกลับอยู่องค์เดียว หลวงพ่อถามหลวงบำราบปรปักษ์ว่า "คุณหลวงทำอย่างไร ถึงยิงมันตาย?" ท่านบอกว่า "มันถึงที่ตายครับ ถ้าไม่ใช่ตรงนั้น ยิงมันไม่ได้หรอก" หลวงพ่อท่านบอกว่า "ต้องถึงขนาดตรงนี้เลยหรือ?" คุณหลวงบอกว่า "เอาอย่างนั้นสิคุณ ลากมันออกไปสักศอก แล้วลองยิงดูสิ" หลวงพ่อก็ลากศพเคลื่อนจากที่ไปศอกเดียว แล้วยิงใหม่ ขนาดเป็นศพก็ยิงไม่ออก ต้องจุดนั้นพอดีด้วย แล้วก็เวลานั้นด้วย ถ้าพ้นจากนั้นไปก็ยิงไม่ได้อีก
      ถาม :  แล้วเขาคำนวณได้อย่างไรคะ?
      ตอบ :  เขาไม่ได้คำนวณ บังเอิญ..! พูดง่าย ๆ ว่า "วาระกรรมของมันพอดีไปโดนตรงนั้นเข้า" คราวนี้มาพูดถึงพระมเหศวรเศียรกลับ เคยเห็นไหม? จะเป็นรูปองค์พระ ด้านหนึ่งจะหันขึ้น ด้านหนึ่งจะหันลง โบราณเขาเรียกว่า "ตะเข้ขบฟัน" ฟันจระเข้มันสวมกันพอดี นั้นแหละเป็นเคล็ดว่าเหนียวแน่นอน ปิดสนิท ไอ้เข้ขบฟันมีอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นวัตถุอาถรรพ์ธรรมชาติก็คือ ไม้ไผ่ที่เป็นตะเข้ขบฟัน ถ้าตามหลักวิทยาศาสตร์คือ ไม้ไผ่ที่พิการ แรก ๆ ขึ้นเป็นข้อปกติ แล้วอยู่ ๆ ข้อก็เล็กลง จะเป็นข้อเล็ก ๆ ลักษณะเหมือนกับตาอ้อยซ้ายอันขวาอัน อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ พอพ้นช่วงนั้นไป จะขึ้นเป็นลำข้อปกติของมันอีก
              สมัยก่อนนักเลงเขาเล่นไม้ตะพดกัน เขาจะหาไม้ไผ่ตะเข้ขบฟัน หรือไม้ไผ่ตัน ไม้ไผ่ตันนี่ตันตึ๊กจริง ๆ นะ ต้นขนาดกระป๋องนมนี่ ไม่มีรูเลยล่ะ เป็นเนื้อไม้ทั้งท่อนเลย เคยไปเจอที่ตำบลโละจูด อำเภอแว้ง นราธิวาส นั่นไผ่ตันจริง ๆ แต่ไอ้เข้ขบฟัน ที่ถ้ำพรหมโลกเขาตัดไปแล้ว ถ้ำพรหมโลกอยู่เขาใหญ่ตรงแยกทับศิลา ก่อนจะขึ้นไทรโยคมีอยู่ แต่เขาตัดไปแล้ว สมัยก่อนเขาเล่นไม้ตะพดกันอยู่ เขาจะเอาไม้ไผ่ตะเข้ขบฟันนี่แหละ นอกจากคนใช้จะเหนียวแล้ว เขาว่ายังล้างอาถรรพ์ได้ด้วย พวกเหนียว ๆ ส่วนใหญ่เขากลัวสันขวาน หรือไม้ตะพด เหนียวแค่ไหน ถ้ารุมทุบก็น่วมใช่ไหม? แต่ว่าไม้ไผ่ตะเข้ขบฟันเหมือนกับว่าเป็นหัวใจของกอนั้น ถ้าตัดออกมา ไม้ไผ่กอนั้นจะตายหมดทั้งกอเลย เคยไปเจอที่ถ้ำพรหมโลกตรงแยกทับศิลา ก่อนจะเข้าไทรโยคนั้นมีอยู่ แต่เขาตัดไปแล้ว ของอาถรรพ์บางอย่างนี่ ดีก็ดีแค่นั้นแหละ เพราะจริง ๆ ก็อนิจจัง ไม่เที่ยงเหมือนกัน ถ้าหากว่าวาระเวลาเปิด หรือว่าคนรู้วิธีล้างอาถรรพ์ ก็แก้ได้ แก้ตก
              เรื่องของไม้ไผ่เจอแปลก ๆ มาหลายอย่างเหมือนกัน มีไผ่สีทอง สีทองจริง ๆ นะ ไม่ใช่ไผ่ญี่ปุ่น ไผ่ญี่ปุ่นลักษณะเป็นไม้รวกสีเหลือง ๆ เขาก็เรียกไผ่สีทองเหมือนกันใช่ไหม นี่เป็นไผ่ธรรมชาติ ไปเจอที่อำเภอด่านช้าง สุพรรณโน้น แล้วก็ไผ่ดำ ดำทั้งต้นจริง ๆ ดำเมี่ยมเลย อันนั้นไปเจอที่ดอยอ่างขาง
      ถาม :  ไผ่สีทอง คือสีเป็นทองหรือคะ?
