ถาม:  ผมจบปริญญาตรีหลายปีแล้ว ผมจะเรียนโท นั่งคิด เอ๊ะ...เราจะเรียนปริญญาโทดีไหม ? เรายังโง่อยู่เลย เกิดมาจากไหน ? ก็ยังไม่รู้ ตอนหลังพอได้สมาธิ ถามตัวเองได้ว่า ชาติที่แล้วเคยเกิดเป็นใคร ? พอรู้แล้วก็โอเค แต่ถามว่าตายแล้วไหน ? ยังไม่รู้เลย
      ตอบ :  โบราณเขาว่าไว้ "คนเราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกที่อยู่ไม่ได้ เลือกงานที่ทำไม่ได้ แล้วก็เลือกที่ตายไม่ได้" แต่ของพวกเราจริง ๆ แล้วเลือกได้ ๒ อย่าง เพราะส่วนใหญ่เกิดนี่เราเลือกแล้วว่า "เราจะเกิดอย่างไร ? ตายนี่ถ้าหากว่าเราตั้งใจทำ ตายแล้วก็ไปในที่ ๆ เราปรารถนา" เพราะฉะนั้น...อย่างพวกเรานี่เลือกได้ครี่งหนึ่งแล้วล่ะ ที่เหลือปล่อยมันเถอะ
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  สำคัญอยู่ตรงที่ว่า คนตรงเวลา สัจจะบารมีเต็ม ยืนยันเลย สัจจะบารมีพร่องนี่หาความตรงเวลาไม่ได้เลย นัดวันนี้มาวันนี้ได้ก็บุญโขแล้ว ไม่ต้องไปนัดเวลาหรอก มาตรงวันถือว่าใช้ได้แล้ว แต่ถ้าพวกสัจจะบารมีเต็มนี่เขาตรงเวลาเป๊ะ ๆ
      ถาม :  ผมพยายามบอกเด็กว่า "ปฏิบัติให้จริงแล้วจะเห็นผล ข้อสำคัญอย่าไปทำบ้างไม่ทำบ้าง ไม่เห็นผลหรอก ต้องทำให้จริง เชื่อมั่นให้จริง และต้องปฏิบัติให้จริงด้วย ให้อยู่ในศีล ทำสั่งสมไว้"
      ตอบ :  ตัวฉันทะไม่พอ หรือไม่ก็ไปใช้ในทางที่ผิด "อิทธิบาท" เครื่องมือช่วยให้ประสบความสำเร็จ ตัวฉันทะหลายคนมีพอนะ อาตมาเคยเห็นเขานั่งเล่นไพ่ข้ามวันข้ามคืนน่ะ ไม่กินไม่นอนไม่พอ ไม่เข้าห้องน้ำห้องส้วมอีกต่างหาก นั่นระดับนิโรธสมาบัติเลยนะโยม มันอยู่ของมันได้ เพราะว่ามันพอใจที่จะเล่น ถ้าพลิกกำลังใจนิดเดียว ใช้กำลังใจแบบนี้มาปฏิบัติธรรมนะ ไม่เกิน ๓ เดือนต้องได้อย่างน้อยพระโสดาบันขึ้นไป นั่นแหละ...เพียงแต่ว่าตัวฉันทะไม่พอ หรือไม่ก็พวกที่เพียงพอก็เอาไปใช้ผิดทาง
              ตัวใช้ผิดทางอาตมาเคยได้ดีมาครั้งหนึ่ง คือเราช่างสังเกต ตอนนั้นบวชใหม่ ๆ พรรษาแรก เพื่อนร่วมบวชก็สึกกันหมด เหลืออยู่แค่ท่านน้อย ก็เท่ากับ ๓๖ องค์เหลือ ๒ องค์ แล้วพรรษานั้นมีบวชนอกรุ่นของเราอีก ๑๐ องค์รวมแล้ว ๑๒ องค์ แล้วพระใหม่ทั้งหมด พอหลังกรรมฐานทุ่มครึ่งก็จะมานั่งฉันน้ำปานะกัน จะเป็นห้องยามที่คอยดูแลความเรียบร้อยของวัด จะมีพวกกาแฟอยู่ในนั้น ก็มานั่งฉันกันอยู่ คราวนี้ทิดหนูลูกชายโยมเอี๊ยง โยมเอี๊ยงเขาเป็นลูกศิษย์รุ่นเก่าแก่ของหลวงพ่อสมัยไปนิมนต์หลวงพ่อมาจากวัดสะพาน
