ถาม:  พระปรอทที่ท่านทำ แบบเดียวกับของตลาดพระหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ปรอทที่อยู่ในท้องตลาดนี่ ใช้วิธีปั่นขึ้นมา ใช้ไม่ได้ อันตรายมากเลย ปั่นลักษณะผสมแบบเดียวกับผสมสารอุดฟันน่ะ พวกอมัลกัม ฉะนั้น...ปรอทไม่ได้ตายจริง ๆ ปรอทนี่ทางวิทยาศาสตร์ เขาถือว่าเป็นโลหะชนิดหนึ่ง แต่ทางด้านของพวกไสยศาสตร์นี่ เขาถือว่าเป็นวัตถุมีชีวิต สามารถมาได้ หนีได้ กินอาหารได้ คราวนี้มีตำราจับปรอท จับปรอทมานี่เพื่อเอามาทำเป็นเครื่องรางของขลัง พอจับปรอทได้แล้ว เขามีวิธีฆ่ามันให้ตายเพื่อมันจะได้ไม่หนี แล้วเสร็จแล้วก็จะนั่งปลุกเสกนั่งหลอมกันไป มันก็จะมีขั้นตอนของมันไปว่าจะเป็นมหาเสน่ห์ ป้องกันภัย รักษาโรค ทำเป็นทอง ทำเป็นแก้ว
              ปีที่ผมไปเรียนเกี่ยวกับปรอทน่ะ มันมีพระไทยข้ามไปเรียนที่พม่า ๕ องค์ พอถึงขั้นแรก สาวเอาไปเจี๊ยะหมด ขั้นแรกคือ มหาเสน่ห์ เสร็จหมดเลย ๕ องค์ไม่เหลือเลย ถ้าหากปรอททำไปถึงขนาดเป็นทองนี่ คนส่วนใหญ่จะพอแค่นั้นคือมันรวยแล้ว ทางด้านพม่านี่ประเภททำไปขายกันเยอะแล้ว แต่ว่าจริง ๆ มันต้องทำถึงอันสุดท้าย ทำให้เป็นแก้ว ปรอทนี่ถ้าทำเป็นแก้วนี่ จะเป็นแก้วจักรพรรดิ หรือแก้วราหู ถ้าเป็นปรอทตัวผู้จะเป็นแก้วจักรพรรดิ ถ้าเป็นปรอทตัวเมียจะเป็นแก้วราหู ซึ่งจะดีมากที่สุดในทางให้ลาภ ปัจจุบันนี้หลวงพ่อวัดเขาตะมายะ ใคร ๆ ก็ว่าท่านทำปรอทได้ เพราะว่าคนไปอยู่ไปกินกับท่านวันละเป็นหมื่น ๆ ท่านเลี้ยงเขาได้ตลอด ต้องประเภทแก้วจักรพรรดิ เท่านั้นแหละ ถึงจะเลี้ยงคนมหาศาลขนาดนั้นได้ ของพวกเราไม่ต้องไปทำปรอทให้เสียเวลาหรอก ลูกแก้วหลวงพ่อวัดท่าซุงนั่งแหละ ใครมีไปตื้อขอเขามาสักลูกหนึ่ง อธิษฐานเป็นอะไรเป็นใช้ได้หมด
      ถาม :  แล้วที่หลวงพ่อโตทำล่ะครับ ?
      ตอบ :  อันนั้นไม่ทราบ เพราะว่าถ้าเอาก็เอารุ่นเก่าที่หลวงพ่อท่านทำ อย่างนั้นเรามั่นใจใช่ไหม ครูบาอาจารย์ของเรา
      ถาม :  หลวงพ่อโตท่านก็ทำ ?
      ตอบ :  หลวงพ่อโตจริง ๆ ท่านมีชื่อเสียงในวงการพระเครื่องอยู่นะ พระของท่านหลายรุ่นติดอันดับนิยม นี่พูดถึงหลวงพ่อโต วัดเขาบ่อทอง
      ถาม :  ...........................
