ถาม:  ถ้าเราจับแค่อานาปานุสติ ?
      ตอบ :  ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องเอาเลย สนใจอยู่กับลมหายใจอย่างเดียว
      ถาม :  นั่งอยู่แล้วจิตตกภวังค์ ?
      ตอบ :  ของเราบางใช้คำพูดผิด "ภวังค์" คืออารมณ์ปกติอย่างตอนนี้บางครั้งนั่นเป็นอาการของร่างกาย มันโยกมันอะไร แล้วพอกล้ามเนื้อดึงตัวมันกระตุกของมันขึ้นมา เราเกิดอาการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างรุนแรงขึ้นมาจนกระทั่งรู้สึกตัว เราเลยคิดว่าจิตตกภวังค์ ส่วนอีกอย่างหนึ่งคือว่า เริ่มจะเป็นฌาน แต่หยาบเกินไปทำให้พลัดจากฌานลงมา จะหวิวเหมือนตกจากที่สูง บางครั้งรู้สึกว่ากลัว ลักษณะเคลิ้มหลับเป็นอาการปกติ คือจิตหยาบแล้วทำให้สตติขาด สติขาดเราเลยคิดว่าเราหลับทั้ง ๆ ที่เรานั่งอยู่ ไม่ใช่หลับหรอกจ้ะ สติขาดเพราะว่าจิตหยาบไปหน่อย ตั้งหน้าตั้งตาตามรู้ให้ละเอียดขึ้นนิดหนึ่ง จะก้าวข้ามไปได้แล้ว ถ้าภวังค์คืออารมณ์ปกติตอนนี้
      ถาม :  ..................................
      ตอบ :  อย่างรายเมื่อครู่ที่มานั้นไม่ได้นะ คนนั้นเขาเห็นเราเป็นผู้วิเศษ พวกประเภทอย่างนี้มานี่ เขาตั้งความหวังสูงเกินไป ในเมื่อเขาตั้งความหวังสูงเกินไป บางครั้งเขาก็ผิดหวังเหมือนกัน เพราะว่าเรื่องของพระ เรื่องของเทวดาท่านสงเคราะห์ได้เฉพาะหน้าเท่านั้น ถ้าวาระยังไม่ถึง บางครั้งท่านก็เฉย ๆ ซะ แหม...คนมาด้วยความตั้งใจสูงเต็มที่ แล้วอยู่ ๆ ไม่ได้อะไรเลย อย่างนี้จะผิดหวังมาก
      ถาม :  ....................
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเป็นสมบัติทางธรรมชาติสำหรับฆารวาสนั้น ก็ดูว่าเจ้าของเขาหวงไหม ? เพราะว่าถึงมันจะเป็นธรรมชาติก็จริง แต่เขาจะมีผีมีเทวดารักษาอยู่ ลักษณะเป็นทรัพย์แผ่นดิน แต่ถ้าของพระนี่หมดสิทธิ์เลย แม้แต่นิดเดียวก็แตะไม่ได้ ประเภทเผลอติดรองเท้า เหยียบติดเท้ามาหน่อยเดียว เขายังตามทวงคืนเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  ต้องดูก่อนว่าอยู่ในเขตของพระ เขตของสงฆ์หรือครับ ?
      ตอบ :  ดูว่ามันเป็นอะไร ? เพราะว่าถึงอยู่ในเขตพระเขตสงฆ์ก็ตาม เทวดาที่รักษาก็มี ต่อให้พระอนุญาต ถ้าเขาไม่อนุญาตก็เรียบร้อย
      ถาม :  ผมไปที่จังหวัดตากมา เขาบอกว่า "พอขึ้นไปข้างบนก็เป็นถ้ำมรกต เขาถ่ายรูปมาเป็นหินเขียววับ ๆ เลย"
      ตอบ :  คงลักษณะเดียวกับที่อาตมาไปเจอ ถ้ำมรกตที่ไปเจอนี่ ส่องไฟไปทางไหนก็เขียวไปหมด ก้อนใหญ่ ๆ ตรงกลางนี่สูงเลยหัวเราไปสักเท่าหนึ่งได้กระมัง แหม...ถ้าหากว่าขนเอามาได้นี่ แกะพระหน้าตักสี่ศอกได้สักองค์หนึ่ง
      ถาม :  คนอื่นไม่ได้ขึ้น ผมว่าครั้งหน้าผมจะขึ้นไปดู
      ตอบ :  เดี๋ยวถ้ามีเวลาขึ้นไปดูว่าเหมือนกันไหม ? เพราะว่าที่ ๆ ไปเจอมานี่ ตอนนั้นท่านสมปองเขายังไม่ได้บวช เขาเอามาก้อนหนึ่งใหญ่ประมาณกำมือหนึ่ง แล้วไปให้เขาเช็คดู น้ำหนักประมาณสองพันกะรัต เขาให้กะรัตละแปดหมื่นบาท จริง ๆ ก้อนเดียวก็รวยเลยใช่ไหม ? แต่ท่านสมปองของอยู่ในลักษณะเอามาเพื่อศึกษาเท่านั้น คงจะขออนุญาตแล้ว เพราะท่านก็ทำกรรมฐานดีมาก แล้วพอท่านไปบวช ท่านถวายให้หลวงพ่อบอกว่า "เอาไว้ประดับพระ" แต่ของอาตมาเข้าไปนี่ เห็นน้ำลายหกก็แตะไม่ได้หรอก เพราะเราเป็นพระแล้ว แต่ของท่านเป็นฆราวาส ฆราวาสกับพระนี่ต่างกันเยอะ ชาวบ้านบางอย่างเขาสามารถหยิบไปเฉย ๆ ได้ แต่ของพระนี่แม้แต่นิดเดียวก็แตะไม่ได้...!
