ถาม :  เราต้องพิจารณา (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ได้ ถ้าหากว่าเป็นอรูปฌานนี่ มันจะต้องตั้งภาพกสิณขึ้นมาก่อน เพราะงั้นมันก็เลยต้องได้ฌานสี่ด้วย แต่คราวนี้ของเรานี่ยังไงล่ะ เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้างไปมั่งก็ได้ มันไม่ได้ถึงขนาดนั้นเราก็พิจารณาไว้ก่อนใช่มั้ย? ถึงมันจะไม่เป็นอรูปฌาน มันก็เป็นวิปัสสนาญาณไปเลย เกิดปัญญาไปเลย หมดเรื่องไป
              สมัยนี้เสียท่าเด็กน่ะ โน่นแน่ะ ตัวเปี๊ยก มันไปเล่นที่วัดมาแล้วน่ะ (หัวเราะ) เด็กตัวขนาดเนี่ย กำลังใจมันไปถึงวัดมาแล้วนั่นน่ะ ใครว่าวัดไกล ตามญาติไปตามผู้ใหญ่ไป บอกเขาว่าเดี๋ยวคราวหน้ามาอีกนะ มาคะมา เด็กหญิงกำไร กำไรไม่ยอมขาดทุน ฟังแล้วชื่นใจ ของเขามามันเหมือนกันเดินรอยเดียวกันมาเลย แต่แรกทางบ้านเขา แม่เขาคุมมาเลย เพราะกลัวลูกเขาจะบ้า บอกไม่ได้บ้าหรอก สติมันดีกว่าโยมเยอะเลย (หัวเราะ) เขาแปลกใจว่าลูกเขาเป็นผู้หญิงรุ่น ๆ แท้ ๆ ทำไม ไม่กินไม่เที่ยวอย่างกับญาติโยมเพื่อนฝูงอย่างนั้นน่ะ ตั้งหน้าตั้งตา ภาวนาอย่างเดียว สติดีกว่าเยอะ ในท่ามกลางความวุ่นวายเร่าร้อนของโลกนี้ เขามีสติรู้อยู่ว่ามันไม่ดี พยายามจะปลีกตัวออกจากมันคนที่คิดอย่างนี้ทำอย่างนี้ ไม่ใช่บ้านะ ดีกว่าเราเยอะเลย
              คอยดูนะนี่ปีที่แล้วมา นี่ปีนี้โทรมา เดี๋ยวดูว่าปีหน้าจะมีอะไรก้าวหน้ากว่านี้ พวกนี้ถ้าทำถึงตรงจุดนี้แล้ว ไม่ต้องพึ่งครูบาอาจารย์อย่างเรา ๆ นี่ได้เลย เพราะว่าครูบาอาจารย์ข้างบนนี่สำคัญกว่า กราบทูลถามตรงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย หรือไม่ก็นู้น ถามหลวงพ่อก็ได้ ถามท่านแม่ก็ได้ ถามท่านปู่ก็ได้ ถามท่านย่าก็ได้ พวกเรานี่พอใกล้พระทีหนึ่ง กำลังใจดีทีหนึ่ง ของเขานี่อยู่ห่างก็ดีได้
      ถาม :  มันมีบารมีเก่าหรือเปล่าครับ?
      ตอบ :  มันมีส่วนด้วย แต่ขณะเดียวกัน จุดสำคัญที่สุดคือการกระทำที่ต่อเนื่อง พวกเรามันขาดการกระทำที่ต่อเนื่อง พอเราทำ ๆ เสร็จ เราก็ทิ้งไปใช้ผลของมัน แหม ! รื่นเริงกระดี๊กระด๊า อารมณ์ใจดีจังใช่มั้ย สักพักเดียวพัง หน้าดำมาอีกแล้ว นั่นน่ะเราขาดการกระทำที่ต่อเนื่อง ส่วนของเขา เขาทำต่อเนื่องตามกันไปเรื่อย ไปเรื่อย คนที่ทำต่อตามกันถึงมันจะเป็นโลกียฌาน ก็ตามกิเลสมันกินได้ยาก มันไม่เปิดโอกาสให้น่ะ ยังไง ๆ กูก็เกาะฌานเอาไว้ก่อน
      ถาม :  .........
