ถาม:  ทำไมที่เขาฝึกแล้ว รู้ความคิดของตัวเอง อย่างนี้ไม่เห็นได้ ปฏิเสธ ทำไมถึงเข้าเป็นอรูปพรหมได้ ?
      ตอบ :  ของเก่าเคยมีอยู่ ล้วงกระเป๋า ล้วงไปล้วงมา อ้าวทำไมถึงมีสตางค์หว่า สำคัญอยู่ที่ว่ายอมล้วงกระเป๋าไหม ในเมื่อของเก่ามีอยู่ ถ้าทำไปถึงตรงจุดนั้นมันก็จะเป็นของมันเอง มันเป็นแต่แป๊บเดียว ยังไม่ชำนาญต้องไปฟื้นมันใหม่
      ถาม :  ดูเหมือนกับข้ามขั้นเลย เหมือนกับว่าอุปจารสมาธิ ขณิกสมาธิ ปฐมฌาน เหมือนไม่เห็น เหมือนข้ามไปตรงนั้นแล้วค่ะ ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็น คนที่จะเจอทุกขั้นตอนจริง ๆ นั้นก็คือ บุคคลที่ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อจะได้ไปสอนเขาถูก คนอื่นภาวนา ๆ พอดีฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ไปเลยก็มี
      ถาม :  ข้ามได้หรือคะ ?
      ตอบ :  ทำไมจะไม่ได้
      ถาม :  เมื่อก่อนเคยเผลอ ๆ ก็ไปแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ไปยากจัง แล้วอยู่ ๆ ก็แบบอุปจารสมาธิ แล้วก็วนอุปจารสมาธิอยู่อย่างนี้ ?
      ตอบ :  หาความชำนาญ
      ถาม :  อย่างนี้ก็แปลว่าต้องทำอยู่อย่างนี้จนกว่าจะรู้จริง ๆ หรือคะ ถึงจะไปได้ ?
      ตอบ :  อย่าไปอยากให้มันเป็นอะไรที่เราเคยทำได้ เสียตรงที่ว่าอยากให้เป็นอย่างนั้น อยากจะให้ได้อย่างนี้ ถ้าอยากมันเป็นเครื่องกั้นอยู่ ตัวอยากเป็นกิเลส ตัวอยากเป็นตัณหา ตัวอยากเป็นอุทธัจจกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่านอยู่จะทรงฌานได้ไหมล่ะ ได้อุปจารสมาธิก็นับว่าเก่งแล้ว เพราะฉะนั้นอะไรที่เคยได้นี่มันเป็นเรื่องของมัน มันจะได้อีกหรือไม่ได้อีก มันจะเป็นอีกหรือไม่เป็นอีก ก็เรื่องของมัน เรามีหน้าที่ภาวนา เราก็ภาวนาของเราไป
              เรื่องของโรคนี่ไล่ตามกันไม่มีวันจนหรอก เพราะว่าตราบใดที่คนเรายังทำความชั่วอยู่ถึงวาระถึงเวลาเกิดเป็นคน เศษกรรมมันจะส่งผลให้ เศษนะ ต้นนี่เราใช้เขามาแล้วแหละ เป็นสัตว์นรก เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานพอมาเป็นคนเศษกรรมมันจะตามมา โดยเฉพาะเรื่องของเศษกรรมปาณาติบาต คือการฆ่าคน ฆ่าสัตว์เอาไว้ จะทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติ
              ในเมื่อหมอมั่นใจว่า สามารถตามทัน น็อคโรคนี้ได้แน่นอน เขาก็ต้องให้เป็นอย่างอื่นต่อไป จะมีโรคพิลึกพิลั่นพิสดารมาเรื่อย ๆ สมัยก่อนเขามั่นใจว่าวัณโรคสามารถที่ปราบได้ ไม่มีเหลือแล้วแน่นอน ปรากฏว่าโรคเอดส์มันชวนวัณโรคกลับมาใหม่ พอเป็นเอดส์ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ก็เป็นวัณโรคใหม่อีกทีหนึ่ง ตอนนี้กลายเป็นว่าวัณโรคระบาดน่ากลัวมาก และไข้หวัดมรณะตัวนี้แหละถ้าหากว่าเป็นหนัก ๆ ไม่ทันตายนี่มันจะโดนวัณโรคซ้ำได้ง่ายด้วย เพราะว่าเป็นโรคใกล้เคียงกัน สมัยก่อนถ้าใครเป็นวัณโรคก็ตายอย่างเดียว ผอมแห้งแรงน้อยตายไปเลย
      ถาม :  เป็นโรคที่คนอื่นเขารังเกียจ เข้าใกล้ไม่ได้ ?