      ตอบ :  คือสีเหลืองนั่นแหละ แต่ว่าเขาเรียกสีทอง เป็นไผ่ธรรมชาติจริง ๆ ไม่ใช่ไผ่เลี้ยงอย่างกับไผ่ญี่ปุ่น มีอะไรแปลก ๆ เหมือนกัน แล้วก็พวกไผ่ที่เป็นไผ่ตัน ไผ่ตะเข้ขบฟัน แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ คดไม้ไผ่ "คด" คือสิ่งของวิเศษตามธรรมชาติที่แปรสภาพกลายเป็นหิน โบราณเรียกว่า "เป็นแก้ว" ไม่ได้หมายความว่าเป็นแก้วใสปิ๊งนะ จะแปรสภาพกลายเป็นของแข็งขึ้นมา
              ส่วนใหญ่เขาจะเรียกว่า "คด" จะเป็นส่วนหนึ่งของพืชก็ได้ ของสัตว์ก็ได้ อย่างคดไม้ไผ่ คือหินที่เกิดขึ้นในกระบอกไม้ไผ่ แต่ว่าจะเป็นกระบอกไม้ไผ่ที่ไม่มีข้อ จะลื่นเหมือนกับท่อพีวีซีอย่างนั้นแหละ ถึงเวลาถ้าเราเจอไม้ไผ่ในลักษณะนั้น ก็ไปคอยฟังดู จะวิ่งขึ้นวิ่งลงกรอกแกรก ๆ อยู่นั่นแหละ พอมันวิ่งขึ้นก็ฟันได้เลย เพราะถ้ามันวิ่งลง ถ้าเราฟันมันจะลงดินหายไป พอมันวิ่งขึ้นแล้วเราก็ฟัน แล้วเทออกมา ก็จะเจอ มันจะเป็นหินที่เกิดขึ้นในลำไผ่ ส่วนใหญ่พวกคดเขาถือว่าอยู่ยงคงกระพัน
              โดยธรรมชาติของมันคือโลกเรามีพลังงานหลายต่อหลายประเภทด้วยกัน มีประเภทหนึ่งพอจับกับวัตถุแล้ว จะทำให้วัตถุแปรสภาพกลายเป็นของที่อยู่ยงคงทนขึ้นมา ก็จะมีอย่างพวกคดไม้ไผ่ เม็ดขนุนทองแดง เม็ดมะขามทองแดงอะไรพวกนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนไปอ่านหนังสือเก่า ๆ ไปเจอไข่งูจงอางเป็นแก้ว ไข่งูจงอางเป็นแก้วเขาได้ที่ราชบุรี คนที่เขาหาของป่ามาขาย เขาไปได้มา
              คราวนี้พอเขาเอาของป่ามาขายที่บ้านนั้น มันก้มแล้วหล่นจากกระเป๋า พอเจ้าของบ้านหยิบมาส่องดู พอเห็นแล้วขนลุกเลยรู้ว่าของดีแน่นอน เพราะว่าใสจนกระทั่งเห็นลูกงูอยู่ข้างใน แต่ว่าเป็นหินเป็นแก้วทั้งก้อน เขาก็ถามว่า "ได้มาอย่างไร?" บอกว่า "ไปเจองูจงอางตายซากอยู่ตัวหนึ่ง คาบคาปากอยู่ เขาก็เก็บมา" เขาถามว่า "ขอซื้อได้ไหม?" คนขายบอกว่า "ถ้าจะเอา ขายห้าร้อย" มันต่อเหลือสามร้อยบาท ตอนนี้มันประกาศขาย ๗ ล้าน น่าฆ่าไหม? เขาขอห้าร้อย มันรู้ว่าของดีน่าจะให้เขาสักพันหนึ่ง หรือสองพัน ต่อเหลือสามร้อย แล้วตอนนี้ประกาศขาย ๗ ล้าน ของพวกนี้เราต้องเห็นว่า "จริง ๆ แล้วตัวเจ้าของยังตายเลยเลยกลายเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง" ส่วนใหญ่ที่เป็นสัตว์ก็คือ พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ เขาจะมีของที่เป็นลักษณะว่า ของคู่บุญคู่ตัวเขาอย่างนั้น