      ตอบ :  .........ท่านบอกว่า ฉันไม่ยอมให้จิตเคลื่อนจากนิพพานแม้แต่วินาทีเดียว เป็นเราทำอย่างนั้นเครียดตายเลยใช่มั้ย? แต่กำลังของท่านถึงท่านทำได้ ต้องให้มันต่อเนื่องตามกัน ตอนนั้นนี่ปัญญามันชัดมากเลย มันรู้ว่าเปิดช่องแม้แต่นิดเดียว กิเลสมันจะตีเราอีท่าไหน แล้วถ้ามันตีเราได้แล้ว คราวนี้ตายแน่
              หลวงพ่อท่านบอกว่าประมาทคิดว่าได้สมาบัติแปดแล้วสบายมาก ปรากฏว่าวันนั้นมันพังโครมเดียวเหลือแค่อุปจารสมาธิ เท่านั้นเอง ต้องใช้คำว่าอุปจารฌาน คือ มันหนักแน่นกว่าอุปจารสมาธินิดหนึ่ง แต่ไม่ใช่ปฐมฌาน งัดยังไงก็ขึ้นปฐมฌานไม่ได้ ท่านบอกว่าไอ้บ้านมีแปดเสา อยู่ ๆ มันเหลือเสาแค่ครึ่งต้น มันจะโดนทับตายเอา นั่นน่ะประมาทนิดเดียวเอง
              พอได้บทเรียนนี่เข็ด ไม่ยอมเปิดโอกาสให้มันอีกเลย ขืนเปิดโอกาสให้มันอีกเสร็จแน่ ๆ มันตีเรานี่มันไม่เลี้ยงนา มันจะเอาเราไว้เป็นบริวารของมัน มันทรมานสารพัดต้องดิ้นรนต้องต่อสู้ ต้องฝืน ทวนกระแสโลก ทวนไปทวนมาเหนื่อยก็ข้ามกระแสพักมันเลยหมดเรื่อง ข้ามฝั่งแล้วมันไม่ต้องไปทวนกับใครใช่มั้ย? น้ำแรงแค่ไหนก็พัดเราไปไม่ได้ ก็ขึ้นฝั่งไป
      ถาม :  อย่างนี้ถือว่า เขาคิดว่าเขาเป็นภิกษุณีแล้ว อย่างนี้ถือว่า ผิดมั้ย?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้ว มันเป็นไม่สมบูรณ์ ถ้าหากว่าทำตัวสูงกว่าเขาอย่างเช่นว่าในลักษณะของการได้รับการกราบไหว้บูชา ถ้าหากว่าเขากระทำในเจตนาเพื่อสงฆ์จริง ๆ อย่างเช่นว่า อาจมีการถวายสังฆทานถ้าหากว่ารับนี้ตัวเองไม่สามารถที่จะใช้ได้ ถ้าใช้นี่ผิด จะไปกินไปใช้ในลักษณะนั้นนี่ผิด เพราไม่ใช่สงฆ์ที่แท้จริงใช่มั้ย? ก็จำเป็นที่จะต้องเอาไปเพื่อส่วนรวมเท่านั้น ถ้าเพื่อตัวเองเมื่อไรก็แปลว่าได้รับโทษแน่นอน
      ถาม :  ถ้าเพื่อส่วนรวม แต่ว่าฉันด้วย?
