ถาม :  ลุงพุฒตอนนี้นี่ ไม่เห็นเลยคะ
      ตอบ :  ระยะหลังนี้ลุงพุฒแกติดงาน เพราะว่าแกขับรถให้เจ้านายที่โรงงานประจำ แล้วแกต้องไปจอดรถที่วัดเทพศิรินทร์ แกเลยไปภาวนาที่วัดเทพศิรินทร์ ก็ถือว่าหลวงปู่อยู่นั่น ท่านเจ้าคุณนรฯ อยู่นั่น ระยะหลังนี่ลุงพุฒก้าวหน้าเยอะเลยนะ โดยเฉพาะตัวทิพจักขุญาณ บางที หลวงปู่มั่น ผ่านมา ไม่ทราบว่าท่านจะไปไหนน่ะ ก็หยุดสอนก่อน ลุงพุฒบอกว่า แหม ดีใจจังเลย เพราะท่านผ่านมาแท้ ๆ ท่านยังอุตส่าห์เมตตาและมาบอกเราก่อนว่าต้องทำยังไง
              สมัยนั้นมีกันอยู่ไม่กี่คน ตอนที่ชวนบวชก็ได้แค่ลุงพุฒคนเดียว หลวงพ่อท่านต้องการสามองค์ไง พอไปชวนแล้ว คุณธรรมนูญ บอกเขาไม่ว่าง ช่วงนั้นเขายังติดราชการอยู่ ลุงพุฒเขาบอกโอเคผมบวชได้ ก็ไปด้วยกัน ไปกราบเรียนหลวงพ่อว่า ได้แค่สองคนครับ ขาดคนหนึ่ง หลวงพ่อต้องหาเพิ่มแล้วครับ หลวงพ่อท่านบอกว่าแกจำไว้นะ คนของข้าไม่มีคำว่าขาด จริง ๆ ด้วย พอคนเขารู้ปุ๊บสมัครกันเข้ามาจากสามองค์กลายเป็นสามโหล สามสิบหกองค์ แป๊บเดียวเอง นั่นถ้าไม่ใช่รีบบวช คงจะเยอะกว่านี้อีก เพราะรุ่นหลัง ๆ อย่างรุ่น แสงชัย บวชนี่ร้อยแปดสิบ ร้อยแปดสิบนี่ตัดยอดนะ พวกติดสำรองเพียบเลย รอคนไหนไม่มา พอคนไม่มาปุ๊บ คนบน ๆ นี่ตีปีกโดดใส่เลย (หัวเราะ) อยากบวชมาก
      ถาม :  แต่ครั้งแรกที่เห็นท่านครองผ้าเหลืองแล้ว รู้สึกบอกไม่ถูก
      ตอบ :  จ้ะ ช่วงนั้นมีหลายคนที่เขาถาม เขาถามว่าแล้วพี่จะไม่รอคุณชม้อยเขาเหรอ ไม่ล่ะ ถ้าหากว่ายิ่งมันมีเหตุการณ์อะไรที่มันเกิดขึ้น เราต้องยิ่งแสดงให้คนอื่นเขารู้ว่าของเราเอง เรารักเรามั่นคงในหลวงพ่อแค่ไหน คนอื่นที่เขามา เขามาเพื่อผลประโยชน์ถึงเวลาเขาก็ไป แต่ไอ้ของเรานี่เรามา เรารู้อยู่ว่าหลวงพ่อสอนอะไร สิ่งที่หลวงพ่อสอนให้พิจารณามาตลอดสิบเอ็ดสิบสองปีนี่ ไม่เคยเห็นท่านสอนผิดเลย โดยเฉพาะในด้านของธรรมะเราปฏิบัติอย่างไร มันก็เป็นไปตามที่หลวงพ่อบอกทุกอย่าง
              เพราะฉะนั้นเรื่องอื่นนี่ คุณไปคิดว่าหลวงพ่อบอกผิด หลวงพ่อบอกไม่ถูก เกิดอาการพลาดขึ้นมาแล้ว คุณชม้อยทำไมล้ม ทั้ง ๆ ที่เขาบอกว่า ไม่ล้มอะไรอย่างนี้ ไอ้เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องของคุณจะคิด แต่ว่าเรื่องของผม ผมไม่คิดอย่างนั้น เพราะผมมาผมเอาธรรมว่างั้น
