สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนเมษายน ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ตอนหลวงพ่อเริ่มฝึกกสิณ หลวงพ่อเริ่มฝึกอย่างไรเจ้าคะ?
      ตอบ :  เริ่มฝึกอย่างไร ก็หาวัสดุก่อนสิ ตอนนั้นที่หาง่ายที่สุดคือ เทียนตะเกียง ก็เลยเริ่มจากกสิณไฟก่อน แล้วก็ไปกสิณน้ำ แล้วถัดจากนั้นก็ไปกสิณดิน กสิณลมนี่ปล้ำยากเป็นบ้า หลวงพ่อท่านแนะนำให้ดูใบไม้ไหว ๆ แหม! มันไหวแป๊บเดียว เราจับไม่ทัน จะติดเลยมันก็หายแล้วมา
              ตอนหลังท่านบอกว่าถ้าจับยากก็จับลมที่กระทบตัวก็ได้ ให้เปิดพัดลมใส่ตัว อาการที่มันกระทบเป็นอย่างไร เราก็นึกถึงอาการนั้น พอจับไป ๆ?นาน ๆ มันจะเหมือนกับภาพไอน้ำที่โดนความร้อน แล้วมันขึ้นมาเป็นเส้นอย่างนั้น ของเราเองตอนนั้นเด็กบ้านนอก พัดลมก็พอมีหรอก แต่ไฟฟ้าไม่มี ใช้พัดลมไม่ได้ หลวงพ่อบอกว่าหมดท่าจริง ๆ ก็ใช้ลมเข้าออกของเอ็งนั่นแหละ นึกว่าตอนนี้ลมหายเข้า ลมไหลเข้า ลมไหลออก พอจับไป ๆ?นาน ๆ ตัวความคล่องตัวภาพที่เห็นลมหายใจ อย่างกับหลอดไฟมันสว่างโร่เข้าตลอด ออกตลอด ลองทำดูก็แล้วกัน ง่ายดี พอเข้ากรุงเทพฯ?มาตอนนั้นก็มาปล้ำกสิณสีตอนนั้นพระแสงชัยเขาว่าอาตมาบ้า หันไปทางไหนมีแต่ดวงกสิณ ข้างฝา ซ้าย-ขวา หน้า-หลัง บนหลังคา มุ้ง ติดมันให้ทั่วไปหมด ตอนนั้นไปอยู่กับอู่ที่เขาซ่อมรถ สีหาง่าย เราก็เอาหนังสือพิมพ์มาแล้วก็พ่นสีขาว พ่นสีแดง พ่นสีเหลือง พ่นสีเขียว แล้วเอาจานครอบ แล้วก็ตัดออกมาใบเบ้อเร่อ แล้วก็แปะไว้ ถึงเวลาตื่นเช้าขึ้นมาตีสามก็นั่งภาวนาไปเรื่อย จนกระทั่งถึงหกโมง อาบน้ำอาบท่าแล้วก็เริ่มทำงานก่อน กว่าจะได้กินข้าวก็เจ็ดโมงครึ่งโน่น หลังจากนั้นก็ว่ายาวไปเลยจนถึงเที่ยง พอเที่ยงก็รีบ ๆ กินก็ไม่เกิน ๑๕ นาที เพราะมีเวลาพักแค่ชั่วโมงเดียวถึงบ่าย ที่เหลือก็มุดเข้าใต้ท้องรถไปภาวนา
              คราวนี้มันเป็นเรื่องอยู่วันหนึ่ง ตรงจุดที่ว่าคนปลุกไม่มีศิลปะ ได้เวลาเขาเรียกเราเฉย ๆ เราก็รู้อยู่แล้ว เพราะว่าจิตเวลาหลับกับเวลาตื่นมันก็เท่ากัน เขาเสือกเตะโครม เฮ้ย ๆ ทำงานโว้ย เราเองรำคาญก็เลยไม่คลายตัว ปล่อยมันอยู่อย่างนั้นแหละ พอเขามาจับตัว แข็งไปทั้งตัว เขาก็ตกใจกันใหญ่คิดว่าตายแล้ว จะหามไปโรงพยาบาล ตอนนั้นทำให้เขาวุ่นวายไปยกใหญ่
              เมื่อไม่นานมานี้ตอนที่ป่วยหนัก ๆ ก็ใช้วิธีเข้าสมาธิเพื่อจะหนีเวทนาของทางร่างกาย พวกแม่ชีเขาปล้ำเสียเกือบแย่ เขาเห็นตัวเย็นแล้ว เห็นแข็งไปทั้งตัว เอาผ้าชุบน้ำร้อนโปะถูกันใหญ่ เล่นเอาเราหนังแทบถลอก เขาใช้วิธีอย่างนั้นกัน
      ถาม :  เราจะทราบได้อย่างไรว่าของเก่าเราเคยฝึกกสิณด้านใดมา?