      ตอบ :  ส่วนหนึ่งมันต้องดูเจตนาคนที่เขาให้ ถ้าหากว่าเขาให้มาแล้วเราแบ่งไปใส่บาตรพระซะหมดเรื่องหมดราวไป ได้ที่เหลือแล้วค่อยมาว่ากัน ลำบากมาก
              ในปัจจุบัน ไม่ใช่แต่ภิกษุณีหรอก บรรดานักบวชด้วยกันนี่ ถ้าหากมีผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส คือขาดความเป็นพระชั่วคราว กับผู้ที่ต้องอาบัติปาราชิก คือ ขาดความเป็นพระไปแล้ว แต่ยังนุ่งเหลืองห่มเหลืองอยู่ ถึงเวลาแล้วเข้าไปในพิธีของการบวชนั้น ไม่ว่าจะเข้าไปในฐานะของอุปัชฌาย์หรือในฐานะของคู่สวด หรือเข้าไปในฐานะของพระอันดับเพื่อให้ครบองค์สงฆ์ มีอยู่แม้แต่คนเดียวสังฆกรรมนั้นเสีย การบวชพระนั้นจะไม่เป็นพระเป็นแค่เณรเท่านั้น มันก็จะไปซวยตัวคนบวชตัวเองเป็นแค่เณรแต่คิดว่าเป็นพระ แล้วไปกินร่วมกับพระนอนร่วมกับพระ ทำสังฆกรรมร่วมกับพระ ก็บรรลัยน่ะซิมันกลายเป็นโทษมากขึ้นทุกวัน ๆ โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว เพราะคิดว่าบวชมาแล้วถูกต้องแล้ว ในปัจจุบันนี้มันมากต่อมากด้วยกัน ไม่ใช่แต่ภิกษุณีบวชแล้วไม่เป็นภิกษุณีหรอก ภิกษุบวชแล้วไม่เป็นภิกษุก็เยอะ
      ถาม :  แต่ทีนี้คือ เจตนาเขาก็ไม่ทราบ?
      ตอบ :  เขาไม่รู้จริง ๆ มันเกิดโทษโดยไม่รู้ตัว แบบเดียวกับยาพิษไง กินรู้หรือไม่รู้มันตายเหมือนกัน อันตรายมากเลย
              ที่วัดท่าซุงสมัยช่วงที่บวชอยู่มีอยู่สองปีติดกัน ที่ถึงเวลาวันเข้าพรรษาหลวงพ่อท่านจะสวดญัตติให้ใหม่ ต่อหน้าพระประธาน พระประธานคือพระพุทธเจ้า เท่ากับเป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อเท่ากับเป็นคู่สวด สวดญัตติให้ใหม่เลย ไอ้เราก็สงสัยข้องใจอยู่ ปรากฏว่าพระพี่ ๆ ท่านอาวุโสกว่า ท่านบอกว่า สังฆกรรมวันนั้นต้องมีพระที่ขาดความเป็นพระอยู่ด้วยแน่เลย เพราะฉะนั้นเมื่อมีอยู่ ถึงเวลาพอเข้าพรรษาเหลือเฉพาะพระวัดของเรา ท่านก็เลยสวดญัตติให้ใหม่ เพื่อให้มาเริ่มต้นเป็นพระกันใหม่วันนั้นเลย มีอยู่สองปีติดกันประมาณปี ๒๕๒๙, ๒๕๓๐ แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีอีก แสดงว่าสังฆกรรมครั้งหลัง ๆ นี้ บริสุทธิ์
