สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมิถุนายน ๒๕๔๖
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ถาม: .............................
ตอบ : หลวงพ่อฤๅษี : ร่างกายของเรามันทุกข์ใช่ไหมครับ ?
หลวงปู่บุดดา : ทุกข์สิ
หลววงพ่อฤๅษี : แล้วหลวงปู่โง่เกิดมาทำไม ?
หลวงปู่บุดดา : ก็ ๆ มันโง่นี่
พระระดับหลวงปู่บุดดานี่ติดไป ๒ ก็
หลวงพ่อท่านเร็วเหลือเกิน ประเภททิ้งตูมเลย ตั้งหลักไม่ทันก็โดนน็อคแน่ นั่นแหละถึงเวลาท่านก็นั่งยิ้ม แน่จริงลุกขึ้นมาคุยกันสิ ต้องไปท้าตอนนั้น ท้าตอนเป็น ๆ กลัวโดนต้อน
ถาม : บุญฤทธิ์เกิดได้เฉพาะพระอริยเจ้าหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ของเราก็เกิดได้ บุญฤทธิ์เกิดจากการสั่งสมความดีมาถึงระดับหนึ่ง เมื่อถึงระดับนั้นความดีจะช่วยได้ ถ้าหากว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ต้องถึงกำลังพระอริยเจ้าก็ได้ อย่างเรา ๆ ทั่วไปอย่างนี้ อย่างเช่นว่า บางเรื่องน่าจะจัดการเรียบร้อยไปได้เราก็สามารถทำให้เรียบร้อยลงได้ เป็นฤทธิ์อย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ว่าถ้าเป็นของพระอริยเจ้าของท่านประมาณกันยาก ความดีท่านสูงเหลือเกิน
บุญฤทธิ์นี่ตัวอย่างที่เห็นชัด ๆ ก็คือ เขาว่ามีอยู่สมัยหนึ่งพญามารต้องการจะกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า บันดาลให้เกิดพายุพัดกรรโชก ไฟดับหมดทั้งเมืองสาวัตถีเลย เพราะพระพุทธเจ้าท่านจะแสดงธรรมตอนค่ำใช่ไหม พญามารเขาแกล้ง แกล้งให้คนลำบาก ปรากฏว่ามีกระต๊อบเล็ก ๆ อยู่หลังหนึ่งจุดเทียนอยู่ดวงหนึ่ง หญิงชรากำลังนั่งปั่นด้ายอยู่ พญามารพยายามใช้กำลังสักเท่าไร บันดาลให้เกิดพายุรุนแรงขนาดไหน เขาบอกว่าอย่าว่าแต่ดับเทียนดวงนั้นเลย กระทั่งทำให้เปลวเทียนสั่นไหวยังทำไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสว่า เป็นบุญฤทธิ์ เพราะว่าอะไร ผู้หญิงแกไม่มีโอกาสที่จะไปกราบพระพุทธเจ้าถึงเชตวันมหาวิหาร แกตั้งใจจุดเทียนดวงนั้นบูชาพระพุทธเจ้า แล้วแกก็ปั่นด้ายของแกไปด้วย
ถาม : ทำอย่างไรจะได้บุญฤทธิ์ ?
ตอบ : ตั้งใจในการปฏิบัติ ในทาน ศีล ภาวนา ไปเรื่อย ๆ ถ้าทำพอมันได้เลย พูดเหมือนกำปั้นทุบดิน ตอบเหมือนกับไม่ตอบใช่ไหม จริง ๆ ก็คือการสั่งสมความดีทุกประเภทของเรารวม ๆ กันก็จะเป็นบุญฤทธิ์
แต่คราวนี้ลักษณะการทำนายของคน เราก็พิจารณาดูก่อนอย่างเพิ่งเชื่อทีเดียว แม้ว่าท่านจะเป็นักบวชหรือเป็นอะไรก็ตาม ถ้าหากว่าสิ่งนั้นไม่ขวางกับมรรคกับผลของเราจริง ๆ เราขั้นสูงแต่ว่าถ้ามัวแต่ติดอยู่ มันไม่ก้าวหน้าเราก็ละเสีย ทำตามที่ท่านบอก
ถาม : ในการปฏิบัติของเรา ใจเรายึดมั่นอยู่แล้วก็ส่วนหนึ่ง จะทรงบ้างหลุดบ้าง เป็นธรรมดาใช่ไหมคะ เพราะเรายังไม่ถึงที่สุด ?
