ถาม:  วันนั้นไปอยู่กับลูกศิษย์ที่ทำกันมานานแล้ว เขามานั่งถกเถียงกันใหญ่ คือมีคนอื่นที่มาจากสำนักอื่น มาเถียงกันว่าวิธีนี้ไม่น่าจะถูกอะไรอย่างนี้ค่ะ แต่หนูไม่ค่อยเข้าใจเพราะเขาบอกว่าเขากำหนดจิตไปดูอรูปฌาน รูปฌานได้ค่ะ ?
      ตอบ :  จะแปลกอะไร ใช้อานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออกเป็นหลักทรงรูปฌาน อรูปฌานได้อยู่แล้ว
      ถาม :  เขาบอกว่า วิธีของเขาทำได้เร็วสุดแล้วอะไรอย่างนี้ หมายถึงดีกว่าไปนั่งท่องเฉย ๆ แต่หนูสนใจในหลักการของเขา แต่พอได้เริ่มไปฝึกสักครั้งรู้สึกขัดกับวิธีที่เคยฝึกมา ก็ไม่แน่ใจ คลางแคลงใจในตัวอาจารย์ด้วย ไม่รู้ว่าควรจะไปฝึกต่อดีหรือเปล่า ?
      ตอบ :  เท่าที่ฟังมา ยังไม่เห็นมีอะไรแปลกไปจากที่พระพุทธเจ้าสอนเลยแม้แต่นิดเดียว สรุปแล้วคือวิธีการที่พระพุทธเจ้าสอนนั่นแหละ แล้วจะไปดีกว่ากันได้ตรงไหน
      ถาม :  นั่นแหละค่ะ เลยคลางแคลงเขานิดหนึ่ง เพราะเขาบอกว่าของคนอื่นทำกันผิด ๆ ไม่ดีเท่าของเขาเลยไม่ค่อยแน่ใจ
      ตอบ :  วิธีที่พระพุทธเจ้าสอน ถ้าหากเขาบอกว่าผิด เขาเก่งกว่าพระพุทธเจ้าแล้วนะ คนเก่งกว่าพระพุทธเจ้านี่คบยากนะจ๊ะ
      ถาม :  เขาบอกว่า เขาคงจะไม่บวช อะไรอย่างนี้ค่ะ ?
      ตอบ :  ดีแล้วจ้ะ ไม่ต้องบวช ถ้าบวชเข้าไปวุ่นวายตายชัก เก่งเกินพระพุทธเจ้าไปแล้ว
      ถาม :  แต่การพูดการจา การอาราธนา คือนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นหลัก หลักการคือไปพระนิพพานเหมือนกัน แต่ว่าคำพูดของเขา ?
      ตอบ :  นึกว่าเขาค้นคว้าเอง มีอะไรแปลกไป ก็ไปนิพพานอีกนั่นแหละ ระวังนะจ๊ะ เรื่องของการใช้คำพูดก็ดี การปฏิบัติก็ดี จะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยแล้วเกิดโทษไม่รู้ตัว สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านศึกษามา ท่านบอกเป็นประดู่ทั้งป่า รู้แต่ว่าที่ท่านสอนเราเป็นใบประดู่กำมือเดียว ใบไม้กำมือเดียว เพราะใบไม้กำมือนี้ เป็นทางที่ตรงที่สุด ง่ายที่สุดที่จะไปนิพพาน ถ้ายังมีใครสอนง่ายกว่านี้อีก อาตมาอยากจะเชื่อว่าเขาเก่งกว่าพระพุทธเจ้าจริง ๆ ถ้าคนเก่งกว่าประเภทนั้นคบยากจ้ะ
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  บาลีเขาว่าชราธัมมาหิ เรามีความแก่ชราเป็นธรรมดา ชะรังอะนะตีโต เราไม่สามารถล่วงพ้นความแก่ไปได้ เสื่อมเข้าไปทุกวัน ๆ ก่อนหน้านี้ไม่มีแว่น ตอนนี้มีแล้ว ตอนออกจากวัดใหม่ ๆ เมื่อสิบปีก่อนโน้น ปกติถ้าขึ้นรถขึ้นราจับอารมณ์ภาวนาเป็นปกติ กำหนดใจนึกถึงภาพพระไว้ก่อน คิดว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไร ตายไปเราจะไปอยู่กับท่านตรงนั้นจับภาพพระ ภาวนา ๆ เสียงเป่ายานัตถุ์ปื้ดอยู่ข้างหู ใครเป่ายันัตถุ์วะ เรานั่งอยู่ก็ไม่มีใครนั่งข้าง ๆ กลิ่นหอมเข้ามา อยากน้ำลายยืดเลย พอความรู้สึกอยากเป่ายานัตถุ์ขึ้นมานี่ ใจหายแว๊บแล้ว หลวงพ่อเอากูแน่แล้ว...!
