ถาม:  แล้วคนที่เกิดมามีปาน แสดงว่าอย่างไร ?
      ตอบ :  ไม่แน่เหมือนกัน มีอยู่บางรายที่ก่อนจะเอาศพไปฝังน่ะ เขาเอาเขม่าไฟทาไว้ เขาบอกว่า "คราวหน้าเกิดมาเป็นลูกแม่อีกนะ" ปรากฏว่ามาเกิดใหม่ตรงที่ทาไว้เป็นปาน
      ถาม :  เขาตั้งใจทำหรือว่าแม่เขา ?
      ตอบ :  ตัวแม่เขา เขาทำเอาไว้ นั่นแสดงว่าตายแล้วต้องมาเกิดใหม่เลย ถ้าหากต้องไปเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งก่อนจะไม่มี อย่างเช่นเป็นสัตว์นรกหรือเป็นเทวดาอย่างนี้ หนีมาพักเดียวอายุ ๒๐ แล้ว นั่นเขาตามเจอ ก็แสดงว่าช่วงนั้นจะต้องมีเด็กที่ตายในท้องหรือไม่ก็คลอดแล้วตาย แล้วไอ้นี่รีบเสียบแทนเลย อาศัยร่างนั้นต่อ ไม่อย่างนั้นไม่มีสิทธ์เกิดได้หรอก จังหวะดีเหมือนกันหนีมาได้ พอเห็นอย่างนั้นก็มุดแทนเลย อย่างน้อย ๆ ได้บวชเณรไปหน่อยหนึ่ง
              สมัยเป็นฆราวาส มีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งเขาอายุน้อยกว่า ๒ ปี เป็นสุภพาสตรีตัวเตี้ย ๆ ล่ำ ๆ ไม่สูง ต้องเรียกว่าคู่ศึกกันเลยคือ เขาจะปฏิบัติกรรมฐานได้ดีมาก พอถึงเวลาวันหยุด ตอนนั้นหยุดงานก็หยุดวันอาทิตย์ เขาก็หยุดของเขา เราก็หยุด ก็นัดกันตั้งแต่ ๖ โมงเช้า บางทีคุยกันยันสี่ทุ่มเรื่องปัญหาธรรมะ จะมาซักถามหาความกระจ่าง หรือว่าดูว่าคนหนึ่งได้เท่าไร ? อีกคนได้เท่าไร ? ตรงกันไหม ? เหมือนกันไหม ? เชื่อไหมว่าไม่กินก็ได้ คนที่ทันกันนี่สนุกมาก คุยกันไปเรื่อย ๆ บางทีพ่อเขามานั่งฟังด้วย ถือน้ำชามากินหมดไป ๒ กา อั๊วไปนอนดีกว่า คุยอะไรกัน ฟังไม่รู้เรื่อง ตอนนี้เขาย้ายไปอยู่ที่ทัพยายท้าว นครปฐม ไปสร้างโรงงานใหม่ที่นั่น ไม่อย่างนั้นบ้านเขาอยู่แถวรองเมืองนี่เอง แล้วอัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเขาปฏิบัติอะไรได้ ก่อนจะเจอเขาสัก ๓ วัน เราจะทำได้พอดี แล้วความรู้มันจะไปยันกันอยู่ตรงนั้นทุกทีเลย แล้วเขาจะเป็นคนไล่ เราก็ประเภทเขารุกเราก็รับใช่ไหม พอรับไปรับมา ท่าสุดท้ายเราติดข้างฝา เขาก็หมดกระเป๋าพอดีเหมือนกัน เพียงแต่เราใจดีสู้เสือ ยืนยิ้ม เขาก็คิดว่าเรามีอีก จะแคะให้ได้ใช่ไหม เราบอกไม่มี ๆ บอกตรง ๆ เขาก็ไม่เชื่อ ฝากไว้ก่อนเถอะ เดี๋ยวเขาได้อะไรมาก่อน เราจะเจอเขาสัก ๒-๓ วัน ก็ได้อีก ไล่ไปไล่มาจะไปจนกันตรงนั้นทุกที ต่างคนต่างยืนจ้องหน้ากัน ทำอะไรกันไม่ได้ ต้องหาคนที่เป็นคู่ปฏิบัติที่ทัน ๆ กัน อย่างนี้ถึงจะได้เร่งตัวเองให้ก้าวหน้า มาเป็นพระนี่ยังหาที่ทัน ๆ กันยังไม่มี นั่งเซ็งอยู่ มีแต่คนมาแล้วมาถามอย่างเดียว คนมาแล้วเราถามเขาได้ไม่ค่อยมี ครูบาอาจารย์ที่เราจะถามท่านได้ท่านก็ตายไปเสียเยอะแล้ว ก่อนหน้านั้นอย่างหลวงปู่อ่ำ วัดโสมนัส โอ้โห! คุยกัน ๓ ชั่วโมง รู้สึกว่าไม่กี่นาทีเอง สนุกมาก ต่างคนต่างพูดคนละครึ่ง เราถามว่าหลวงปู่ครับ ถ้าผม...