      ตอบ :  หลวงพ่อท่านแนะนำว่า ให้เราเอาตำราของท่าน คู่มือปฏิบัติกรรมฐาน บูชาหน้าหิ้งพระไปเลย เสร็จแล้วก็อธิษฐานว่ากรรมฐานกองไหนที่เราเคยทำได้ในอดีต ขอให้อ่านแล้วชอบใจ ถ้าชอบใจหลายกอง กองไหนที่เราทำแล้วได้ผลเร็วที่สุดให้ชอบกองนั้น?ว่าไปเลย ของอาตมานี่เริ่มทำจากกสิณก็จริง แต่พอลองมาอธิษฐานดูตามหลวงพ่อว่า ชอบพุทธานุสติมากที่สุด เสร็จแล้วหลวงพ่อบอกว่าพวกเรานี่มันเกาะพุทธานุสติมาจนนับชาติไม่ถ้วนแล้ว ถึงได้เกิดไม่ห่างเขตพุทธศาสนา ของเราก็เคยปลื้มใจในความที่เกิดมาก กูเองก็ไม่เลวเหมือนกันนะ โง่มานาน เกิดเยอะกว่าเขา ไปภูมิใจ ไปที่ไหนเราก็มั่นใจว่าบ้านเรา เคยเกิดมาแล้วทั้งนั้น
              ปรากฏว่ามีอยู่ที่หนึ่ง ไปปราสาทหินเขาพนมรุ้ง โยมเขาพาไปกิจนิมนต์ เขาเลยพาแวะพนมรุ้งด้วย พอไปแวะเสร็จ ใช้อตีตังสญาณย้อนดู กูเคยเกิดที่นี่หรือเปล่า? ไม่เคยเลยเป็นไปได้อย่างไร ไม่เคยเกิดเลย ปรากฏว่าพอไล่ไปไล่มา ท่านบอกว่านี่น่ะมันเป็นของลัทธิอื่นเขา ไม่ใช่พุทธศาสนา ในเมื่อไม่ใช่พุทธศาสนา ของเรามันเกาะพุทธานุสติมาตลอด มันต้องเกิดในเขตพุทธศาสนาเท่านั้น?เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่คุณไม่เคยเกิดเลยตรงนี้ เราไปภูมิใจว่าเราเคยเกิดเยอะ สมัยก่อนมันโง่ว่า เกิดเยอะแล้วดี ดูย้อนอดีตเกิดสารพัดสารเพ ที่ไหนได้ล่ะแค่พนมรุ้งไม่เคยเกิด
      ถาม :  เคยทราบเรื่องเด็กรกพันคอไหมเจ้าคะ?