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  แว่นตาก็ไม่เอาครับ ท่านถามว่า “แล้วไม้เท้าจะเอาไหม ?” ตอนนั้นตอบว่าเอาหรือไม่เอาโดนฟาดกบาลแน่ ๆ เงียบซะดีกว่า คราวนี้ปลายปีที่แล้ว เดือนธันวาคม ประมาณ ๙ เดือน ๑๐ เดือนที่ผ่านมานี้ สายตาไม่ไหว ดูหนังสือสุดแขนแล้วรำคาญเต็มที ดูได้หน่อยก็ต้องวาง เมื่อยมือ ก็เอ๊ะ...ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ยอมรับเถอะว่าแก่ ก็ไปตัดแว่น พอได้แว่นมาใส่เข้าปั๊บ เสียงหลวงพ่อท่านหัวเราะ ท่านบอก “คราวนี้รู้แล้วใช่ไหม ว่าแว่นข้าอยากได้นักนี่” ท่านเองท่านไม่ได้อยากได้เหมือนกับเรานั่นแหละ แต่แก่แล้วต้องใส่ไม่ใส่ไม่ไหว เพราะร่างกายเสื่อมไปเรื่อย ๆ อนิจจังไม่เที่ยง ใส่มาได้ ๘-๙ เดือน เดือนที่แล้ว เอ๊ะ...ทำไมสายตามัว ๆ แปลก ๆ ไป ให้เขาวัดใหม่หายไปอีก ๕๐ ยาวขึ้นไปอีกแล้ว แหม...มาเร็วจริง ๆ
      ถาม :  พอร่างกายเป็นอุปสรรคล่ะคะ จัดการอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  เรื่องของมัน ธรรมดาของมัน มันต้องแก่ ในเมื่อมันแก่ ทำอย่างไรเราจะประคับประคองอยู่ได้โดยไม่ต้องทุกข์มากนัก ธรรมดาของมันต้องเจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยทำอย่างไรเราจะประคับประคองให้อยู่ได้โดยไม่ต้องไปทุกขเวทนากับอาการป่วยมากนัก พูดง่าย ๆ คือแก้ไขได้ก็พยายามแก้ไข ไปหาหมอ ไปตัดแว่น หายามากิน แต่ถ้าแก้ไขเต็มที่แล้วช่วยไม่ได้ เออ...เอ็งอยากตายอยากพังก็เชิญ เรื่องของเอ็งไม่เกี่ยวกับข้า ถ้าทำใจอย่างนี้ได้จะไม่ทุกข์กระวนกระวายกับมัน
              เดือนที่แล้วพระน้องชาย ท่านแสงชัยองค์หนึ่ง แล้วพระลูกศิษย์คือมหาสุรชาติองค์หนึ่ง ท่านแสงชัยอยู่ที่ถ้ำทะลุ มหาสุรชาติอยู่โน่น สุขคีรินทร์ นราธิวาส ไม่สบาย แหม...แหกปากซะคนรู้ไปครึ่งประเทศ เรายังไม่ทันจะรู้เลย โยมเขาโทรศัพท์มาถาม “ท่านแสงไม่สบายหรือคะ ?” “โยมรู้ได้อย่างไร ?” บอกว่า เขาโทรศัพท์ไปบอก เจ็บอย่างนั้น ป่วยอย่างนี้ จะตายอย่างโน้น เราก็เออ...