      ถาม :  ไปจังหวัดตากช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ไปที่อำเภอแม่ระมาด ไปบ่อน้ำพุร้อนแม่กาสา ต้องปีนเขาขึ้นไปข้างบน แต่เขาสงสารผม เพราะขาผมเพิ่งหายจากผ่าตัดมา
      ตอบ :  เอาไว้ให้ดีกว่านี่หน่อยแล้วค่อยไป อาตมารอได้เพราะเคยเห็นมาแล้ว เห็นมาเสียจนบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าทรัพยากรในประเทศไทย ถ้าหากขายซื้อโลกได้สักครี่งโลกกระมัง เยอะเหลือเกิน โยมลองนึกดู เขาให้กะรัตละแปดหมื่น อาตมาแบกมาสักก้อนก็รวยแย่แล้ว เพราะว่าก้อนเท่าบ้านเท่าตึกเลยก็มี ประเภทเท่าโต๊ะเท่าเตียงอย่างนี้ นอนทับนั่งทับมาแล้วทั้งคืนเลย ประเภทให้คนเขาถ่ายรูปไว้ด้วย แหม...ชีวิตนี้คนจะนอนเตียงแพงขนาดเราคงไม่มีหรอก (หัวเราะ)
      ถาม :  สมบัติแผ่นดินมีมากจริง ๆ นะคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่อย่างเดียวจ้ะ บางที่นี่เป็นทองเป็นภูเขาเลย บางอย่างเป็นแร่ธาตุที่ต่างประเทศเขาอยากได้มาก แร่ธาตุตัวนี้ถ้าเอามาบดละเอียดแล้ว อัดเป็นแท่ง ถ้าเผาไฟเป็นพัน ๆ องศาจะร้อนแดง ถ้าเราจับถูกมุมจะไม่ร้อน เขาจะเอาด้านที่ไม่ร้อนติดกับยานอวกาศ ถึงเวลาวิ่งผ่านอากาศด้วยความเร็วสูง ถึงจะลุกแดงไปทั้งคัน แต่ข้างในจะไม่ร้อน เคยสอบถามดูแล้วทางสถานฑูตอเมริกันเขาตั้งราคาให้กิโลกรัมละ หนึ่งล้านดอลลาร์ อาตมาไปเจอไม่มากหรอก เป็นภูเขาอยู่สี่ลูก เป็นแร่ตัวนี้ทั้งเขาเลย แกล้งโง่ ๆ ไม่รู้ไม่ชี้หยิบเอามาก้อนหนึ่ง ก็เจ็ดแปดปอนด์เข้าไปแล้ว ไม่ใช่กิโล ให้ปอนด์ละหนึ่งล้านดอลลาร์ กิโลหนึ่งเท่ากับสองปอนด์กว่า รวยตายเลย ฉะนั้น...อาตมามานั่งคิด ๆ อยากรวยวันไหนก็สึก (หัวเราะ) เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่อยาก เยอะจริง ๆ เพียงแต่ของเราต้องมีสัจจะแค่ขอเข้าไปดู
      ถาม :  ท่านให้เห็น เพราะว่าไม่โลภ ขนาดบางองค์เห็นแล้วก็ยังเกิดจิตโลภนะคะ
      ตอบ :  อยากได้เหมือนกัน แต่ไม่กล้าเอา (หัวเราะ) เพราะว่าอย่างที่ถ้ำมรกตนี่ มีจงอางใหญ่อยู่สามตัว แล้วก็มีอีกตัวหนึ่งบอกไม่ถูกว่าเป็นงูอะไร ? ยังไม่ได้เห็นตัวมัน แต่รอยเลื้อยมันกว้างเท่าไหล่พอดีเลย รอยเลื้อยมันถูมรกตลื่นปรื๊ดเลย แต่ไอ้จงอางสามตัวนี่เจอแล้ว แล้วมีเสืออยู่ตัวหนึ่งเป็นเสืออะไรก็ไม่รู้ ? ตัวใหญ่อย่างกับเสือโคร่ง แต่มันเป็นสีส้มอย่างกับสีจีวรอย่างนี้ เป็นสีนี้เลย มันเดินมาไกล ๆ เวลากระทบแสงแดดอย่างกับลุกเป็นไฟอย่างนั้น พวกนี้เขาดูแลอยู่ ถ้าเราไปแตะส่งเดชก็ตายอยู่ตรงนั้น สรุปแล้วว่าอยากได้เหมือนกัน แต่กลัวตาย (หัวเราะ) ไม่ใช่ไม่โลภนะ อยากได้เหมือนกัน แต่กลัวตาย
      ถาม :  เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งทดสอบกำลังใจ ?