      ตอบ :  อันนั้นไม่ทราบจ้ะ แต่ว่ามีโยมเอาไปที่เชียงใหม่ แล้วร้านค้าเขาดูแล้วเขาตีราคาให้เลย จากซื้อวงละ ๕๐๐ บาท เขาให้ตั้ง ๓๐,๐๐๐ บาท ก็แสดงว่ามันน่าจะ จริง ๆ ถ้าหากว่าเป็นรุ่นแรกที่เป็นเพชรเขาพระงามอันนั้นน่ะ เป็นเพชรประมาณ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ อาตมาเคยเอาที่ยังไม่ได้เจียกรีดกระจก กระจกขาด แต่น่าเสียดายว่าตอนรุ่นหลัง พอส่งไปที่ร้านค้าอมไปเกลี้ยงเลบ แล้วมันเอาเพชรรัสเซียติดมาให้แทน
              ฉะนั้น...ใครได้รุ่นแรก ๆ ก็สบาย รุ่นนั้นมีระยะหนึ่งที่พวกพรนุช เขาเอาที่เจียระไนเสร็จใหม่ ๆ มาจำหน่ายกันอยู่ อันนั้นน่ะใช่ นั่นของเขาพระงาม อันนั้นเรียกว่าเพชรได้เลย ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของเพชรแท้แล้ว เราลองกรีดกระจกดูมันกรีดได้
      ถาม :  เอากระดาษทรายถูค่ะ ถ้าไม่เป็นรอยก็คือเพชร ถ้าเป็นรอยจะไม่ใช่เพชร
      ตอบ :  ดูไม่เป็น เรื่องของอัญมณีนี่ยอมแพ้ ต่อให้เอาของปลอมมาถ้าเราเห็นว่าสวยกว่า เราก็เลือกของปลอม (หัวเราะ) ดูยากเพราะว่าสายตาต้องละเอียดจริง ๆ จะต้องดูเนื้อของมัน เพชรแท้พลอยแท้นี่จะมีรอยแตกมีเศษของอยู่ข้างใน มีฟองอากาศอยู่ข้างใน เพราะว่ามันเกิดจากธรรมชาติ
              คราวนี้ของที่อัดขึ้นมานี่เนื้อมันเรียบเปรี๊ยะเลย แล้วสะท้อนแสงได้ดีกว่า อยากรู้ต้องถามคุณสุนิสา สัตตะสุริยะเดช โน่นน่ะดูเป็น โน่นเขาขายอยู่
      ถาม :  ..........................
      ตอบ :  เรื่องปรอทเคยทำมา ๔๐ กว่าอัน เอามาไล่แจกโยมแล้วก็เลิกหายคันแล้ว รู้ว่าทำได้ก็พอแล้ว ปรอทต้องได้จับเนื้อถึงจะรู้ว่าใช้ได้ไหม ถ้าไม่ได้จับไม่รู้หรอก แต่ถ้าจับแล้วยังลื่น ๆ อยู่ใช้ไม่ได้หรอก มันยังไม่ตาย ถ้าหากปรอทที่ตายแล้วมันจะฝืด ที่ทำอยู่แล้วเขาทำกันไม่สำเร็จน่ะ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเขาไม่มีสมาธิ คนจะแปลกใจมากเลย เราไปแป๊บเดียวหอบมาเป็นกุรุสแล้ว เขาขาดตรงสมาธิจริง ๆ แล้วโบราณาจารย์ท่านเก่ง ทางพม่าเขาแยกสายวิชาการของการปฏิบัติออกเป็นหลายอย่างด้วยกัน จะมีพวกสำเร็จประคำ สำเร็จยันต์ สำเร็จปรอท คือว่าตั้งหน้าตั้งตาชักประคำภาวนาไปเรื่อย คุณหมดกิเลสเมื่อไรก็จบ เรื่องของยันต์ก็เหมือนกัน เวลาเขียนต้องใช้สมาธิต้องทุ่มเท เท่ากับว่าทรงอารมณ์อยู่ตลอดเวลา เรื่องของปรอทก็เหมือนกัน ประเภทที่เรียกว่า หุงต้มไป หลอมไป ภาวนาไปอะไรอย่างนี้
              คราวนี้คนพื้นฐานสมาธิไม่มีแต่อยากรวย เพราะรู้ว่าทำปรอทแล้วเป็นทองได้อย่างที่ทำอยู่ในตู้นั้นแหละ ก็ตั้งหน้าตั้่งตาทำเพื่อไปขาย นั่นแหละมีแต่โลภขึ้นหน้าอยู่ ฟุ้งซ่านอยู่แล้วจิตจะเป็นสมาธิได้อย่างไร คนเขาก็แปลกใจ บางคนเรียนยี่สิบสามสิบปี เรียกว่า หลอมเสียจนหมดฟืนเป็นป่า ทำไมหลอมไม่สำเร็จ ของเราไปแป๊บเดียวหอบมาเป็นกุรุสเลย คือถ้ามีพื้นฐานเป็นสมาธิทุกอย่างทำง่ายหมด
      ถาม :  เป็นบุญกรรมเก่าหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  บางครั้งบางอย่างก็ปัจจุบัน อย่างเช่นเรื่องคาถาเงินล้าน หรือคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี่เขาต้องให้ใส่บาตรทุกวัน คราวนี้พอเราหยุดใส่ ก็หยุดให้เหมือนกัน
      ถาม :  เกี่ยวกับกรรมหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ทุกอย่างเป็นกรรมหมดแหละจ้ะ ความดีก็เป็นกรรม เรียก"กุศลกรรม" ความชั่วก็เป็นกรรม เรียก "อกุศลกรรม" กรรมแปลว่า "การกระทำ" กระทำดีกระทั่ว กรรมทั้งนั้น
      ถาม :  ทุกอย่างที่เกิดกับเรานี่จะเป็นกรรมใหม่ อย่างเช่นว่ามีคนมารังแกเรา ?