      ถาม :  แต่ว่าคุณชม้อยเขาก็ยังไปนะคะ
      ตอบ :  เขาไปอยู่เหมือนปกติอยู่
      ถาม :  เห็นไปอยู่ทุกวันจันทร์
      ตอบ :  คือจริง ๆ มันไม่ได้ผิดอยู่ตรงคุณชม้อย มันผิดตรงคนที่เอาเงินคุณชม้อยไป โอ้โห...ไปกว่าของเขาทีตั้งแปดพันล้าน คุณรวยขนาดไหนล่ะ ไปเอาเขาทีขนาดนั้น ต่อให้กิจการเขาดีขนาดไหนก็เจ๊งน่ะ เสร็จแล้วมารับปากอีกว่าให้ศาลยกฟ้อง พอบอกให้ช่วยให้ศาลยกฟ้อง
              คุณชม้อยส่งข่าวมาขออยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดท่าซุงตลอด ทางด้านวัดก็จัดตึกขาวเอาไว้ ตึกขาวสี่ชั้นที่อยู่เยื้อง ๆ กับศาลาหลวงพ่อสี่องค์ก็เตรียมสถานที่ พวกคุณผดุงเกียรติ คุณอะไรที่คุ้น ๆ กับคุณชม้อยซี้กันก็เตรียมรถจะไปรับ ปรากฏว่าศาลตัดสินมาสองพันกว่าปี หงายท้องตึงเลย
      ถาม :  แต่ก็อยู่ไม่นาน?
      ตอบ :  ไม่นานเพราะว่า กฎหมายตอนช่วงนั้นบอกว่าถึงจะมีโทษกี่ปีก็ตามก็ให้จำคุกสูงสุดยี่สิบปี คราวนี้ยี่สิบปีถ้าเป็นนักโทษดีเด่น นักโทษชั้นเยี่ยม ก็ลดโทษครึ่งหนึ่ง ก็เหลือสิบปี พอปีที่สองถ้าเป็นนักโทษชั้นเยี่ยมอีก ก็ลดอีกครึ่งหนึ่งเหลือห้าปี พอปีที่สามจะลดอีกครึ่งหนึ่งไม่ต้องลดแล้ว เพราะเขาติดมาสองปีแล้ว ปีที่ผ่านก็เป็นอันว่าคุณพ้นไป
      ถาม :  แป๊บเดียวเองนะ
      ตอบ :  ติดแค่สองปีกว่า ออกมาตั้งนานเนกาเลแล้ว ยังสร้างพระถวายที่วัดท่าซุงองค์หนึ่ง ได้ไปเดินดูมั้ยล่ะ?
      ถาม :  แล้วบางคนเขาติดตลอดชีวิตล่ะคะ?
      ตอบ :  ตลอดชีวิตนั้นส่วนตลอดชีวิต ของคุณชม้อยนั่นมันหลายคดีรวมกัน เพราะว่าคนไปฟ้องร้องเขาเยอะ พอรวม ๆ กันแล้วอายุความมันสองพันกว่าปี แต่สองพันกว่าปีมันไม่ใช่โทษจำตลอดชีวิต เขาก็เลยกลายเป็นว่าถึงเวลาแล้วสูงสุดให้แค่ยี่สิบปี มันไม่ใช่โทษหนักแบบ โทษยาเสพติด หรือข่มขืนฆ่าคนอะไร พวกนั้นมันเป็นโทษอุกฉกรรจใช่มั้ย อุกฉกรรจเขามีคำตัดสินจำโทษตลอดชีวิตได้
      ถาม :  แล้วพวกจำคุกตลอดชีวิตนี่เขาจะได้ลดโทษมั้ยคะ?