      ตอบ :  พูดยาก เพราะว่าเขามีอยู่จริง ๆ แต่ของเราโดยสภาพความเป็นพระคือแตะต้องไม่ได้ แล้วก็แปลก ที่ไหนมีของมีค่า จะต้องมีสิ่งที่มีอำนาจรักษาอยู่ ที่ภูเขาทองมีสัตว์ประหลาดอยู่คู่หนึ่ง บอกไม่ถูกว่าเป็นตัวอะไร ? เพราะว่าเรานอนอยู่กลางคืน หนาวก็เอาจีวรคลุมโปง แล้วก่อไฟไว้กองหนึ่ง มองลอดจีวรลงมา เห็นมันยืนสองขาอย่างกับคน ตัวมันสูงสักสี่เมตรได้ ใหญ่มากเลย ไอ้ยืนสองขานี่จะเป็นหมีก็ได้ เป็นลิงก็ได้ เป็นคนก็ได้ ตัวมันใหญ่อย่างกับยักษ์เลย เราเองก็ไม่กล้าขยับเปิดดูให้แน่ เพราะว่าเดี๋ยวเราขยับ เกิดมันรู้ขึ้นมา มันก็จะเล่นงานเราเข้าก็ได้ แต่มองลอดไปเห็นแต่เงาดำ ๆ เป็นรูปคนใหญ่มาก มันยืนชี้โบ๊ชี้เบ๊อยู่ ไอ้ตัวเล็ก ๆ นี่มันมาเกะกะอะไรแถวนี้วะ ? ดูสักพักหนึ่ง มันหมดความสนใจ มันก็เดินเข้าไปทางภูเขาทอง มันน่าจะมีที่พักอยู่แถว ๆ นั้น ตัวใหญ่จริง ๆ ภูเขาทองนี่อยู่รอยต่อระหว่างเมืองกาญจนบุรีกับพม่า ห่างจากพม่านิดเดียว ถ้ามันรู้ มันแกล้ง ๆ โง่มายึดเอาพักเดียว มันขนเพลินเลย
      ถาม :  .......................................
      ตอบ :  คือปัจจุบันบ้านเราก็เหลือทางด้านนี้เท่านั้นแหละ ที่ยังลึกลับซับซ้อนอยู่ เพราะว่าเป็นเขตที่ทางฝั่งเราก็เป็นป่าทึบ ฝั่งพม่าก็เป็นป่าทึบ
      ถาม :  ถ้าพูดถึงว่า "ถ้าคนมีจิตไม่ดี ทางโน้นเขาก็บังไม่ให้เห็น ?"