              ประเภทหมูเขี้ยวตัน เสือเขี้ยวกลวง เขาพญาเก้ง เขาพญากระจง กระจงจริง ๆ ไม่มีเขา แต่พญากระจงจะมีเขาเล็ก ๆ เท่ากับพริกขี้หนู แล้วก็เป็นสีแดง พวกนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ยงคงกระพัน ถ้าหากว่าไม่ชนิดที่เรียกว่าดักมันได้ ทุบมันให้ตาย ไม่ต้องไปไล่ยิงให้เสียเวลาหรอก
      ถาม :  แล้วสัตว์ที่เกิดมาเพื่อเป็นคู่บุญ?
      ตอบ :  เป็นคู่บุญของเขา ส่วนใหญ่เขาจะเป็นพระโพธิสัตว์ เขาจะมีของที่เป็นคู่บุญตัวเขามา อย่างแมวตาเพชรอย่างนี้ แก้วตาเสืออย่างนี้ จำไม่ได้ว่าเป็นเส้นทางรอยต่อระหว่างเชียงใหม่กับแม่ฮ่องสอนหรืออย่างไร? มีหมูโทนอยู่ตัวหนึ่ง หมูป่าตัวเดียวเขาเรียก "หมูโทน" ใครยิงมันไม่ได้หรอก เขาบอกว่า "มันเป็นม้าขี่ของย่าเฒ่า" คำว่า "ม้าขี่" คือเป็นสัตว์เลี้ยงที่เทวดาเขารักษาอยู่ และไอ้โทนนี่มันรู้ด้วย ว่ามันหนังเหนียว ในเมื่อมันรู้ว่าหนังเหนียว มันก็ไม่สนใจใคร ถึงเวลาก็ลงมาลุยนาข้าวเขากูอยากกินตรงไหน กูก็กิน กูอยากขุดตรงไหนกูก็ขุด ล่อให้เละไปเลย ชาวบ้านมีปืนแก๊ปบ้าง ปืนลูกซองบ้าง ไปไล่ยิงมัน พอยิงตูม อย่างเก่งมันก็ตีลังกาไป แล้วมันก็ลุกขึ้นมาไล่ขวิดเขา แล้วชาวบ้านก็วิ่งกันตับแลบทุกราย เจ็บบ้าง ตีนพลิกบ้าง
              คราวนี้คณะของคุณสังคีต จันทนะโพธิ์จากกรุงเทพฯไป ช่วงนั้นเขาจะมีปืนไรเฟิลดี ๆ ไป เขาก็ไปลองยิงดู ยิงมันไม่เข้าจริง ๆ ขนาดปืนไรเฟิลแรงสูง ๆ ประเภทยิงแผ่นเหล็กทะลุอย่างนี้ ยิงมันไม่เข้าหรอก อย่างเก่งมันก็กระเด็นตกลงไปในลำห้วย แล้วมันก็ลุกขึ้นมาไล่ขวิดใหม่ ไรเฟิลก็ไรเฟิลต้องวิ่งหนี
              คราวนี้ชาวบ้านแถวนั้นรู้จริงเกินไป มันรู้ว่าย่าเฒ่าที่ผาย่าเฒ่านี่ เขาบอกว่า "ย่าเฒ่าต้องขึ้นไปจำศีลบนสวรรค์ทุกวันพระ" ไปเจอเด็กกรุงเทพฯ เข้าล่ะสิ ในเมื่อย่าไปวันพระ กูก็จะไปย่องยิงมันวันพระ มันเอาจนได้ ตกลงไอ้โทนตายเขาย่องไปยิงวันพระ ไม่ใช่ว่ามันไม่เหนียวนะ เชื่อว่าวันพระมันก็ยังเหนียวเหมือนเดิม เพราะมันเป็นหมูเขี้ยวตัน แต่มันคงถึงที่ตายจริง ๆ เขายิงเข้าหูมันพอดี ถ้าไม่เข้าหูคิดว่ายิงมันไม่ตายหรอก แต่โดนเข้าหูมันถึงสมองพอดี เรียบร้อยเหมือนกัน วาระมันจะตาย ไม่อย่างนั้นต้องรอมันแก่ตายเอง
      ถาม :  การที่เราทรงอารมณ์เพื่อจะเป็นพระอริยเจ้า กับคนที่เขาเป็นแล้วการคุมอารมณ์จะต่างไหมคะ?