ท่านก็ตอบมาว่า เออ! อย่างนี้นะ อ๋อ! อย่างนั้นหรือครับ คนอื่นฟังประสาทกินไปเลย ไม่รู้เรื่องหรอก คือไม่ต้องพูดหมดต่างก็รู้กันแล้ว ในเมื่อไม่ต้องพูดหมด ท่านว่ามาอย่างนั้น เราว่าไปอย่างนี้ คนฟังนั่งมึนตึ๊บ คุยอะไรกันก็ไม่รู้ คุยได้คุยดี เสียดาย ครูบาอาจารย์เก่ง ๆ ที่เราอาศัยได้ ไปกันเสียเยอะ เอาบ้างไหม ? ประเภทไม่ทันจะพูดท่านก็ตอบแล้ว
             
              ก่อนหน้านี้ก็หลวงปู่บุดดา หลวงปู่ครับ ถ้าผม... เออ! ดูที่ศีล เป็นคนอื่นจะรู้ไหมว่าดูเรื่องอะไร บอกหลวงปู่ครับ ถ้าผมปฏิบัติอยู่ในมรรค ๔ ผล ๔ จริงอย่างหลวงปู่ว่า ผมจะเอาอะไรเป็นเครื่องวัด ดูที่ ศีล แล้วท่านก็ขยายความว่า ฆราวาส ศีล ๕ ข้อ อุบาสก อุบาสิกา ศีล ๘ ข้อ สามเณรหรือพระ ศีล ๑๐ ข้อ เราก็นึกในใจพระศีล ๒๒๗ ข้อ ยังไม่ทันจะถามเลย ท่านบอกว่าอันนั้นคือศีลเอาใจชาวบ้าน เณรศีลแค่ ๑๐ ข้อ ก็เป็นพระอรหันต์แล้วไม่ใช่หรือ เออ! จริงของท่าน ศีลพระที่มีเยอะนั้นเอาไว้ป้องกันอันตรายกับชาวบ้าน ชาวบ้านเขาชอบนินทาพระ อันโน้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ถูก พระพุทธเจ้าท่านก็เลยสั่งห้าม ถ้าหนีไปอยู่ป่านั้นก็ศีล ๑๐ ข้อ พอแล้วแต่ไม่ได้นะ ศีล ๑๐ ข้อ พอแล้วไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านบัญญัติขึ้นมาแล้ว ในเมื่อบัญญัติขึ้นมาแล้ว เราต้องเคารพและปฏิบัติตาม แต่ว่าจริงๆ แล้วถ้าต้องการศีล ๑๐ ข้อ ก็ไปได้แล้ว
      ถาม :  หลวงปู่ท่วด เหยียบน้ำทะเลจืด หมายถึงท่านเหยียบน้ำเค็มให้เป็นน้ำจืด เดินบนน้ำจืด ?
      ตอบ :  เปล่า ท่านอยู่บนเรือ ตอนนั้นท่านอาศัยเรือเขามาจากทางใต้ จะขึ้นมาเรียนต่อที่อยุธยา ปรากฏว่าเรือไปโดนพายุเข้า พอไปโดนพายุเข้าก็เลยเสียเวลาในการเดินทาง เสบียงก็หมด น้ำก็หมด ก็เลยเหมาเอาว่าครั้งก่อน ๆ ไม่เห็นจะเป็น ครั้งนี้รับพระรูปนี้มาแล้วเป็น เขาจะเอาหลวงปู่โยนน้ำ เขาถือว่าหลวงปู่เป็นกาลกิณี หลวงปู่ท่านก็เลยทำไม่รู้ไม่ชี้ นั่งอยู่ที่กราบเรือเอาเท้าหย่อนลงทะเล สบายใจเฉิบของท่าน ถามว่าเขาเดือดร้อนเรื่องอะไรเล่าโยม น้ำยังไม่มีกิน ก็ลองตักน้ำตรงนี้ดูสิ เขามองลงไปเห็นว่า เออ! น้ำใสเป็นวงอยู่ มันต่างกับน้ำทะเลทั่วไป ก็เลยลองตักชิมดูเอา อ้าว! นี่มันน้ำจืดนี่ ใช่ ลองตักไปสิ ก็เลยตักเติมเสียจนเต็มก็ไปต่อได้ ตั้งแต่นั้นมาก็มาร่ำลือกันว่าหลวงปู่ท่านเหยียบน้ำทะเลจืด ส่วนอาตมาเหยียบน้ำจืดเป็นน้ำทะเล ใครอยากดูไหมล่ะ จ้างเรือให้หน่อยเดี๋ยวจะไปเหยียบกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ถึงปากอ่าวไทยเมื่อไรมันก็เค็ม เหยียบน้ำจืดเป็นน้ำทะเลจริง ๆ ลองดูได้
      ถาม :  การทำทานด้วยตัวเลขมงคลต่าง ๆ มีผลต่างกับทำบุญปกติหรือไม่ ?