      ตอบ :  อันนี้ก็แปลก ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะเห็นทองขนาดนั้น เอาจอบตักขึ้นมาเป็นทราย ๆ เลย แหม...โกยใส่กระสอบสักกระสอบหนึ่งก็รวยตายแล้ว
              มีอยู่เที่ยวหนึ่งคือตอนสร้างสมเด็จองค์ปฐมขึ้นมาในโลกครั้งแรก เราน่าจะสร้างด้วยวัสดุราคาแพงที่สุดเท่าที่เราจะหาได้ ก็ไปถามช่างประเสริฐ เขาเป็นช่างปั้นรูปสมเด็จองค์ปฐมว่า สมเด็จองค์ปฐมขนาดที่หลวงพ่อจะสร้างนี่จะใช้ทองสักเท่าไร ? ช่างประเสริฐคำนวณว่า ถ้าเป็นทองคำล้วนนะหลวงพี่ตันครึ่ง เราก็มานึกตันครึ่งใช่ไหม ? ถ้าคนร่างกายแข็งแรง ๆ เคยเห็นแบกสามสิบกิโลสบาย ๆ เลย เลยไปติดต่อหมอนพพร ตอนนั้นแกเป็นผู้บังคับกองพันเสนารักษ์อยู่พลฯ ๙ บอกว่า "หมอหาทหารสัก ๕๐ คน จะไปเอาทอง" หมอบอก "มีเยอะขนาดนั้นเลยหรือหลวงพี่ ?" บอก "โอ้โฮ...ไอ้ตันครึ่งนี่นะ แหว่งไปสักสลึงเดียว ภูเขาทั้งลูกเลย" หมอเขาถามว่า "อยู่ตรงไหน ท่านบอกได้ไหม ?" บอกว่า "ได้" หมอก็เอาแผนที่ทหารมา เราก็ขีดจุดไปให้ แกหายไปสองวัน กลับมา โอ้โฮ...หลวงพี่ครับ ทองมหาศาลจริง ๆ เลย แต่ผมมาคิดดูแล้ว เราไปเอาไม่ได้หรอกครับ ถามว่า "ทำไม ?" เขาบอกว่า "เรื่องของผี เรื่องของเทวดาน่ะ เขาตรงไปตรงมา เราไปบอกว่าตันครึ่ง ต้องตันครึ่งจริง ๆ คราวนี้ไอ้คนตั้งห้าสิบกว่าคนนี่ เราจะไปรู้หรือว่า ใครจะแอบพกเกินหรือเปล่า แล้วอีกอย่างหนี่ง ถึงเวลานั้นต้องติดอาวุธกันไปทั้งนั้น ต่างคนต่างถือปืน ห้าสิบคนผมคุมไม่อยู่หรอก" ก็เลยได้แต่ เออ...! แล้วแต่หลวงพ่อท่าน ตกลงว่าหลวงพ่อท่านรับบริจาคจากลูกศิษย์ได้ทองคำไป ๗๘ กิโล ก็แค่นั้นแหละ ไม่อย่างนั้นคงได้สักตันครี่ง เรื่องใหญ่มาก เพราะว่าเราที่เป็นหัวเรือ เราจะต้องรับปากกับเจ้าของที่เขาว่า "เอาแค่นี้ เกินไม่ได้" เกิดไอ้พวกนั้นมันอยากได้ มันเอาเพิ่มมมาสักกำมือ เราก็แย่ ถ้าเขาเล่นงาน เขาก็เล่นหัวแถว เขาไม่เอาหรอกคนอื่น ถามว่า "หมอไปอย่างไร ?" อาตมาเดินเป็นอาทิตย์เลย หมอเขาบอกว่า "ผมเป็นผู้บังคับกองพัน ผมมีสิทธิ์ขอเครื่องบินครับ" เพียงแต่ว่าผมมาร์คเส้นให้บิน แล้วผมไม่บอกว่าผมจะทำอะไร ? ผมเอาเครื่องวัดแร่ไป เขาบอกว่า "บินผ่านจุดนั้นนี่ มันตียันเกจ์เลย มหาศาลขนาดนั้น...!"
      ถาม :  ............................
      ตอบ :  หลังสงกรานต์ไปไหว้พระหลายที่ อันนั้นเป็นวิหารเซียนที่เขาสร้างถวายในหลวงที่ชลบุรี ไม่ทราบว่าเคยเข้าไปแล้วหรือยัง ? อยู่ใกล้ ๆ วัดญานสังวราราม ไปทางเดียวกัน แต่จะแยกขวามือก่อน ใก้ล ๆ เขาชีจันทร์ เขามีรูปปั้นเยอะจนถ่ายรูปไม่หมด เลยถ่ายมาแค่ไม่กี่รูป ไปทึ่งเห็ดหลินจือ มันใหญ่เกือบเท่ากะละมัง (หัวเราะ) ใหญ่จริง ๆ ไม่เคยเจอใหญ่ขนาดนั้นมาก่อน แต่ดีอยู่อย่าง ข้างในเขาให้ถ่ายรูปได้หมดเลย ตอนแรก ๆ เราเห็นโต๊ะเห็นเก้าอี้ก็เกรงใจ เขาบอกว่า "นั่งได้เลย เขาเตรียมไว้รับแขกอยู่แล้ว"
      ถาม :  หลวงพ่อศิลา อยู่วัดหน้าพระเมรุ ไปกราบพระพุทธรูปทรงเครื่อง แต่ไม่เห็นหลวงพ่อศิลา ?