      ตอบ :  ไม่มีจ้ะ กรรมเก่าทั้งนั้น กรรมใหม่ครุกรรมที่ให้ผลทันตาในปัจจุบัน แบ่งเป็น ๒ ฝ่าย ๑. ฝ่ายอกุศลกรรม คือ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต ทำสังฆเภท คือยุสงฆ์ให้แตกกัน ถ้าหากว่า ๕ ประเภทนี้ ลงอเวจีมหานรกมาเยอะแล้ว ในพระไตรปิฎกบอกแล้วว่า โดนธรณีสูบไปตั้งเท่าไร อันนั้นกรรมชั่วที่ให้ผลในปัจจุบัน ๒. ฝ่ายกุศลกรรม กรรมดีที่ให้ผลในปัจจุบันก็มีว่า คุณต้องสร้างอภิญญาสมาบัติให้เกิดอย่างหนึ่ง ปรารถนาอะไรก็ได้อย่างนั้น ถ้าไม่เกินวิสัย โดยเฉพาะว่าสามารถตายจำกัดเขตได้ใช่ไหม ว่าเป็นเทวดา เป็นพรหม หรือถ้าหากว่าเข้าถึงที่สุดก็ไปนิพพาน
              ส่วนอีกอย่างหนึ่ง คือมีโอกาสทำบุญกับพระที่ออกนิโรธสมาบัติ จะรวยในวันนั้น แต่ต้องทำคนเดียวนะ แต่ถ้าหากทำหลายคนก็เฉลี่ยกันไป คราวนี้ว่าส่วนที่ให้ผลปัจจุบันให้ทันตามีอยู่แค่ที่ว่ามานี่ เพราะฉะนั้น...ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นผลที่มาจากอดีตแทบทั้งนั้น เป็นผลจากอดีตที่เราทำเอาไว้ ถึงเวลาเกิดขึ้นแล้วเราก็จะมานั่งคร่ำครวญ ถ้าใครยิ่งโดนเยอะ จำไว้เถอะ ก่อนหน้านี้เกเรเอาเรื่องเลยนะ ในเมื่อเกเรเขาไว้มาก ถึงเวลาตัวเองก็โดนเยอะ
      ถาม :  หมายถึงอดีตตอนเด็ก หรือว่าอดีตชาติที่แล้วคะ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่จากชาติที่แล้ว ที่เห็นผลในปัจจุบันทันตาน่ะ เจออยู่อย่างหนึ่ง แต่ว่าก็ไม่แน่ใจ คือทำไม่ดีกับพ่อแม่ ทำไม่ดีกับพ่อกับแม่มีลูกเมื่อไรโดนทันที แปลกมากเลยอันนี้เห็นมาเยอะแล้ว แต่ยังไม่กล้าสรุปว่าใช่หรือเปล่า ใครที่ร้ายกับพ่อกับแม่เอาไว้เยอะ ๆ ระวังไว้เถอะ ถึงเวลาโดนแน่ ที่เจอมาด้วยตัวเองก็คือ คนรอบข้างที่เรารู้จักเขาแน่นอน ว่าก่อนหน้านี้นิสัยเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่พวกที่ร้ายกับพ่อกับแม่ มีลูกเมื่อไรโดนหนักกว่าด้วย ตัวเองว่าโดนพ่อโนแม่ว่ายังเถียง นั่นพอโดนลูกเข้าหุบปากเงียบกริบเลย คงจะสำนึกได้ว่าเคยทำไว้ ระวังโดนบ้าง
      ถาม :  ปราบลูกปราบไม่ได้