      ตอบ :  มีผลช่วยเรื่องกำลังใจของเขานิดเดียว อาตมาเคยว่ามาหลายที่แล้ว ประเภททำ ๙๙ บาท ทำ ๙ บาทอย่างนี้ บอกพวกไม่เต็มบาท มาอีก ๑ บาท ให้ครบ ๑๐๐ บาทไม่ได้หรือ ครบ ๑๐ บาทก็หมดเรื่อง ไม่ต้องยุ่งใช่ไหม ? จริง ๆ แล้วกำลังใจเขายึดอย่างนั้น มันช่วยเรื่องกำลังใจของเขาได้ แต่อานิสงส์จริง ๆ ถ้าหากว่าเขาต้องการ ๑๐๐ บาท มาให้ ๙๙ บาท เขาอาจจะพร่องเสียด้วยซ้ำไป เอาให้ดีนะ มันช่วยกำลังใจของเขา ได้มีผลเหมือนกัน
      ถาม :  พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเคยกล่าวไว้ว่า การสะเดาะเคราะห์หมายถึงว่า ทำให้เคราะห์พ้นไป มีหลายคนเขาไปหาพระหลายรูป ไปทำบุญเพื่อสะเดาะเคราะห์หลายครั้ง ก็ยังไม่หมดเคราะห์เสียที ข้อที่ ๑ เคราะห์ในที่นี้หมายถึงกฏของกรรมใช่หรือไม่ ข้อที่ ๒ หลวงพ่อท่านสอนว่า ศาสนาของเราล้างบาปไม่ได้ แต่ศาสนาของเราหนีบาปได้แล้ว เราจะหนีพ้นเคราะห์ได้หรือไม่ ?
      ตอบ :  ได้ อันดับแรก เคราะห์ที่ว่าก็คือกรรมเก่านั้น ใช่เลย เพียงแต่ว่าผลกรรม คำว่า "สะเดาะ" แปลว่า ทำให้หลุด แต่จริง ๆ ก็คือ หลุดชั่วคราว เรื่องของบุญกับบาปนี่หักล้างกันไม่ได้ แต่ว่าเราสามารถทำดีเพื่อหนีชั่วได้ ถ้ากำลังของบุญสูงก็จะหนีห่างบาปไปได้ชั่วคราว
              สังเกตว่าการสะเดาะเคราะห์ทุกอย่างจะอยู่ในลักษณะเป็นการทำความดี อย่างเช่นว่า นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสติ ฟังธรรมเป็นธรรมานุสติ ฟังพระสวดบังสุกุล เห็นพระสงฆ์เป็นสังฆานุสติ นึกถึงความตายเป็นมรณานุสติ มีการถวายสังฆทานเป็นจาคานุสติและทานบารมี พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นบุญมหาศาลอยู่ ในเมื่อเราทำบุญใหญ่ก็เลยหนีห่างเคราะห์ไปชั่วคราว เพราะว่ากรรมอันนั้นตามไม่ถึง แต่ว่าถ้าเผลอเมื่อไร กำลังบุญน้อยลง เคราะห์กรรมจะตามทันอีกไม่รู้จักสิ้นสุดเสียที ถ้าหากว่าอยากจะพ้นเคราะห์จริง ๆ มีอย่างเดียวเข้าพระนิพพานเสีย ไม่อย่างนั้นตราบใดที่ยังเกิดอยู่ ตราบนั้นมันยังส่งผลอยู่เรื่อย
      ถาม :  เวลาไปวัดต่าง ๆ ไปไหว้พระ เขาว่าอะไรกันบ้าง ไปไหว้พระพุทธรูปต่างวัดกัน แต่เราไหว้พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน มีผลต่างกันหรือไม่ ?