ตอบ : เป็นธรรรมดาจ้ะ เราก็เน้นเอาตอนช่วงเช้าสิ ช่วงเช้ากับก่อนนอน ตั้งใจปวารณาตรวจสอบศีลของเราทุกข้อว่าบริสุทธิ์นะ เสร็จแล้วก็พิจารณาร่างกายให้เห็นว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ก่อนที่เราจะนอนหรือว่าก่อนที่เราจะไปทำงานทำการ แล้วถ้าตายลงตอนนี้ลูกขอไปพระนิพพาน ถ้าตั้งกำลังใจเกาะพระนิพพานได้ ก็ภาวนาให้อารมณ์ทรงตัวแล้วจะหลับไปเลยหรือจะทำงานทำการก็เชิญ ตั้งเป้าเอาไว้อย่างนี้แล้ว ถึงเวลาถ้ามันตายมันก็ไปเลย
ถาม : สมมติตอนนอน เรามีความรู้สึกว่าเห็นตรงที่ว่าก็เลยกราบขอขมาพระรัตนตรัยให้เราบริสุทธิ์ก่อน เพราะเราไม่รู้ว่าเกิดหลับแล้วตายไปช่วงเช้าก็เหมือนกันก็ขอขมาพระรัตนตรัย เพราะว่าเผื่อเราออกมาเผื่อตายไปใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จ้ะ ตอนอื่นช่างมัน ถ้าหากว่าตั้งเป้าเอาไว้ก็เหมือนกับจองตั๋วรถแล้ว ถึงเวลากระโดดขึ้นไปเถอะรถมันจะไปทางไหนก็ลงปลายทางจนได้
ถาม : ทุกวันนี้ตัวเรามีความทุกข์มาก และที่ผ่านมาก็มีความทุกข์มาก ทั้งด้านการเงินทอง เรื่องลูก ไม่ทราบว่ามีใครมากลั่นแกล้งให้ชีวิตต้องตกต่ำอย่างนี้ สรุปความว่าสภาพที่เป็นทุกข์ในปัจจุบันนี้ใครเป็นคนทำ ?
ตอบ : เราทำตัวเราเอง เรื่องของกรรม ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราในปัจจุบันนี้ อดีตเราทำมาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถ้ามันไม่ดีมากก็ให้รู้เถอะว่าอดีตเราเกเรเอาเรื่องทีเดียวแหละ ตัวเราทำเอง ไม่ใครทำหรอก
ถาม : เขาบอกว่าศิลปะเป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจคนให้อ่อนโยน ตัวอย่างข้อ ๑. การเต้นคอนเทมโพรารี่ เวลาเปิดงาน ชาย-หญิง ใส่ชุดรัดรูปยกแข้งยกขา แล้วก็ดูไม่รู้ความหมาย ข้อ ๒. การลีลาศ กีฬาลีลาศ ผู้บรรยายเขาบอกว่าถ้านักเต้นผู้หญิงมีลีลายั่วยวนก็จะยิ่งได้คะแนนดี ศิลปะแบบใดคือเครื่องขัดเกลาจิตใจคนเราให้อ่อนโยนครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเรื่องของศิลปะนั่นคือ สิ่งที่เราสัมผัสได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คราวนี้สิ่งที่สัมผัสนี่ถ้าหากว่าสัมผัสแล้วเกิดความรู้สึกที่อ่อนโยน ที่ผ่อนคลาย หรือว่าเกิดความรู้สึกทางปัญญาขึ้นมา สามารถพิจารณาเห็นจริงได้ อะไรได้ ถ้าอย่างนั้นศิลปะอันนั้นเป็นเครื่องขัดเกลาจริง ๆ แต่ว่าส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ไม่ใช่ความหมาย เขาแปลความหมายยังเหมือนเดิม แต่ว่าจิตใจคนเร่าร้อนด้วยเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ เขาก็จะมีการแปลงมากขึ้น ๆ จะสังเกตไหมว่าสมัยโบราณของเราก่อนหน้านี้ รุ่นของเราสมัยเด็ก ๆ ก็แล้วกัน สมัยนั้นเขารำวงใช่ไหม ? โอกาสจะถูกตัวกันยังไม่มีเลย ป้อกันไปป้อกันมาแค่นั้นเอง ขนาดแค่นั้นสมัยก่อนเขาก็ว่าแย่แล้ว ลองมาดูสมัยนี้กันสิ เขาดิ้นกันอยู่ในเทค บางทีเสื้อผ้าอาภรณ์เขาไม่เอาเสียด้วยซ้ำไป อันนี้ไม่ใช่เรื่องของศิลปะ แต่ว่าอยู่ที่เรื่องของคน เขาต้องการอย่างนั้นเพราะว่าจิตใจเขาย้อมด้วย รัก โลภ โกรธ หลง เสียแล้ว จะไปบอกว่าศิลปะเสื่อมทรามลงก็ไม่ได้ จิตใจคนต่างหากที่เสื่อมทรามไป แทนที่เขาจะไปเอาสิ่งที่ดี ๆ
อย่างอาตมาไม่ต้องใครหรอก ญาติโยมเขาซื้อเทป ซีดีให้ เราก็ฟังไม่เป็น ของใหม่ฟังไม่รู้เรื่องอะไรของเขาก็ไม่รู้ เพลงสมัยก่อนเขาใช้เสียงนำดนตรี นักร้องทั้งชายทั้งหญิงถ้าเสียงไม่ดีจริงร้องเพลงไม่ได้ แต่สมัยนี้เขาใช้ดนตรีนำเสียงให้จังหวะมันเข้าไว้ เนื้อหาจะได้เรื่องไม่ได้เรื่อง เสียงจะแหบเป็นเป็ดอย่างไรก็ช่าง แหกปากตะโกนไป สนุกไปเอง ทำให้ขาดอรรถรส ขาดศิลปะ ขาดอะไรสารพัด เวลาโยมเขาซื้อให้ก็ฟังได้แต่เพลงเก่า ๆ ซีดีเพลงติดไว้ที่รถ เด็ก ๆ ขึ้นไปถึงก็เสียงฟังซีดี แล้วก็ร้อง ว้า! หลวงพ่อมีแต่เพลงเก่า ๆ คราวนี้แค่ช่วงจังหวะชีวิตของคนเท่านั้นเอง ศิลปะก็โดนแปลงไปขนาดนั้นแล้ว แล้วลองนึกถอยหลังไปอีกทีสิ สมัยเด็ก ๆ ใครเรียนวิชาขับร้องบ้างล่ะ กว่าจะเอื้อนจบแต่ละประโยคหลับไปสามตื่น อย่างนั้นนะจิตใจเขาจะเย็นจริง ๆ ถ้าคนใจร้อนทำไม่ได้ กว่าจะเล่นดนตรีจบเพลงต่อกันเป็นปี สมัยก่อนเขาไม่มีตำราเป็นชิ้นเป็นอัน
อย่างสมัยนี้เขาเรียกต่อเพลง ต่อเพลงก็คือว่าค่อย ๆ เล่นให้ฟังท่อนหนึ่ง พอลูกศิษย์เล่นได้แล้วอาจารย์ก็เล่นให้ฟังอีกท่อนหนึ่ง เขาต้องต่อไปเรื่อย ๆ อย่างนี้
เพราะฉะนั้นเรื่องของศิลปะ ความงดงาม ความไพเราะ การกล่อมเกลาจิตใจให้เยือกเย็นก็ปรากฏขึ้น แต่ปัจจุบันแปลงความหมายไปเยอะ เพราะจิตใจคนเริ่มร้อนรุ่มขึ้น ไปตามรัก โลภ โกรธ หลง ที่เขามีมา ที่คุณยกตัวอย่างมานี่กลายเป็นของใหม่แล้วนะ ไม่ต้องพูดถึงสมัยปู่ ย่า ตา ทวด ของเรา เอาแค่สมัยของเราจากรำวงกับเต้นแร็พก็คนละโลกกันแล้ว เพราะฉะนั้นสรุปได้ว่าศิลปะยังคงกล่อมเกลาชีวิตจิตใจของเราได้อยู่ เพียงแต่ว่าเขาเอาไปใช้ผิดเสียแล้ว
ถาม : มีคนเขาไปด่าพวกไฮโซไซตี้ หรือพวกสังคมชั้นสูงว่าเป็นพวกฟีเวอร์ ดัดจริต อวดร่ำอวดรวย แต่คนพวกนี้บางส่วนเขาทำงาน หรือบริจาคเป็นสาธารณประโยชน์ โดยเสด็จพระราชกุศลแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีเป็นจำนวนมาก พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้กล่าวไว้ว่าถ้าอยากบารมีเต็มเร็วให้ทำบุญโดยเสด็จพระราชกุศล ตามความหมายนี้ข้อเท็จจริงเป็นประการใด ?