      ตอบ :  ก็ส่วนใหญ่เขาก็จะเป็นคนมีบุญมาเกิด จะมี ๒ อย่าง ลักษณะรกพันคออย่างหนึ่ง หรือว่าครอบศีรษะเป็นหมวกออกมาเลย พวกนี้ส่วนใหญ่เขาว่าเป็นคนมีบุญมาเกิด โบราณเขาว่าอย่างนั้น เขาว่าไม่ให้ทิ้งเสียด้วยซ้ำ เขาให้ตากรกแห้งแล้วให้เก็บเอาไว้ว่าต่อไปมีการเจ็บไข้ได้ป่วยก็ดีหรือว่ามีอะไรก็ดี เอารกนั้นมาใช้ได้ โรคอะไรที่รักษาไม่หายก็ใช้อันนี้ก็แล้วกัน จริง ๆ เขาใช้น้ำฝนค้างปีฝน จะกิน จะทา อะไรก็ว่าไปช่วยได้เหมือนกัน เขาถือว่าเป็นของคู่ตัวเขามา
              โบราณในพระไตรปิฎกก็มีมโหสถบัณฑิต มโหสถบัณฑิตเกิดมานี่ไม่ใช่รกพันมาหรอก มือกำก้อนยามาเลย เขาถึงได้เรียก มโหสถ เพราะว่าโยมพ่อที่เป็นเศรษฐีของมโหสถป่วยเป็นโรคปวดหัว รักษาอย่างไรก็ไม่หายพอลูกเกิดมาถือยามาด้วย เอามาฝนกินแล้วหาย ก็เลยเรียกชื่อว่า?มโหสถบัณฑิต
      ถาม :  ทำกิจทุกวันนี้ กิจการงานเจอคนรอบข้างขี้ลืมหมดเลย รู้สึกว่าต้องทำงานหนักมากขึ้นโดยลำพัง แล้วนายกับเรานี่จะจำแม่นกว่าคนอื่นแล้วก็เลยทำให้มันขาดช่วงไป
      ตอบ :  คนที่มีพื้นฐานสมาธิมันจะจำแม่นเป็นปกติอยู่แล้ว ความสนใจในการงานอยู่เฉพาะหน้าก็จะตั้งมั่นมากกว่าคนอื่นเขา ก็ทำแค่ทำไหวก็แล้วกัน ถ้าหากว่าทำไม่ไหวก็เบี้ยวเสียบ้าง
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  ก็สังเกตดูสิว่า รัก โลภ โกรธ หลง เงียบฉี่ไปเลย กระดิกไม่ได้เพราะกำลังของฌานกดอยู่
      ถาม :  แต่ก็คิดว่า เอ๊ะ! เรายังได้ยินเสียงอยู่นี่นา
      ตอบ :  อย่าลืมว่าฌานมีทั้งใช้งานและฌานมาฝึกหัด ฌานใช้งาน ก็คืออารมณ์ปกติของเรานี่แหละ เพียงแต่ว่าจิตสงบเท่ากับการทรงฌาน ๔ อยู่ เคยอ่านประวัติหลวงปู่ปานไหม ที่หลวงพ่อท่านเขียน สั่งหลวงพ่อให้รดน้ำมนต์เด็กที่โดนของ รดไปลูก รดให้หนักไป ไม่เห็นท่านว่าอะไรท่านก็นั่งคุยของท่านไปเรื่อย คาถาก็ไม่ได้ว่า หลับหูหลับตาก็ไม่ได้หลับนั่งคุยกับโยมปาว ๆ รดหนักเข้าไป ลูกเราเป็นต่อแล้ว เป็นฌานใช้งานไม่ต้องไปเสียเวลาหลับตา เสียเวลานั่งทำอะไร แค่คิดมันก็เป็นแล้ว ทำแบบไม่รู้ว่ามันดี มันได้ ไม่รู้ว่าตัวเองได้ อันนั้นแสดงว่าของเก่าของเราเยอะ คนของเก่ามีเยอะ พอทำถึงอารมณ์ใจมันจะกระโดดเข้ามาสู่จุดที่มันเคยได้เลย ไม่ต้องมาเสียเวลาฝึกทรงฌานขึ้น ๆ ลง ๆ มันคล่องตัวอยู่แล้ว เหมือนกับล้วงกระเป๋าเจอสตางค์ ก็ควักมาใช้ได้เลย
      ถาม :  หนูรู้สึกว่าหนูทำงานแล้ว หนูมีหนี้เยอะ
      ตอบ :  ก็บอกแล้ว เอาเถอะไม่มีอะไรน่าตำหนิหรอก ทำไปเถอะ ออกมาก็ไม่จริงจังเองนี่หว่า ช่วยไม่ได้ ถ้าจริงจังตั้งแต่แรกไปยันไหนแล้วก็ไม่รู้ ในเรื่องของการจะหนีพ้นทะเลทุกข์ อุปสรรคมันเยอะ เพราะฉะนั้นต้องทำจริง ถ้าไม่จริงรอดยาก
      ถาม :  จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรสุข อะไรทุกข์ ใช่ไหมครับ?