      ตอบ :  เรื่องของการไหว้พระพุทธรูปต่างวัดกันนั้น มีผลต่างกันเหมือนกัน เพราะเรื่องของพระพุทธรูปนั้นพอสร้างเสร็จจะมีเทวดารักษา ถ้าหากว่าเทวดาที่ท่านรักษาอานุภาพท่านสูงท่านสามารถสงเคราะห์เราได้มากกว่าเหมือนกัน เพราะว่าจะสังเกตุเห็นว่าพระแก้วมรกต พระพุทธชินราช หลวงพ่อโสธร โอ้โห! ทำไมคนไปกันมืดฟ้ามัวดินเลย เพราะส่วนใหญ่ขอท่านช่วยแล้วไม่ค่อยพลาด แสดงว่าอานุภาพของท่านสูง การที่ไหว้พระพุทธรูปต่างวัดกันแล้วมีอานิสงส์เหมือนกันหรือไม่นั้น ก็ผลได้มันต่างกันเหมือนกัน ส่วนที่ว่าการที่เราไหว้พระ เขาว่าอะไรกันบ้าง อันนั้นเป็นเรื่องของเขา เขาถนัดอันไหนก็ช่างเขา เราว่า อิติปิโส สวากขาโต สุปะฏิปันโน ก็พอ
      ถาม :  จุดธูปไหว้แม่นาคพระโขนง ใช้กี่ดอก ?
      ตอบ :  ใช้กี่ดอก ใส่ไปทั้งกำเลยก็ได้ แม่นาคอย่างน้อยท่านก็เป็นเทวดาอยู่ ทีนี้จะไหว้ท่านเราไหว้ให้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็จุด ๓ ดอกไปเลย หรือไม่ก็ถือเลขมงคล จะเอา ๗ ดอก ๙ ดอก ๑๖ ดอก ก็เชิญ
      ถาม :  ปักธูปดอกเดียวนี่ มีความหมายอะไร ?
      ตอบ :  ปักดอกเดียวนี่เขาเชื่อว่าสำหรับคนตาย สี่คนหาม สามคนแห่ คนหนึ่งนั่งแคร่ สองคนนำทาง คนหนึ่งนั่งแคร่นั้น ตายไปแล้วนึกถึงเขาหน่อย
      ถาม :  มีคนเขาบอกว่าเวลาคนไปหาพระสงฆ์ พระก็บอกกับเขาว่าร่างกายไม่สวย เขาก็บอกว่ารูปร่างหน้าตาของเขาก็สวย พระท่านก็พูดเรื่องร่างกายมีด้วย น้ำเลือด น้ำหนอง เน่าเฟะ ตายแล้วหนอนขึ้น สรุปแล้วการที่ท่านกล่าวว่าร่างกายเต็มไปด้วยความไม่งามทั้งหลายนี้ ท่านพูดให้คนดูแล้วน่ากลัว น่าเกลียด หรือท่านพูดโดยสภาพความเป็นจริงของคนเรา ?
      ตอบ :  สภาพความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น แต่ว่าเรื่องของความเป็นจริงต้องดูว่าปัญญาเขาถึงไหม ? เมื่อวานนี้มีคนหนึ่งเขานั่งฟังอยู่ ก็บอกว่าสำคัญตรงที่เรารู้ตัวหรือเปล่าว่าจะตาย คือเขาถามว่าพระโสดาบัน ในสังโยชน์ ๓ ข้อ ท่านคิดอย่างไร ก็บอกเขาว่าในเรื่องของสักกายทิฏฐิ พระโสดาบันรู้ตัวเสมอว่าตัวเองจะตาย ถ้าไม่ใช่พระโสดาบันไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองจะตาย เขาบอกว่าเป็นไปได้หรือว่าคนไม่รู้ตัวว่าจะตาย บอกดูนักการเมืองสิ แต่ละคนเขาคิดหรือเปล่าว่าเขาจะตาย เขาแย่งตำแหน่งกันอยู่นั่นแหละ คนจะไล่ให้ออกเขาก็ไม่ออก คนไม่ได้เข้าก็จะเข้าให้ได้ ถ้าเขานึกอยู่เสมอว่าเขาจะตาย เขาไม่แย่งกันหรอก ที่ท่านพูดนั้นท่านพูดตามความเป็นจริง สภาพที่แท้จริงของร่างกายของเรามันไม่ดีไม่งามอย่างนั้น แต่ถ้าปัญญาคนไม่ถึงบางทีเขาก็เถียงด้วยร่างกายไม่ใช่ของเรา มันตีเรา ทำไมเจ็บล่ะ
      ถาม :  ผู้หญิงถูกหลอกไปขายที่แอฟริกาใต้ ก่อนจะหนีออกจากบ้านที่คุมขังเจอหมาตัวใหญ่เฝ้าบ้าน ๓ ตัว กำลังจะกัด ผู้หญิงคนนั้นเลยยกมือไหว้หมาแล้วก็บอกว่า หมาจ๋าขอหนูไปเถอะ หนูอยากกลับบ้าน อยากกลับไปหาพ่อแม่ ปรากฏว่าหมาไม่ขู่อีกและก็ปล่อยผู้หญิงไป หมารู้เรื่องหรือเปล่า ?