      ตอบ :  เข้าใกล้ไม่ได้เลย เพราะมันติดแน่นอน
      ถาม :  หลวงพ่อคะ หนูเป็นพุทธภูมิหรือสาวกภูมิเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ต้องถามตัวเองสิว่า อยากไปนิพพานไหม ถ้าอยากไปนิพพานก็สาวก พวกพุทธภูมินี่เขาอยากจะเกิดอีกเพื่อจะได้ช่วยคน ถ้าหากว่าเข็ดแล้วก็เป็นสาวกภูมิ ก็เท่านั้นเอง
      ถาม :  ถ้าการที่อยากไปพระนิพพานเป็นสาวกภูมิแน่นอนใช่ไหม ถึงแม้จะอธิษฐานอย่างไรก็แล้วแต่ ?
      ตอบ :  คนเป็นพุทธภูมิ ความคิดจะไปนิพพานเขาไม่มีหรอก อย่างไรก็ขอเกิดใหม่ เอาไหม เข็ดไหม
      ถาม :  ........(ฟังไม่ชัด)...เขายังเป็นสัมภเวสี หรือว่าเป็นอะไร ?
      ตอบ :  ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ ใช่แน่ ๆ เลย ทำบุญไปให้เท่าไรเขาก็ได้หมด จริง ๆ แล้วคนตายโดยไม่ปกติอย่างที่เราเรียกภาษาชาวบ้านว่า ตายโหง เขาโชคดีเพราะส่วนใหญ่เกิดจากกรรมมาตัดรอน ไม่ใช่อายุขัยที่แท้จริง เขายังไปรับดี รับชั่ว อะไรไม่ได้หรอก ญาติโยมทำให้ไปเท่าไรเขาก็ตุนไว้เพียบเลย พวกเราเองมีชีวิตบางทียังได้น้อยกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ เพราะว่าตอนมีชีวิตอยู่ไม่ค่อยได้ทำ พอตายแล้ว แหม! ทำกันใหญ่ ก็อยากจะบอกว่าคนที่ตายไปนี่โชคดีเสียด้วยซ้ำ มีสักหนึ่งในล้านเท่านั้นแหละที่ตายเพราะหมดอายุจริง ๆ ส่วนใหญ่ตายเพราะอุบัติเหตุ ตายไม่ดี ตายโหง ก็คืออุปฆาตกรรมมาตัดรอน ถ้าญาติโยมรู้จักทำบุญให้ก็สบายไป โบราณเขารู้เรื่องนี้ดี เขาก็เลยกำหนดไว้ว่าให้มีทำบุญสวดกี่วัน กี่คืน แล้วก็มีทำบุญ ๑ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน ทำบุญครบรอบวันตาย ถ้าหากว่าเป็นคนที่ตายโหง หมดอายุจริง ๆ ภายใน ๓ เดือน ทำบุญให้ยังทันอยู่ เพราะว่าเวลาของทางตำหนักพระยายมกับโลกมนุษย์เราต่างกันมาก เวลาของเขาวันหนึ่งเท่ากับ ๕๐ ปีของเรา
              เพราะฉะนั้นจากที่เขาตายแล้วโดนนำตัวไปที่ตำหนักรอการตัดสินภายใน ๓ เดือน ยังไม่ทันติดสินหรอก เขาถึงได้มีการทำบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน ก็ ๓ เดือนกับอีก ๑๐ วันเท่านั้นเอง อย่างไร ๆ ๗ วัน กับ ๕๐ วัน เขาได้แน่อยู่แล้ว แล้วอีกอย่างหนึ่งพระยายมท่านก็จะมีการหยุดงานในวันสำคัญให้เพื่อที่ให้พวกคนตายไปโมทนาบุญกับญาติตัวเอง จะได้ไปรับความดีเลย จะได้ไม่เสียเวลาที่มารอให้ท่านตัดสิน ท่านก็จะหยุดงานปีละ ๔ วัน ก็คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา ท่านจะหยุดงานช่วงวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ขึ้น ๑๕ ค่ำ แล้วก็แรม ๑ ค่ำ เพราะฉะนั้นปีหนึ่งหยุด ๔ วัน นี่เบาแรงเยอะ โอ้โห! แต่ละวันอย่างไม่มี ๆ เป็น ๑,๐๐๐ คน ที่ตายไม่ได้หมายความว่าประเทศเราประเทศเดียว ทั้งโลก อย่างไม่มี ๆ เป็น ๑,๐๐๐ คน แล้วลองคิดดูอย่างเยอะ ๆ นี่จะเท่าไร
