สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ..............(ไม่ชัด)..................
      ตอบ :  คือมีอยู่อย่างหนึ่งว่า สมัยนี้สิ่งที่เรียกร้องความสนใจเด็กนี่มีมากกว่า และอีกอย่างหนี่งไม่ต้องใครหรอก ขนาดครูบาอาจารย์จนกระทั่งราชบัณฑิตยสถานยังเข้าใจผิดภาษาไทยไปเยอะ เราได้ยินได้ฟังเข้าก็มาวิเคราะห์กัน ท้าวสุรนารี เขาก็เออ! คุณหญิงโม ท่านเอาเหล้าไปเลี้ยงทหารจนกระทั่งเมา เอาผู้หญิงไปหลอกล่อให้ทหารเขาหลงแล้ว ก็คงจะมาจากคำว่า สุรานารี อยากจะหักคอจริง ๆ เลย "สุระ" แปลว่า กล้าหาญ "นารี" แปลว่า ผู้หญิงก็แค่นั้นเอง "ผู้หญิงกล้า" แล้วในปัจจุบันคำว่า "นกพิราบ" เออ! มันราบแบนแต๊ดแต๋ไปหมดแล้วล่ะ นกพิราบสมัยก่อน ลาป "พิลาป" แปลว่า ร้องไห้คร่ำครวญ นกชนิดนี้ร้อง ฮือ...ฮือ...ฮือ อยู่ทั้งวัน ทีนี้คนไม่เข้าใจถึงรากศัพท์ เขาก็เห็นว่า อ้าว! เขียนผิดก็เลยมาเปลี่ยนเป็น "พิราบ" สมัยก่อนเขาเขียนมาอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น จนปัจจุบันกลายเป็นเขียนผิดไปแล้ว
      ถาม :  ตอนนี้เห็นหลายคำในภาษาไทยที่เขียนผิดเป็นถูก อย่างเช่นคำว่า ทิฏฐิ นี่กลายเป็นคำถูก ที่จริงเป็นคำกลาง ๆ
      ตอบ :  ทิฏฐิ แปลว่า ความเห็น
      ถาม :  อย่างคำว่า มานะ นี่เป็นคำถูก ที่จริงความหมายของ มานะ ในทางพุทธศาสนาเป็นอีกอย่างหนึ่ง พอมาทางโลกมีมานะ ดี ?
      ตอบ :  อย่างเช่นคำว่า "วิญญาณ" ทุกวันนี้เขาหมายถึง ผี แต่คำว่า "วิญญาณ" ในทางบาลีคือ ประสาทรับความรู้สึก ผีจริง ๆ คือจิต กลายเป็นอย่างนั้นไปเสียหมด ไปนึกถึงความมานะบากบั่นของคน
              สมัยก่อนเขาจัดหมวดหมู่การเรียนภาษามางดงามเหลือเกิน มาสมัยนี้โละทิ้งไปหมด ไม่มีอะไรที่เป็นอัจฉริยะยิ่งกว่าคนสมัยก่อนอีกแล้ว แต่ละอย่างที่ให้เราเรียนเขาจะแยกออกเป็น เสียงสูง เสียงกลาง เสียงต่ำ แยกตามแม่แบบ แล้วก็แต่งเป็นโคลงเป็นกลอนให้ท่อง เด็กสมัยนี้มีหรือประเภทเสียงระฆังดังหง่าง ๆ ฆ้องใหญ่ กว้างคราวหึ่ง ๆ "แม่กง" ทั้งหมดเลยล่ะ ถ้าหากว่าท่องได้นี่เราจะรู้เลยว่า "แม่กง" มีตัวอะไรบ้าง อย่างเช่น "ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ ให้สะใภ้ใช้คล้องคอฯ" เท่ากับไม้ม้วนล้วน ๆ "ขโมยร้องโย หยิ่งยโสเหมือนทโมน ฯ" เท่ากับพวกนี้ไม่ต้องประวิสรรชนีย ถ้า "ฉะนั้น ฉะนี้หนา ก่อนจะล้าสะบักสะบอม ฯ" อันนี้ประวิสรรชนีย์ทุกตัว เขาให้เราท่องเป็นโคลงเป็นกลอน ทำให้จำได้ก็เขียนถูกไม่มีผิด