      ตอบ :  ส่วนใหญ่ที่ปราบไม่ได้ เพราะว่าเครดิตไม่พอจ้ะ เขารู้อยู่แล้วว่าสภาพแท้จริงเราเป็นอย่างไร อย่างของอาตมาตวาดหมา หมายังกระดิกหางมาหาเลย จนท่านกอล์ฟหัวเราะเลย ท่านบอก "อาจารย์ด่ามันแต่ปาก พวกมันไม่ฟังหรอกครับ ต้องพวกผม" คือของเขานี่ ถ้าหากว่าด่า คือโกรธจริง ๆ ใช่ไหม รังสีมันออก ของเราสักแต่ปากด่าหมา หมายังไม่กลัวเลย กระดิกหางเข้ามา
              เพราะฉะนั้น...เขารู้อยู่แล้วว่า เราจริง ๆ เป็นอย่างไร เขาไม่กลัวหรอก อย่างไรเดี๋ยวโอ๋ ๆ ซะหน่อย ป้าก็ใจดีอีกแล้ว เด็กเขาเก่งจ้ะ เขารู้ว่ทำอย่างไรจะจัดการผู้ใหญ่ได้ เพราะฉะนั้น...พระพุทธเจ้าท่านว่า "เด็กมีเสียงร้องไห้เป็นกำล้ง สตรีมีน้ำตาเป็นกำลัง" ท่านจะว่าของท่านไปจนกระทั่งมาสุดท้ายคือ "ภิกษุ สามเณร มีศีลเป็นกำลัง" ไม่มีศีลเสียอย่างไม่มีแรงสู้กิเลส เขารู้ว่าถ้าเขาร้องไห้ เขาอาละวาดแล้วเขาจะได้ เพราะฉะนั้น...จัดการอยู่หมัดแหละ โดยเฉพาะพ่อแม่ใจอ่อน
      ถาม :  สมมติก่อนพ่อตาย เรามีความโกรธกับเขา ทำให้เขาโกรธ เรามีบาปไหมคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ สิ่งที่ทำไม่ดีกับพ่อกับแม่ พูดง่าย ๆ คือว่า บาปคือความชั่ว ถ้าคนทั่วไปเขาว่าชั่ว มันชั่วแน่ เพียงแต่บาปหรือความชั่วจะมากหรือจะน้อย ถ้าสมมตติเราขัดใจท่านในทางที่ถูกใช่ไหม อย่างเช่นว่า ท่านจะไปกินเหล้าเมายา แล้วเราห้ามไว้ ท่านโกรธอย่างนี้ ต้องดูเจตนาด้วยว่าเราทำเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าในด้านที่ดีแล้วเราไปขัดใจท่าน อย่างเช่น ท่านจะไปทำบุญใส่บาตร แล้วเราก็บอกอย่าไปทำเลย แล้วท่านโกรธเราอย่างนี้ ต้องดูว่าสิ่งที่เราทำเป็นอย่างไร สิ่งที่เราทำถูกต้องตามศีลตามธรรม ท่านโกรธโทษก็น้อย แต่ถ้าหากว่าสิ่งที่ท่านทำตามศีลตามธรรมแล้วเราไปขัด ท่านโกรธ อันนี้โทษมากหน่อย เท่ากับว่าเรากั้นความดีของท่านด้วย
      ถาม :  ทุกวันนี้ยังคิดว่าเขาต้องโกรธ
      ตอบ :  ไม่ต้องคิดหรอกจ้ะ มีโอกาสก็ขอขมาซะ จะตรุษจะสารทอะไรก็ได้ ถึงเวลาก็ดอกไม้ธูปเทียนขอขมาซะ ขอขมาแล้วเลิกเลยนะ อย่าไปทำอีก ลูกศิษย์อาตมาจำนวนหนึ่ง ใช้วิธีขอขมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และจะพึงมีในอนาคต บอกเขาว่า "พึงมีในอนาคตไม่มีผลหรอก เรื่องของธรรมะเขาเอาแค่ปัจจุบัน อนาคตคุณทำอีก ก็ต้องมาขอขมากันใหม่อีก"
      ถาม :  ...........................