ตอบ : อันนั้นหมายถึงว่าเราทำบุญโดยเจตนาบริสุทธิ์นะ ตั้งใจทำบุญเป็นบุญจริง ๆ สิ่งที่ทำไปแล้ว ในหลวงท่านเอาไปช่วยคนทั้งประเทศ จะเรียกว่าสังฆทานประเภทหนึ่งก็ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่สงฆ์โดยตรงก็ตาม บุญก็มหาศาล แต่ว่าบรรดาไฮโซอย่างที่คุณ ถึงเขาจะบริจาคก็จริง อะไรก็จริง แต่ถ้าไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีกล้องถ่ายรูป รู้สึกว่าเขาไม่ค่อยอยากจะทำกัน มันไม่ใช่การทำออกจากใจจริง ทำโดยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ถามว่าได้บุญไหม ? ได้ แต่ว่าบุญนั้นไม่เต็มร้อย เหตุที่ไม่เต็มร้อยเพราะว่า การทำบุญผลจะเต็มร้อยก็คือ เจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ อันไหนบกพร่องก็ตัดออกไปตามส่วน
คราวนี้ของเขาเริ่มต้นก็เจตนาไม่บริสุทธิ์แล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าบุญได้ไหม ? ได้แต่ว่าไม่เต็มร้อย ก็บกพร่องลงไปตามส่วน ตัวใครตัวมันดีที่สุด อัตตนา โจทยัตตานัง เตือนตนด้วยตนเองดีกว่า
ถาม : สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ยืมเงิน เขามีหลักในการนำเสนอโครงการลงทุนเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้กู้กับธนาคาร โดยการทำแผนเสนอประกอบด้วย ลักษณะที่มาของโครงการ การบริหารงาน การตลาด ลักษณะเทคนิคด้านโครงการและวิเคราะห์ทางด้านการเงิน
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าผู้มีปัญญาจะหาทรัพย์ได้ มีผู้ประกอบการหลายรายนั่งร้องไห้คร่ำครวญเมื่อธุรกิจล้มเหลวประการหนึ่ง สรุปแล้วว่าถ้าเอาเฉพาะชาตินี้ บุคคลผู้ทำมาหากินประกอบด้วยความเพียร แต่ไม่เคยสร้างสมบารมีในชาติก่อนมาเลย หรือมีน้อย จะสำเร็จหรือไม่ ?
ตอบ : โอกาสสำเร็จยาก เพราะว่าสิ่งที่เรากระทำแล้วจะได้ผลสมดังใจก็ต้องมี บุพเพกตปุญญตา คือบุญที่เราเคยทำแต่ปางก่อนมาด้วย โดยเฉพาะเรื่องของบุญ ทาน ศีล ภาวนา โดยเฉพาะทานจะส่งผลให้ร่ำรวย เรื่องของภาวนาทำให้คนมีปัญญา
คราวนี้ลักษณะที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า บุคคลผู้มีปัญญาย่อมหาทรัพย์ได้นั้น หาในลักษณะที่เรียกว่าได้มาถูกต้องตามศีลตามธรรม ไม่ได้ประกอบไปด้วยความโลภ เป็นการทำมาหากินที่เป็นสัมมาอาชีวะปกติ แต่คนในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ทำแล้วหวังรวยทีเดียว หวังรวยเร็วด้วย ก็เลยต้องลงทุนเป็นจำนวนมาก การลงทุนเป็นจำนวนมากถ้าพลาดแล้วพลาดเลย โอกาสแก้ตัวไม่มี