              คราวนี้ลูกชายโยมเอี๊ยงนั่งอ่านหนังสือกำลังภายในอยู่ ขณะที่กำลังอ่านอยู่เพื่อนก็ส่งนมมา เฮ้ย...น้ำร้อนด้วย ส่งข้ามหัวไปข้ามหัวมา มันไม่รู้สึกอะไรเลย...! เรามอง ๆ เฮ้ย...สมาธิมันดีขนาดนี้เชียวหรือวะ ? เหมือนกับจมอยู่ตรงหน้าโลกภายนอกไม่รู้สึกเลยล่ะ เราก็โอ้โฮ...ฉันทะเหลือล้น วิริยะพากเพียร จิตตะจดจ่ออยู่นี่ไม่เคลื่อนไหนเลย ทำอย่างไรเราจะใช้กำลังอย่างนี้ได้บ้าง ? เราก็ลองไปอ่านหนังสือกำลังภายในดูบ้าง เฮ้ย...มันจริง ๆ เลยว่ะ สนุกอย่างนี้เองเล่า มันถึงได้สนใจ แล้วเราทำอย่างไรจึงปฏิบัติพระกรรมฐานให้สนุกสนานในลักษณะน่าสนใจอย่างนี้บ้าง ? ก็ต้องประยุกต์ เราก็มาเลยก่อนหน้านี้ภาวนาอย่างเดียว ตอนนี้ตูจับลูกประคำด้วย ภาวนาไปกี่จบ นับลูกประคำไปแล้วกี่รอบ อ่านหนังสืออีกเล่ม เนื้อหาหนังสือเป็นอย่างไร ? ต้องรู้ด้วย คือต้องเล่นให้สนุกให้ได้ แต่คนอื่นเขาคงไม่ไหวหรอกนะ รับรู้หลายอย่างพร้อมกันเกินไป บางครั้งกำลังใจไม่พอ แยกอาการรับรู้เยอะขนาดนั้นไม่ได้จะพาเสีย แต่ของเราตั้งใจจะเอาให้ได้อย่างนั้นพอทำไปทำมารุ่นน้องก็แปลกใจ หลวงพี่ครับอ่านหนังสือเรื่องอะไร ? ก็เล่าให้มันฟัง แล้วนั่นพี่ทำอะไร ? กูภาวนาอยู่ว่ะ นับลูกประคำด้วยหรือ ? เออ...! เขาถาม "รู้เรื่องได้อย่างไร ?" รู้เรื่องสิ นี่กูภาวนาไปแล้วกี่จบ ๆ ก็บอกกับมัน เสร็จแล้วบอกว่า "ผมจะทำบ้างได้ไหม ?" บอกว่า "ได้" "แล้วทำอย่างไร ?" อ้าว...เริ่มต้นคุณไปหัดเดินจงกรมก่อนนะ คุณเดินจงกรมพร้อมกับจับลมหาย เข้า-ออก ถ้ารู้ลม ๓ ฐานแล้วคุณเดินจงกรมได้แล้ว คุณมาบอกผม เดี๋ยวผมจะสอนให้ เขาก็ไปทำอยู่วันสองวัน ก็มาโวยวาย "หลวงพี่หลอกผมนี่ครับ" ถามว่า "อย่างไรวะ ?" "พอผมจับลม ๓ ฐานปุ๊บมันเดินไม่ได้ มันแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น" "เออ..ใช่ จะเป็นอย่างนั้นทุกคนแหละ พอรู้ลม ๓ ฐานปุ๊บ จะเป็นอาการของปฐมฌาน ปฐมฌานจิตกับประสาทเริ่มแยกกันแล้ว ถ้าเราไม่คล่องตัวจริง ๆ จะบังคับร่างกายไม่ได้" บอกว่า "คุณไปบังคับให้ได้ ถ้าคุณบังคับได้ เดี๋ยวผมจะต่อให้" ปรากฏว่าไอ้นั่นสึกเสียก่อน ไม่รู้ทำได้หรือยัง ? (หัวเราะ) คือถ้าหากว่าเรารู้ลมหายใจตลอด ๓ ฐานนี่จะเป็นปฐมฌาน ถ้าไม่ใช่ฌานใช้งาน ถ้าอยู่ในระหว่างการฝึกหัดนี่ ร่างกายจะหยุดการเคลื่อนไหวจะเคลื่อนไหวไม่ได้