      ตอบ :  คนเราไปยึด ยึดเมื่อไร ทุกข์เมื่อนั้น
      ถาม :  สุข ทุกข์ ไม่ใช่เราสุข ไม่ใช่เราทุกข์ ที่เป็นไตรลักษณ์ หลวงพ่อให้พิจารณาไตรลักษณ์
      ตอบท่านเจ้าคุณศาสนโสภณ (แจ่ม) วัดมกุฏ แล้วก็หลวงพ่อเจ้าคุณนรฯ ท่านชอบมากเลย ท่านจะท่องไว้เป็นประจำเลย อันสุขทุกข์อยู่ที่ใจไม่ใช่หรือ ถ้าใจถือก็จะทุกข์ไม่สุขใส?ถ้าไม่ถือก็จะสุขไม่ทุกข์ใจ ฉะนั้นไซร้ควรจะถือหรือปล่อยวาง แต่คนเราปัญญาจะถึงขนาดปล่อยได้มันน้อย เพราะว่าทุกอย่างมันน่ายึดทั้งนั้น แค่ตาเห็น ชอบใจก็เสร็จแล้ว หูได้ยินชอบใจก็เสร็จแล้ว
      ถาม : : จิตสังขาร มี ๒ อย่างใช่ไหมครับ มีวิญญานและสัญญา?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้ว ตัวจิตสังขาร หมายถึง อารมณ์คิด มันจะคิดไปไม่อดีตก็อนาคต ถ้าหากว่าไม่ได้อยู่กับปัจจุบันเมื่อไร มันก็จะทุกข์ทันที ถ้าหยุดอยู่กับปัจจุบันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ทุกข์ มันยังทุกข์อยู่เพียงแต่ว่ามันขาดการปรุงแต่ง เลยรู้สึกว่าทุกข์มันน้อย เขาก็เลยเรียกว่า อทุกขมสุขอารมณ์ คือ อารมณ์ไม่สุข ไม่ทุกข์ เป็นอารมณ์กลาง ๆ เรานึกฟุ้งซ่านไปอนาคตมันก็ทุกข์ นึกฟุ้งซ่านไปในอดีตมันก็ทุกข์
      ถาม :  อารมณ์กลาง คืออารมณ์จิตสุขที่แท้จริงใช่ไหมครับ?