              แต่สมัยนี้เขาโละทิ้งหมดหลักสูตรนี้เขาไม่สอนกัน พื้นฐานของประเทศเรา ผู้ใหญ่ครอบงำเด็กมาตลอด ในเมื่อผู้ใหญ่ครอบงำเด็กมาตลอดหลักสูตรเดิมนั้นถูกต้องแล้วคือ สอนให้ท่องจำ คราวนี้เราจะมาสอนให้เด็กหัดคิดเอง หัดทำเองแบบต่างประเทศ เขาขนาดไปเพิ่มวิชา ส.ป.ช. วิชา ส.ล.น. อะไรขึ้นมา เด็กเราพื้นฐานคิดเองทำเองไม่เป็น ๕-๖ ขวบ ยังต้องมาไล่ป้อนกินข้าวเสียลูก วิ่งป้อนเสียรอบบ้านเลย
              มีอยู่บ้านหนึ่งอเน็จอนาถมากเขาบอกว่า รถไฟมาทีหนึ่งป้อนลูกได้คำเดียว ลูกชอบดูรถไฟใช่ไหม พอรถไฟวิ่งผ่านบ้านทีลูกปรบมือชอบใจ เออ! ใส่ปากได้คำหนึ่ง นั่นแหละขนาดนั้น ในเมื่อเด็กเราคิดเองทำเองไม่เป็น ไปสอนหลักสูตรคิดเองทำเอง เขาก็คิดไม่เป็น แล้วเอาหลักสูตรท่องจำไปทิ้งเสียแล้ว ตกลงของเก่าก็ไม่ได้ ของใหม่ก็ไม่ดี ก็ประดักประเดิดกันอยู่ทุกวันนี้ แล้วจะไปเปลี่ยนหลักสูตรอีก
      ถาม :  แล้วไม่ยอมรับด้วยนะว่าสิ่งทำมันผิด
      ตอบ :  ยอมรับกันตายล่ะ แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีทิฏฐิ อะไรก็ไม่ว่าหลักสูตร สมัยนี้วันก่อนไปเปิดดูพวกสระ "ึ" (อึ) มีแต่สระเฉย ๆ ไม่มีตัว อ แล้ว จะเขียนอย่างไร พอเขาลงไปแล้วเด็กจะอ่านอย่างไร อาจารย์บอกได้อย่างไร มันมาได้อย่างไร ตัวหนังสืออย่างนั้นน่ะ เราเองยังมานั่งงง ๆ เลยว่า เอ๊ะ! เขาสอนของเขาอย่างไร แล้ววันก่อนเด็กเขาเอาหนังสือมาให้ดู เขาบอกว่าให้ช่วยสอนเขาหน่อย เขาไม่เข้าใจ ปรากฏว่าเขามีการกระจายเลขให้เด็กเรียนคณิตศาสตร์ สมัยนี้กระจายเลข เช่นว่าของเราเองสมัยก่อนถ้าหากว่า ๑๐ คูณ ๓๒ ของเราก็คูณกันไปเลยใช้ไหม เพียงแต่ว่าเรามาตั้งหลักให้เหลื่อมแล้วก็บวกกันลงมา แต่ของเขา ๆ ไม่เป็นอย่างนั้น
              สมัยนี้เขาจะแบ่งเป็น ๓๐ คูณทีหนึ่ง แล้วก็ ๒ คูณทีหนึ่ง แล้วก็เอามาบวกกัน เรื่องง่าย ๆ ไม่ทำกัน ยิ่งมายิ่งยาก เด็กเขาก็ไม่เข้าใจ เราดูแล้วก็งง ๆ เขาทำกันอย่างนี้ เสร็จแล้วเราก็ทำให้เด็กเขาดู นี่ถ้าทำอย่างนี้จะง่ายกว่า เขาบอกไม่ได้หรอกครูว่าผิด มานึกถึงที่หลวงพ่อบอก พระพุทธเจ้าที่ท่านสอนแล้วคนบรรลุธรรมเยอะ เพราะท่านสอนง่าย แต่คราวนี้สมัยหลังนี่ครูบาอาจารย์ประเภทอยากอวดตัวเองก็สอนให้ยากเข้าไว้ คนเขาจะได้ชมว่าเก่ง พอสอนเข้า ๆ คนเข้าไม่ถึง ยิ่งอยู่ไปก็ยิ่งเบื่อ ยิ่งฟังก็ยิ่งหลับ เป็นอันว่าเจ๊งกันพอดี แล้วของเราไปดูตามที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ ก็จริง ๆ ล่ะถามตอบกันทีละประโยค ยิ่งกว่าเด็กอนุบาลอีก อย่างเช่นท่านถามว่า
              ตังกิง มัญญะถะ ภิกขะเว         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