      ถาม :  ผมรู้สึกว่าผมปฏิบัติไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร คือตรงนี้ผมว่าผมจับจนชินแล้ว เพราะตอนที่ผมไปรับมโนมยิทธินี่ ผมก็ไปรับที่ซอยสายลม แต่ตอนนั้นผมทำมโนมยิทธิตามที่เขาบอกว่า "เหมือนทดสอบน่ะ จิตเข้าพระนิพพานไหม ?" ผมบอก "ผมเห็น" "เห็นอย่างไร ?" ผมบอกครูว่า "เห็นที่พระพุทธเจ้าประทับ" "คุณเห็นที่ของคุณไหมบนพระนิพพาน มีไหม ?" ผมบอกว่า "มี" เขาบอก "ถ้าคุณจะถึงชาตินี้ คุณลองอธิษฐานว่า ถ้าคุณนอนขอหมอนมาประทับใต้คอคุณ คุณถึง" ผมบอก "ของผมเลื่อน" แต่คนที่นั่งด้วยกันของเขาไม่ได้ แต่ผมบอกว่า "ผมนอนนี่ หมอนมาถึง" แล้วผมก็ได้แค่นั้น แต่ผมมาที่บ้านผมก็มาปฏิบัติต่อ ก็เอาหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานของหลวงพ่อมาอ่าน แล้วปฏิบัติตามที่หลวงพ่อบอก แต่ผมก็ยังไม่มีอาการ หรือที่จะมีคนมาช่วยชี้แนะ
      ตอบ :  อันนี้ของโยมมีพื้นฐานแล้ว ของเราแค่ซ้อมความคล่องตัวเท่านั้น คราวนี้ลีลาการซ้อมความคล่องตัวน่ะ สมัยก่อนหลวงพ่อให้อาตมานั่งอยู่ข้างถนน หลับตาทำใจสบาย ๆ พอได้ยินเสียงรถมา ให้กำหนดจิตถามเลยว่า "รถมาสีอะไร ?" แล้วก็ลืมตา จะรู้เดี๋ยวนั้นเลยใช่ไหม ? ได้คำตอบในระยะสั้น ถ้าหากว่าถูก ให้จำว่าเราวางกำลังใจอย่างไร ถึงตอบถูก ถ้าหากว่าผิดไม่ต้องจำ ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถูกสัก ๘ คันใน ๑๐ คัน ก็เพิ่มรายละเอียดว่า "รถมาสีอะไร คนนั่งมากี่คน ?" ผู้หญิงกี่คน ผู้ชายกี่คน แต่ละคนใส่เสื้อผ้าสีอะไร ?" จนกระทั่งท้าย ๆ นี่รถทะเบียนอะไร ? เราก็บอกได้ รู้ขนาดนั้น หรือไม่ก็อีกอย่างคือว่า เราใช้วิธีแบบเอาสิ่งที่เราคุ้นเคยก่อน คือบ้านของเรานี่แหละ นั่งกรรมฐานทำใจสบาย ๆ นึกว่าความรู้สึกของเราทั้งหมดอยู่ข้างหน้าของเรา เป็นตัวตนของเรานี่แหละ อยู่ข้างหน้าเรา บอกให้ยืน ให้นั่ง ให้ซ้ายหัน ขวาหันเหมือนกับหัดแถวทหาร ให้เดินขึ้นหน้า เดินถอยหลัง เดินรอบตัวอะไรก็ได้ กำหนดใจให้ช้า ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นวูบเดียวจะครบรอบเลย เสร็จแล้วก็เออ...