ดีเหมือนกัน เราป่วยมา ๒๐ กว่าปีเศษ ๆ แต่ละครั้งนี่ชีวิตหลุดพ้นจากร่างกายแล้วระยะหนึ่งก็มี แต่โอกาสที่คนอื่นจะรู้น้อย ป่วยหนักขนาดไหนก็ตาม ถ้ายังพอประคองร่างกายไปได้ ยังคงสวดมนต์ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐานตามปกติ ยังคงรักษาหน้าที่ของตัวเองตามปกติ แต่คนอื่นเขาป่วยหน่อยหนึ่ง โวยวายซะคนรู้ไปครึ่งประเทศ พอมหาสุรชาติโทรศัพท์มาอีก “อาจารย์ครับ ช่วยผมหน่อยครับ ผมจะตายอยู่แล้ว ?” บอก “หมอไม่มีหรือวะ ?” “มีครับ หลายคนด้วย” “เออ...แล้วเสือกมาขอให้อาจารย์ช่วยทำไม ?” บอก “เจ็บเหลือเกินครับ ปวดเหลือเกิน” “เออ...คราวนี้รู้หรือยัง ตอนนี้คุณเป็นเจ้าอาวาสแล้ว เป็นอาจารย์สอนกรรมฐานด้วย สอนเขาให้ปล่อยอย่างนั้น ให้ละอย่างนี้ ให้วางอย่างโน้น แล้วตอนนี้คุณวางได้ไหม คราวนี้คุณรู้หรือยัง เรื่องที่ทำได้กับเรื่องที่ทำไม่ได้ต่างกันแค่ไหน ตอนนี้คุณยังจำได้อยู่เท่านั้น จำได้ว่าร่างกายไม่ดี จำได้ว่าร่างกายต้องเจ็บไข้ได้ป่วย แต่คุณยังทำไม่ได้ ถ้าคุณทำได้ คุณต้องเห็นว่าธรรมดาของร่างกายเป็นอย่างนี้ ธรรมดาจะต้องเจ็บป่วย ในเมื่อเป็นธรรมดาของมัน แก้ไขเต็มที่แล้วก็ไม่สามารถแก้ไขได้ เขาก็วางมัน ไม่ใช่แบกมันเอาไว้ แบกเอาไว้ก็เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน คนรู้ไปค่อนประเทศเท่านั้น ได้โอกาสคนป่วยโทรศัพท์มาขอกำลังใจ แทนที่จะช่วยด่าซ้ำไปอีก จะได้รู้ตัว นั่นแหละลักษณะอย่างนั้น อย่าลืมว่าเมื่อครู่ว่าอะไร ชราธัมมาหิ มีความแก่เป็นธรรมดา คำว่าธรรมดาต้องเป็นอย่างนั้น ในเมื่อต้องเป็นอย่างนั้น แล้วทำไมเราถึงรับไม่ได้ เพราะเราไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นใช่ไหม เออ...จะอยากเป็นหรือไม่อยากเป็นก็ตัณหาทั้งคู่ ไม่อยากตัณหาแปลตรง ๆ ว่าอยาก แล้วไม่อยากเป็นตัณหาได้อย่างไร ไม่อยากเป็นตัณหาเพราะอยาก แต่ใช้คำพูดกลับข้างกัน ไม่อยากแก่ คืออยากจะไม่แก่ ไม่อยากป่วย คืออยากจะไม่ป่วย ไม่อยากตาย คืออยากจะไม่ตาย สรุปแล้วอยากนั่นแหละ แต่ใช้คำพูดกลับข้างเท่านั้นเอง เราไปเชื่อว่าไม่อยากซะแล้ว