              รูปัง นิจจัง วา อนิจจัง วา        รูปนี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง
              อนิจจัง ภันเต                     ไม่เที่ยง ขอรับ
              ยัมปะนา นิจจัง                    ถ้าเป็นอย่างนั้น
              ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ           มันมีทุกข์หรือสุขล่ะ
              ทุกขัง ภันเต                       ทุกข์ ขอรับ
              คนไม่รู้จักสวดปาว ๆ ไป แต่จริง ๆ ก็คือ ท่านถามตอบกันทีละประโยค ๆ เลย พอถามไปไล่ไปอารมณ์ใจของคนก็จะก้าวเข้าไปทีละก้าว ๆ พอท้ายสุดก็ตัดขาดไปเลย ดูแล้วท่านสอนสุดยอดของความง่ายจริง ๆ สอนเหมือนสอนเด็กอนุบาลจริง ๆ ทีละประโยค จนกระทั่งบางคนเขาถามว่าเราอยู่ตรงนี้ไม่สอนหรือ เราก็ได้แต่นั่งคิดในใจว่า กูสอนมึงไปเท่าไรแล้ว มึงฟังทันหรือเปล่า เขาคิดว่าเป็นการคุยเฉย ๆ คำว่า "เทศน์" ก็แปลว่า คุยกัน พูดกัน
              อย่างเมื่อวานนี้นั่งคุยกัน คราวนี้คุยกันคนถามก็ถามเรื่องของปัญหาธรรมะที่ละเอียดมาก เราก็ต้องคอยถามคนอื่นว่าตามทันไหม ตามไม่ทันก็บอกนะจะได้อธิบายใหม่ ลักษณะอย่างนั้นเขาฟังกันนานอยู่แล้ว ถ้าหากเขาเข้าใจ จิตดำเนินตามไป เขาจะไม่เมื่อย ไม่หิว ไม่เหนื่อยอะไรหรอก มันก็ไปชอบของมันเรื่อย
      ถาม :  นั่งนึกถึงกาลข้างหน้าของการศึกษาไทย เพราะว่าทุกวันนี้เท่าที่ดูเขามุ่งสอนให้เด็กเรียนออกไปไกลตัว แต่ไม่ได้สอนมารู้จักตัวเอง คิดว่าเป็นอย่างนี้ผิดทาง ถ้าคนเกิดมาไม่รู้จักตัวเองก็หลงทางกันใหญ่สิครับ ?
      ตอบหลวงปู่มหาอำพันท่านเขียนติดหัวนอนท่านไว้เลย
            วิชาโลกเรียนเท่าไรไม่รู้จบ               เพราะพิภพกลมกว้างใหญ่ลึกไพศาล
              วิชาธรรมเรียนและทำจนชำนาญ       ย่อมพบพาลจุดจบสบสุขเอย

              ท่านเขียนติดหัวเตียงไว้เลย เราก็เลยขอเอามาใช้ต่อไปทีเถอะ เห็นหลวงปู่เขียนว่า ของแม่เฒ่าปักษ์ใต้ ไม่รู้นามปากกาใคร เจ้าคุณนรฯ ท่านท่องเป็นเล่ม ๆ วันก่อนยกอ่านให้เขาฟังว่า
              อันทุกข์สุขอยู่ที่ใจไม่ใช่หรือ      ถ้าใจถือก็จะทุกข์ไม่สุขใส
              ถ้าไม่ถือก็จะสุขไม่ทุกข์ใจ           ฉะนั้นไซร้ควรจะถือหรือปล่อยวาง

              ท่านเขียนไว้เป็นเล่ม เช่น
              ถ้าถูกติควรตรองมองที่ติ         แล้วเริ่มริลบรอยคอยแก้ไข
              ติเพื่อก่อต่อสติมิเป็นไร               เหมือนบันไดไต่เต้าให้เราดี