      ตอบ :  ก็โอกาสมันมี ถ้าหากว่าเขามีการถวายฎีกาในหลวงท่านก็อาจลดโทษให้ถ้าเห็นว่าสมควร เขาก็ทูลเกล้ากันทุกปีนั่นแหละ
      ถาม :  .........
      ตอบ :  สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ราว ๆ พ.ศ.๓๒๕ ท่านส่งสมณทูต ๙ สายออกไปเผยแพร่พระศาสนา สายของพระโสณะ พระอุตตระเถระ นี่มาขึ้นที่นครปฐม สมัยนั้นนี่นครปฐมอยู่ชายทะเล แต่ตอนนี้มันงอกออกไปถึงชะอำ แสดงว่าช่วงสองพันกว่าปีนี้มันเล่นงอกออกไปสามจังหวัดเลยมั้ง ราชบุรี เพชรบุรี สองจังหวัด เพราะชะอำนี่มันติดกันหัวหินใช่มั้ย? หัวหินนี่ของประจวบ สองพันกว่าปีนี้ได้มาสองจังหวัด แล้วทำไมว่าสมัยโน้น ภูกระดึง อยู่ในทะเลจะเป็นไปไม่ได้ใช่มั้ย? มันก็เป็นไปได้ งอกมาเรื่อย ๆ ยาวออกมาเรื่อย
              ดูในเรื่องตาที่สามที่ ลามะรอปสัง ลัมปา ท่านเขียน ท่านลงไปฝึกมรณานุสสติ ในอุโมงค์ใต้ดิน มันขุดลึกเข้าไป จนบอกไม่ถูกว่าลึกลงไปใต้แผ่นดินมากเท่าไร เขาบอกว่าอากาศมันเต็มไปด้วยไฟฟ้าสถิต ถึงขนาดว่า ต้องถือทองไปแท่งหนึ่ง พอเดิน ๆ แล้วเอาทองจี้กับผนัง ไฟฟ้าจะแล่นปรี๊ดๆๆ ออกไปเลย พอลงไปถึงตรงนั้นแล้ว จะมีซากศพของบรรพบุรุษของทิเบตอยู่ ผู้ชายสูงสี่เมตร ผู้หญิงสูงสามเมตร ซากศพยังสมบูรณ์อยู่เพราะเขาเก็บเอาไว้ในที่ ๆ อุณหภูมิขนาดนั้นมันอยู่ตัวเลยล่ะมันแห้งถึงขนาดไฟฟ้าสถิตมันเกินทั่วไปหมด เชื้อโรคมันเกิดไม่ได้มันก็เลยไม่เน่า แล้วเขามีการปิดทองปิดอะไรด้วย ลามะรอปสัง ท่านไปนั่งสมาธิตรงนั้น เห็นอดีตชาติของตัวเองว่าในชาติที่เห็นผู้ชายผู้หญิงใหญ่ขนาดนั้นท่านก็เคยเกิด ชาติที่ท่านเกิดท่านบอกว่าทิเบตอยู่ชายทะเล
              คราวนี้พวกศึกษาธรณีวิทยาเขาบอกว่า อนุทวีปอินเดียนี่ แต่แรกเริ่มมันไม่ได้อยู่ติด มันเป็นลักษณะ เหมือนประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบันนี้ คือ เป็นเกาะขนาดใหญ่ ออสเตรเลียนี่เป็นทวีปเลยนะแต่เป็นเกาะ โดนแรงกดดันกับการเคลื่อนที่ของพื้นโลกจนกระทั่งชนเอากับทิเบต แล้วก็ดันเอาทิเบตลอยสูงขึ้นไปกลายเป็นเทือกเขาหิมาลัย จากพื้นที่ชายทะเลมันดันสูงขึ้นไปทีเจ็ดแปดกิโลเมตรนี่มันน่าคิดนะ มันไปตรงกันว่านักธรณีวิทยา เออ...เขาก็คำนวณของเขาถูก ขณะเดียวกันของท่านที่พอนั่งสมาธิไปเกิดอตีตังสญาน ย้อนหลังไปก็รู้ว่าสมัยนั้นท่านก็เกิดริมทะเลเหมือนกัน แล้วคิดดูว่าจากทิเบตลงมา มันตั้งกี่ประเทศกว่าจะมาถึงทะเล
      ถาม :  .............