              ฉะนั้นถึงเวลาท่านก็จะหยุดงานเพื่อปล่อยให้เขามาโมทนาบุญกัน จะมีวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา เพราะฉะนั้นพระยายมได้หยุดงานปีละ ๔ ครั้ง ยุติธรรมดีเหมือนกัน คือเขาเองก็ได้ไปโมทนาบุญของโยม
              สมัยที่อยู่วัดท่าซุง มาบางทีเป็นล้าน ถึงได้บอกว่าคนเป็นนี่ไม่ฉลาดหรอก ไม่ค่อยทำบุญทำทาน ตอนตายแล้วฉลาด รู้ว่าตรงไหนมีบุญตะกายไปตรงนั้นแหละ เคยไปตามป่า ตามดง ไปธุดงค์ ถึงเวลาทำวัตรสวดมนต์ ทำกรรมฐานเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้ บางทีเราเห็นแล้วตกใจ เยอะอะไรขนาดนั้น บางทีถามว่ามาเท่าไร เขาบอกว่าเจ็ดพันกว่า นั่นแค่เขตเดียวนะ แล้วพวกนี้เขาก็อยู่เวรอยู่ยามให้ มานั่งล้อมที่พักเป็นชั้น ๆ มองไปสุดลูกหูลูกตา ถ้าใครเห็นได้นี่ช็อคตายแน่เลย เพราะเยอะอะไรอย่างนี้
              เคยไปที่บ้านองหลุ บ้านองหลุเป็นบ้านที่น่าสงสารมาก ด้านหน้าติดน้ำ คือพื้นที่เขื่อนศรีนครินทร์นี่น้ำท่วมไปถึง ก็เลยไปไหนไม่ได้ ด้านหลังเป็นเขาสูงชัน ก็หมายความว่าถ้าจะออกเดินกันลิ้นห้อยเลย ของเราพอทำบุญเสร็จตอนเช้าก็อุทิศส่วนกุศลให้เขา ทำกรรมฐานสวดมนต์ ภาวนาเสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลให้เขา ส่งผลบุญให้เขา ปรากฏว่าตอนช่วงเช้านั้นทั้งเสียงไก่ป่า สัตว์ป่า โอ้โห! ร้องระงมไปทั้งป่า เล่นเอาชาวบ้านเขาแตกตื่นกันไปหมด เขาบอกว่าไม่ได้ยินมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว พวกเสียงสัตว์นี่ล่ากันจนไม่เหลือแล้ว เสียงมันดังมาจากไหน เขาจะอยู่ในลักษณะที่ว่าเขาทำให้รู้ว่าเขาได้แน่นอน แต่ที่องหลุถ้าใครเดินทางต้องเท้าไว ๆ หน่อย ช้าไม่ได้หรอก ทากเยอะ ภูเขาสูงถึงขนาดว่าต้นไผ่ไม่ผลัดใบ เราไปหน้าแล้งใบเขียวปี๋ เพราะว่ามันระเมฆอยู่ มีความชื้นตลอด เลยไม่ผลัดใบ และที่ไหนมีความชื้นที่นั่นแหละทากทั้งนั้น คิดดูว่าขาขึ้นเราตะกายอยู่ ๒-๓ ชั่วโมง ขาลงแค่ ๒๐ นาทีเอง เพราะต้องหนีทากให้ทัน
      ถาม :  เคยฝันว่า เคยเห็นภาพกลม ๆ ฝึกกสิณ ความเป็นเพชรจะค่อย ๆ ล้อมในวงกลมจนเต็ม ทีนี้ไปดูในหนังสือกสิณ ไม่ทราบว่าเป็นอโลกสิณ ?