              โอ้โห! หลวงปู่ท่านคุณนรฯ ท่านรวบรวมไว้เยอะ แล้วหลวงปู่มหาอำพันท่านเป็นสหธรรมิกกัน ท่านก็จำได้ด้วย แล้วก็ท่องให้เราจำเรื่อย ๆ วัดเทพศิรินทร์มีเยอะ
              ผิดหนึ่งพึงจดไว้ในสมอง                 เร่งระวังผิดสองในภายหน้า
              สามผิดเร่งคิดตรองจงหนักเพื่อนเอย     ถึงสี่อีกทีห้าหกซ้ำอภัยไฉน

              พวกไม่รู้จักแก้ไขมีเยอะ เช่น
              ใครทำดีทำชั่วช่างหัวเขา         อย่าหาเหาใส่หัวตัวเราหนา
              มันจะยุ่งนุ่งนักหนักอุรา               ถ้าใครว่าช่างเขาเราสบาย

              คือว่าลูกศิษย์พูด พูด ๆ อะไรกัน บางทีหลวงปู่ท่านพูดออกมาเฉย ๆ ลอย ๆ ถ้าคนฟังรู้จักนี่สะดุ้งเลย นั่นเพราะว่าท่านว่าเราตรง ๆ
      ถาม :  ถ้าคนที่สนใจทางธรรมเหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้า...(ไม่ชัด)....พระพุทธเจ้าท่านคงรู้แล้วว่าถ้าลูกอยู่ในราชสมบัติคงจะลำบากต่อไปอีก แต่ถ้าออกจากตรงนั้นมาได้นี่ มารับที่เรียกว่าอริยสมบัติเสียได้ คือลูกจะได้สมบัติอันประเสริฐสุดแล้ว ?
      ตอบ :  คือตรงนั้นท่านรู้ด้วยว่าลูกท่านทำได้ ทำได้แน่นอน แต่ว่าทำให้พระเจ้าสุทโธทนะคือเสด็จพ่อช้ำใจมาก เพราะว่าลูกจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็เผ่นไปบวชเสียแล้วรูปหนึ่ง หวังให้หลานรับราชสมบัติพ่อ หลานก็บวชอีก ท่านถึงได้ขอพระพุทธเจ้าไว้ว่า ต่อไปถ้าจะบวชกุลบุตรใดก็ขอให้ถามผู้ปกครองก่อนว่า ยินยอมหรือไม่
      ถาม :  ตอนนั้นเข้าใจว่าพระเจ้าสุทโธทนะคงยังไม่ได้บรรลุ เพราะถ้าดูตามประวัติแล้ว ตอนแรก ๆ ก็ไม่สนใจตรงนี้ ต่อมาบรรลุพระโสดาบัน ครั้งสุดท้ายก่อนสวรรคตก็ไปบรรลุได้เหมือนกัน ?
      ตอบ :  ของท่านเป็นตัวอย่างรูปเดียว ที่เห็น ๆ คือท่านไปทีละขั้น พระพุทธเจ้าเทศน์โปรดเป็นพระโสดาบัน เทศน์โปรดพระนางปชาบดีโคตมีท่านเป็นสกิทาคามี เทศน์โปรดพระนางพิมพาท่านเป็นอนาคามี มาซ้ำอีกทีก่อนสวรรคตกลายเป็นพระอรหันต์
      ถาม :  เพิ่งมาเข้าใจตรงนี้ ตอนแรกไม่เข้าใจที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติด้วยคำพูดว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" มานั่งเห็นพระพุทธเจ้าตอนที่นั่งสมาธิ แต่นั่งสมาธิขณะนั้นคือจิตคำนึงถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า เกิดเป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ หลังจากการทำวัตร พอเราคิดไป ๆ เข้าใจแจ่มแจ้งขึ้น ๆ ก็นิมิตเห็นพระพุทธรูปองค์โตในอากาศ ก็เลย อ๋อ! เข้าใจแล้ว ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา มันอย่างนี้เองหรือ ?