ไปเปิดประตูนะ ลงบันไดใช่ไหม ไปดูห้องครัวซิ ดูประตูหน้าต่างทีละบาน ๆ เดินรอบห้อง นั่งที่โซฟาบ้างเปิดประตูหน้าออก ไปเดินวนรอบบ้านสักรอบหนึ่ง สองรอบ สามรอบ ทำเป็นยามเลยก็ได้ ตอนนั้นจะชัดเจนมาก เพราะเราคุ้นเคยกับมัน
              คราวนี้ออกนอกประตูรั้ว ไปไหน ? ไปปากซอย ค่อย ๆ ไป ตรงไหนที่เราจำได้ กำหนดใจให้ชัดเจน จำไปเรื่อย ๆ คราวนี้พอไกลเกินจำล่ะสิ สิ่งที่เห็นน่ะรีบจดไว้ พอใกล้เกินจำแล้ว รู้เห็นอะไรรีบจดไว้ รุ่งเช้าไปดูว่าตรงกันไหม ? จะเป็นอย่างนี้ และถ้าเราทำอย่างนี้บ่อย ๆ โอ้โฮ...มโนมยิทธิชัดเจนมาก แล้วหลังจากนั้นไปไหนก็ไปเถอะ
      ถาม :  เมื่อไม่กี่วันนี้ ก็แปลกนะ หลวงพ่อ ผมเข้านอนหลับ แล้วแอร์เป่ามาที่ตัวผม ผมก็ทำสมาธิตอนนอนหลับกลางคืนภาวนา แต่ผมนึกเอาหลวงพ่อสดเป็นองค์ธรรมะ เพื่อภาวนาสัมมา-อรหัง เอ๊ะ...ภาวนาไปแล้วรู้สึกตัวเย็น ผมหายใจก็จะหมดไปเรื่อย ๆ มีความรู้สึก เอาวะ...! ตายก็ตายวะ เพราะเราก็ไม่ได้กลัวตาย เพราะพูดตั้งแต่ตรงนี้แล้วว่า "ทุกคนเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา" ก็นึกในใจว่า "ตายก็ตาย" ก็ไม่ห่วงอะไร ? ก็ภาวนาไป สักครู่เหมือนกับตัวเองไปอีกที่หนึ่ง แล้วไปเจอพ่อ แล้วพ่อก็บอกว่า "ไปปฏิบัติด้วยกัน" ในความรู้สึก แล้วผมก็ไปเห็นอะไรต่อมิอะไร แล้วก็แปลกดี ทำไมตั้งหลายปีแล้ว กรรมตรงนั้นหลุดไปเหมือนกับว่าไปเห็นอะไรอีกโลกหนึ่ง
      ตอบ :  ลักษณะนั้นน่ะ มีทั้งดีและก็ไม่ดี ดีก็คือว่า เราได้รู้เห็นอะไรแล้วบางอย่างเป็นกำลังใจให้เรารู้ว่า การปฏิบัติทำแล้วจะได้อย่างนั้นจริง ๆ แล้วอีกอย่างก็คือว่า ต่อไปถ้าทำแล้วอยากได้อย่างนั้นจะไม่ได้ ตัวอยากนี่ประเภทห้ามยากเหลือเกิน ส่วนใหญ่ทีทำก็คือ อยากจะได้อยากจะมี อยากจะเป็น ตัวอยากนี่ขอให้อยากแค่ตอนนั้น ตอนนั่งภาวนาอยู่ให้ลืมซะ ถ้าไม่ลืมไปไม่ได้เด็ดขาดเจ๊งทุกรายแหละ ตัวอยากเป็นอุทธัจจะกุกกุจจะ เป็นความฟุ้งซ่านยังเป็นนิวรณ์ คือเครื่องกั้นความดีอยู่ จะไม่เข้าถึงความดีที่แท้จริง
      ถาม :  ...................................