      ตอบ :  อั้นไม่แน่ อันนั้นอาจจะเป็นสภาพจิตของเราก็ได้ กสิณทุกอย่างจบท้ายจะเป็นลักษณะอย่างนั้น ขณะเดียวกันสภาพจิต ดวงจิตของเราถ้าต้องการจะเห็นลักษณะเป็นดวงก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่าสภาพจิตของเราทรงปฐมฌานได้ก็จะขาวแค่ขอบ พอฌาน ๒ จะขาวไปครึ่งหนึ่ง ฌาน ๓ จะมีแกนอยู่หน่อยหนึ่ง ถ้าฌาน ๔ จะขาวเต็ม แต่ว่าเป็นขาวแบบขาวแบบเสื้อเราอย่างนี้ ขาวสว่างเฉย ๆ ไม่ใช่ประเภทที่ว่าขาวแล้วมีประกาย
              ถ้าขาวแล้วเป็นประกายเจิดจ้านั่น ถ้าหากว่ามีขอบเป็นประกายก็แปลว่าเป็นพระโสดาบัน เข้าไปครึ่งหนึ่งก็เป็นพระสกิทาคามี เหลือแกนอยู่หน่อยก็คือพระอนาคามี ถ้าขาวสว่างเจิดจ้าไปทั้งดวง ที่หลวงพ่อท่านใช้คำว่าเป็นประกายพรึก นั่นก็คือพระอรหันต์
              แต่ขณะเดียวกันดวงกสิณนี่จะไม่เป็นลักษณะอย่างนั้น ดวงกสิณนี่จะค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีเดิม แล้วจางลง ๆ จากเป็นสีเหลือ เป็นสีเหลืองอ่อน เป็นสีขาว เป็นสีขาวใสขึ้น ๆ จนกระทั่งสว่างเจิดจ้าไป เพราะฉะนั้นลักษณะที่เราว่าน่าจะเป็นสภาพดวงจิตมากว่า เขาจะทำให้ดูว่าในสภาพของการเข้าถึงธรรมจริง ๆ แล้วจิตมันเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าปกติของเรา ถ้าทรงฌานเป็นปกติเป็นอะไรจิตก็จะขาวอยู่ ขาวเหมือนกระดาษขาว ๆ อย่างนั้นแหละ แต่ถ้าหากว่าเป็นพระอริยเจ้าเมื่อไรก็จะมีประกายขึ้น
      ถาม :  บางช่วงจะเป็นเส้นขาวอย่างนี้ล่ะคะ เป็นกสิณเหมือนกันหรือเจ้าคะ ?
      ตอบ :  อันนั้นไม่แน่จ้ะ ต้องดูว่าตอนนั้นเรานึกถึงอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นแค่โอภาสที่เป็นแสงสว่างของอุปกิเลสก็ได้ แสงสว่างนี่อาจจะมาเป็นเส้น อาจจะมาเป็นแผ่น เป็นผืน เป็นดวง เป็นอะไรได้ทั้งนั้นแหละ บางทีก็มาเหมือนฟ้าแลบวูบเดียวก็หายไป ถ้าหากว่าเราไปให้ความสนใจก็เสร็จอีก
              คำว่า อุปกิเลสคือ ใกล้จะเป็นกิเลส เราสนใจเมื่อไรก็เป็นกิเลสทันที คือว่าอย่างโอภาสแสงสว่าง ปีติ-ความอิ่มใจ ตัวปีตินี่พาเสียมาเยอะต่อเยอะด้วย จังหวะปีตินี่มารแทรกง่ายที่สุด แทรกง่ายเพราะว่าช่วงนั้นเราจะไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติ ก็เลยหลอกให้เราทำหัวทิ่มหัวตำไป จนกระทั่งร่างกายทนไม่ไหวเจ๊งไปตาม ๆ กัน แล้วก็มาปัสสัทธิ-ความสงบ สงบเย็นกายเย็นใจบอกไม่ถูก ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย คิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์แล้ว ไปหลงยึดติดอยู่ก็จะเป็นกิเลส จะไม่อุปกิเลสแล้ว จะเป็นกิเลสเลยตอนนี้ นิกันติ-ความใคร่น้อยลง อารมณ์ระหว่างเพศลดน้อยลง หายไปเลย หรือไม่มี ๔-๕ เดือน โผล่มาทีหนึ่งคิดว่าตัวเองเป็นอนาคามีหรือพระอรหันต์แล้ว เตรียมเจ๊งได้ เชื่อไม่ได้เลยสักอย่าง ต้องคอยระวังอย่างเดียว ประมาทไม่ได้เลย