      ตอบ :  มีคนเขาเคยถามว่า ตั้งแต่ปฏิบัติมานี่ มีข้อผิดพลาดอะไรบ้างไหม ? บอกว่าเป็นข้อผิดพลาดการปฏิบัติของตัวเอง ของตัวเองนับไม่ถ้วน แต่ว่าถ้าจะพลาดในคำสอนของพระพุทธเจ้า ๒๙ ปี ที่ทำมายังไม่เคยเจอเลย ยิ่งทำก็ยิ่งถูก บอกว่าต้องยอมรับว่าท่านเป็นสุดยอดอัจฉริยะจริง ๆ ทุกคำสอนเถียงไม่ได้ คนพยายามแย้งก็แย้งไม่ได้ จริง ๆ ของเราถ้าดูจริยาพระพุทธเจ้านี่ บางทีท่านเอาคนเดียว อย่างเทศน์สงเคราะห์เปสการีธิดา คนมาไม่ใช่น้อยเป็นร้อยเป็นพัน แต่ท่านเจาะจงที่เปสการีธิดาหวังผลคนเดียว ทีนี้ของเราก็เหมือนกัน อาจารย์พาไปที ๓๐-๔๐ คน ก็ได้ใช่ไหม เราไม่ต้องไปหวังมากหรอก อยู่ในลักษณะตักน้ำรดหัวตอ มันไม่งอกก็ให้มันเปียกก็ยังดี อย่างน้อยเมล็ดพันธุ์แห่งความดีที่เราหว่านเอาไว้มันจะเป็นเชื้อความดีในภายหน้า ได้จังหวะได้เวลามันจะเจริญงอกงามขึ้นมาเอง
              ของอาตมาเองสมัยก่อนเหมือนกันไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนี้ ไปเจออาจารย์สอนคณิตศาสตร์เข้าล่ะสิ ระดับมัธยมต้นก็เริ่มแล้ว พีชคณิต ไซคลิกออร์เดอร์ กว่าจะเรียนตรีโกณมิติ A+B+C เท่ากับ D ประสาทจะกิน ถอดสมการกันที ๑๐ กว่าชั้น ผิดทีผิดมันทุกหน้าเลย อาจารย์ก็เหนื่อย ลูกศิษย์ก็เบื่อ อาจารย์ท่านก็ถามว่ามีใครอยากรู้แบบไม่ต้องเรียนบ้าง ก็ยกมือกันทุกคน แกสอนธรรมะเลย บอกว่าทำอย่างนี้ให้ได้แล้วจะรู้โดยไม่ต้องเรียน อยากรู้อะไรถามพระเอา ง่ายดีไหมล่ะ ปรากฏว่าทั้งห้องก็ไม่มีใครสนใจ มีแต่เราตามไปถามคนเดียว คืออย่างน้อย ๆ แกได้เราไว้คนหนึ่ง แกก็ไม่นึกหรอก ของเราก็ไปไล่ถามตอนนั้น แกสอนธรรมกายเลย เราก็ไปไล่ถามแต่ละขั้น ๆ ตั้งแต่ปฐมมรรคจนไปถึงธรรมกาย ถามว่า ขั้นตอนเป็นอย่างนี้ ๆ ใช่ไหม อาจารย์เขานั่งงงเลย เธอเคยเรียนมาก่อนหรือเปล่า ? ไม่เคยเลยครับ เพิ่งจะได้ยินครั้งแรก แล้วทำไมจำได้ ? คือผมมั่นใจว่าผมทำได้ด้วยครับ คือขั้นตอนมันง่ายสำหรับเรา อาจารย์พอเขาเห็นลูกศิษย์อย่างนี้ เขาก็มีกำลังที่จะทำต่อ ก็กลายเป็นว่าหวังผลคนเดียวก็พอ ไม่ต้องมากหรอก
      ถาม :  คือที่ผมอยู่ครูก็หลายคน แต่คนที่ทำหน้าที่พาเด็กไปหาพระนี่ผมหน้าที่ตรงนั้นอยู่ พอผมย้ายจากตรงนั้นมาอยู่ตรงนี้ กิจกรรมตรงนั้นหายไปเลย ไม่มีใครสานต่อ ?