      ตอบ :  อันไหนที่ทำง่าย อันนั้นได้บุญเยอะ ทำทำยาก ๆบางครั้งพอยากแล้วเราหงุดหงิด จิตใจกลัดกลุ้มขึ้นมา กำลังบุญลดน้อยลง เพราะฉะนั้น...อาตมาเห็นด้วยกับการที่โยมซื้ออาหารถุงใส่บาตรมากกว่าที่จะไปปล้ำทำเอง เพราะกลัวจะไม่ได้บุญ ไปทำเองเดี๋ยวโกรธขึ้นมา ด่ากระทั่งหม้อไหกะโหลกกะลานี่ก็ยุ่ง กำลังใจตกแล้ว เพราะฉะนั้น...ยิ่งทำง่าย ๆ สบาย ๆ เท่าไร ยิ่งได้กุศลมากอย่างของโยมถือว่าทำถูก เพราะว่าไม่ใช่แต่ว่าพระได้ไม่ผ่านหน้าบ้าน บางครั้งท่านมาท่านก็ไม่ได้มาเป็นเวลาอย่างนี้ เราเองเวลาจำกัด อาจจะต้องออกไปทำงานทำการตรงเวลา ท่านยังมาไม่ถึงเรา ก็ไม่มีโอกาสใส่ ใช้วิธีนั้นแหละหยอดกระปุกไว้ทุกวัน ตั้งใจว่าอันนี้จะเป็นค่าอาหารพระ เท่ากับเราใส่บาตรไว้ทุกวัน พอได้สักจำนวนหนึ่งก็นำไปถวายพระ บอกท่านเป็นค่าอาหารพระ หรือเป็นสังฆทานก็ได้จ้ะ ยิ่งทำง่าย ยิ่งได้บุญเยอะ ทำเร็ว ๆ ง่าย ๆ ถึงเวลาได้ ก็ได้เร็ว ๆ ได้ง่าย ๆ
      ถาม :  สตางค์ที่เราใส่บาตร เราก็ได้ตอนนั้นใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  หมายถึงบุญนะจ้ะ ตอนที่เราทำ บุญเป็นของเราแล้วจ้ะ แต่ถ้าเราตายซะก่อนไม่ทันนำไปถวาย พระขาดทุน โกยบุญไปซะแล้ว แต่ยังไม่ให้ซะที ห้ามตายนะจ๊ะ ถวายพระก่อน
      ถาม :  สมมติตายนี่ คนอื่นเขาไปทำให้ได้ใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  อันนั้นไม่เป็นไร เจตนาเราเต็มอยู่แล้ว บุญเป็นของเราแน่นอน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คนอื่นสิจะแย่ ถ้าเกิดเอาไปใช้เข้า กลายเป็นติดหนี้สงฆ์ เพราะฉะนั้น...ถ้าคนเขารู้ เขาเอาไปถวายพระให้เอง
      ถาม :  ถ้าเงินที่ใส่ในบาตร เราไม่จำเป็นต้องใส่ตอนเช้า ?
      ตอบ :  เวลาไหนก็ได้จ้ะ ใส่ไปเถอะ โยมพ่ออาตมาถวายข้าวพระตอนหนึ่งทุ่มทุกวัน เพราะว่าท่านเป็นคนจีน แล้วไปเจออัศจรรย์จากพระธุดงค์เข้าก็เกิดเลื่อมใส พระท่านก็สอนคาถาให้มาภาวนา จริง ๆ คือหลอกให้ทำสมาธินั่นแหละ แล้วบอกว่า "ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ให้จัดข้าวนิด น้ำหน่อย ขนมนิดไปถวายพระทุกวัน" โยมพ่อเป็นคนจีนไม่รู้หรอกว่าคนไทยเขานิยมถวายกันก่อนเพล แกก็เล่นเสียจนเลิกทำงานแล้ว อาบน้ำอาบท่ากินข้าวกินปลา สบายใจดีแล้วก็จัดชุดหนึ่งถวายพระ แล้วก็นั่งสวดมนต์อย่างนั้นน่ะกำลังใจเต็มยิ่งกว่าเราอีก เพราะท่านมั่นใจว่าทำถูกแล้ว (หัวเราะ) ของเรารู้มากบางครั้งคิดว่ามันผิด ถวายข้าวพระตอนหนึ่งทุ่ม จริง ๆ พระก็ไม่ได้ฉันอยู่แล้ว เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ทำเวลาไหนก็ได้จ้ะ ของเราเป็นเด็ก ๆ ท่านก็เอาพาดบ่า คอพับคออ่อนไปสวดมนต์ได้ทุกวัน ก็เลยจำได้ อิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโนน สวดได้ตั้งแต่ประเภทที่ว่ายังพูดไม่ชัด จำได้หมดแล้ว พอเข้าป.๑ สวดมนต์ได้ ครูเขาให้เป็นหัวหน้าชั้น
      ถาม :  ตามคุณพ่อไปทุกวันหรือคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ คือว่า เด็ก ๆ ถึงเวลาไม่อยากได้อะไร จะกินขนมในถ้วยที่ถวายพระนั่นแหละ ถึงเวลาลามาก็ของเรานั้นแหละ ตั้งใจจะไปกินมากกว่า คราวนี้ถึงเจตนาไม่ดีก็จริง แต่เห็นพระอยู่ทุกวัน ได้ยินเสียงสวดมนต์ทุกวัน ซึมซับไปโดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้กลายเป็นเราสวดได้หมดแล้ว ไปโรงเรียนครูเห็นสวดมนต์ได้ให้เป็นหัวหน้าชั้น อยู่ไปอยู่มาแค่ป. ๓ กลายเป็นประธานนักเรียนแล้ว ใจกล้าหน้าด้านไม่ค่อยกลัวใคร โรงเรียนสมัยก่อนมีแค่ป.๔ ถ้าจะเรียน ๕,๖,๗ ต้องประเภทไปเรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง อยู่ป.๓ กลายเป็นประธานนักเรียนซะแล้ว
      ถาม :  แล้วท่านบวชเณรตั้งแต่อายุเท่าไร ?