              เมื่อวานคุยกับท่านเอ ส่งมาเรียนบาลีอยู่วัดปากน้ำ บอกชราธัมมาหิ ผิดไวยากรณ์ ไปไม่ได้เลย เพราะไวยากรณ์ต้องเป็นเอหิ เอรัง เอโถ เอยยวโห ถึงจะถูกหลักไวยากรณ์ เพราะฉะนั้น...มาหิ ไม่ได้หรอก ไม่ใช่อาหิ ต้องเป็นเอหิ ต้องเป็นชราธัมเมหิ แต่คราวนี้เขาท่องชราธัมมาหิมาตั้งครี่งค่อนประเทศ มาตั้งนานเนกาเลแล้ว ผิดตามผิดไปเรื่อย ไปเรียนบาลีมาหน่อย แหม...ชักเก่ง จับผิดเขา ยิ่งนานไปก็ยิ่งสยดสยองตัวเอง ชราลงไปทุกวันแต่คนมากขึ้นทุกวัน ลำบากเหลือเกิน ยืนยันกับตัวเองได้อย่างหนึ่ง อย่างไรกูไม่เกิดแล้ว เกิดมาอีกคงจะเหนื่อยมากกว่านี้อีกหลายเท่า เพราะต้องคนมากขึ้นไปอีก เกิดครั้งหนึ่งรู้จักคนหนึ่ง รู้จักน่ะรู้จักใหม่นะ ของเก่าอีกเท่าไร ถ้าเก่าอย่างเดียวก็แค่เท่าเดิม นี่ใหม่ไปเรื่อย ๆ พอใหม่ไปเรื่อย ๆ ก็เยอะขึ้น ๆ เก่าก็อยู่ ใหม่ก็มา ตาย...! ชีวิตนี้อับเฉาแน่นอน
              สมัยก่อนเราก็รู้จักกันแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ตอนนี้ล่อซะค่อนประเทศแล้ว ต้องถามพวกนี้ สมัยก่อนไปวัดไปกันไม่กี่คนหรอก อีหลุกขลุกขลักกันไปเรื่อย มาสมัยนี้เจ้าประคุณเอ๋ย เราไม่ไปหรอกเขามาเอง ไม่รู้ตอนบวชคิดผิดหรือเปล่านะ บวชแล้วงานเยอะเหลือเกิน สมัยก่อนอย่างเก่งรับผิดชอบพวกเราแค่ ๑๐ กว่าคน แล้วไปผูกขาติดกันตั้งแต่เมื่อไร ถึงได้มาพร้อมกัน
      ถาม :  มาแล้วก็ไปปล่อยวัว ปล่อยควาย ?
      ตอบ :  วันนี้ปล่อยปลาดุก ปลาช่อน ปลาหมอ และก็หอยอีก ๒๙ กิโลกรัม รวมแล้ว ๖,๘๐๐ บาท ควาย ๑ ตัว ๑๓,๐๐๐ บาท แต่ละเดือน ๆ หมดเงินไปกับพวกนี้เยอะ แต่อย่างว่า อะไรที่ครูบาอาจารย์สั่งจงทำด้วยชีวิต หลวงพ่อท่านบอกว่ “เล็ก แกเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขาไว้เอยะ เศษกรรมของปาณาติบาตจะทำให้เจ็บป่วยมาก ให้แกไปปล่อยสัตว์ที่เขาขายเพื่อฆ่า พวกปลาก็ได้ สักเดือนละตัว สองตัว จะช่วยได้มาก” เริ่มปล่อยตั้งแต่บัดนั้นมาจนบัดนี้ ปีที่ ๑๘ แล้วจ้ะ จะ ๑๘ ปีเต็มแล้วจ้ะ ไม่ทราบว่าปล่อยไปมากมายเท่าไร รู้แต่ว่าปลาหน้าวัดนั่นน่ะ ฝีมืออาตมาเกินครึ่ง พออยู่กันเยอะ ๆ ออกลูกออกหลาน ชวนพรรคชวนพวกมาก็เต็มแน่นหน้าวัดไปหมด เพราะปล่อยทีละตัวสองตัวอย่างหลวงพ่อว่า เราอยากจะปล่อยหรอก ย่อมเยาไม่หนักกระเป๋าดี แต่พอไปเห็นตาปริบ ๆ แล้วต้องเหมาหมดร้านทุกครั้ง ใช้วิธีนี้มาตลอด
      ถาม :  ไม้อะไรครับ ?
      ตอบ :  ไม้เพื่อนต้น รู้จักไหมไม้เพื่อนต้น ?
      ถาม :  ไม่ทราบครับ ?