      ตอบ :  ไม่ใช่แต่คนนะ ที่ทำอะไรลวก ๆ ง่าย ๆ กระทั่งผลไม้ก็เป็น สมัยนี้เขารีบเก็บ โดยเฉพาะส้มนี่เห็นชัดเลย ส้มอ่อนทั้งนั้น ที่เขารีบเก็บแต่เขียว ๆ เพราะจะได้อยู่ในท้องตลาดได้หลายวัน ถ้าเก็บที่เหลืองแล้ว มาอยู่ตลาดได้วันสองวันก็จะเริ่มเหี่ยว พวกผลไม้นี้ก็เหมือนกัน สมัยนี้บ่มแก๊สทั้งนั้น สมัยก่อนนี่เขาไม่กินนะ เขาเรียก "มะม่วงจำบ่ม" เขาไม่เอากันหรอก อย่างน้อย ๆ ต้องบอกว่าสุกปากตระกร้อถึงจะเอา หมายความว่าต้องหัวเหลืองหรือก้นเหลืองอยู่บนต้น เขาถึงจะสอยมาบ่มกัน เพราะฉะนั้น...ที่เขาบอกอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ก็คืออาการอย่างนี้แหละ ทนอดเอาไว้หน่อย เดี๋ยวจะได้กินดีกว่านั้น แต่สมัยนี้แย่งกันขาย ใครออกก่อนได้ขายก่อน เลยกลายเป็นของไม่ดีจริงขึ้นมา ส่งไปต่างประเทศนี่ ชาวบ้านเขากิน เขาไม่รู้ว่าของที่ดีจริง ๆ เป็นอย่างไร ? แต่ถ้าใครเคยอยู่กับสวน เคยกินของกับต้นมาล่ะ หมดอารมณ์เลย
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  ส่วนที่ท่านทำดีจริง ๆ มี อย่างของพม่าก็เหมือนกัน ก็คล้าย ๆ กับของไทยนี่แหละ คือคนที่ทำดีก็ดีไปเลย คนที่ไม่เอาไหนก็เละไปเลยก็มี เราจะสังเกตว่า สังฆปรินายกทั้ง ๖ องค์ของจีนน่ะ นั่งมรณภาพทั้งนั้น บอกวันเดือนปีว่าจะตายเมื่อไร ? เวลาไหน ? ทุกองค์เลย แล้วจนบัดนี้สังขารก็ยังอยู่ไม่เน่าไม่เปื่อย เพราฉะนั้น...ที่ท่านทำดีจริง ๆ มีเยอะ เพียงแต่ว่าสมัยก่อนนี้คนดีก็มี คนไม่ดีก็มี มักใหญ่ใฝ่สูง สมัยก่อนการที่จะเป็นผู้นำโดยเฉพาะนิกายเซนของสังฆปรินายกทั้ง ๖ นี่ เขาเริ่มมาจากตั๊กม้อโจ้วซือ ก็คือท่านตะโมภิกขุ ท่านได้รับการสืบทอดบาตรและจีวร ไล่มาจากพระมหากัสสปสมัยประเทศจีนโน่น คนจีนเขาจะถือว่าพระมหากัสสปเป็นพระสังฆราชองค์แรก ไล่มา ๆ จนถึงท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ จะเป็นองค์ที่ ๓๓ เสร็จแล้วก็เริ่มนับ ๑ ในเมื่อเริ่มนับหนึ่งตอนที่ท่านตั๊กม้อโจ้วซือไปอยู่ที่เส้าหลิน นับ ๑ ก็เลยกลายเป็นเรียกว่า "สังฆราชองค์ที่ ๑" ของจีน เขาจะสืบทอดด้วยการมอบบาตร มอบจีวร ที่ได้มาตั้งแต่พระมหากัสสป พระมหากัสสปท่านได้สังฆาฏิจากพระพุทธเจ้า เลยถือว่านั่นเป็นเครื่องหมายของการมอบให้เป็นตัวแทนดูแลสงฆ์ และมอบกันต่อ ๆ มา พอมาจนถึงท่านลักโจ้ว คือสังฆปรินายกองค์ที่ ๖ คือท่านเหว่ยหล่าง ท่านเห็นว่าถ้าขืนทำแบบนี้ สมัยตัวท่านเองเกือบตายมาทีหนึ่งแล้ว ตอนที่สังฆปรินายก องค์ที่ ๕ มอบบาตร มอบจีวรให้ท่าน ท่านต้องหนีเข้าป่าเลย เพราะคนอยากได้ตามล่าเอา อยากจะเป็นใหญ่ ท่านเลยต้องหนีเข้าป่าเข้าดง ไปซุกอยู่ตั้ง ๒๐-๓๐ ปี กว่าจะกล้าออกมาประกาศธรรม ท่านเห็นว่า ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ต่อไปก็จะไม่อยู่ในลักษณะอย่างนี้แล้ว ถ้าหากว่าใครรู้ธรรม อยู่ในลักษณะที่ท่านเห็นว่าสมควร ท่านจะชี้ตัวเลยว่า ต่อไปให้คนนี้เป็น ไม่ต้องมีเครื่องหมายกันอีกแล้ว
      ถาม :  ยังไม่เข้าใจระหว่าง มหายาน กับ หินยาน ?
      ตอบ"มหายาน" ส่วนใหญ่มาสายพระโพธิสัตว์ ท่านตั้งความปรารถนาจะช่วยเหลือคนอื่น เลยกลายเป็นมหายาน ยานอันใหญ่เพื่อขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร ของพวกเรานี่มาสายสาวกภูมิ ตัดความปรารถนาเข้าพระนิพพาน เขาเรียกว่า "หินยาน" ยานเล็ก ยานแคบ ยานหยาบ เอาไปได้แค่ตัวคนเดียว
              สมัยก่อนพวกเราเขาเรียกว่า "เถรวาท" เพราะว่าพระมหากัสสปท่านระดมพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์มาทำสังคายนาพระไตรปิฎก พระอรหันต์ทั้งหมดคือ พระเถระ เถรวาท คือคำพูดพระเถระ แต่ละคนจดจำว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร ได้ก็เอามาประชุมรวมกัน พอตรงกันก็จารึกเป็นพระไตรปิฎก ก็เรียกว่า "เถรวาท" พอตอนหลังเขามีมหายาน เลยเรียกเราว่า "หินยาน"
              ประวัติพระพุทธศาสนานี่ยุ่ง ๆ ดีเหมือนกัน เขามีทำสังคายนาพระไตรปิฎกตั้ง ๗-๘ ครั้ง แต่ว่าเป็นที่ยอมรับจริง ๆ แค่ ๓ ครั้งแรกเท่านั้น เพราะว่า ๓ ครั้งแรกนี่ พระที่มาทำการสังคายนานี่ มั่นใจได้เลยว่าท่านดีแน่ พอครั้งหลัง ๆ นี่ บางท่านเป็นแค่นักปราชญ์ทางศาสนาเท่านั้น แค่จำได้ไม่ใช่ทำได้ เขาเลยกลัวว่าจะจำผิด
      ถาม :  สมมุติว่าการคิดพิจารณาตัณหา กับการคิดเรื่องอื่นซึ่งเป็นเรื่อง ๆ เดียว ถ้าเรื่องตัณหาก็เรื่องเดียว ถ้าสมมุติคิดเรื่องอื่นที่เป็นนอกรีตนอกรอยก็คิดเรื่องเดียว ทำไมอารมณ์ ๒ อารมณ์นี้หนักต่างกัน ?
      ตอบ :  อันหนึ่งเป็นอารมณ์ทางโลก อันหนึ่งเป็นอารมณ์ทางธรรม การพิจารณาอารมณ์ทางธรรมน่ะ จิตใจที่ดำเนินไปตามธรรมะ มีแต่ก้าวขึ้น จะเบาไปเรื่อย ๆ แต่เรื่องทางโลกนี่มีแต่คิดว่า คาดว่า ลงตัวยาก ตัดสินใจให้เด็ดขาดไม่ได้เหมือนกับอารมณ์ธรรมะ เท่ากับต้องแบกอยู่ตลอด เพราะฉะนั้น...ในการคิดทางโลกก็จะหนักกว่า ขณะที่คิดทางธรรมแล้วเบากว่า เพราะอันหนึ่งมองเห็นจุดจบ อีกอันหนึ่งมองไม่เห็นจุดจบ คิดว่าถ้าทำอย่างนี้แล้วเขาจะดีกับเรา คิดว่าทำอย่างนั้นแล้วเขาจะชอบใจเรา เสร็จแล้วก็ได้แต่คิดว่า คาดว่า ไม่แน่ว่าจะเป็นอย่างนั้น ก็มานั่งกลุ้ม (หัวเราะ)
      ถาม :  ......................................