      ตอบ :  บวชเณรตอนนั้นอายุ ๑๖ ปีจ้ะ แต่อยู่ไม่นาน เพราะต้องเรียนหนังสืออยู่ ตอนนั้นบวชหน้าไฟให้พ่อ เพราะพ่อตาย แล้วมาบวชพระอีกครั้ง ๒๘ ปี ห่างกัน ๑๒ ปี ก็เท่ากับว่าได้ตามพิสูจน์การปฏิบัติแนวหลวงพ่อมาสิบกว่าปีเต็ม ๆ สิบเอ็ดปี ปีที่สิบสองบวช
      ถาม :  มีอยู่คืนหนึ่ง หนูได้เห็นไฟที่ห้องพระที่บ้านสว่างเอง แต่หนูกลัวไม่กล้าขึ้นไปดู ถามทุกคนในบ้านไม่มีใครขึ้นไป พอกลับมาอีกครั้งไฟดับแล้ว ?
      ตอบ :  เข้าไปดู มีพระบรมสารีริกธาตุอยู่กับบ้านไหม ไปดูได้เลย เพิ่มขึ้นแน่นอนจ้ะ เพราะลักษณะแสงสว่างแบบนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นพระธาตุเสด็จ อาตมาเจอมากับตัวเอง แหม...ดีใจแทบตาย วิ่งไปดู ไปอยู่กับของพี่ชายเสียนี่ (หัวเราะ) เรารู้นี่ว่าลักษณะอย่างนั้นพระธาตุเสด็จ เราก็แหม...มาของเราแน่ ๆ เลย ที่ไหนได้ไปอยู่ของพี่ชายซะ คือจำภาพท่านได้ เพราะว่าเห็นภาพพระธาตุเสด็จมา ใหญ่เหมือนกับเครื่องบินโดยสารอย่างนั้น เป็นลักษณะเมล็ดข้าวสารแล้วมีรอยแหว่งอยู่หน่อยหนึ่ง จำแม่นเลย เราก็วิ่งไปเปิดดู อ้าว...ไม่มีของเรา เปิดดู อยู่ในตลับของพี่ชาย แหม...เสียดายจัง (หัวเราะ)
      ถาม :  .........................
      ตอบ :  อะไรก็ตาม ถ้าไม่เคยได้ยินหลวงพ่อพูด ไม่กล้าพูดจ้ะ จะเป็นอะไรก็แล้วแต่เถอะ ถ้าหากว่าเรื่องของพระธาตุหรืออะไรก็ตาม เรานึกถึงพระพุทธเจ้าท่าน ก็เป็นพุทธานุสติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น...จะจริงจะปลอมอย่างไร เรานึกถึงท่านก็ใช้ได้เหมือนกัน
      ถาม :  มีคนเขาบอกว่า "เลี้ยงเต่าหินแล้วออกลูกได้ เป็นอย่างไรครับ ?"
      ตอบ :  ผมยังไม่เคยเจอ เจอแต่พวกที่เป็นลักษณะที่คนโบราณเขาทำไว้เป็นพยนต์น่ะ เขาจะเอาแก้วปรอทใส่ตาไว้ ปรอทที่ทำเป็นแก้ว ถ้าใส่ตาพวกหุ่นที่เป็นพวกหิน พอถึงวันดีคืนดีมันจะเคลื่อนไหวได้
              วัดช้างล้อมที่สุโขทัยนั่นน่ะ พังเพราะชาวบ้านไปทุบช้างซะ เพราะว่ามีช้างประหลาดอยู่ฝูงหนึ่ง พอถึงเวลาพืชไร่เขาได้ผล มันก็ไปลุยกินของเขาซะเละเลย จนชาวบ้านเขาทนไม่ไหว จะล่ามัน มันก็แสนรู้ มันก็หนีเขา เขาก็ตามมัน แล้วก็หายไปในบริเวณวัด
              คราวนี้พอชาวบ้านเขาตามเข้าไป เขาเห็นว่ารอยเท้าช้างไปหายอยู่รอบ ๆ เจดีย์ ชาวบ้านเขาก็ไปสังเกต เขาก็อ๋อ...ที่แท้ช้างพวกนี้เอง เขาก็ดูว่ามันไปเพราะอะไร ก็เห็นว่าตามันเป็นปรอท เลยแคะออกมาหมด แล้วก็ช่วยกันทุบรูปซะแตก ๆ หัก ๆ หมดเลย จะได้ไม่ไปยุ่ง ปีต่อมาก็ไม่มี