      ตอบ :  จะเรียกว่าที่แท้จริง ก็ไม่ใช่ เป็นอารมณ์ที่ถ้าเราสามารถทำได้นี่จะเหลือแต่ทุกข์ปกติของร่างกาย ใจไม่ทุกข์ ร่างกายยังหนาว ร้อน เจ็บป่วย หิวกระหาย อะไรก็เรื่องของมัน เป็นเรื่องของร่างกายไป แต่ว่าสภาพใจจริง ๆ ไม่ได้ไปแบกเอาไว้
              สมัยอยู่กับหลวงพ่อ ตอนนั้นเขาหาตระกรุดกัน ขโมยตำราหลวงพ่อมาได้ก็ทำไปเรื่อย อยากทำโน่น อยากทำนี่ มีอยู่อันหนึ่งเขาเรียกว่า ตะกรุดมหาสะท้อน ใครที่มีติดตัวอยู่ คนทำดีทำชั่วอย่างไร มันจะย้อนคืนเป็นร้อยเท่า แต่มีข้อแม้ว่าต้องทำด้วยวัสดุที่มีราคาอย่างทองคำ นาก หรือเงิน ยิ่งมีราคาสูงอานุภาพยิ่งมาก
              คราวนี้เราจะทำแจกเขาเพื่อทดลองดู ขืนเอาทองทำเราก็เจ๊งพอดี ก็เลยซื้อเงินไปให้เขารีด ตอนนั้นถ้าเงินเม็ด บาทละ ๗๐ บาท แต่ถ้าหากว่ารีดเป็นแผ่นแล้วเขาคิดบาทหนึ่ง ๒๕๐ ก็เลยเอา ทำตะกรุดได้ประมาณ ๖๐ ดอก ก็แจกญาติโยมที่รู้จักกัน พระก็ให้ด้วย ปรากฏว่าไปใช้ได้ผลกันก็ไปร่ำลือกันยกใหญ่ เราก็ดีใจ ไม่ใช่ดีใจว่าของเราทำแล้วขลัง แต่ดีใจว่าตำราครูบาอาจารย์เราดีจริง ช่วงนั้นก็แย่งหาตะกรุดกัน
              ตอนหลัง ๆ นี่จะเอาพระรุ่นนั้น จะเอาพระรุ่นนี้ เรื่องของตะกรุดมหาสะท้อน มีข้อห้ามอยู่ ๒ อย่างคือ ๑.ห้ามให้เด็กใช้ เพราะมันย้อนคืนทุกอย่าง ถ้าเกิดพ่อแม่ไปตีเด็ก ระบายอารมณ์หน่อย เดี๋ยวตัวเองโดนหนักกว่านั้นอีก ก็เลยห้ามไม่ให้เด็กใช้ ๒.ห้ามเข้าไปในที่ ๆ คนหรือสัตว์กำลังจะคลอด มีคุณนายผู้พันเขาปวดท้องจะคลอดข้ามวันข้ามคืน จะขาดใจตายอยู่แล้ว คลอดเท่าไหร่ก็คลอดไม่ออก เขาก็เลยไปให้หมอผ่า เขาก็แปลกใจว่าให้หลวงพ่อทำดอกบัวครรภ์รักษาให้ปกติแล้ว อย่างไรก็คลอดได้ปลอดภัย แล้วทำไมคลอดไม่ออก คุณนายเขาเรียกอาตมาว่าหลวงพ่อ คราวนี้ก็ไปให้หมอผ่า พอผ่าเสร็จแล้วค่อยนึกได้ว่าทั้งผัวทั้งเมียพกตะกรุดทั้งคู่เลย มหาสะท้อนนี่มันย้อนคืนอย่างเดียว คลอดไม่ออกหรอก ถ้าออกมาก็ดันกลับ ของเราทำดอกบัวเพื่อให้คลอดง่ายใช่ไหม ดอกบัวชุดเดียวตะกรุดเล่น ๒ ดอก มันก็เลยยันอยู่ ทั้งผัวทั้งเมียพกตะกรุดทั้งคู่ พอเราถามถึงเรื่องนี้เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ สมน้ำหน้าเจ็บตัวฟรีไป แทนที่จะได้ไม่ต้องผ่าก็เลยไปผ่า
              อีกรายหนึ่งหลวงพี่สมคิด จริง ๆ ท่านบวชก่อน ๔-๕ เดือน แต่เรียกอาตมาว่า อาจารย์ ๆ เพราะว่าเราเคยสอนกรรมฐานท่านบวชพรรษาเดียวกัน หลวงพี่สมคิดท่านได้ไปดอกหนึ่ง ลูกศิษย์ไปถางป่าหลังโบสถ์ โดนงูเห่ากัด นอนดิ้นโอย ๆ อยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรตายแหง๋ ๆ เลย โอ้โห! วัดของท่านอยู่ติดพม่าเลย ห่างจากแม่น้ำอมราของพม่าแค่ ๔ กิโลเมตร ก็เลยประเภทไม่เป็นไร กูมีของดีครูบาอาจารย์ให้มา อย่างไรก็ต้องช่วยมึงได้ ท่านก็เอาตะกรุดวางปากแผลแล้วก็ท่องคาถากำกับไป ลูกศิษย์ก็หายปวดแล้วลุกขึ้นมาดูผมว่า สงสัยผมจะโดนหนามหรือไม้ทิ่มเฉย ๆ มั้งอาจารย์ มันน่าให้ทิ่มอีกสักที แล้วปล่อยให้มันดิ้นต่อไป