      ตอบ :  ต่างกันมหาศาลเลย ต่างกันตรงที่ว่า เราทรงอารมณ์จะเป็นพระอริยเจ้า เราจะต้องแบกช้างอยู่ แต่พระอริยเจ้าท่านวางช้างไปกองกับพื้นแล้ว ไม่ต้องแบก เปรียบเทียบอย่างนี้ฟังเข้าใจไหม? คือของเรา ยังต้องระมัดระวังอยู่ตลอดเวลาที่จะรักษาอารมณ์ไม่ให้พลาด แต่ของพระอริยเจ้าท่าน อารมณ์ท่านทรงตัวโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวจะพลาดอีก เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าเป็นพระอริยเจ้า อารมณ์จะโปร่งสบาย แต่ถ้าอย่างของเรานี่ ถ้าหากว่าเราทรงฌานอยู่ เราจะรู้สึกหนัก แล้วเผลอไม่ได้ เผลอเมื่อไรกิเลสตีกลับ คราวนี้รัก โลภ โกรธ หลง จะมากกว่าปกติ
      ถาม :  โปร่งสบายในอารมณ์ปกติหรือคะ?
      ตอบ :  อยู่ในอารมณ์ปกติเลยจ้ะ
      ถาม :  แล้วอารมณ์ที่มากระทบล่ะคะ?
      ตอบ :  อารมณ์กระทบก็รู้ทุกอย่าง ถ้าเป็นพระอริยเจ้าขั้นต้น ๆ อย่างพระโสดาบัน พระสกิทาคามี ยังมีโกรธอยู่นะ แต่ว่าโกรธน้อย หรือโกรธช้า ถ้าหากว่าเป็นพระโสดาบันขั้นหยาบอย่าง "สัตตักขัตตุ" รู้โกรธ แต่ว่าไม่ผูกโกรธ โกรธแล้วโกรธเลย หันหลังให้ก็ลืมแล้วว่าเขาเคยทำให้โกรธ ถ้าหากว่าเป็น "โกลังโกละ" ก็โกรธช้าไปหน่อย อาจจะสองสามชั่วโมงค่อยนึกขึ้นมาได้อย่างนี้ ถ้าเป็น "เอกพีชี" อาจจะสามเดือนข้างหน้าค่อยนึกขึ้นมาได้ เฮ้ย..มันทำให้เราโกรธนี่หว่า
      ถาม :  แล้วมีไหมคะที่พระอริยเจ้า ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นพระอริยเจ้า?
      ตอบ :  โอ้โฮ..เยอะเลย เพราะว่าพระอริยเจ้าจะรู้ด้วย ๒ ประการด้วยกัน ประการแรกคือ "ญาน" คือเครื่องรู้ปรากฏขึ้น รายงานให้รู้ว่าตอนนี้เป็นแล้ว อีกประการหนึ่งคือ พระพุทธเจ้าท่านเสด็จมาพยากรณ์ให้ว่าเป็นแล้ว คราวนี้สองประการนี้ ถึงท่านรู้ว่าท่านเป็นแล้ว แต่ว่าพระอริยเจ้า ท่านจะทรงความไม่ประมาทเป็นปกติ ท่านก็จะไม่สนใจหรอกว่า เป็นหรือไม่เป็น รู้แต่ว่าสิ่งที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำให้ได้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติต่อไป
      ถาม :  ..................................