      ตอบ :  อยู่วิหารเล็กข้าง ๆ หลวงพ่อศิลาเป็นพระปางปฐมเทศนา ที่เรียกว่าสมบูรณ์ที่สุด งามจริง ๆ มีอีกองค์ที่พอลุ้นได้ก็คือองค์นี้แหละ แต่ว่าองค์นี้เขามี ๔ องค์ หลวงพ่อศิลาขาวเดิมอยู่วัดมหาธาตุ เป็นวัดประจำเมืองทวาราวดี เขาจะสร้างเป็นสี่ทิศ ทิศละองค์ คราวนี้พอวัดพุพังจมไป คนไปพบเขาเห็นหลุดเป็นชิ้น ๆ ก็คิดว่าพระพัง แต่พอเขาดูไปดูมา อ้าว...เป็นสลักรอยต่อ ก็จับสวมประกอบกันเข้าไป กลายเป็นองค์ดีขึ้นมา องค์ที่สมบูรณ์ที่สุดอยู่ที่โบสถ์ขององค์พระปฐมเจดีย์ อีกองค์หนึ่งอยู่ที่หลังพระปฐมเจดีย์แบบเดียวกันหมดเลย แล้วอีกองค์หนึ่งอยู่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ข้าง ๆ วัดพระแก้ว แล้วก็องค์นี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยาที่อยุธยา องค์นี้ความจริงเขาห้ามถ่ายรูป แต่อาตมาเจอป้ายห้ามที่ไหน ถ่ายที่นั่น (หัวเราะ)
              เจ้าหน้าที่เขาตาม ๆ อยู่ อยู่ ๆ เขาเผลอเราก็ถ่าย ตอนขออนุญาตถ่ายรูปในวัดพระแก้วตลกที่สุด ตั้งใจกำนดจิตถามพระแก้วท่าน "จะขออนุญาตถ่ายรูปท่าน จะอนุญาตไหม ?" ท่านบอกว่า "ได้" เราก็หยิบกล้องอกมา แล้วก็เหลือบดูเจ้าหน้าที่ที่เขาประจำอยู่ ๘ คนนะ พวกสีกากีพร้อมใจกันหันหลังหมดเลย เราถ่ายรูปเสร็จก็เก็บกล้อง เขาก็หันกลับมา คือท่านอนุญาตนี่ อนุญาตจริง ๆ เราเห็นบางที่ฟิลม์แขวนเป็นราวเลย เขายึดฟิลม์จากฝรั่งแล้วก็ชักออกมาแขวนเลย อันนั้นก็เหมือนกันเจ้าหน้าที่เขาก็อยู่นั่นแหละ แต่ว่าตรงข้างองค์พระเป็นห้องที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เขาเดินลัดไปนิดเดียวพอดีเลย เราก็จังหวะนั้นถ่ายพอดี เขาเลยไม่เห็น
              ที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยานี่ ของข้างในราคามหาศาล จะมีพวกเครื่องทองคำที่เขาทำเป็นพุทธบูชา คือเขาขุดพบผอบบรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ แล้วมีพวกเครื่องทอง มีช้างทองคำ มีพระแสงดาบทองคำ เขาเก็บ ๆ เอาไว้ให้ดู แล้วก็มีตัวอย่างพวกทองคำต่าง ๆ ที่เข้าหุ้มเจดีย์ แล้วหลุดเป็นชิ้น ๆ ตกอยู่ เพราะพม่าเก็บไปไม่หมด เขาก็เอามาให้ดู แล้วทำเจดีย์เล็ก แล้วหุ้มให้ดูว่าเขาหุ้มกันอย่างไร ? มิน่า...พม่ามันเผาทิ้งทั้งเมืองเลย มันจะเอาทอง มันเผาให้ทองละลายแล้วมันก็เก็บใส่เกวียนไป
      ถาม :  ทางใต้โบสถ์ไหนที่มีพระประธานมีไหมคะ ?