              แล้วหลังจากนั้นไม่นานมีคนโดนผีเข้า เขาหามกันมา ผู้หญิงโดนผีเข้าร้องกรี๊ด ๆ มา ท่านก็เลยเอาตะกรุดแช่น้ำมนต์ แล้วก็ว่า อิติปิโส พร้อมกับคาถาปลุกพระ แล้วเอาน้ำมนต์สาดปั๊บ ผู้หญิงที่ร้องกรี๊ดหงายผลึ่งเงียบไปเลย ตานี้มึงมั่งกูมั่ง จะแย่งน้ำมนต์กันเล่นเอาขันหกคะมำคว่ำคะเมน ตะกรุดไม่รู้อยู่กับใคร หายจ้อยไปเลย คนเราเวลาแห่กันมาเยอะ ๆ เขาคว้าได้จ้างเขาก็ไม่บอกหรอก บางคนกลืนลงท้องไปเลยก็มี ท่านมาเล่าให้ฟังแล้วสรุปตอนท้ายว่า อาจารย์มีอีกไหมครับ รอไปเถอะ แจกเขาไปหมดแล้ว ดีใจตรงที่ว่าสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านให้ศึกษาใช้การได้ เพราะว่าถ้าอันไหนที่เราใช้แล้วไม่ได้ผลก็ไม่กล้าถ่ายทอดต่อ เรื่องของวัตถุมงคลจริง ๆ แล้วทำมาเพื่อให้เป็นอนุสติ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่นคือจุดมุ่งหายที่แท้จริง ถ้าใจของเราเกาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่โอกาสจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าก็ง่ายแล้ว เพราะว่ากฎข้อแรกเลยก็คือ ต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จากใจจริง คราวนี้ส่วนใหญ่มาระยะหลังนี่ไปหวังผลข้างเคียงเสียมากกว่า
      ถาม :  ที่ผมปฏิบัติอยู่นี้ถูกต้องแล้วใช่ไหมครับ?
      ตอบ :  ถูกแค่ตอนนี้ อย่าประมาท ในเรื่องของการปฏิบัติมันจะดีแค่ตอนนี้ หลังจากที่สภาพจิตละเอียดก้าวผ่านไปก็จะเห็นว่าคราวที่แล้วนั้น จริง ๆดีแค่นี้ ถูกแค่นี้ แล้วมีดีกว่านี้อีก แต่เรายังไปไม่ถึง ประมาทไม่ได้ อย่าคิดว่าดี ดีเมื่อไรเดี้ยงเมื่อนั้น
      ถาม :  ต้องมีสติคุมอยู่ตลอดหรือครับ?
      ตอบ :  แน่นอนที่สุด สติไม่พอ ต้องปัญญาด้วย ปัญญาไม่ทัน มันตีเราตาย
      ถาม :  ในการปฏิบัติกรรมฐานต้องมีครูอยู่ใกล้ ๆ ไหมครับ?
      ตอบ :  อาตมาลุยเลย คือคิดว่าอย่างดีแค่ตาย เราตายขณะที่ทำความดียังไงก็ไปดีอยู่แล้ว คนบวม ๆ อย่างเรามันน้อย ลุยเอง มีแต่ตำราเป็นเพื่อนอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ กว่าจะกล้าไปถามหลวงพ่อ เพราะว่าคิดอยู่อย่างเดียวว่าถ้าหากว่าเราไม่มีอะไรเลย แล้วเราจะไปคุยอะไรได้ เราก็ต้องเริ่มทำก่อน พอทำแล้วมีปัญหาถึงจะได้ถามได้ ไปถึงก็ถาม ๆ ไม่ได้ทำมาไม่รู้จะถามอะไร
      ถาม :  กสิณ ภาพที่จับได้นี่ใช้การได้เลย หรือว่าจะทำอย่างไรต่อไปครับ?