      ตอบ :  ทำตามนั้นแหละจ้ะ ง่ายดี การที่เราจะเป็นนักปฏิบัติที่ดีได้ ต้องมีครูบาอาจารย์ที่คนเขาไม่เห็นตัวมาสอนน่ะ ถึงจะใช้ได้
      ถาม :  แต่ท่านพาลงไปที่สำนักพระยายม?
      ตอบ :  อ๋อ..ดี นึกว่าพาลงขุมไปเลย (หัวเราะ) ก็ต้องให้ไปเห็นตัวอย่างที่ไม่ดีก่อนอย่างไร ว่าคนที่ทำไม่ดีเป็นอย่างไร?
      ถาม :  ทำไมของเพื่อนท่านสอนเรียบร้อย แล้วของเราทำไมสอนไม่เรียบร้อย?
      ตอบ :  อ๋อ...เพื่อนเขาชอบกินแกงจืด แต่เราชอบกินแกงเผ็ดจ้ะ วิสัยแต่ละคนทำมาไม่เหมือนกันนะจ๊ะ บางคนมีวิสัยสุขวิปัสสโก ชอบแบบเรียบ ๆ ง่าย ๆ เตวิชโช มีโลดโผนนิดหน่อย พอเป็นกระษัยยา ฉฬภิญโญ ประเภทเผ็ดจี๋ไปเลย ปฏิสัมภิทัปปัตโต พร้อมทุกอย่าง จะกินแกงจืด แกงเผ็ด ผัดหรือต้มอะไรทำได้หมด นั่นคือปฏิสัมภิทาญาณ อยู่ที่ว่าเรามีวิสัยอย่างไรมา? ท่านก็จะสอนตามนั้น แล้วถ้าเราปฏิบัติตามที่ครูบาอาจารย์ที่ไม่เห็นตัวมาสอนจะได้ง่ายกว่า เพราะว่าจะเข้าถึงอารมณ์ใจที่แท้จริงของเราตอนนั้น
      ถาม :  แล้วท่านให้คาถามาค่ะ
      ตอบ :  คาถา ถ้าหากว่าท่านให้ ส่วนใหญ่จะเป็นเฉพาะตัว เพราะฉะนั้น...คราวหน้าเผื่อคนอื่นบ้าง ถามท่านว่า คนอื่นใช้ได้ไหม? ถ้าหากว่าคนอื่นใช้ได้ แล้วใช้ในด้านใด เราก็บอกเขาไป
      ถาม :  ไม่ได้ถามค่ะ ตกใจแล้วลืมถาม
      ตอบ :  คราวหน้าจำเอาไว้ว่า "นักปฏิบัติที่ดี กระดาษกับปากกาต้องอยู่ใกล้มือตลอด" เวลาพระหรือพรหมหรือเทวดาท่านมาสงเคราะห์เรื่องอะไร? ต้องรีบจดไว้ อย่าเผลอให้ออกจากสมาธิ หรือสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากนิมิตนั้น ถ้าออกจากสมาธิหรือตื่นจากนิมิตนั้น ต้องรีบเขียนเลยทิ้งเวลาไม่ได้ ทิ้งเมื่อไรหายหมด จะหายชนิดจำไม่ได้เลย เหมือนอย่างไม่เคยมีในหัวเลย
      ถาม :  ท่านย้ำตลอดเวลาเลยค่ะ ห้ามลืมนะ ๆ
      ตอบ :  ใช้ไปเลยจ้ะ อย่างไรเจอหน้าท่านก็ถามรายละเอียดด้วยว่า ใช้ในด้านไหนได้บ้าง? จุดธูปถามก็ได้ หรือไม่ก็ตั้งใจนึกถึงท่าน ขอให้ท่านมาสงเคราะห์บอกหน่อย
      ถาม :  แต่ว่าที่หลวงพ่อฤๅษีมาสอน ท่านบอกให้นั่งบนเก้าอี้ แล้วท่านก็ให้นึกถึงพระเอาไว้ นึกให้ดีนะ นึกให้ได้ แล้วเก้าอี้ก็เริ่มสั่น?