      ตอบ :  ยาก...! ส่วนใหญ่คนแย่งกันเลย พอรู้ว่าจะสร้างโบสถ์นี่ พระประธานเสร็จก่อนแล้ว ต้องรอประเภทใหม่ ๆ เลยจ้ะถึงจะมี ถ้าหากว่าเป็นวัดเก่าแล้ว มีแล้วทั้งนั้นจ้ะ
      ถาม :  พอดีแม่ไม่สบาย ท่านมาในนิมิตบอกว่า "ถ้าจะสร้างพระ ให้ไปทางใต้ และต้องเป็นพระประธานในโบสถ์ด้วย" ดิฉันเลยอยากทำให้แม่ได้ต่ออายุด้วยค่ะ
      ตอบ :  ถ้าได้ข่าวที่ไหนแล้วจะโทรบอก เพราะว่าวันที่ ๑๖ นี้จะลงไปใต้อยู่แล้ว อาจจะบังเอิญฟลุกก็ได้ และที่แน่ ๆ ก็คือ ได้ยินว่า มหาปรีชา เพื่อนที่รู้จักกันอีกองค์หนี่ง เขาเพิ่งจะไปบุกเบิกพื้นที่สร้างอยู่ ถ้าหากว่าเขาทำโบสถ์เมื่อไร ? เราก็จองก่อน
      ถาม :  ดิฉันเองก็ให้แม่ถวายพระประธาน ถวายหลวงปู่ทิม ถวายหลายที่ แต่ว่าครั้งนี้ท่านบอกว่า "ต้องในโบสถ์ แม่จะได้ต่ออายุได้"
      ตอบ :  คราวนี้ของเราเรื่องสร้างพระประธานนี่ อาตมาอยากจะให้เป็นหน้าตักสัก ๘๐ นิ้ว คือ ๔ ศอก เพราะ ๘๐ นิ้วจะมีอานิสงส์ในการชำระหนี้สงฆ์ไปโดยรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ตาม ถ้าหากว่าสร้างพระประธานหน้าตัก ๔ ศอกขึ้นไปนี่ ชำระหนี้สงฆ์ได้หมดเลย จะมากจะน้อยแค่ไหนใช้ได้หมดครั้งเดียว
              คราวนี้ถ้าหากว่าไม่ปิดทอง จะได้แค่เจ้าภาพคนเดียว แต่ถ้าปิดทองนี่ได้หมด จะรวบรวมกันมากี่หมื่นกี่แสนคน มีอานิสงส์เท่ากันหมด ถ้าสร้างพระประธานได้ ๔ ศอกนี่วิเศษเลย แต่คราวนี้ ๔ ศอกนี่ ถ้าจ้างเขาหล่อใหม่คงจะถึงสามแสนขึ้นนะ แต่ถ้าหากว่าไม่จ้างเขาหล่อใหม่ เอาสำเร็จรูปเลย ราคาคงจะถูกกว่านั้นเยอะ เพราะสำเร็จรูปเขาหล่อของเขาไปเรือ่ย แต่จ้างเขาหล่อใหม่นี่ จะต้องมีพิธีกรรม ต้องไปตั้งปะรำพิธี หล่อที่วัดเขา จะยุ่ง เรื่องค่าใช้จ่ายจะมาก
      ถาม :  แล้วส่วนมากที่เขาถวายกันล่ะคะ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่เขาจะไปหล่อกันเลยที่วัด ถ้าหากว่าเราตั้งใจเป็นเจ้าภาพ ทราบจำนวนเงิน ก็เตรียมเงินไป ทางเจ้าอาวาสเขาจัดการเอง ถึงเวลาเราก็มีหน้าที่จ่ายเงิน อันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้หรือไม่ได้ เห็นว่าลงไปพอดี ก็ว่าจะดู ๆ ไว้ให้
      ถาม :  อย่างน้อยก็ต่ออายุให้แม่สัก ๑๐-๒๐ ปีนะคะ ?
      ตอบ :  อย่างพระเจ้าปเสนทิโกศลอย่างไร พระกาฬมาบอกว่า "อีกเจ็ดวันจะตาย" ท่านก็เลยไหน ๆ จะตายแล้ว ทำบุญให้สะใจทีวะ...! ท่านก็ขุดบ่อน้ำ สร้างถนน สร้างที่พักคนเดินทางให้ยุ่งไปหมดเลย ครบ ๗ วันแล้วไม่ตาย ยัวะใหญ่ "เทวดาอะไรวะ โกหกกันได้!" ก็ให้คนไปตามพระกาฬ ให้ถามซิว่า "พระกาฬเป็นเทวดา พูดโกหกได้อย่างไร ? บอกอีก ๗ วันจะตาย แล้วทำไมไม่ตาย" พอไปเจอพระกาฬบอกว่า "ให้กลับไปถามพระราชาของคุณสิ พระราชาของคุณทำอะไรก่อนตาย" ก็บอกว่า "ทำบุญเลี้ยงพระ เลี้ยงคนยากจนไร้ญาติ ขุดบ่อน้ำ ทำถนน ทำที่พักคนงาน สร้างสะพานอะไรอย่างนี้" เออ..แล้วจะตายได้อย่างไร ก็ต่อเอาไว้เยอะซะขนาดนั้นแล้ว คือท่านเองท่านคิดว่า เออ...อยู่ได้ ๗ วัน ท่านก็ทุ่มเลย ปรากฏอยู่ซะลืมไปเลย
      ถาม :  ปางสมาธิประจำวันไหนคะ ?