      ตอบ :  ลองอธิษฐานใช้ผลของทิพจักขุญาณดู ถ้าใช้ได้ เราเลื่อนไปเปลี่ยนเป็นกสิณกองใหม่ คือทุกอย่างลำบากแค่กองแรก ถ้ากองแรกได้แล้วอันอื่นก็เหมือนกัน เพียงแต่มันเปลี่ยนแค่นิมิตที่เราใช้จับเท่านั้นเอง อารมณ์ใจมันเท่ากันหมด หลวงพ่อท่านเคยทำแล้ว ท่านบอกว่าพอกองแรกผ่านไปที่เหลือ ๙ กอง ไม่ถึงอาทิตย์
      ถาม :  ทำมานี่เป็นปีแล้ว ไม่ทราบอะไรหนักหนา?
      ตอบ :  ดี จะได้คล่องตัว เวลาอธิษฐานใช้ผลสิ ดูผี พระ พรหม เทวดาไปเรื่อย ให้มันเกิดความมั่นใจจริง ๆ แล้วก็เปลี่ยนกอง
      ถาม :  แล้วสะเดาะกุญแจล่ะครับ?
      ตอบ :  สะเดาะกุญแจ กำลังขนาดนั้นมันเกินแล้ว เกินจนใช้ไม่ได้แล้ว กำลังที่ใช้สะเดาะกุญแจนี่มันนิดเดียว
      ถาม :  เคยสะเดาะ เอ๊ะทำไมไม่ออก?
      ตอบ :  เพราะว่าเราไปคิดว่าเป็นกุญแจแล้วมันล็อก ทำใจสบาย ๆ ที่บ้านมีกุญแจลูกบิดไหม นั่นง่ายที่สุดเลย ตอนที่เราเปิดประตูเพราะเรารู้ว่ามันไม่ได้ล็อก กำลังใจมันปล่อยวางอย่างไร ใช้ตรงจุดนั้นเท่านั้นเองเหมือนกับไม่ได้ล็อก บิดแล้วเข้าไปเลย ง่ายดี ถ้าหากว่าใช้กุญแจไปกดแป๊กอยู่ข้างหน้า ใจไปคิดว่ามันล็อกนี่หว่า เสร็จ ถ้าอย่างนี้ไม่ต้องเสียเวลาจับอะไรหรอก แค่คิดก็เป็นแล้ว ลองดูเผลอ ๆ บางทีมันล็อก อยู่เราก็ไม่รู้คิดว่ามันไม่ได้ล็อก เราบิดมันก็ดีดป๊อก เฮ้ย! มันล็อกนี่หว่า พอทำใหม่คราวนี้ทำไม่ได้ ที่ทำไม่ได้เพราะว่าเห็น ๆ อยู่ว่าเราไปกดล็อกแล้วเราไปติดอยู่ตรงที่ว่าเราล็อกมันนี่แหละ ลำบากอยู่นิดเดียวแค่นั้นเอง ถ้าทำได้แล้วมันง่าย นั่นมันของเด็กเล่น ที่คุณทำนี่มันผู้ใหญ่เล่น
      ถาม :  ..............................?
      ตอบ :  สำคัญตรงที่ว่าเรารักษาได้ไหม ของพวกนี้มาได้เสื่อมได้ เพราะมันเป็นอภิญญาโลกีย์มันจะไม่เสื่อมก็ต่อเมื่อเราเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป อภิญญาโลกีย์นี้ถ้าหากว่าศีลเราบกพร่องก็ดีเขาขาดการปฏิบัติที่ต่อเนื่องก็ดี มันเสื่อมเลย ต้องตั้งต้นปล้ำกันใหม่
      ถาม :  อย่างนี้ก็เป็นโลกียฌาน?
      ตอบ :  แน่นอนเลย