              ส่วนอีกอันหนึ่งก็ของหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย บางเหี้ยตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็น "มงคลโคธาวาส" โคธาเป็นภาษาบาลี แปลเป็นไทยก็เหี้ยนั่นแหละ ที่วัดบางเหี้ยนั่นมีเต่าหินอยู่ตัวหนึ่งเป็นเต่าศิลา หลวงพ่อปานท่านสร้างเอาไว้เฝ้าวัด คราวนี้วันนั้นเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ วันพระ เณรพอถูศาลากวาดลานวัดเสร็จ ก็เหนื่อย ไม้กวาดยังไม่ทันจะเก็บเสียด้วยซ้ำ เดินผ่าน เออ...เห็นเต่าตัวใหญ่หลังเรียบดีเอนตัวเสียหน่อย ดันหลับจริง ๆ ตอนดึกเต่าขยับกุกกัก ๆ เดิน เณรตื่นก็ตกใจ พอเต่าเดินมันไม่ได้เดินเฉย ๆ พอมันเดิบลับจากสถานที่ไป ชนิดคนไม่เห็นแล้วมันเหาะเลย เณรเขาก็เกาะหลังมันแน่น เขาบอกว่า "มันผ่านฟ้าไปเรื่อย ๆ แล้วลงไปที่เกาะแห่งหนึ่ง ที่ไหนก็ไม่รู้ กำหนดไม่ถูก มันไกล ลงไปปรากฏว่ามันไปกินหน่อไม้ หน่อไม้ที่มันกินมันแปลก มันเป็นสีทองหมดเลย" เณรเขาก็เอื้อมมืออยู่บนหลังเต่านั่นแหละ เอื้อมมือหักมาซะท่อนหนึ่ง เสร็จแล้วพอมันกินพอ มันก็เหาะกลับ เหาะกลับมาพอถึงที่ มันเดินกึก ๆ ไปถึงหน้าโบสถ์เหมือนเดิม ก็หมอบลง ก็กลายเป็นหินตามเดิม เณรเขาก็เอาหน่อไม้ไปให้เพื่อนดู ก็แตกตื่นกันใหญ่ เป็นโลหะไม่ใช่หน่อไม้ เณรเขายืนยันว่าเป็นหน่อไม้แต่เป็นสีทอง ปรากฏว่าเรื่องถึงผู้ปกครองเณร เขาไปให้ร้านเจ๊กดู เขาบอก "ทองคำแท้ ๆ เลย" พอเรื่องลือไปถึงหูหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานก็ไปแคะลูกตาเต่าออกมา เณรบอกว่า "ตั้งแต่เต่าไม่มีตาแล้ว มันเหาะไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นทุกวันพระใหญ่ มันจะออกไปกิน" ถึงได้รู้ว่าตาเต่านั้นที่แท้เป็นปรอทที่่ท่านเสกเป็นแก้วแล้วปรอทมันกินทองเป็นปกติอยู่แล้ว
              ได้ยินว่าหลวงพ่อปานท่านเอาตาเต่าที่เป็นปรอทแก้วคู่นั้น ถวายในหลวงรัชกาลที่ ๕ ไว้ เพราะว่าท่านทันสมัยนั้น หลวงพ่อปานท่านเก่งหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องเขี้ยวเสือ ท่านจะเอาเขึ้ยวเสือมาแกะเป็นรูปเสือเล็ก ๆ ปลุกเสก ต้องถามผู้พันอรรณพ กอวัฒนา เขาไปยิงกับโจร โดนเท่าไรก็ไม่เข้า เขี้ยวเสือหลวงพ่อปานเขาหวงมาก ติดตัวอยู่
              คราวนี้เขี้ยวเสือหลวงพ่อปานพอท่านแกะได้จำนวนหนึ่ง ท่านก็อยากถวายในหลวงรัชกาลที่ ๕ ท่านก็ใส่พานปูผ้าขาวอย่างดี แล้วก็เอาวางไว้บนผ้าขาว ใส่พานให้เณรถือ จะไปถวายรัชกาลที่ ๕ เณรก็เดินไปเรื่อย เล่นโน่นเล่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย ก็เผลอเอียงบ้างอะไรบ้าง มันก็หายไปบ้าง พอไปถึง "อ้าว...ทำไมเหลืออยู่แค่นี้ละเณร ?" เณรตอบ "ไม่รู้ครับ" มันทำหกเอง บอกว่าไม่รู้ครับ หลวงพ่อปานท่านก็ควักย่ามเอาเบี้ยให้ ไปซื้อเนื้อหมูมาก้อนหนึ่ง เณรวิ่งไปซื้อเนื้อหมูมา ถามว่า "หลวงพ่อซื้อมาทำไมครับ จะกินหรือครับ ?" ไม่ใช่หรอก เอาเชือกผูกไว้ เณรเดินมาจากทางไหน เดินลากมันกลับไปทางโน้น เณรก็เดินลากเนื้อหมูย้อนกลับไปตามทาง พอสักพักหนึ่ง สังเกตเห็นเสืองับติดเนื้อหมูมาเป็นพรวนเลย นั่นต้องขลังให้ได้ขนาดนั้น