              แต่ว่าอย่างว่าแหละ ถึงบวชแล้วถูกต้องกลายเป็นภิกษุไปแล้วปฏิบัติผิดโทษมันก็สาหัส ฟัง ๆ แล้วน่าหนักใจน่ะ ไปบวชเองซะหน่อยก็จะรู้ (หัวเราะ) พอบวชได้สามพรรษาอาตมามีความคิดว่า ที่เขาบวช ๆ กันได้จะชั่วจะดีอะไรก็ตาม ถ้ามันบวชได้นาน ๆ นี่ ยอมกราบเท้าได้ทุกองค์เลย เห็นมั้ย? จะดีจะเลวกราบได้ทั้งนั้น ทำไมเขาอึดขนาดนั้นอยู่ได้ยังไง กว่าเราจะปรับตัวให้เข้ากับศีลได้ ให้ลงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ขยับตัวเมื่อไหร่ให้รู้ว่าศีลจะบกพร่องมั้ยนี่สามปีกว่า
              ดังนั้นมันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่หลวงพ่อท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโคอยู่หกปี ช่วงนั้นใครเอาลูกไปบวชกับหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกว่าต้องบวชสามปี ถึงจะให้บวช หลวงพ่อบอกว่าข้านึกว่าคนจะไม่มาบวชวัดบางนมโคแล้ว ปรากฏว่าบวชกันเยอะขึ้น บังคับว่าต้องบวชสามปี คือปีแรกศึกษาศีลในพระปาติโมกข์สองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อให้ครบ ปีที่สองมาเริ่มขยายมาให้เกี่ยวกับอภิสมาจาร คือมารยาทเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นศีลละเอียดเพิ่มขึ้นอีก ศีลพระไม่ได้มีแค่สองร้อยยี่สิบเจ็ดนะ ถ้ารวมอภิสมาจารแล้วบานเบอะเลยล่ะ พอปีที่สามนี้รู้ครบทั้งสองอย่างแล้ว ทีนี้จะอยู่หรือจะสึกก็เชิญ
              เพราะฉะนั้น สมัยที่หลวงพ่ออยู่วัดบางนมโคนี่ หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่าคนเอาลูกไปบวชกันเยอะแล้วชอบใจด้วย เพราะหลวงพ่อท่านเข้มงวดอบรมดี ล่อซะสามพรรษาเลย ไม่สึกไปซะเยอะ (หัวเราะ) คนไหนหวังว่าลูกหลานจะสึกไปแต่งงาน หรือสึกไปทำมาหากินนี่กลายเป็นพระยาไปเลยก็มี
      ถาม :  แล้วมีคนสึกมั๊ย?
      ตอบ :  ท่านบอกแล้วว่า ถ้าหากว่าบวชที่ท่านก็ต้องสามปีแต่ถ้าหากว่าสามปีไปแล้วจะบวชหรือจะสึกท่านไม่ว่า เป็นเราได้ยินสามเดือนก็จะแย่แล้ว นี่สามปีจะไหวมั้ย? อกแตกตายพอดี
      ถาม :  คนที่กำลังเดินจงกรม ผมนึกไปนึกมา แล้วก็นึกว่าเวลาที่เขาเดินจงกรมเขาต้องจับลมหายใจยังไง พอนึกไปเรื่อย ๆ ผมว่าคนเดินจงกรมนี่ก็ต้องเหาะได้ซิทำอย่างนี้ มันก็ต้องเดินลอยไปในอากาศแล้วผมก็รู้สึกมันเหมือนกับเป็นจริงเป็นจัง แล้วอย่างนี้ผมฟุ้งซ่านหรือเปล่าครับ?
      ตอบ :  มันไม่ฟุ้งซ่านหรอก ทำถึงที่สุดจริง ๆ ถ้าพื้นฐานเก่าของวาโยกสิณมันก็ไปได้หรอก
      ถาม :  ........