      ตอบ :  รัชกาลที่ ๕ พระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ที่ก้าวหน้ามาก ไม่ได้จมอยู่ในรั้วในวังเฉย ๆ ถึงเวลามีการปลอมพระองค์ออกไปเพื่อตรวจดูสารทุกข์สุกดิบของราษฎร ปลอมตัวไปเขาเรียก เสด็จประพาสต้น แวะกันกินกันไป นอนกันไป อะไรก็ตามเรื่องของท่าน คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเจ้านายจากบางกอก แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเจ้าอยู่หัว มีไม่กี่รายหรอกที่จับได้ว่าเป็นพระเจ้าอยู่หัว อย่างเจ๊กฮวดลูกยายผึ้ง รุ่นนี้เรียนทันหรือเปล่า เสด็จประพาสต้น ที่เจ๊กฮวดลูกยายผึ้ง เขานั่งมอง ๆ แล้วบอกคล้ายนัก สักพักหนึ่ง แม่ถาม “คล้ายใครวะ ?” ฮวดตอบ “คล้ายรูปบนหิ้งนั่นน่ะ” ยายผึ้งเพิ่งจะรู้ตัวว่าพระเจ้าอยู่หัวนั่งอยู่กับบ้าน คราวนี้ท่านไป ท่านไปคบหากัน พอท่านเสด็จไปยุโรป ท่านสั่งช่างทำไม้ถือ สมัยก่อนจะมีไม้เท้าอยู่ ไม้เท้าเลือกหาไม้ดี เลี่ยมหัวหน่อยด้วยนาก ถ้าบ้านไหนรวย ๆ หน่อยเลี่ยมทองเลยก็มี นอกจากจะใช้เป็นไม้เท้าแล้ว ยังใช้เป็นอาวุธได้ บางครั้งก็ไว้ถืออวดฐานะ แหม...เลี่ยมมาซะเช้งวับเลย ท่านให้ทำไม้ถือขนาดกะทัดรัด พอกกลับมาเมืองไทย ท่านมีพระดำรัสเรียกบรรดาเพื่อนฝูงที่คบหากัน ส่งบรรดาเจ้าหน้าที่จะมีสมุหเทศาภิบาล ดูแลมณฑลบ้าง ดูแลจังหวัดบ้าง ไปตามตัวคนนั้นคนนี้มา พวกนี้ก็เอ๋อรับประทานกันหมด อยู่ ๆ พระเจ้าแผ่นดินตรัสเรียกเป็นการด่วน ชีวิตทั้งชีวิตไม่รู้จะมีโอกาสได้เห็นหรือเปล่า อยู่ ๆ จะได้เข้าเฝ้า เป็นเราใจแป้วเหมือนกัน เรื่องอะไรกันแน่ พอไปถึงเจอหน้าถึงบางอ้อ ซี้ของเราเองแท้ ๆ อย่างกำนันอะไรไม่รู้ แกเป็นหมื่น หมื่นเป็นยศสมัยก่อน จะมีพัน หมื่น ขุน หลวง พระ พระยา เจ้าพระยา อยู่พวกนั้น แกเป็นคุณหมื่นอยู่ ถามบอกว่า “กำนันต้องการอะไร ?” แกบอกว่า “คุณท่านมาจากเมืองบางกอก กระผมอยากได้ปืนเมาเซอร์ดี ๆ สักกระบอกหนึ่ง จะเอาไว้ปราบปรามโจรผู้ร้ายได้ เพราะถ้าไม่มีปืนดี ๆ โจรผู้ร้ายไม่เกรงใจ เรื่องราวจะเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ถ้ามีปืนดี ๆ โจรผู้ร้ายกลัว คราวนี้ก็จะสงบ” ท่านก็รับปาก ถึงเวลากลับมาให้เจ้าหน้าที่จัดส่งไปให้ ไม่รู้เรื่องหรอกขอในหลวงโดยตรงแล้ว พอท่านเรียกเข้ามา ท่านแจกไม้นี่ให้คนละอัน ๆ บอกว่า “ท่านให้เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นเพื่อนกัน เพราะฉะนั้น ....ไม้นี้เรียกว่า “ไม้เพื่อนต้น” คือเพื่อนที่คบหากันตอนเสด็จประพาสต้น ขอให้เพื่อนทั้งหมดนี่ช่วยงานของท่านด้วย ในเมื่อเป็นเพื่อนกันขอร้องกันได้ใช่ไหม ขอให้เพื่อนทั้งหมดช่วยงานของท่านด้วย ช่วยเป็นหูเป็นตาช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยในบริเวณที่เพื่อนอาศัยอยู่ มีเรื่องราวอะไรที่ไม่ยุติธรรม ให้ช่วยในลักษณะที่ว่าไกล่เกลี่ยแก้ไขไปตามสติกำลังของตัวเอง ถ้าไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ให้นำไม้เพื่อนต้นนี้มาเข้าเฝ้าได้ทุกเวลา อนุญาตให้ขนาดนั้น สั่งเจ้าหน้าที่กรมวังไว้เลย ถ้าถือไม้แบบนี้มาเป็นเพื่อนฉันนะ ปล่อยเข้ามาด้วย ไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหน นี่เพื่อนพระเจ้าแผ่นดิน