      ตอบ :  รู้ หมาเก่งกว่าคน เคยเห็นหมาเรียนภาษาต่างประเทศไหมล่ะ ? ไม่เคยหรอก แต่หมาพันธุ์กะทิข้างถนน มันเจอร็อตไวเลอร์ มันคุยกันรู้เรื่อง เจอเกรทเดน เจอดัลเมเชียน มันก็คุยรู้เรื่อง หมาเก่งกว่าคนไหมล่ะ ของเราเรียนภาษาแทบตายยังสื่อกันไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย สภาพของหมานี่มันมีฤทธิ์โดยธรรมชาติเรียกว่า กัมมวิปากชาฤทธิ์ ถ้าหากว่าเป็นของฝรั่งที่เขาวิจัย เขาบอกว่าในแต่ละอารมณ์ร่างกายของคนหลั่งสารเคมีออกมาไม่เหมือนกัน จมูกหมามันไวกว่าคน ๔๐ เท่า มันก็เลยแยกแยะได้ รับได้ แต่ว่าในความเป็นจริงคือว่า หมามันมีจิตเป็นทิพย์เป็นปกติอยู่แล้ว มันเห็นผีได้เป็นปกติ เราทำได้อย่างมันไหมล่ะ ในเมื่อมันเห็นผีได้เป็นปกติ แค่เรื่องใจ ความรู้สึกคนนี่เรื่องเล็ก แมวล่ะ แมวมันก็เก่งกว่าหมา เพียงแต่ว่าแมวมันไม่แยแสคนเท่านั้นเอง
      ถาม :  ในการพระราชทานปริญญาบัตร ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิเทศศาสตร์ ของศาสตราจารย์พิชัย วาสนาส่ง ที่จบสาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ พิธีกรเขาบอกว่าท่านเป็นครูอาจารย์ของเขาคนหนึ่ง ศาสตราจารย์ท่านตอบว่า ตนเองไม่รู้สึกว่าเป็นครู แต่มีความรู้สึกว่าตนเองรู้สิ่งใด ก็อยากให้คนอื่นรู้บ้าง ความหมายของครูที่แท้จริงเป็นประการใด ?
      ตอบ :  ความหมายของครูที่แท้จริง ก็คือประมาณนี้แหละ พยายามที่จะถ่ายทอดสิ่งที่ตนรู้ ให้ลูกศิษย์แตกฉานที่สุดเท่าที่จะทำได้ พูดง่าย ๆ ก็คือเก่ง
      ถาม :  ทุกคนที่เกิดมาเลือกงานที่ดีไม่ได้ใช่ไหม เลือกหน้าที่ที่ต้องทำล่ะคะ ?