ตัวอย่างในธรรมบทที่่บอกว่า มีเศรษฐีคนหนึ่งเห็นหนูตายอยู่กลางถนน ยืนพิจารณาแล้วก็บ่นว่า ถ้าหากว่าใครมีปัญญาแม้แต่ซากหนูตายนี้ก็สร้างคนเป็นเศรษฐีได้ คนอื่นได้ยินก็เฉย ๆ แต่มีชายคนหนึ่งรู้ว่าเศรษฐีคนนี้เขาเกงจริงๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาพูดต้องเป็นไปได้ แกก็เลยเก็บเอาซากหนูนั้นไป แล้วไปเจอบ้านของอีกคนหนึ่งเขาเลี้ยงแมวอยู่ ก็เอาซากหนูไปเสนอให้เขา ๆ บอกว่าเขาก็ไม่รู้จะซื้ออย่างไร ในเมื่อเอามาให้เป็นอาหารแมวก็รับไว้ก็แล้วกัน เขาบอกให้ทรัพย์ไปกากนึกหนึ่ง ก็เท่ากับชิ้นเนื้อที่กาคาบไปได้ มีราคาประมาณแค่นั้น แกก็เอาอันนั้นไปซื้อน้ำอ้อย แล้วถึงเวลาก็ตักน้ำไปรออยู่หน้าประตูเมือง เพราะรู้ว่าบรรดาพวกที่ไปหาดอกไม้ในป่าเอามาขายเขายจะผ่านตรงนั้น พอมาก็แจกน้ำดื่มพร้อมกับน้ำอ้อยให้คนละนิดอย่างละหน่อย คนที่เหนื่อยมาได้ดื่มน้ำหวานหน่อย ได้ดื่มน้ำเย็นหน่อยก็ชื่นใจใช่ไหม เขาก็แบ่งดอกไม้ให้คนละกำ ๆ แกก็จัดแจงเอาดอกไม้ไปขาย ได้เงินเยอะขึ้น พอได้เงินเยอะขึ้นคราวนี้แกไม่ไปนั่งรออย่างนั้นแล้ว แกตั้งหม้อน้ำไว้รอให้เขาดื่ม แต่ว่าตามเข้าไปถึงที่ ๆ เก็บดอกไม้เลย ขอมีส่วนแบ่งบ้าง แกมีเงินแล้วนี่ เขาก็เลยยกดอกไม้ให้แกต้นหนึ่ง ให้แกมีหน้าที่เก็บจากต้นนั้นไป ก็มีเงินมาให้เขาแล้วนี่ แกก็เอาไปขาย พอเอาไปขายได้เงินมาแกก็หาช่องทางอีก
ปรากฏว่าวันนั้นพอดีเกิดพายุ ต้นไม้ในสวนอุทยานก็โค่นไปเสียจำนวนมาก พอโค่นเป็นจำนวนมากเขาก็อาสา ไปถึงก็อาสา คนเฝ้าสวนของพระราชานี่ถือว่าเป็นข้าราชการ บอกว่าขออนุญาตช่วยสะสางอุทยานให้สะอาดเรียบร้อย แต่ว่าไม้นี่ขอได้ไหม เขาบอกว่าได้ เอาอย่างนั้นก็ได้ ทีนี้ก็เอาเงินที่มีอยู่ไปซื้อพวกงบน้ำอ้อยมาไล่แจกเด็ก เด็กกำลังเล่นกันเกรียวเต็มไปหมดเป็นร้อย ๆ เลย พอเด็กได้ก็เลยถามว่า ลุงทำไมใจดีขนาดนี้ ไม่มีอะไรหรอก อยากขอใช้แรงหน่อย ช่วยกันขนไม้ให้หน่อย ทีนี้พวกเด็ก ๆ กพอกินของเขาเข้าไปแล้วก็ไปช่วยกันขนไม้มาบานเบอะเลย ตัดทอนเป็นท่อนเรียบร้อยแล้วก็เอามากองไว้ข้างประตูเมือง ก็พอดีว่าพวกบรรดาช่างปั้นหม้อเขาตั้งกองฟืนเอาไปเผาหม้อของเขา มาถึงเจอกองฟืนอยู่ก็ถามหาเจ้าของ พอรู้ก็ขายให้ ได้เงินมาจำนวนมากแกก็ไปกว้านซื้อหญ้า บ้านใครมีหญ้าขนมาหมด เพราะแกไปได้ข่าวมาแล้วว่า จะมีขบวนเกวียนของพ่อค้าจากต่างเมืองมา แกจัดการกว้านซื้อหญ้าเสียเกลี้ยงเลย ไม่ได้เอาไปไหนด้วย เอาไปตั้งไว้ใกล้ ๆ ประตูเมืองทางเข้าให้เขาเห็นนั่นแหละ จ้างเด็กเฝ้าไว้บอกว่าถ้าใครถามว่าเป็นของใคร ก็ให้บอกว่าเป็นของเขา ถ้าจะซื้อค่อยมาตกลงกัน เขานอนผึ่งพุงอยู่กับบ้าน เพราะพ่อค้าขนเกวียน ขนอะไรมา มีม้า มีวัว ก็ต้องใช้ใช่ไหม ? มันต้องกินหญ้าอยู่แล้ว พอเห็นเข้าก็ดีใจคิดว่า เออ! หญ้าหาง่าย ปรากฏว่าพอรู้ว่าเขาจะขายก็คิดว่า เออ! เราเกี่ยวเองไม่ต้องเสียเงินดีกว่า ปรากฏว่าตานี่กว้านซื้อเสียหมดเมืองแล้วจะไปเกี่ยวที่ไหนก็ไม่ได้ ก็เลยต้องไปซื้อเขา พอเขาได้เงินมาเขาก็คิดว่า เออ! ตอนนี้เราพอมีทรัพย์อยู่จำนวนหนึ่งแล้ว แกก็ใช้วิธีว่าไปผูกสัมพันธ์กับบรรดานายท่าบาง ถ้ามีเรือกำปั่นเรือสินค้าเข้ามาให้แจ้งแกก่อน พอดีมีเรือสินค้าเข้ามา ตานี่ก็จัดแจงเช่าวออย่างดี จ้างคนแบกไปทำท่าเต๊ะจุ๊ยเป็นเศรษฐีใหญ่ ไปถึงก็สอบถามราคาสินค้านี้ราคาเท่าไร ถ้าหากว่าฉันจะซื้อเหมาลำเลยลดราคาให้เท่าไร เขาก็ตกลังกันว่าถ้าซื้อเหมาลำลดให้เท่านี้ เขาบอกขอไปปรึกษาคนทางบ้านก่อน แต่ความจริงไม่ได้ปรึกษาคนทางบ้านหรอก ไปถามว่ามีใครต้องการสินค้าประเภทนี้บ้างไหม แกจะขายในราคาที่มีราคากำไรที่เหมามาหน่อยเดียว คนไม่เคยได้ยินของราคาถูกก็แย่งกันซื้อ พอเขาวางมัดจำมาก็เอาเงินมาให้เจ้าของสินค้า ก็เลยกลายเป็นพ่อค้าคนกลาง กินวิธีนี้ไปเรื่อย ๆ ก็รวยขึ้น
พอรวยขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งรวยถึงระดับที่น่าพอใจ แกก็กลับไปเอาพวกบรรดาข้าวของ ของขวัญอะไรที่แปลก ๆ จากต่างเมืองไม่เคยมี เอาไปให้กับเศรษฐีคนนั้น คนที่รำพึงว่าคนมีปัญญาแม้แต่ซากหนูตัวหนึ่งก็สร้างตัวได้ เศรษฐีคนนั้นก็สงสัย พอถามแก ๆ ก็เล่าให้ฟัง จริง ๆ แล้ว เศรษฐีคนนั้นก็แค่บ่นเฉย ๆ ตัวเองลืมไปแล้วเสียด้วยพอได้ยินว่าคนเขาสร้างตัวเป็นมหาเศรษฐี แม้แต่ซากหนูจริง ๆ เออ! มันต้องคนอย่างนี้สิ เขาถามว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เขาบอกว่าไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ พ่อแม่ตายหมดตั้งแต่เด็กแล้ว ต่อสู้ชีวิตมาลำพัง เขาก็เลยพูดว่า ถ้าอย่างนั้นให้ไปอยู่กับเขานะ ให้ไปช่วยกิจการของเขา อันนี้เศรษฐีจริงชวนเศรษฐีใหม่ เขาว่างานของเขาเยอะมากเกิน ต้องการคนช่วยจะช่วยได้ไหม แล้วเขามีลูกสาวอยู่เขาพร้อมจะยกให้ รายนี้ก็เลยตกลง กลายเป็นประเภททองแผ่นเดียวกันก็คือ รวยกับรวยแต่งงานกัน ถึงเวลาเศรษฐีนั้นท่านก็ล้างมือในอ่างทองคำ ปล่อยให้ลูกเขยกับลูกสาวช่วยกันค้าขาย ร่ำรวยเงินทองใหญ่โตไปเลย
พระพุทธเจ้าท่านถึงได้บอก ผู้มีปัญญาย่อมหาทรัพย์ได้ แต่รายนี้เขาหาได้ในลักษณะที่ว่าค่อยเป็นค่อยไป แต่สมัยของเราก็กู้ เริ่มต้นก็เป็นหนี้เขาแล้ว เรื่องการเป็นหนี้ต้องถามคนจีนรุ่นเก่า ๆ โอ้โห! ไม่ยอมเป็นหนี้ใครเลย สู้แค่ที่ตัวเองมี เจ๊งอย่างไรก็เหลือแค่เดิม เสื่อผืนหมอนใบแล้วตั้งต้นขึ้นต้นใหม่ สมัยนี้เจ๊งเมื่อไรหนี้ก้อนโตไม่รู้จักหมด
เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาย่อมหาทรัพย์ได้ของพระพุทธเจ้านี่ ต้องค่อยเป็นค่อยไปนั้นมีปัญญาจริง ๆ นะ อันนั้นมีปัญญาเหมือนกันแต่ปัญญาเขาสั้นไปหน่อย เอาไหมหนูตายตัวเดียวรวยได้ เรามีปัญญาขนาดนั้นไหม ? เขาเปลี่ยนไปเรื่อยทีละนิดทีละหน่อย
ถาม : ได้เคยอ่านหนังสือจิตวิทยาที่ใช้วิธีสะกดจิตตัวเอง มีหลักปฏิบัติอยู่ ๒ ข้อ ข้อ ๑. ให้เลิกดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือพิมพ์เป็นเวลา ๑ เดือน ข้อ ๒. ให้สร้างทัศนคติในเชิงบวกหรือ Positive thinking เขาให้เหตุผลว่า การดูโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เป็นการสะกดจิตตัวเองและครอบงำจิตใจในเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น ทั้งหน้าจอและสิ่งพิมพ์มักจะมีเรื่องที่ไม่ดีอยู่มาก ท่านเจ้าคุณพิพิธธรรมสุนทร ท่านบอกว่า ข่าวดีอยู่หน้าใน ข่าวร้ายอยู่หน้าหนึ่ง คำถามคือว่าจิตมีสภาพเป็นอย่างไร ?