              ปรากฏว่าคนที่ได้ไปก็ไม่ได้เอาไปแบ่งทับใครหรอก เพราะว่าส่วนใหญ่ที่ในหลวงท่านไว้วางใจ คือคนที่คบได้มีอัธยาศัยงดงามเท่านั้น ถ้าหากว่าที่ไหนที่มีไม้เพื่อนต้น สมัยก่อนจะมีการจัดงานอยู่เรื่อย งานบวช งานแต่ง ฉลองโน่นฉลองนี่ ขึ้นบ้านใหม่ก็ว่าไป ถึงเวลากลัวจะมีเรื่องราวอะไรกัน เขาจัดตั้งโต๊ะหมู่บูชาลักษณะโต๊ะหมู่บูชาในหลวง แต่เอาไม้เพื่อนต้นใส่พานบูชาไว้ ปรากฏว่างานจะสงบเรียบร้อยดีทุกอย่าง ไม่มีใครกล้าที่จะก่อเรื่อง เพราะกลัวจะเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
              คราวนี้สมัยหลวงพ่อ ท่านทำคทาศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ใช้ช่วยสอนกรรมฐาน ที่เห็นท่านเคาะหัวกันอยู่นั่น ท่านที่มีไม้เพื่อนต้นที่เป็นสมบัติประจำตระกูลอยู่ ๒-๓ ท่าน นำมาถวายหลวงพ่อไว้ หลวงพ่อท่านมอบให้กับลูกศิษย์บางท่านไม่ทราบว่ามีใครบ้าง แต่เท่าที่จำได้ก็มีคุณนิลพงษ์คนหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณนิลพงษ์ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว ยังอยู่วัดท่าซุงหรือเปล่าไม่รู้ ของอาตมาอันนี้ไม่คิดว่าจะได้หรอก บังเอิญคุณอรสา ณ ระนอง เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มหาอำพันทั้งครอบครัวเลย เท่ากับว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อไปด้วย คุณอรสานิมนต์ไปที่บ้าน ไปทำนั่นทำนี่ตามที่ศรัทธา พอทำเสร็จแกถวายมาอันหนึ่ง ตระกูล ณ ระนองเป็นตระกูลเก่าแก่โบร่ำโบราณมาเลย ลูกเจ๊กชัด ๆ เลย เพราะเก็บภาษีเหมือนแร่ดีบุกทางปักษ์ใต้ส่งเข้าพระคลังหลวง โดยไม่ได้เบียดบังเลย ทำอย่างตรงไปตรงมา จนกระทั่งได้พระราชทินนามเป็นเจ้าพระยาสุจริตมหิศรภักดี อันนี้พวกตระกูลแซ่โคว้ พอถึงกลางรัชกาลที่ ๖ ได้รับพระราชทานนามสกุล ได้นามสกุล ณ ระนอง ตระกูลนี้เป็นเจ้าพระยา เป็นเจ้าพระยากันหลายคนทำความดีให้กับแผ่นดินไว้มาก ไม่แปลกใจว่าทำไมคุณอรสาถึงได้มีไม้เพื่อนต้นอยู่ ถ้าไม่เคยเห็นหน้าตาจะเปิดให้ดู ตัวไม้ไม่ทราบว่าทำด้วยไม้มะฮอกกานีหรือไม้มะเกลือ ด้านบนเลี่ยมแบบนี้ ด้านล่างเลี่ยมแบบนี้ สำคัญที่สุดคือตรา จปร. ตรงนี้จะเป็นพระปรมาภิไธยย่อ เขาเรียกว่าไม้เพื่อนต้น ประเภทนี้ถือว่าขลังโดยไม่ต้องเสก ในหลวงพระราชทานศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว อันนี้เกียงเขาอุตส่าห์ถักปลอกให้ มีการถอดได้ด้วย จำไว้นะคทาของหลวงพ่อ ถ้าใครมีอยู่เวลาวาง หัวไปทางทิศตะวันตกปลายไปทางทิศตะวันออก อย่าวางผิดทิศนะ ผิดทิศจะมีโทษ ตรงด้านหัวใช้ตัดเคราะห์ให้สำเร็จ แล้วสอนกรรมฐาน ถ้าตัดเคราะห์ให้ว่าคาถา “ภะสัมสัม วิสะเทภะ” ถ้าให้สำเร็จให้ว่าคาถา “สัมปะฏิจฉามิ” ต้องการความสำเร็จอะไรให้ว่าอย่างนั้น หรือใช้สอนกรรมฐานให้ว่าคาถา “นะโมพุทธายะ” ทางด้านปลายนี่ให้ลาภอย่างเดียว คาถากำกับว่า “มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุเต” ถ้า “เม” นี่ให้ตัวเอง คราวนี้สำคัญอยู่ตรงที่ท่านบอกว่า ถ้าจะให้ลาภใครต้องรู้ยถากัมุตาญาณ คล่องตัวมาก ๆ ถ้าให้ส่งเดชยังไม่ถึงวาระที่เขาควรจะได้แล้วเราไปให้ เราจะโดนตัดเอง ไม้อันนี้มีฤทธิ์ ไป ๆ มา ๆ ๒ รอบแล้ว ต่อไปคงให้ใครไม่ได้แล้วเก็บเอาไว้ก็ได้
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  อย่าลืมว่าท่านโกณฑัญญะพรามหณ์ สมัยที่เขาเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ องค์เข้าไปเพื่อทำนายลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านโกณฑัญญะท่านเพิ่งอายุ ๑๖ ปี เด็กที่สุดในจำนวนนั้น แต่แกจบไตรเพทแล้ว แล้วพราหมณ์ ๑๐๗ องค์ตั้งแต่รามพราหมณ์ ธัชพราหมณ์ ไล่ลงมาเลย ทำนายว่า ถ้าหากครองราชย์สมบัติอยู่จะได้เป็นจักรพรรดิของโลก แต่ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชจะเป็นศาสดาเอกของโลกเหมือนกัน มีโกณฑัญญะพราหมณ์น้อยนั้นองค์เดียวฟันธงโชะเลยว่าออกบวช จะเป็นศาดาเอกของโลก คนอื่นจะทาย ๒ อย่าง ถ้าอยู่ครองราชย์จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ถ้าออกบวชจะเป็นศาสดาเอกของโลก โกณฑัญญะพรหมณ์ไม่ฟังเสียง ฟันธงเปรี้ยงเลย มั่นใจตำราและความรู้ตัวเอง
              ในเมื่อท่านจบไตรเพทตั้งแต่อายุ ๑๖ พอเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ก็ตามไปปรนนิบัติรับใช้ตั้ง ๖ ปีเต็ม ๆ ถึงเวลาก็บรรลุธรรมเป็นคนแรกอีก พระพุทธเจ้าท่านก็เลยตั้งไว้ในเอตทัคคะ ความเป็นเลิศกว่าภิกษุอื่นทางด้านรัตตัญญู รัตตัญญูตามรากศัพท์แปลว่า รู้ราตรีนาน ผ่านวันผ่านคืนมาเยอะ มีประสบการณ์กมากแต่พระใหม่ ๆ ไม่ค่อยรู้จักท่านหรอก เพราะว่าหลวงปู่โกณฑัญญะ ท่านชอบที่สงบ ตีซะว่าท่านอายุ ๑๖ ปี รอพระพุทธเจ้าอยู่ ๒๙ ปี เป็นเท่าไร ๔๕ ปี แล้วตามปรนนิบัติอยู่อีก ๖ ปี ท่านถึงบรรลุ ก็เป็น ๕๐ ปี ถ้าหากท่านอายุ ๑๘ ปีก็จะเป็น ๕๓ ปี บวชตอนอายุ ๕๐ กว่า บวชตอนแก่มากแล้ว เพราะฉะนั้น....ท่านไม่อยากอยู่วุ่นวายกับพระหนุ่มเณรน้อยเขา ท่านไปอยู่ที่ป่าหิมพานต์ มีช้างคอยดูแลอยู่ตั้ง ๘,๐๐๐ เชือก ตัวนี้ช่วยกันเก็บกวาด ตั้วนั้นทำความสะอาด ตัวโน้นไปหาผลไม้มา ตัวนี้ไปหาน้ำมา ช่วยกันดูแลอยู่อย่างนั้น แล้วพอถึงเวลาพรรษาครั้งหนึ่ง มากราบพระพุทธเจ้าครั้งหนึ่ง จีวรพระนี่ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เราอนุญาตผ้าที่ย้อมด้วยน้ำฝาด ต้องใช้คำว่า “กาสาวะ” กาสาวะคือน้ำต้มเปลือกไม้ แปลตร งๆ ว่าน้ำฝาด หลวงปู่โกณฑัญญะของเราอยู่ในป่า
      ถาม :  ..........................