      ตอบ :  วันพฤหัสจ้ะ เรื่องของพระประจำวันน่ะ จริง ๆ แล้วเกิดขึ้นทีหลัง พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นแหละ แต่คราวนี้คนชอบอย่างไรก็สร้างไปเรื่อย ๆ พอเยอะ ๆ เข้า เขาก็กำหนดเป็นรูปแบบขึ้นมาว่า พระลักษณะนี้ประจำวันนี้ คราวนี้จากที่เขากำหนดกันอยู่ก็มี
              วันอาทิตย์       ปางถวายเนตร
              วันจันทร์         ปางห้ามญาติ (หยุด อย่าทะเลาะกัน)
              วันอังคาร        ปางไสยยาสน์
              วันพุธ            ปางอุ้มบาตร
              วันพฤหัส         ปางสมาธิ
              วันศุกร์           ปางรำพึง (ท่านตรึกตรองในธรรที่ผ่านมา อนุโลม ปฏิโลม ทบทวนธรรรมะอยู่ ก็เลยเรียก "ปางรำพึง" ถ้าปางถวายเนตรก็ยืนเหมือนกัน แต่พระหัตถ์จะไขว้ลงข้างล่าง ถ้าปางรำพึงก็ขึ้นข้างบน)
              วันเสาร์           ปางนาคปรก
              คราวนี้มีพิเศษอยู่วันหนี่งคือ วันพุธ วันพุธจะมีวันพุธกลางวัน กับวันพุธกลางคืน วันพุธกลางคืนเขาถือว่าเป็นวันของราหู จะเป็นปางป่าเลไลย์ วันอื่นเขาไม่นับกลางคืน เขานับแต่วันพุธ
      ถาม :  ปางห้ามญาตินี่ ห้ามญาติใครครับ ?
      ตอบ :  ห้ามญาติตัวเองจ้ะ ตอนนั้นทางด้านกบิลพัสดุ์ กับเทวทหะ เทวทหะ จะเป็นโกลิยะวงศ์ ญาติข้างแม่ กบิลพัสดุ์เป็นศากยะวงศ์ ญาติข้างพ่อ มีแม่น้ำโรหิณีไหลผ่านตรงกลางเขตพอดี
              คราวนี้สมัยก่อนต่อให้เป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ก็ต้องทำไร่ทำนาเหมือนกัน ปัญหาเกิดขึ้นเพราะว่าปีนั้นน้ำน้อย ทางด้านศากยะวงศ์กักน้ำให้ไหลเข้านาของตัวเอง โกลิยะวงศ์ก็มีน้ำน้อย กักน้ำให้เหนือกว่าอีก ก็ไล่ไปไล่มา มึงกั้นข้างล่าง กูกั้นข้างบน มึงกั้นข้างบน กูกั้นข้างบนกว่า ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมาก็ยกพวกตะลุมบอนกัน คราวนี้ชาวบ้านด้วยกันตีกันก็คงไม่กี่คน แต่นี่ระหว่างประเทศกับประเทศ ก็ยกทัพใส่กัน พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องเสด็จไปห้ามเลยกลายเป็น "ปางห้ามญาติ" บางคนเข้าใจผิดใช้คำว่า "ห้ามพยาธิ" คือห้ามไม่ให้เกิดโรค ต่างกันหนักเข้าไปอีก ความจริงคำว่า "พระญาติ" คือญาติของท่านเป็นกษัตริย์ เลยใช้คำว่า "พระญาติ" คือญาติของท่านเป็นกษัตริย์ เลยใช้คำว่า "พระญาติ" คราวนี้ระยะหลังมีปางพิเศษขึ้นมาอีกปางหนี่ง เขาบอกว่า "มี อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส เสาร์ ราหูศุกร์ใช่ไหม ?" อันนี้เขามีพระเกตุขึ้นมาอีกปางหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นวันอะไร ? จำไม่ได้ พระเกตุนี่เขาเอาปางที่เรียกว่า "ปางมารวิชัย" คือปางชนะมาร จะนั่งขัดสมาธิ แล้วพระหัตถ์ซ้ายอยู่ที่พระเพลา คือบนหน้าตัก พระหัตถ์ขวาจะพาดพระชานุ คือหัวเข่า ยิ่งกำหนดก็ยิ่งเยอะ ยิ่งเยอะก็ยิ่งยุ่ง
      ถาม :  แล้วปางโอเค ?