      ตอบ :  อันนั้นจริง ๆ มันไม่ใช่ เป็นคำพูดของคนโบราณ เขาบอกว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกอยู่ไม่ได้ เลือกงานไม่ได้ เลือกตายไม่ได้ แต่ถ้าหากบารมีสูงจริง ๆ เขาเลือกได้ โดยเฉพาะลูกศิษย์หลวงพ่อ ส่วนใหญ่ที่เกิดนั้นเขาเลือกมาแล้ว แย่งเขามาเกิดทั้งนั้นแหละ แย่งแล้วจะลงตรงไหนล่ะ ส่วนเลือกตายไม่ได้นั้น คนอื่น ไม่ใช่เรา เรารู้นี่ว่าเราจะไปไหน เราจะไปเป็นเทวดา เป็นพรหม ไปนิพพาน อย่างนี้ตั้งหน้าตั้งตาทำปัจจุบันให้ดีจริง ถึงเวลาเราก็เลือกตายได้ เราจะตายแบบไหน ? ถ้าเป็นคนอื่นนั้นทั้ง ๔ อย่างนั้น เขาเลือกไม่ได้ แต่พวกเราเลือกได้อย่างน้อย ๒ อย่างแล้ว เพราะฉะนั้นที่อยู่กับงานนั้นช่างมันเถอะ ถ้าเขาสร้างบุญสร้างบารมีเอาไว้ดี ถึงเวลาที่อยู่ที่อาศัยก็เป็นที่พอใจ งานการอะไรก็อาจจะถูกใจบ้าง ถ้าไม่ได้อย่างใจก็ถือเสียว่าอย่างน้อยก็ได้มาครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่ได้อย่างใจก็ปล่อยมันครึ่งหนึ่งเถอะ เลือกงานไม่ได้ไปขายลอตเตอรี่ก็ได้
              อานุภาพของธงมหาพิชัยสงครามสุดยอดจริง ๆ หลวงพ่อท่านถึงได้บอกว่า เป็นวัตถุมงคลอย่างเดียวที่ห้ามลองด้วยการปลุก อาจจะทานกำลังไม่ไหว อาจถึงตายได้ง่าย ๆ ถ้าอธิษฐานนี่ท่านคลุมทั้งกองทัพ สมัยก่อนเป็นธงนำทัพของพระร่วง
      ถาม :  ไม่มีใครทำได้หรือคะ ?
      ตอบ :  ก็เชื้อสายมันขาดลง หลวงพ่อท่านไม่มีลูกเลยนี่ ถ้าหากว่าหลวงพ่อมีลูกอย่างนี้ก็ได้ หลวงพ่อบอกว่าถ้ามีท่านคงจะบวชไม่ได้ ท่านบอกว่าถ้าไม่ใช่เชื้อสายเอาไปทำ เก่งแค่ไหนก็ได้ผลไม่ถึง ๕ เปอร์เซ็นต์ ตำรานั้นหลวงพ่อถวายในหลวงไปแล้ว ตำราพระร่วงไปขอรับคืนจากเมียอาจารย์แจง ที่สวรรคโลก คนไปรับนี่อาจารย์แจงสั่งไว้เลย ให้ไปรำดาบ ถ้ารำดาบกลางแจ้งแล้วมีฟ้าผ่าก็รับไปได้ คนอื่นไปรำกันเหงื่อไหลไคลย้อยจนจะเป็นลมตายฟ้าไม่ผ่า หลวงพ่อไปถึงอาตมาเป็นพระจะรำได้อย่างไรเล่า โยมเมียอาจารย์แจงก็ไม่ให้ บอกว่าสามีสั่งเอาไว้ แล้วบอกว่าถ้าหากใครรำดาบแล้ว ฟ้าผ่าถึงจะให้ไป เพราะว่าเขาเก่งจริง ได้อภิญญา เขาสั่ง เมียเขาก็ต้องเชื่อ คราวนี้หลวงพ่อ เออ! เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน แค่จับอาวุธมันก็ผิดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจะถือไปยืนอยู่กลางแจ้งสักพักหนึ่ง ถ้าสักอึดใจแล้วฟ้าไม่ผ่าอาตมาก็ไม่เอาหรอก ท่านบอกว่าถือเดินออกไปยังไม่ทันพ้นชายคา ฟ้าผ่าเปรี้ยงหูอื้อเลย พอได้มาท่านก็เก็บเงียบเพราะว่าเปิด ๆ ดูว่าแต่ละวิธีมันยาก ๆ ทั้งนั้น พอยากมากท่านก็ไม่ทำ ไป ๆ มา ๆ วันหนึ่งท่านท้าวมหาชมพู อดีตพระร่วงโผล่มาบอกให้ทำธงพิชัยสงครามหน่อย ท่านบอก ไม่ไหวครับ มันเขียนยาก ในเมื่อมันเขียนยากท่านก็เลย เอาอย่างนี้ก็แล้วกันแกไปให้เขาแกะพิมพ์มา หลวงพ่อก็บอกขี้เกียจเสก เล่นเอาท่านปู่ชักฉิว ก็เลย เออ! ไปทำมาข้าจะเสกเอง ถ้าอย่างนั้นเอา