      ตอบ :  แล้วเราก็เริ่มกลัว..! (หัวเราะ)
      ถาม :  แต่จับภาพพระได้ดีมากเลยนะคะ แล้วก็มีมืออะไรสักอย่างมาเกาะ เกาะแล้วก็จิกแบบแรงมากเลย แต่จับมือนั้นออกไป แล้วก็นั่งต่อจนสำเร็จ
      ตอบ :  โอเค ใช้ได้จ้ะ เพราะว่าในลักษณะนั้นเป็นการทดสอบ แล้วจะเป็นอารมณ์ที่แท้จริงของเรา ถ้าตอนที่เกิดสิ่งที่เป็นอันตรายขึ้นมา เราสามารถเกาะพระได้ไหม? สามารถเกาะความดีได้ไหม? ถ้าหากว่าเกาะได้แสดงว่าจิตของเราตอนนั้น พอจะอาศัยได้อยู่ ไม่ใช่ว่าเกิดอะไรนิดหนึ่งก็ตกใจเลิกเลย หรือไม่ก็ประเภทตกใจจนกระทั่งสิ้นสติไปเลยอย่างนั้น
      ถาม :  หรือเป็นเพราะว่า ชอบภาวนาจนหลับไปทุกวันคะ?
      ตอบ :  นั่นจริง ๆ น่าทำนะ นอนภาวนาจนหลับนี่ จิตของเราถ้าหากว่าไม่ถึงปฐมฌานเป็นอย่างน้อย จะไม่หลับนะ เพราะฉะนั้นก็เท่ากับว่าเราทรงฌานทำจิตของเราให้บริสุทธิ์ไปเรื่อย ๆ อยู่ทุกวัน ๆ พอจนถึงระดับที่สมควร ท่านเห็นว่าจะสงเคราะห์ตรงจุดไหนได้ ท่านก็จะมาสงเคราะห์ให้
      ถาม :  จริง ๆ ตั้งใจจะภาวนาให้ครบ ๑๐๘ แต่ไม่ถึงค่ะ
      ตอบ :  ไม่ต้องหรอกค่ะ ถึงเวลาหลับ จิตทำงานของมันเอง อาจจะเกิน ๑๐๘ ไปก็ได้ ถ้าเราตั้งใจจะตัดกิเลสตัวไหน ถ้าภาวนาไปถึงระดับนั้นจิตจะตัดของมันเอง เขาเรียก "เจโตวิมุติ" หลุดพ้นได้ด้วยกำลังใจข่มไว้ คราวนี้ช่วงแรกยังไม่วิมุติหรอก เพราะว่าอยู่ในลักษณะที่ว่าข่มไปเรื่อย ๆ แต่คราวนี้อยู่ในลักษณะว่า ถ้าเราข่มไปนาน ๆ เหมือนเอาหินทับหญ้าไว้ ยิ่งทับนานมากเท่าไร โอกาสหญ้าจะตายก็มีสูง เพราะฉะนั้น...หมั่นทำเอาไว้ให้ดี โดยเฉพาะอารมณ์ตอนเช้า ๆ น่ะ ตอนเช้ารักษาอารมณ์ให้สูงที่สุดที่เราจะภาวนาได้ แล้ววันนั้นทั้งวันจะเป็นสุขเยือกเย็นอยู่ตลอด เพราะว่ากำลังของตอนช่วงเช้าคลุมอยู่ ถ้ารู้ตัวว่าจะพังเมื่อไหร่? รีบย่องไปหาวิธีสร้างกำลังใจขึ้นมาใหม่ หมดท่าจริง ๆ ไปไหนไม่เป็น ก็ย่องเข้าห้องน้ำ วันนี้ท้องผูกนั่งนานหน่อย
      ถาม :  ทำไมฝันเห็นพระบ่อย ๆ ?
      ตอบ :  เห็นพระบ่อย ๆ แสดงว่ากำลังใจของเรา เกาะอยู่กับด้านดีมากกว่าความชั่ว จะเป็นพระเครื่องหรืออะไรก็แล้วแต่ เรารู้ว่าเป็นพระไหม? เออ...ใจของเรารู้ว่าเป็นพระ อย่างน้อยอนุสติก็นึกถึงความดีใช่ไหม?
      ถาม :  คาถาที่หนูได้มา แปลว่าอะไรคะ?