      ตอบ :  ไม่ต้องแก้ เพราะว่าวิสัยของเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่าคนหวงสมบัติ อยากจะแก้ต้องแนะนำเขาเกี่ยวกับเรื่องทานบารมี อย่างเช่นให้เขาทำบุญอย่างนี้มันจะค่อย ๆ ลด ละตัวนี้ลงไปได้ทีละน้อย ถึงมันจะช้า แต่ว่ามันยังดี เพราะว่า จะช่วยให้เขาสร้างสมบุญสร้างสมบารมีให้มากขึ้น ตัดตัวโลภ ตัวตระหนี่ให้น้อยลง แล้วพอระยะหลัง ๆ เดี๋ยวเขาก็ให้คล่องตัวเขาเอง คราวนี้มันสำคัญอยู่ตรงแนะนำนั้นแหละ เพราะว่าต้องดูว่าท่านชอบแบบไหน อย่างเช่นบางคนบอกให้สร้างโบสถ์ สร้างศาลา ทำกฐิน ไม่ทำหรอกแต่ว่า หากให้เลี้ยงเด็กยากจนสงเคราะห์คนตาบอด ดีอกดีใจ อยากจะทำอะไรอย่างนี้ ต้องดูจังหวะให้ดี ๆ ไม่งั้นเดี๋ยวพลอยจะโกรธเราไปด้วย
      ถาม :  แล้วก็เขาจะเป็นโรคเวียนหัวบ่อย ๆ มียาทาแล้วเหมือนจะเป็นเวรเป็นกรรมยังไงไม่ทราบ ต้องเวียนเข้าโรงพยาบาลบ่อย ๆ ยังไงไม่รู้ พอออกมานี่เขาเล่าให้ฟังว่า นอนอยู่บนเตียงคนไข้ข้างในนี้ร้อนมากเลย ร้อน ๆ เผาไหม้อยู่ข้างใน ส่วนข้างนอกในห้องนี่เย็น แล้วปวดหัวติ้ว ๆ ไปหมดเลย
      ตอบ :  พวกที่เป็นโรคปวดหัวประจำ มันเป็นเศษกรรมจากการผิดศีลข้อสุราเมรัย ในชาติก่อนนี้กินระเบิดเถิดเทิงเลยนั่นน่ะ แต่ขนาดนั้นยังเรียกว่าน้อยนะ พวกโรคปวดหัวประจำนี่ถือว่ากินน้อย ถ้าหากว่าพวกที่เป็นโรคประสาทนี่กินปานกลาง ถ้าบ้าเลยนี่กินเยอะ เพราะฉะนั้นอย่างนั้นน่ะ ถือว่าน้อยนะ เศษกรรมมันตามมา
      ถาม :  แล้วชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้านี่มีจริงหรือเปล่าคะ?
      ตอบ :  มีซิ เมื่อวานมีมั้ย? แล้วพรุ่งนี้มีมั้ย? แบบเดียวกัน ชาติก่อนก็มี ชาตินี้ก็มี ชาติหน้าก็มี อยากพิสูจน์นี่ฝึกให้ได้แล้วไปดู จะได้รู้ว่าก่อนหน้านี้เราเป็นอย่างไรมา แต่ละชาติจนที่สุดก็จนแล้ว รวยที่สุดก็รวยแล้ว มีอำนาจก็มีแล้ว ได้วาสนาก็เป็นแล้ว มันจะเบื่อจะได้เข็ดซะที อะไรอย่างนี้ ดีไม่ดี มันก็คิดจะหล่อซะเอง ไม่ใช่มีแฟนหล่อนะ ขอเกิดใหม่ หล่อซะเองอยากเป็นผู้ชายมั่ง
      ถาม :  มีความรู้สึกว่าไม่ถูกกับพ่อเลย
      ตอบ :  หา...ไม่ต้องถูก อยู่ห่าง ๆ ไว้ บางคนเป็นในลักษณะนั้นคือเกิดมาแล้วเขาไม่ชอบหน้า ไม่จำเป็น เราตั้งใจแผ่เมตตาให้เขาเป็นปกติ ต่อไปกรรมตัวนี้จะค่อย ๆ คลายตัวลง อยู่ครอบครัวเดียวกันมันต้องมีกรรมเนื่องกันมามันถึงเกิดเป็นพ่อเป็นลูกกัน แต่ว่าขณะเดียวกันในชาติก่อนเราอาจทำผิดคิดร้ายอะไรไว้ ทำให้เขาไม่ชอบขี้หน้ารา แต่ว่ากรรมทุกอย่างถึงเวลาถึงวาระมันจบลงมันสิ้นลง ถึงวาระมันสบายตัวลงได้
              เพราะฉะนั้นเราก็อย่าไปโกรธไปเกลียดอะไรท่าน นึกซะว่าเราทำไม่ดีเอง ถึงได้เจออะไรลักษณะอย่างนี้ ตั้งใจแผ่เมตตาให้กับท่านสงเคราะห์ท่านอยู่ตลอด ทำบุญเมื่อไรก็นึกถึงท่าน ให้ช่วยด้วย ขอให้ผลบุญอันนี้ขอให้พ่อหายโกรธหายเกลียดเราซะที ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวดีขึ้นเอง แล้วของเราถูกมั้ย
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด-ถวายข้าวพระพุทธ) ทานได้หรือเปล่าคะ?