      ตอบ :  อันหนึ่งเราจะต้องไปนั่งขุดดินฟันหญ้าเอง เพื่อจะปรับถนนให้มันไป แต่อีกอันหนึ่งพระพุทธเจ้าท่านปรับเอาไว้เป็นซุปเปอร์ไฮเวย์แล้ว เรามีหน้าที่เดินตามอย่างเดียว ง่ายกว่ากันเยอะ (หัวเราะ)
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  นายนิรบาลนี่แปลกนะ คือท่านไม่เคยยินดีในบาปของคนอื่น จะต้องทำความดี ความชั่วมาก้ำกึ่งกัน ไปดีก็ไม่พอ ไปชั่วก็ไม่พอ เออ...! อยู่แค่นั้นแหละ ไม่ได้ลำบากไปกับไฟนรก แต่ในขณะเดียวกันก็เหนื่อยไปกับการทรมานสัตว์นรก แต่ถ้าดีไม่มี ชั่วไม่ เห็นเขาทำชั่วแล้วพลอยยินดีก็เกิดอยู่นั่นเลย ก็เป็นนายนิริยบาลเหมือนกัน
              คราวนี้เรื่องนายนิริยบาลมีอยู่ของหลวงปู่ศรีจันทร์ เจ้าคุณเทพสิทธาจารย์ ตอนนั้นท่านเป็นพระครูสรภาณกวี ท่านพระครูสรภาณกวีหลังจากสวดมนต์ทำวัตรเสร็จ ก็นั่งจับลมภาวนาอยู่หน้ากุฏิตัวเอง เป็นเก้าอี้เอน เอนครึ่งนั่งครึ่งนอน อยู่ ๆ ได้ยินเสียงดัง ปัง...! เหมือนกับใครขว้างของหนัก ท่านก็คิดว่า "เออ...! คงจะเป็นข้าวของที่พวกช่างก่อสร้างเผลอวางไว้ข้างบนไม่ได้เก็บ โดนลมตีหล่นลงมากระมัง" แต่เปล่า พอเงยหน้าขึ้นดู โอ้โฮ...! คนอะไรวะ สูงตั้ง ๓-๔ วาได้ (หัวเราะ) นุ่งแดง ใส่แดงยืนอยู่ ยืนมองเบิ่งอยู่เฉย ๆ ท่านก็มองเขา ถามว่า "ตอนนั้นท่านกลัวไหม ?" ท่านบอกว่า "ไม่ได้หวั่นไหวอะไรนะ" แต่แปลกใจ ก็นั่งมองมัน มันก็ยืนมองท่าน มองกันไปมองกันมา มองกันจนเซ็ง ท่านก็เลยบอก "เออ...ถ้าไม่มีธุระอะไร ? ก็จะเข้ากุฏิแล้วนะ" ท่านเข้ากุฏิก็ปิดประตู ก็กราบพระจะจำวัดแล้ว กลางคืนแล้วนี่ พอกราบพระเสร็จหันมา พ่อเจ้าประคุณเดินทะลุประตูเข้ามา...! ถามว่า "โยมเป็นใคร มีธุระอะไรล่ะ" เขาบอกว่า "ผมยมฑูตครับ มาตามนักโทษของผม" "แล้วนักโทษของโยมมาจากไหน ?" "หนีมาจากนรกครับผม เผลอหน่อยเดียว มันหนีเลย" บอกว่า "แล้วมันอยู่ที่ไหน ?" เขาบอกว่า "มันอยู่ในวัดของพระคุณท่านครับ ผมเกรงใจพระคุณท่านครับ จึงได้มาบอกก่อน" "แล้วเป็นใคร" บอกว่า "สามเณรสุ" ท่านเจ้าคุณที่เป็นพระครูตอนนั้นท่านถามว่า "แล้วมีหลักฐานอะไรล่ะ ?" แกก็เอากระดาษแผ่นหนึ่งเป็นรูปของสามเณรสุ มีรอยหมึกป้ายอยู่ใต้คาง แล้วก็อยู่ใต้รักแร้ซ้ายขวา ชายโครงซ้ายขวา ๕ รอย มีเครื่องหมายด้วย เพราะว่าพวกนักโทษนี่เขาทำเครื่องหมายไว้แล้ว ถ้าไม่ได้ผ่านการลงโทษไปก่อน เครื่องหมายจะยังติดตัวอยู่ พระคุณท่านเป็นอุปัชฌาย์ภาษาอะไร บวชใครก็ไม่สืบให้ดีเสียก่อน เล่นเอาท่านเจ้าคุณเซ็งไปเลย เฮ้ย...อาตมาเป็นอุปัชฌาย์คนโว้ย ไม่ใช่อุปัชฌาย์ผี โยมทำหน้าที่ไม่ดี นักโทษหนีมาโทษอาตมาอีก ก็ไม่รู้ล่ะ ก็พระคุณท่านบวชให้เขาไปแล้ว นี่จะมาเอาชีวิตเขาคืน บอกว่า "ขอไว้ไม่ได้หรือ ?" เขาบอกว่า "ไม่ได้หรอก ผิดระเบียบ" ถ้าผมเอาไปไม่ได้ ผมก็โดนลงโทษแทน ที่มาบอกเพราะว่าเกรงใจ เห็นท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถามว่า "จะเอาไปเมื่อไร ?" บอกว่า "พรุ่งนี้เย็น" เสร็จแล้วท่านก็ลาหายไปเลย พอหายไปเฉย ๆ ท่านเองท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร พอตอนเช้าปรากฏว่าสามเณรสุไม่ได้ทำวัตรเช้า เพื่อนเณรด้วยกันบอกว่า "เขามาไม่ไหวครับหลวงพ่อ อยู่ ๆ ตื่นนอนขึ้นมาจะสรงน้ำเตรียมทำวัตร อยู่ ๆ ก็ถ่ายท้องจนหมดแรง นอนกองอยู่ในกุฏิเลย" ก็ไปดูกันเห็นนอนอยู่ ฝนยาทายาอะไรก็ไม่มีทีท่าจะดีขึ้นเลย ฉันอะไรก็ฉันไม่ได้ หยอดน้ำข้าวต้มก็ไม่ลง ตอนเย็นก็ตาย พอตายเขาจัดการศพ จัดการอาบน้ำศพ ท่านแอบพลิกคางดู ยกแขนดู เห็นรอยเป็นปานดำ ๆ อยู่ ๕ ที่ ตามรอยที่เขาเอาหมึกป้ายไว้เลย แสดงว่าเผลอเมื่อไรก็หลุดเหมือนกัน ทำเป็นเล่นไปนะ หลุดมาครู่เดียวอายุเกือบ ๒๐ เพราะว่าเวลาของตำหนักพระยายมเขานี่ วันหนึ่งของเขาเท่ากับ ๕๐ ปีของเราแล้ว หลุดมาเกือบครึ่งวัน กว่าจะตามเจอ
      ถาม :  ทำไมหาไม่เจอ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่หาไม่เจอ กว่าจะรู้ เพราะว่าแต่ละวัน ๆ คนตายเยอะ อย่างไม่มี ๆ วันหนึ่งก็ ๑,๐๐๐ กว่า ไม่ใช่ว่าตายเฉพาะประเทศเรา อ๋อ...พวกโดนต้มแล้วลอกหมด ไม่มีรอยแล้ว ไม่ต้องไปพลิกคางเขาดูหรอก ยิ่งพวกลงกระทะทองแดงไปแล้วไหมหมดแล้ว