      ตอบ :  อันนั้นไม่ใช่ปางโอเค ลักษณะท่ามือเขาเรียกว่า "มุทรา" เขามีความหมายของเขาอยู่ ปางนั้นน่ะ เขาเรียกว่า "ปางปฐมเทศนา" กล่าวถึงความเป็นไปของธรรม การหมุนวนอย่างไร ? ธรรมจักร จักร คือการหมุนวนกลม ๆ น่ะ คนไทยเห็นเป็นปางโอเค
      ถาม :  เขาทำตะกรุดคอหมากันด้วยหรือคะ ?
      ตอบ :  ตะกรุดคอหมานั่นน่ะ จริง ๆ ไม่มีอะไรหรอก หมาวัดของหลวงปู่แย้มท่านน่ะดุ แล้วมันก็ไปกัดเขาบ่อย คนก็ไปตีบ้าง ไปฟันมันบ้าง ท่านสงสารหมา ท่านก็ทำตะกรุดแขวนให้มัน หมามันหนังเหนียวหมดทุกตัวเลย แล้วคนถึงเวลาไปหาหลวงปู่ มันก็พูดง่าย ๆ "หลวงปู่เอาตะกรุดคอหมา" หลวงปู่ก็ต้องจารตะกรุดอย่างนั้นให้มัน เรียกไปเรียกมากลายเป็นตะกรุดคอหมาจนทุกวันนี้
      ถาม :  การที่เราจะไปกินอาหารร้านไหน หรือว่าจะไปพักโรงแรมไหน โดยบังเอิญว่ามีรูปหลวงพ่ออยู่ เป็นเพราะบังเอิญ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าในเรื่องของธรรมะ คำว่า "บังเอิญไม่มี" ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกรรมทั้งนั้น กระแสกรรมดีกรรมชั่วจะชุกจูงเราอยู่ตลอดเวลา โบราณเขากล่าวเป็นปริศนาธรรมว่า "สี่คนหาม สามคนแห่ คนหนึ่งนั่งแคร่ สองคนนำทาง" ไอ้สองคนนำทางน่ะ ดีกับชั่ว ทำอันไหน คนนั้นก็ลากเราไป...!
      ถาม :  จุดแบ่งระหว่างสาวกภูมิกับพุทธภูมิ พูดถึงความมั่นคงของจิตใจนี่พอ ๆ กันไหมครับ ?
      ตอบ :  ก็ถ้าหากนับแล้วพุทธภูมิเขาเข้มแข็งกว่าเยอะ เพราะว่าประเภทที่ว่า พูดง่าย ๆ ผ่านงานมาเยอะ ในเมื่อผ่านงานมาเยอะเท่ากับต้นทุนสูงกว่า
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ที่หลวงพ่อท่านละ แล้วลูกหลานที่ตามมาทันนี่เรียกว่า ?
      ตอบ :  จะเรียกว่ากระทันหันก็ไม่ได้นะ คนที่ตามมาระยะแรกนี่เกิน ๑๐ อสงไขยนะ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าหากปรารถนาพุทธภูมิเขายังเลี้ยวไปสองทีแล้ว
      ถาม :  แล้วพวกที่ลงตามมาทีหลังจะสมควรจะต้องทราบไหมว่า จะต้องลาหรือเปล่า ?
      ตอบ :  บางทีก็ไม่แน่จ้ะ เขาก็ลงมา บรรดาผู้ที่ติดตามมา ระยะมันก็ยาว ในเมื่อระยะมันยาวนานการสั่งสมสติปัญญาก็มากพอ เพราะฉะนั้นถ้าจะตัดเข้านิพพาน ถ้าไม่พลาดเสียอย่าง ตั้งใจทำ เขาได้มากกว่าคนอื่นเขาเยอะ กำลังเขาเหลือเฟือแล้ว
      ถาม :  แสดงว่าเรื่องของกำลังใจนี่อยู่เหนือกฏของกรรมได้ใช่ไหมครับ ?