      ตอบ :  คาถาเขาห้ามแปลจ้ะ เพราะว่าบางอย่างเรียกว่า คำด่า หยาบ ๆ เลยก็มี บางอย่างก็เป็นประเภทว่าคนเส้นตื้นหน่อย ท่องไปหัวเราะไปก็มี เรื่องของคาถาเป็นการทดสอบว่า เรามีวิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัยในใจหรือเปล่า? ถ้าไม่มีความลังเลสงสัย ตั้งหน้าภาวนาไป จะได้ผลเร็วมาก แต่ถ้ามัวแต่ไปสงสัยเอ๊ะ..! คาถาตลก ๆ อย่างนี้ หรือคำพูดหยาบคายอย่างนี้ จะมีผลหรือ? จะไม่มีผลหรอก เพราะว่าใจเราไปสงสัยเสียแล้ว ของอะไรที่ได้จากนิมิตส่วนใหญ่ให้เฉพาะตัวมา ถ้าจะเมตตาคนอื่นก็ถามด้วยว่า คนอื่นใช้ได้ไหม? ทำไปเรื่อย ๆ แล้วก็ไม่ต้องไปปลื้มใจ ไม่ต้องไปภูมิใจ ไม่ต้องยินดียินร้ายทั้งนั้นแหละ มีหน้าที่ทำ ๆ ไป ถ้ามัวแต่ไปปลื้มใจไปภูมิใจอยู่ เดี๋ยวกำลังใจไปหลงยึดอยู่ตรงจุดนั้น
      ถาม :  .................................
      ตอบ :  นครปฐมมีของสำคัญ คือพระปฐมเจดีย์ สถานที่สำคัญ ส่วนใหญ่เขาเชื่อว่า ท้าวมหาราชจะรักษาอยู่ อย่างน้อย ๆ จะจัดเทวดาชั้นจตุมหาราชประจำทั้ง ๔ ทิศ โบราณเขาเลยมีการตั้งตำแหน่งพระที่ดูแลรักษาพระปฐมเจดีย์ในทิศทั้งสี่ หรือว่ามีอย่างพระธาตุเมืองนครอย่างนี้ เขาก็ตั้งพระที่ดูแลพระธาตุในทิศทั้งสี่ ของพระปฐมเจดีย์ก็จะมี พระครูอุตรการบดี
              สมัยนั้นคือ หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก พระครูอุตรการบดี ดูแลทิศเหนือ พระครูปุริมานุรักษ์ ดูแลทิศตะวันออก พระครูทักษิณานุกิจ ดูแลทิศใต้ พระครูปัจฉิมทิศบริหาร ดูแลทิศตะวันตก ก็จะมีปุริมานุรักษ์ ทักษิณานุกิจ ปัจฉิมทิศบริหาร อุตรการบดี
              จนกระทั่งคนเขาเชื่อว่า หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตกคือหลวงปู่โลกอุดร เพราะว่าสมณศักดิ์เป็น อุตรการบดี เขาเลยคิดว่า "อุตรการน่าจะเป็นหลวงปู่โลกอุดร" ไม่ใช่หรอก กลายเป็นว่า สมัยก่อนถ้าได้รับการแต่งตั้งดีแท้แน่นอน อีกองค์หนึ่งก็หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เป็นพระพุทธวิถีนายก เป็นเจ้าคุณเลย สมัยก่อนเป็นพระครูก็แสนยากแล้ว เป็นเจ้าคุณเลยล่ะ ดูอย่างหลวงปู่ปานเราก็เป็นแค่พระครู พระครูสมัยนั้นดังคับบ้านคับเมืองแล้ว ทางด้านเมืองนครก็จะมีพระครูกาเดิม พระครูกาชาด พระครูการาม พระครูกาแก้ว เพราะว่าทางด้านใต้สมัยก่อนเรียก "ลังกา" เขาก็จะมีกาแก้ว การาม กาเดิม กาชาด ของเขามีอยู่ ๔ ตำแหน่งเหมือนกัน ของนครปฐมครูบาอาจารย์เขาสืบสายกันมาไม่ขาดเลย หลวงปู่นาควัดห้วยจระเข้ หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทองหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่อเงิน วัดดอนยาหอม อย่างนี้ ไล่กันมาตลอด