      ตอบ :  ท่านปิงกำลังจะสอบอนุพุทธะ อนุพุทธะแปลว่าผู้รู้ตามหรือพระพุทธเจ้าองค์น้อย พระพุทธเจ้ามี ๓ ประเภทอนุพุทธะ พระพุทธเจ้าองค์น้อยคือพระอรหันต์ทั่ว ๆ ไป เมื่อบรรลุอรหันต์แล้วเรียกว่า พุทธะ คือผู้รู้แล้ว ผู้ตื่นแล้ว ผู้เบิกบานแล้ว แต่ว่าเป็นอนุพุทธะ คือรู้ตามเขารู้ทีหลังเขา เล็กกว่าเขา ปัจเจกพุทธะ รู้เฉพาะองค์ ไม่สอนคนอื่นให้รู้ตาม คือพระปัจเจกพุทธเจ้าทั่ว ๆ ไป สัมมาสัมพุทธะ ผู้ที่บรรลุเองโดยชอบ ตรัสรู้เองโดยชอบ พระพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท แต่ถ้าแบ่งการสร้างบารมีแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทเหมือนกัน คือปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ วิริยาธิกะ ถ้าเป็นนักธรรมตรี หรือว่านักธรรมชั้นนวกะ เขาจะเรียนพุทธประวัติ ถ้าหากว่านักธรรมโทเขาจะเรียนอนุพุทธประวัติ คือประวัติพระสาวกผู้ใหญ่ ๘๐ องค์ บางครั้งเรียกอสีตีมหาสาวก นักธรรมเอกเขาเรียนประวัติเตรสสาวิกา คือสาวิกาพระภิกษุณีผู้ใหญ่ ๑๓ องค์ แต่บางครั้งก็บ้า ๆ ประวัติภิกษุณี ๑๓ องค์ของนักธรรมเอก มาออกนักธรรมตรีหน้าตาเฉยเหมือนกัน อาตมาเจอมาเองแล้ว คนออกรู้คิดว่าเรารู้ด้วย อนุพุทธประวัติ ๘๐ องค์ มีท่านที่เป็นเอตทัคคะอยู่ ๔๑ องค์ ท่านที่เป็นเอตทัคคะมากที่สุดคือ พระอานนท์ เป็น ๕ อย่างเหนือกว่าคนอื่น ๕ อย่างไม่มีใครเสมอเหมือน มีอยู่องค์หนึ่งที่เป็น ๒ อย่าง คือพระสุภูตะมหาเถระ องค์นั้นเป็นเลิศในอรณวิหาร และทักขิเณยยบุคคล คำว่า “อรณวิหาร” คืออยู่สุขไม่มีใครรบกวน พระคุณท่านเล่นเข้านิโรธสมาบัติตลอดเลยเป็นเลิศทางทักขิเณยยบุคคล บุคคลที่สมควรถวายของบูชาให้เมื่อไรรวยเมื่อนั้น นอกนั้นเป็นคนละอย่างเดียว อย่างพระสารีบุตรเลิศทางปัญญา พระโมคคัลลาน์เลิศทางฤทธิ์ พระสีวลีเลิศทางมีลาภ พระมหากัสสปเลิศทางธุดงค์อย่างนี้