              ญาณเครื่องรู้เกิดขึ้นอย่างนี้ รู้โน่นรู้นี่ อยากรู้อะไรก็รู้ ใกล้ไกลแค่ไหนก็รู้ จนกระทั่งปัจจุบันนี้คนเลิกถามอาตมาแล้วว่า รู้ได้อย่างไร จริง ๆ ก็คือ เรื่องที่สมควรรู้มันก็จะรู้ แต่ว่าถ้าเราไปยึดติดอยู่ที่ตรงความรู้ คิดว่าเราดีแล้ว เราเก่งแล้ว เราบรรลุธรรมอันวิเศษแล้ว แล้วก็ติดแหง็กอยู่แค่นั้น
              แล้วมี ปัคคาหะ-ความเพียรกล้า นั่งกรรมฐานกันที ๓ วัน ๗ วัน เดินจงกรมกันข้ามวันข้ามคืน ไม่ยอมหยุด จิตใจทรงเป็นอารมณ์ฌานอยู่ ไม่รู้ถึงสภาพเหนื่อยล้าของร่างกาย กว่าจะรู้ก็ประเภทประสาทร่างกายรับไม่ไหว ที่เขาเรียกว่ากรรมฐานแตก วิปลาสบ้าง เพราะว่าทำเกิน พวกเหล่านี้เขาเรียก อุปกิเลส คือใกล้ที่จะเป็นกิเลส คือเผลอหลงอยู่เมื่อไรก็เป็นกิเลสทันที
              สมัยอยู่เกาะพระฤๅษี มีพระอยู่รูปหนึ่ง เป็นรุ่นน้องจากวัดท่าซุง ท่านชาติชายเดินจงกรมอยู่ ๒ เดือนเต็ม ๆ ทั้งกลางวัน กลางคืน ไม่กินไม่นอน ยังดีที่กำลังฌานหนุนอยู่ได้ เป็นธรรมดาไปอดหลับ อดนอน อดอาหาร ขนาดนั้นก็ตายแล้ว เสร็จแล้วก็ประสาทหลอนเสียดาย เพราะฉะนั้นทำต้องทำให้พอดี พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่า มัชฌิมาปฏิปทา ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป
              เอาอย่างป้าเชิญสิ เปิดเพลงเต้นแร็พให้หลุด เราอย่าไปเครียดกับมัน เราแค่กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ สมัยที่ฝึกใหม่ ๆ บางทีค้างอยู่ ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เดือน ก็ปล่อยให้มันค้างไป เรารู้ไว้เฉย ๆ พูดอะไรเหมือนกับคนไร้อารมณ์ใครว่าอะไร เหรอ! เออ! เสียงมันจะอยู่ในระดับเดียวไปตลอด ไม่กระดิกกระเดี้ยไปไหนกับใครเลย ใจมันนิ่งจริง ๆ แต่อย่าเผลอ ตอนนั้นถ้าเผลอเมื่อไรกิเลสตีกลับ คราวนี้จะฟุ้งซ่านมากกว่าปกติ เพราะฉะนั้นมันมีปัญญาให้มันค้างไป ทั้งชาติก็ได้ก็ดี เพียงแต่ว่าเราอย่าไปอยากให้มันหลุด ถึงเวลาเราก็พักผ่อน เราก็หลับก็นอนของเรา เปลี่ยนอิริยาบถ ยืนบ้าง นั่งบ้าง เดินบ้าง นอนบ้าง ไปเรื่อย ไม่ใช่ไปอยู่อิริยาบถเดียวกับมัน ไปเครียดอยากจะหลุดจากมัน มันยิ่งหนักไปใหญ่ แต่ป้าเชิญแกทำได้ผล แกเปิดเพลงเต้นเลย อยากหลุด ใจมันไปกับกิเลสหน่อยเดียว ก็ฌานหลุดไปแล้ว
      ถาม :  เวลานอนภาวนากลางคืนแล้วไม่อยากนอน แต่ต้องหลับ ต้องไปทำอะไร ถ้าเป็นอย่างนี้ ?