ตอบ : ต้องบอกว่าสติ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต คุณขาดสติเมื่อไรแย่แน่ หลักการของเขาถูกต้อง ถ้าจิตของเราฟุ้งซ่านไปตามข่าวสารบ้านเมืองต่าง ๆ โอกาสที่จะรวบรวมกำลังให้เป็นหนึ่งมันไม่มี อาตมาเองเคยบอกพระลูกศิษย์เรื่องข่าวสารไม่ปิดบังหรอก แต่คุณเลือกรับมันให้เป็น รู้สักแต่ว่ารู้ไม่ใช่เก็บมาใส่อารมณ์ไปกับมัน มันจะพาให้ฟุ้งซ่านมาก
เพราะฉะนั้นหลักการของเขาถูกต้อง สภาพจิตของเรามีสภาพจำ แต่ขณะเดียวกันก็สอดส่ายวุ่นวายได้ง่าย ถ้าเราไม่สามารถทำให้สงบได้ จะไม่มีพลัง หลักการของเขาถูก ส่วนที่ว่าให้คิดแล้วมองโลกในแง่บวก ประเภทสุขนิยม อะไร ๆ ก็ดีหมด จิตใจก็มีความสุข มีความสงบ มันเป็นการสร้างกำลังให้กับจิตได้อย่างหนึ่ง ฉะนั้นหลักการทั้งสองอย่างนี้ใช้ได้ ทำตามนั้นคงจะได้ผล
ถาม : หลวงพี่บอกว่าอะไร ๆ ก็ดีหมด อันนี้จะโยงไปถึงเรื่องของอุเบกขาด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : ก็ทุกอย่างจ้ะ คนทุกคนเห็นว่าสิ่งที่เขาทำนั้นดีแล้ว เขาถึงทำ ถ้าเห็นว่าไม่ดีเขาจะไม่ทำ ไปปล้นเขากิน เขาก็เห็นว่าดีแล้ว ง่ายดี แค่เอาปืนไปจี้เขาก็ได้เงินแล้ว ไม่ต้องเหนื่อยทำงาน แต่สังคมรับไม่ได้ ฉะนั้นในเมื่อทุกคนเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นดีอยู่แล้ว เขาถึงทำ ดังนั้นจริง ๆ แล้ว ไม่มีคนผิดหรอก มีแต่คนหลงผิด ในเมื่อคนหลงผิดอยู่ก็น่าจะให้อภัยเขาได้ ถ้ามีโอกาสก็แนะนำสิ่งที่ถูกให้กับเขา
ถาม : ภาพวาดในอดีตของศิลปินผู้มีชื่อเสียง ได้วาดภาพของหญิงสาวที่มีรูปร่างใหญ๋ ท้วม มีเนื้อ ปัจจุบันสภาพของวงการแฟชั่นที่เปลี่ยนไป คนไทยรับเอาวัฒนธรรมรูปร่างผอมบางติดกระดูก
อีกประการหนึ่งถ้าเราจะมองความงามของชาวกะเหรี่ยงคอยาว เราพบว่าใครใส่ห่วงมากก็จะรวยมาก ชาวเขาเผ่าปาเกอญอใครใส่ตุ้มหูพวกใหญ่มากก็จะสวยมาก เรื่องของความงามความสวยของคนที่เรานึกสมมติกันขึ้นมาเอง ที่เรียกว่าสมมติบัญญัติใช่หรือไม่ ?