      ตอบ :  มันจะหาย อย่างของอาตมาสมัยอยู่ พล.๙ กาญจนบุรี ก็จะมีรุ่นน้องก็คือผู้หมวดทำเนียบ ผู้หมวดชำนาญ ๒ คนทำเนียบ เสนาะคำกับชำนาญ เกิดผล แล้วแกพักอยู่ บชร.สายลม แกก็รู้จักหลวงพ่อดี พอเจอเราเข้าแกก็กระโดดใส่เลย พี่เรามาทำโครงการร่วมกันเถอะ ถามว่าทำโครงการอะไร เอาทหารเข้าวัด ก็เลยบอก ได้เลยเต็มใจทำอยู่แล้ว แกก็ดันโครงการทหารเข้าวัดไปเสนอผู้บังคับบัญชา พอผู้บังคับบัญชาเขาเห็น เออ! ถ้าไอ้นั่นน่ะได้ มันบ้าจริง เขาว่าอย่างนั้น เราก็เลยกลายเป็นคนบ้าในสายตา ช่วยกันต้อนทหารเข้าวัด ปรากฏว่าพอมาตอนหลังออกชายแดนแล้วทำเนียบแกโดน ปรส.ตาย ของเราก็ดันลาออกมาอีก ได้ยินว่าชำนาญคนเดียวแกไม่ไหว กระแสรุ่นพี่แรงไปโดนเขาดึงไปเสียแล้ว พอระยะแรกเขาส่งข่าวมาว่าชำนาญไปกินเหล้ากับพี่แล้วนะ บอกว่าปล่อยเขาเถอะ กระแสโลกมันแรงต้องยอมแพ้เขา
      ถาม :  บางทีบุญเขาได้แค่นั้นนะครับ ?
      ตอบ :  เขาได้แค่นั้นจริง ๆ พอเราออกมาแล้ว เขาไม่ดำเนินการต่อ เพราะคนแข็งจริง ๆ ไม่มี
      ถาม :  ต้องเสียสละ ?
      ตอบ :  คือเขาต้องทนทุกอย่างที่ชาวบ้านด่าว่าด้วยความเข้าใจผิด สวนกระแสเขามีแต่คนว่าบ้า ทีนี้เราจะทนปากชาวบ้านเขาได้ไหม เท่านั้นเอง
              ตอนอยู่วัดท่าซุงได้รับการแต่งตั้งจากมหาวิทยาลัยนเรศวรให้เป็นอาจารย์พิเศษตรวจโปรแกรมวิทยานิพนธ์ นักศึกษาปริญญาโท คราวนี้หัวข้อที่เขาส่งมาให้ตรวจเกี่ยวกับแนวการศึกษาพุทธศาสตร์ ในระดับมัธยมต้น โครงการเขาละเอียดมาก แต่เวลามีน้อย เวลาทั้งปีมีให้ ๑๒๐ ชั่วโมง แล้วเขาหวังผลถึงขนาดว่าจะให้เด็กสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ พออ่านโครงการเขาเสร็จ เขาก็ให้วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นอย่างไร เราใส่ไปเสียยับเยิน ไม่รู้ว่าเด็กเขาจะมีกำลังใจทำต่อหรือเปล่า บอกเขาว่า อันดับแรก ครูบาอาจารย์ที่คุณจะเอามาสอนเด็กจะต้องมีความน่าเชื่อถือ คือตัวเองจะต้องเป็นคนดีในสายตาเด็กด้วย ถ้าตัวเองทำดีไม่ได้แล้วไปพูดปาว ๆ ให้เด็กเขาทำดี แล้วเด็กที่ไหนเขาจะเชื่อ อันดับต่อไปก็คือว่า บางทีพระบวชมาทั้งชีวิตแล้วยังเอาดีไม่ได้ แล้วเด็กคุณให้เขาเรียนตั้งแต่ต้นจนจบ หลักสูตรแค่ ๑๒๐ ชั่วโมง คุณจะให้เขาเอาดีในชีวิตได้หรือ เขาตั้งความหวังสูงไปหรือเปล่า ของบางอย่างนี่พอว่ากันตรง ๆ เขาก็ประเภทหมดกำลังใจไปเลยก็ได้
      ถาม :  ใจผมอยากเห็นที่หลวงพี่พูดเมื่อกี้เรื่อง โครงการทหารเข้าวัด จะมีโครงการตำรวจเข้าวัดไหม อยู่ใกล้ประชาชน ?