      ตอบ :  อันนั้นของเราไปอยากหลับ ร่างกายของเรามันนอนอยู่ มันได้พักแล้ว มันจะหลับหรือไม่หลับก็เรื่องของมัน เพราะสภาพจิตจริง ๆ ถ้าฝึกถึงที่จริง ๆ มันไม่หลับก็ พุทโธ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ต้องรู้ทันกิเลสทั้งตื่นและหลับ ไม่อย่างนั้นเราป้องกันตัวได้เฉพาะตอนตื่น ตอนหลับ เราเสร็จมัน ใคร ๆ เขาฝึก เขาก็อยากให้ถึงจุดนี้ทั้งนั้น
      ถาม :  รู้สึกว่าต้องทำงานตอนเช้า แล้วทำไมตีสองยังไม่หลับ ?
      ตอบ :  สังเกตไหมว่าเราตื่นขึ้นมา เราก็ไม่ได้เหนื่อย ไม่ได้เพลียอะไร ก็ตัวมันนอนอยู่ มันหลับ มันตื่นแต่ใจ บางทีได้ยินตัวเองกรนด้วย นั่นหนักเข้าไปอีก คิดว่าตัวเองตื่นแล้วใครกรน ฟังไปฟังมาเสียงตัวเองนั่นแหละ เออ! เจริญไหมล่ะ ตัวมันนอนของมันอยู่ มันได้พักแล้ว มันอยากเป็นอย่างไรก็ช่างมัน สังเกตสภาพจิตไหม มันเหมือนรวมอยู่เป็นที่ มั่นคงอยู่จุดเดียว อะไรเกิดขึ้นโดยรอบเรารู้หมด เพียงแต่จะไปสนใจหรือเปล่า ถ้าเราจะไปสนใจมัน เราก็คลายกำลังจิตมารับรู้นิดหนึ่ง แล้วก็รีบกลับไปที่เดิมอีก เหมือนกับคอยป้องกันตัวเองอยู่ คือสภาพอย่างนี้แหละที่มันจะพอรบกับกิเลสได้ แต่ยังเอาตัวไม่รอด เผลอเมื่อไร มันตีตายนั่นแหละ ลักษณะอย่างนั้นแหละพยายามทำให้ถึง พอถึงเวลาพอรู้ตัวว่าเรานอนเพียงพอแล้ว พร้อมจะตื่นหรือยัง ถ้าพร้อมแล้วสภาพจิตจะคลายออก ความรู้สึกก็จะกระจายออกจากจุดที่รวมอยู่ออกไปถึงปลายมือ ปลายเท้า ปลายประสาท ร่างกายมันสมบูรณ์พร้อมแล้ว เอ้า...ลุก เอ้า...ลืมตา อ้าว...เดิน อ้าว...เข้าห้องน้ำ มันจะบอกทีละขั้นเลย แล้วมันก็พรึบเดียวนั่นแหละ คนอื่นเห็นเราพลิกตัวลุกขึ้นแล้วก็ไปเลย แต่ว่าสภาพจิตมันละเอียด มันก็เลยเห็นเป็นขั้น ๆ เหมือนอย่างกับช้า อย่างกับหนังสโลโมชั่น อย่างนั้นแหละคือจิตยิ่งละเอียดเท่าไร ยิ่งเห็นทุกอย่างช้าลงเท่านั้น
      ถาม :  ณ ตรงนั้นระดับฌานที่เท่าไรคะ ?