ตอบ : ใช่เลย คือต่างคนต่างเห็นว่าตรงนั้นดีแล้ว เขาชอบของเขาอย่างนั้น ความนิยมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลตามสมัย มันไม่แน่นอน โบราณเขาถึงได้บอกว่า ความงามไม่คงที่ ความดีถึงคงทน เพราะฉะนั้นเรื่องความงามนี่มองเห็นไม่เหมือนกันหรอก แบบเดียวกับพวกแอฟริกา ดำคือสวย ของเราก็จะเอาแต่ขาว ๆ โบราณเขาดูคนสวยเขาบอกต้องท้วม คนท้วมนี่เกือบอ้วน เผลอหน่อยเดียวจะอ้วนเลย
สมัยนี้ประเภทโชว์โครงกระดูกได้เท่าไร สวยเท่านั้น ความจริงก็ดีได้เห็นอสุภกรรมฐานชัดดี แต่ละคนไม่เหมือนกัน ดูกระเหรี่ยงคอยาว สวยไหมล่ะ ยาวเป็นยีราฟเลย
ถาม : นักวิชาการเล่าให้ฟังว่าในยุคประมาณปี ๖๐ สหรัฐอเมริกาอาจจะแพ้สงคราม คนในประเทศกำลังให้สหรัฐถอนตัวออกจากเวียดนาม จนกลายเป็นกระแสปฏิวัติ วัฒนธรรมต่อต้านสงคราม โดยมีการเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายโดยใช้กางเกงยีนส์ เสื้อยืด และไว้ผมยาว ที่เรียกว่าฮิปปี้ ใช้นโยบายต่อต้านสังคม ไม่แยแสสังคม แสดงความคิดแบบโดดเด่น คนไทยได้รับวัฒนธรรมนี้เข้ามาในประเทศไทย แต่งตัวเลียนแบบแล้วใช้เสียงเพลงเป็นสื่อเสียดสีสังคม ตีแผ่ด่าว่าเรื่องราวต่า งๆ แล้วใช้คำว่ าเพลงเพื่อชีวิต (song for life) แต่ต่างชาติเขาไม่มี มีแต่เพลงคันทรี่
นักดนตรีท่านหนึ่งเขากล่าวยอมรับว่าเขาเป็นพาณิชย์ศิลป์ คือศิลปะเพื่อการค้า ถ้าศิลปะอย่างเดียวเขาก็ดำรงชีวิตไม่ได้เหมือนกัน คำถามคือเรากำลังถูกครอบงำทางความคิดจากคนเหล่านี้หรือไม่ เพลงเพื่อชีวิตที่ใช้นโยบายเสียดสี คนเขาชื่นชอบว่ามีเนื้อหาสาระดี เราควรพิจารณาหรือไม่ อย่างไร คนจะดีหรือเลวขึ้นอยู่กับคำด่าหรือคำชมจากคนอื่นหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวเลย ดีหรือเลว ดีได้ด้วยตัวเองไม่ใช่ดีเพราะปากคนอื่น ส่วนลักษณะที่จะเป็นเพลงเพื่อชีวิตหรือเพลงอะไรก็ตาม ถ้าหากว่าเราไปยึดไปติดมันใช้ไม่ได้ทั้งนั้น ที่เขาบอกว่าเขาทำเพื่อการพาณิชย์ ถ้าบอกว่าเพลงเพื่อชีวิตก็คือเพื่อความรุ่งเรืองในชีวิตของตัวกูเอง อะไรอย่างนี้มากกว่า อันนั้นก็ถูกต้องตามที่เขาสารภาพมาตรง ๆ เพียงแต่ว่ายุคไหนเขาต้องการอย่างไร ถ้าเราทำตามยุคตามสมัยได้ก็อยู่ในลักษณะที่เรียกว่าโดนกระแสคลื่นพาไป ในลักษณะเดียวกันก็สะดวก คำว่าสะดวก ก็คือสะดวกในการทำมาหากิน คนเขาคล้อยตามไปแล้วนี่ ไม่ตกยุคใช่ไหม ?
เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะตกยุค หรือไม่ตกยุค หรืออะไรก็ตาม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ ไม่ใช่ความดีที่แท้จริง ความดีที่แท้จริงต้องเป็นความดีที่พระพุทธเจ้าท่านสอน สิ่งที่ดีจริงต้องเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอน สิ่งพวกนั้นเป็นไปตามสมัยนิยมเท่านั้น ถึงเวลามันก็เสื่อมไป
สมัยนี้เราไม่ได้เห็นแล้ว ผมยาว กางเกงยีนส์ สะพายย่าม รองเท้ายาง เขาใช้ ย. หมด รุ่นของพวกคุณไม่ทันหรอก ยุคอาตมาทัน แล้วก็จะมีอีกอย่างหนึ่งลักษณะที่เป็นอย่างนั้นแล้วจะต้องประเภททำตัวบ้า ๆ บอ ๆ สูบกัญชาด้วยถึงจะครบชุดของเขา
|