              แต่ท่านท้าวมหาชมพูดุจริง ๆ มีอยู่เที่ยวหนึ่งก่อนมรณภาพสัก ๒ ปีได้ เล่นหลวงพ่อเสียคลานออกมาจากห้องเลย ไม่ถึง ๒ ปีกระมัง การทำพุทธาภิเษกพระบูชานี่ เครื่องบวงสรวงต้องครบชุดทั้ง หัวหมู ไก่ ท่านท้าวมหาราชท่านบอกเอาไว้ ท่านบอกว่าพระเครื่องนี่คนเขาติดตัว ในเมื่อติดตัวอยู่ต้องทำให้อานุภาพสะเดาะเคราะห์ได้ จากเคราะห์หนักก็ให้เป็นเบา จากเบาก็ให้หาย เพราะฉะนั้นเครื่องบวงสรวงต้องครบชุด แต่ถ้าหากพระบูชา ตั้งบูชาอยู่กับบ้านไม่ต้องครบชุดก็ได้ เอาเฉพาะเครื่องบวงสรวง หัวหมูกับไก่ไม่ต้อง
              คราวนี้หลวงพ่อท่านเสกพระแก้ว หัวหมูกับไก่ก็ไม่ต้อง ท่านก็สั่ง ปรากฏว่าตอนทำพิธีคุณวิมาลี คุณวิมาลีเขาทำสมเด็จองค์ปฐมรุ่นสี่เหลี่ยม ที่มีเนื้อทอง นาก เงิน ๓ เนื้อ เคยเห็นใช่ไหม สี่เหลี่ยม ๆ มีเนื้อทองคำ เนื้อนาก นากจริง ๆ ของเขาคือทองแดงชุบ แล้วก็เนื้อเงิน ทองคำกับเงินนี่เนื้อแท้ เขาทำมาเขาก็ไม่ได้บอกหลวงพ่อ แล้วเอาเข้าพิธี ตอนนั้นทำพิธีตามปกติ ของเขาซุกอยู่ในพีธีอยู่แล้วนี่ ท่านท้าวมหาราชท่านไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่ท่านท้าวมหาชมพูท่านล่อเสียคลานออกมาจากห้องเลย แล้ววิมาลีเขาก็กระดี๊กระด๊าไม่รู้หรอก พอพุทธาภิเษกเสร็จ เขาก็ถวายพระรูปละชุด ๆ อันนี้ถวายหลวงพี่ไว้ เขาเอากุศลใส่ตัวเขาไว้ก่อน เพราะว่าเขาทำไม่มาก เขาแจกพระและแจกเพื่อนฝูงเขาเท่านั้น รุ่นนี้รู้สึกว่าราคาประมาณแสนหก เพราะราคาขึ้นเป็น ๑๖ เท่า พอเขาแจกเสร็จเรียบร้อยแล้ว
              ตอนฉันเพลหลวงพ่อท่านก็บอกพี่ทีป พระใบฎีกาประทีป เฮ้ย! ทีป เก็บมาเข้าพิธีใหม่ว่ะ หลวงพี่ทีปเรียนถามว่ามันไม่ติดสักนิดเลยหรือครับหลวงพ่อ หลวงพ่อบอก ไอ้ห่า! เดี๋ยวกูถีบ พระหรือเทวดาท่านพูดคำไหนคำนั้น ยังจะมาเอาสักนิดหนึ่ง ตกลงเป็นพระรุ่นเดียวที่ปลุกเสก ๒ ครั้ง ใครเคยเห็นบ้าง ? ลักษณะองค์ประมาณสมเด็จของขวัญ ของวัดปากน้ำอย่างนั้นแหละ แต่เป็นเนื้อโลหะ มีสีเงิน สีทอง สีนาก เงินกับทองเป็นของแท้ แต่นากเป็นทองแดงชุบ ฉะนั้นเรื่องของพระ ของเทวดา ท่านว่าอะไรท่านว่าตามตรง เคยสั่งไว้อย่างไรนั้นอย่าลืมเป็นอันขาด ลืมเมื่อไรโดน