      ตอบ :  ได้ ถ้าหากว่าเป็นข้าวที่ถวายพระพุทธรูปในบ้านของเรา ลามาแล้วก็กินได้เลย แต่ถ้าหากเป็นพระพุทธรูปในวัดกินเมื่อไรก็ชำระหนี้สงฆ์ซะดี ๆ ไม่งั้นติดหนี้แน่ ๆ บรรดามัคทายักน่ะมันเอาบ่อยข้าวดี ๆ กับข้าวดี ๆ เอาไปถวายพระพุทธรูป แล้วเสร็จแล้วพอถึงเวลามันลาไปฟาดเอง อย่างนั้นติดหนี้สงฆ์อยู่ทุกวัน ถ้าเป็นที่บ้านไม่เป็นไร แล้วอีกอย่างหนึ่งมีหลายคนที่ตั้งใจใส่บาตรที่หน้าบ้านตัวเองแล้วพระไม่มา ลักษณะอย่างนั้น ถ้าตั้งใจจะใส่จริง ๆ แล้วไปวัดเลย ไม่ทันเข้าก็ถวายเป็นอาหารเพลไป แต่ถ้าเวลาไปวัดเองไม่มี ก็กินเองซะเลย เอาไปถวายพระพุทธรูป เอาอานิสงส์ซะหน่อยหนึ่งก่อน เมื่อพระสงฆ์ไม่มานี่นะ ถวายพ่อใหญ่ไปเลย หมดเรื่องไป อันนั้นยังถือเป็นของ ๆ เราอยู่นะ กินได้ไม่เป็นไร
      ถาม :  แล้วเวลากรวดน้ำคะ จะแผ่ส่วนกุศลให้ใครได้บ้างนอกจากญาติมิตร?
      ตอบ :  สารพัด สารเพเลยจ้ะ สรรพสัตว์ทุกภูมิทุกเหล่าถ้าใครโมทนาได้ ก็ให้มาโมทนา แต่ถ้ามาให้ญาติให้โยมของเรานี่ ถ้ารู้จักชื่อนามสกุลให้ตรง ๆ ไปเลย เพราะถ้าท่านกำลังน้อยเดี๋ยวจะแย่สู้เขาไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าให้คนอื่นไปแล้วเราจะให้ใครอีกเท่าไหร่ก็ได้ ผลบุญนั้นไม่ลดลง ยิ่งเยอะยิ่งดี ตัวเราจะได้ตัวเมตตาบารมีเพิ่มขึ้น
      ถาม :  แล้วพระที่เดินซื้อซีดีที่คลองถมคะ บาปมั้ยคะ?
      ตอบ :  จะไปบาปตรงไหนล่ะ ท่านไม่ขโมย เพียงแต่ว่าอย่าเป็นซีดีหนังโป๊แล้วกัน
      ถาม :  มันรวม ๆ ปน ๆ กันคะ?
      ตอบ :  จ้ะ แต่ถ้าหากเป็นซีดีเพลงจะไปฟังด้วยอะไรด้วยก็บรรลัยเลย ตอนซื้อนะไม่บาปหรอก แต่ถ้าเป็นหนังไปนั่งดู ไปนั่งเชียร์หรือว่าเป็นหนังโป๊ไปนั่งเพลินน้ำลายยืดไปเลย หรือว่าเป็นเพลงอะไรมัน ๆ แทบจะเต้นเองก็โอเค ตอนซื้อไม่บาปหรอก ไปบาปตอนทำ ตอนฟัง ตอนดูใช่ไหม? แต่ส่วนใหญ่เจตนา เป็นอย่างนั้นใช่มั้ยล่ะ?