      ตอบ :  เด็กสาว ๆ นะ คุณทิพวดี เหลืองตระกูล อยู่นครนายกภาวนาแล้ว เข้าถึงฌานได้เร็วมากกายทิพย์หลุดออกไปเลย แล้วเขาเอง เขาก็ไม่แน่ใจขั้นตอนอะไรต่าง ๆ ก็เลยมาถาม เคยมาที่นี่หนเดียว เขาไม่มาเยอะหรอก เขาเอาจริง (หัวเราะ) ถามครั้งเดียวแล้วมันทำเลยล่ะเป็นไง ถ้ามียังงี้มันก็น่าชื่นใจประเภทมาแล้วมาอีกก็ต้องเตรียมไม้เรียวไว้รอ มาถึงก็ฟาดเลย
      ถาม :  แก้ขันธมาร แก้ยังไง?
      ตอบขันธมารไม่ต้องแก้ แค่พิจารณาว่า ธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้ จะตายก็ช่างมัน เราจะทำความดีนะ หรือไม่ก็จับอยู่กับอานาปานสติมันจะกินได้น้อยมาก ไอ้ที่นั่งทนอยู่ทุกวันนี้จริง ๆ ก็คือว่ามันได้ด้วย ถ้ามันไม่ได้ ก็ไม่มาทนนั่งหรอก โอ้โห ! ทรมานทรกรรมวันหนึ่งสิบกว่าชั่วโมง ฟังแล้วซึมไปเลยมั้ย? เขามาครั้งเดียวเขาทำได้ขนาดเนี่ยะ เขาจะไปต่อสมาบัติแปดแต่ต่อไม่ออก เหตุที่ต่อไม่ออก เพราะว่าพอถึงฌานสี่ปั๊บกายในมันจะหลุดไปเลย ตั้งภาพกสิณไม่ทัน บอกว่าถ้าได้ขนาดนั้นไม่ต้องมาเสียเวลาต่อหรอก ไปยาวเลยเป็นเราจะเสียเวลามาต่อมั้ย นั่นมันยิ่งกว่า สมาบัติแปดแล้วนะ สมาบัติแปดคือกำลังมันเท่ากันไง มันใช้กำลังของฌานสี่ในการพิจารณาคล้าย ๆ วิปัสสนาญาณเลย แต่ว่ามันพิจารณาด้วยกำลังของฌานสี่มันก็เลยละเอียดมาก
              ถ้าถึงอากิญจัญญายตนะฌานนี่ มันเห็นชัด ๆ เลยว่า คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของทุกอย่าง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่านกลาง ในที่สุดก็สลายหมดแม้กระทั่งตัวเราก็ไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่นิดนึงก็ไม่ ตอนนั้นพูดง่าย ๆ ว่าทั้งโลก ทั้งจักรวาลแสนโกฏจักรวาลนี่มันเกลี้ยงไม่มีอะไรเหลือเลย แม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี มันรู้สึกว่ากำลังของมันกว้างไกล แต่ถ้าไปติดอยู่ตรงนั้นนี่มันแย่เลยมันก็ต้องต่อยอดไว้นิดหนึ่ง เออ! ตายก็ตายไป เราจะไปนิพพาน จบประกันความเสี่ยง