      ตอบ :  เดี๋ยวนี้โครงการเขามีอยู่ที่เมืองกาญจน์ เขาทำอยู่วัดสุนันทวนารามของหลวงพ่อมิตซูโอะ ที่เขาไปมีเรื่องใหญ่โตตอนที่อบรมข้าราชการตำรวจระดับนายพล แล้วเขาไปกินเหล้ากันในที่อบรม แล้วหนังสือพิมพ์เขาโฉบเข้าไป เขาถ่ายรูปออกมาประจานใหญ่โตกันไปเลย เป็นเรื่องเป็นราวกัน คือว่าประเภทเขาใหญ่จนชิน เขาเล็กไม่เป็นแล้ว ถึงเวลากูต้องกิน พระเทศน์อยู่เขาก็ชนแก้วกัน อันนั้นเขาจัดเอาตั้งแต่พลตรีขึ้นไป
      ถาม :  คนที่จะทำดีนี่ถ้าไม่มีบุญบารมี เขาทำไม่ได้หรือครับ ?
      ตอบ :  มันยากจริง ๆ เรื่องของการทำความดีมันสวนกระแส ว่ายน้ำทวนกระแสนี่มันเหนื่อยตายชักเลย
      ถาม :  เหนื่อยครับ ใจต้องตั้งมั่นจริง ๆ นะครับ ถ้าไม่ตั้งมั่นเดี๋ยวทางโลกลากกลับมาอีก
      ตอบ :  อาตมาอยู่ที่ไหนก็รบกับเขาที่นั่น อยู่ทองผาภูมิตอนนี้ก็รบแทบจะเป็นมาเฟีย เตรียมจะหนีเข้าป่าอีกแล้วเพราะว่า กระทั่งเจ้าคณะอำเภอเขาก็ต้องฟังเราก่อน ขอความเห็นเราก่อน นี่จะส่งให้ไปอยู่อีกวัดหนึ่งแล้ว วัดนั้นเขามีปัญาที่ดินผืนเดียวมีวัด ๒ วัด วัดหน้ากับวัดหลัง เกิดจากคนบริจาคที่ดินเขาทำตัวแย่ เขาจะควบคุมพระ มีรายได้มีอะไรขึ้นมาต้องผ่านเขาก่อน อะไรอย่างนี้
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  พระเณรด้วยกันเอง เพราะว่าอยู่ในวัดมีศีลมีระเบียบวัดคุมกันได้ ถ้าหากว่าตั้งฆราวาสเมื่อไร ? พอเขาแทรกมาได้ เขาจะเป็นใหญ่เหนือพระ เขาจะมาคุมพระ และถ้าหากว่าเขาไม่ได้อย่างใจขึ้นมา เดี๋ยวเขาก็เล่นงานพระ
              ตอนนี้มีปัญหาที่วัดถ้ำทะลุของพระน้องชาย พระอยู่ไม่ได้มา ๒ ชุดแล้ว เขาเผ่นกันหมด เลยส่งพระน้องชายไปอยู่ ปรากฏว่าน้องชายก็นิสัยคล้าย ๆ อาตมา คือ แข็ง ไม่ยอมลงให้เขา เขาก็จัดการให้คนมาตัดไม้ในวัดรับเงินรับทองเสร็จเรียบร้อยเลยคุณทายก แล้วน้องชายก็ไปแจ้งความ ปรากฏว่าเขาบอกให้ทุกคนที่ไปตัดไม้ ถึงเวลาให้บอกว่าพระให้ตัด บรรลัยน่ะสิ กลายเป็นทำลายกันซึ่ง ๆ หน้าเลย คนชั่วนี่เขาพูดดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ เขาไม่อายปาก แต่คราวนี้พระของเราจะไปพูดอย่างนั้นพูดไม่ได้ บางครั้งเขาประเภทอยู่กันไม่ได้ เขาก็ต้องย้ายหนีไป ย้ายหนีไป ๒ ชุด ๓ ชุดแล้วนี่
      ถาม :  ...................................
      ตอบ :  แถวห้วยสมจิตร ก่อนอาตมาไปปีหนึ่ง พวกทำไม้ตีพระตายไปองค์หนึ่งน่ะ พออาตมาไปอยู่ ไปไล่ฟัดกับพวกมันจนกระทั่งอยู่ขึ้นมาได้ ปัจจุบันนี้ก็ให้อาจารย์เปี๊ยกเข้าไปรับผิดชอบอยู่ พวกนี้มันแปลกอยู่อย่างหนึ่ง มันไม่กลัวความดี มันกลัวแต่คนที่ชั่วกว่า...!