              สมัยนั้นมีหลวงพ่อปานอยู่ ๓ องค์ หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย ท่านอายุยืนมากเลย ท่านอายุยืนมาจนสมัยพลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ได้อ่านประวัติหลวงปู่ปานไหมล่ะ ? ที่หลวงปู่ปานวันหนึ่งบอกกับหลวงพ่อ บอกว่า "ให้ไปบอกโยม ให้เตรียมขนมจีนเอาไว้เลี้ยงพระประมาณ ๕๐-๖๐ องค์ เตรียมหาบเตรียมขนมจีน เตรียมอะไรไว้ ญาติโยมก็งง ๆ ถามหลวงปู่ปานว่า "ท่านจะเลี้ยงใคร ?" หลวงปู่ปานว่า "เดี๋ยวมีคนมากินเองแหละ" พอกลองเพลตีตูมเข้าให้ เรือก็พ้นคุ้งน้ำมาพอดีเลย เป็นหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย ท่านพาลูกศิษย์มาเที่ยว พายเรือกันมาตั้งเยอะตั้งแยะ สามสี่สิบองค์ พอมาถึงหน้าวัดปุ๊บ หลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย ท่านบอก "เฮ้ย...วัดนี้เขาเต็มใจต้อนรับเรา อ้าว...ขึ้น ๆ ลุยไปเลย" นั่นน่ะเขารู้กันขนาดนั้น ขึ้นไปถึงก็ไปกราบปฏิสันถารกัน ฉันเพลเสียดิบดี ท่านเป็นรุ่นที่ต้องเรียกรุ่นอาจารย์ก็ว่าได้ เพราะอายุท่านมากแล้ว แต่ว่าหลวงปู่ปานของเราก็ถือว่าเป็นประเภทที่เรียกว่า ความรู้ทันกันอย่างนั้น หมายความว่าวิชาความรู้ทันกัน ถึงเวลาท่านสนทนาธรรมกันนี่ บรรดาพระหนุ่มเณรน้อยฟังกันปากอ้าตาค้าง มันพิลึกพิลั่นกันประเภทที่คิดไม่ถึงว่าจะทำกันได้
              ส่วนหลวงพ่อปานอีกองค์หนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วชอบอยู่ป่า ลักษณะบางครั้งก็ไปประเภทเล่นกับเด็ก ๆ บ้างอะไรบ้าง ให้สนุกสนานในลักษณะปิดจริยาตัวเอง ไม่ให้คนรู้ว่าท่านเป็นพระดีอย่างไร นั่นน่ะหลวงปู่บุดดาท่านชอบ ท่านบอก "หลวงปู่ปานนั่นเหรอ มี ๓ องค์" แล้วท่านก็เล่าให้ฟังทีละองค์ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่บุดดา ท่านบอก "หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค บริวารท่านเยอะ ไปไหนไปตั้งร้อย" ไอ้ตั้งร้อยของคนโบราณนี่มหาศาลจริง ๆ นะ จะกี่หมื่นกี่แสนของท่าน ก็ตั้งร้อย คนโบราณเวลาท่านเปรียบอะไรนี่ เราฟังดูอย่าคิดว่าน้อยนะ เยอะจริง ๆ ตั้งร้อยของท่านนี่บางครั้งนับไม่ถ้วนหรอก ตั้งร้อยนั่นแหละ ท่านไปตอนหลวงพ่อมรณภาพ หลวงปู่บุดดาก็ไปกราบศพ ถึงเวลาเราก็ประเภทแบกท่านไปเลย เอาโซฟาไปรับถึงหน้าประตูเก๋งเลย เอาลงจากเก๋งได้ก็แบกเข้าศาลา ๑๒ ไร่ แย่งกันแบกด้วยซ้ำ ยังดียังไม่ไปทำหลวงปู่หล่น...!
              ท่านเข้าไปกราบศพหลวงพ่อแล้วก็มองไปรอบศาลา ๑๒ ไร่ ออกปากว่า "ใหญ่แท้...ใหญ่กว่าโบสถ์วัดพระแก้วอีกน้อ..." โบสถ์วัดพระแก้วนั่นใหญ่ที่สุดของท่านแล้ว