              ตอนนั้นยังอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาก็ เออ! ตี ๔ ก็วิ่งไปเปิดเสียงตามสาย นาฬิกาใหญ่ที่แขวนข้างฝา นาฬิกาที่หัวเตียง นาฬิกาปลุก และนาฬิกาโบสถ์ ก็ตี ๔ ตรงกันหมด ก็เปิดเสียงตามสาย พอเปิดเสียงตามสายเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปสรงน้ำแต่งตัว พอตี ๕ ก็ทำวัตรเช้า ทำวัตรเสร็จ ตี ๔ พอดี ตอนเปิดเสียงตี ๔ เสียงตามสายครึ่งชั่วโมง สรงน้ำเสร็จเรียบร้อย พอตี ๕ ก็ทำวัตร ทำวัตรเสร็จ ตี ๔ พอดี ถ้าอย่างนี้ต้องมีอะไรแน่แล้ว พอถึงเวลากลับเข้ากุฏิปั๊บ หลวงพ่อดึงปุ๊บ ไปเลยบอกมาคุยกันหน่อย กลัวเวลามันไม่พอท่านก็เลยใช้วิธีนั้น คนอื่นเขาจะรู้สึกว่าเวลาปกติ ตี ๔ ของเขาก็คือ ตี ๔ แต่ของเรานี่เวลาผิดปกติเพราะเวลาข้างบนกับเวลาข้างล่างต่างกันเยอะเหลือเกิน แค่ท่านสั่งงานไม่กี่ประโยค สว่างพอดี ประมาณ ๒ ชั่วโมง แต่ได้คำสั่งมาแค่ไม่กี่ประโยคนั่นแหละ
              มีอยู่วันหนึ่งท่านบอกว่า ให้ทำอย่างไรตอนบวงสรวงถึงจะมีอานุภาพเต็มที่อย่างที่ท่านทำ ตัวนี้แหละเผลอเมื่อไร อาตมาก็ลืม เคยถามท่านว่าบอกเขาได้ไหม ท่านบอกว่าอย่าเพิ่งไปบอก ไม่อย่างนั้นถ้ารู้พิธี ฆราวาสก็บวงสรวงได้ ก็อยากจะบอกแต่ท่านยังไม่อนุญาติ น้องเล็กรู้บ้างเพราะว่ามีอยู่ในบันทึก ส่วนใหญ่เวลารู้อะไรจะบันทึกเอาไว้ในบันทึกส่วนตัว กันลืม คราวนี้เด็ก ๆ เขาหวังดีบอกเอาไปใส่คอมพิวเตอร์ พอถึงเวลาจะได้ไรท์ลงแผ่นดิสก์ไปได้ บันทึกบางทีก็เหลวไหล นินทาชาวบ้านบ้าง อะไรบ้าง คือมีบางคนเขามีความเห็นว่าอย่างนี้ ๆ ใช่ไหม ? เราก็ เออ! การที่เรายึดมั่นในความเห็นของตัวเอง มันใช้ไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนี้ ๆ ก็เท่ากับนินทาชาวบ้านเขาดี ๆ นี่เอง เอาไว้ถ้าอยู่ได้ถึง ๘๐ ปี แล้วจะเอาออกจำหน่าย สำหรับพวกเราแล้วประสบการณ์แบบนี้ก็เท่ากับว่าแลกเปลี่ยนกันฟัง คนโน้นเจออย่างนั้น คนนั้นเจออย่างนี้ มาเล่าให้ฟัง คนอื่นเขานอกทุ่ง ถ้าไปเล่าให้เขาฟัง เขาไม่ว่าเราโกหกเขาก็เดินหนีเลย เขาขาดตัวศรัทธาความเชื่อถือ
      ถาม :  เวลาไปทำสังฆทาน เขาบอกว่าให้ไปซื้อถังหรือกระป๋องที่อยู่ตามร้าน มีของหลายอย่างไปถวายพระที่วัด แล้วอุทิศบุญให้คนตาย จริง ๆ แล้วคนตายเขาต้องการอะไรบ้าง ?
      ตอบ :  คนตายที่เคยขอเรื่องสังฆทาน เขาขอพระพุทธรูป ให้มีพระพุทธรูปหน้าตักไม่ต่ำกว่า ๔ นิ้ว ปัจจุบันเราก็ใช้ ๕ นิ้ว เป็นปกติ ขอผ้า และขออาหารจะสดหรือแห้งก็ได้ เขาบอกว่าอาหารจะสดหรือแห้งก็ตามเขาจะอิ่มทิพย์ไม่หิวอีก ร่างกายจะผ่องใส เรื่องของผ้ากว้างคืบยาวคืบขึ้นไป เขาจะมีเครื่องประดับเป็นทิพย์ แล้วก็พระพุทธรูป ผ้าจะเป็นจีวร จะเป็นสบงก็ได้ ตั้งแต่กว้างคืบยาวคืบขึ้นไป และก็พระพุทธรูปนี่จะทำให้มีรัศมีกายสว่างมาก เทวดาเขาวัดกันที่รัศมีกายว่าใครมีอานุภาพมากกว่า เพราะฉะนั้น ๓ อย่างนี้ขาดไม่ได้ อย่างอื่นจะขาดก็ขาดไปเถอะ