      ตอบ :  ปฐมฌานละเอียดก็เป็นแล้ว จิตหลับกับตื่นมันจะเริ่มรู้เท่ากันแล้ว พอต่อ ๆ ไปฝึกให้ได้เถอะ ต่อไปประเภทที่ว่านั่งอยู่ก็เหมือนกับหลับ หลับอยู่ก็เหมือนกับตื่น สังเกตคนพวกนี้ได้อย่างเดียวว่าจะไปทำอะไรหลับ ๆ อยู่ เรียกคำเดียว ก็พลิกตัวลุกไปเลย ไม่มีการมางัวเงียกับใครหรอก เพราะจิตมันตื่นอยู่ตลอด
      ถาม :  บางครั้งฝึกที่ทำงาน จิตรู้สึกจับตัวเองมาก เจ้านายเรียกไม่ได้ยิน ?
      ตอบ :  อ๋อ! อันนั้นช่วยไม่ได้
      ถาม :  มีคนกล่าวว่า การที่คนจะไปนิพพานได้หรือไม่ได้ วัดกันที่ความตาย มีคำถามว่าในกรณีที่เราปฏิบัติถึงขั้นพระโสดาบัน เราสามารถจะไปนิพพานได้เลยไหมคะ ?
      ตอบ :  ก็พูดง่าย ๆ ว่า กิเลสใหญ่คือรัก โลภ โกรธ หลง จะเป็นตัวขวางไม่ให้เราไปนิพพาน ตอนนั้นป่วยอยู่จะไปรักกับใครล่ะ จะไปโลภอะไร จะตายอยู่แล้ว โกรธใครเรี่ยวแรงก็ไม่ไหวแล้วใช่ไหม ก็เหลือแต่หลงอย่างเดียวว่าอยากเกิดอีกไหม ถ้าใจตอนั้นคิดว่าไม่อยากเกิด ไปนิพพานดีกว่า มันก็จบแค่นั้นแหละ
              ฉะนั้นส่วนใหญ่แล้วคนปฏิบัติมีพื้นฐานดีมา ทำในทาน ศีล ภาวนา เป็นปกติสม่ำเสมออยู่ทุกวัน ต่อให้ไม่เป็นพระโสดาบัน ก่อนตายก็สามารถไปนิพพานได้ เขาเป็นกันก่อนตายนิดเดียว แล้วเราก็ไม่มากระโดด โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ พรึ่บเดียวเป็นพระอรหันต์ไปเลย ไม่ต้องไปประมาท ถึงเวลากอบโกยให้ได้เยอะมากที่สุดเท่าที่จะเยอะได้ แล้วก็ไปตัดสินกันตอนก่อนตายก็แล้วกัน
              ก็อ่านประวัติหลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน ที่เป็นสหายธรรมของหลวงปู่ปาน แล้วเรียกว่ารุ่นพี่ด้วยเพราะเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เนียม วัดน้อย มาด้วยกัน หลวงพ่อโหน่งก่อนที่จะมรณภาพ เอาพระมาตั้งตรงหน้า นอนตะแคงไม่มีแรงจะนั่งแล้ว มองพระพนมมือจนกระทั่งหมดลม นั่นพระอรหันต์นะ ท่านทำอย่างนั้นแล้วเราจะประมาทได้อย่างไร
              หลวงปู่ปานก่อนจะมรณภาพ ท่านบอกว่าหกโมงเย็นท่านจะไปแล้วนะ พระก็ถามว่าจะให้ทำอะไรให้ท่านเป็นพิเศษหรือเปล่า ? ท่านบอกว่าให้จุดธูปที่มีกลิ่นหอมมาก ๆ พวกธูปแขก เพราะว่าคนอายุมากใกล้จะมรณภาพ ประสาททุกอย่างก็เสื่อมหมด เอาธูปที่มีกลิ่นหอมมาก ๆ นะ พ่อจะได้ ๆ กลิ่น และก็ช่วยสวดอิติปิโสให้ด้วย คือเอาจมูกจับกลิ่นธูป เพื่อจะได้ให้รู้ว่ากำลังบูชาพระอยู่ เอาหูจับเสียงสวดเพื่อได้รู้ว่าตอนนี้จิตเกาะพระอยู่ พระระดับนั้นท่านยังไม่ประมาทกันเลย ห้ามประมาทเด็ดขาด ตายฟรีไม่รู้ตัวด้วย