ถาม: ถ้าทานที่เราทำแล้ว มีการอธิฐานขอพระนิพพานก็ดี ขอพระโพธิญาณก็ดี อย่างนี้ถือว่าเป็นกำลังต่ำหรือไม่ครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นกำลังสูงของคนฉลาด อธิษฐานบารมีเป็นการประกันความเสี่ยง สิ่งที่เราทำทุกอย่างไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ถึงเวลาให้ผลอยู่แล้ว แต่ตัวอธิษฐานบารมีเป็นตัวจำกัดลงไปว่า จะให้ผลอย่างไร จะให้ผลเมื่อไร ตัวนี้เป็นตัวประกันความเสี่ยง จะมาตรงกับที่เราต้องการ ไม่ใช่ว่าเราต้องการกินข้าวตอนนี้ แต่อีกนาเนกาเลกว่าข้าวจะมา ก็ตายก่อนเท่านั้น คนที่ใช้อธิษฐานบารมีเป็น ต้องเป็นอุปบารมีตอนปลายหรอืปรมัตถุบารมีเท่านั้น ไม่อย่างนั้นอธิษฐานกันไม่เป็นหรอก ซ้ำบางคนยังว่า เออ...ทำบุญแล้วยังอธิษฐานขอโน่นขอนี่ เป็นตัวอยาก เป็นตัณหายุ่งไปหมด พวกนั้นฉลาดเกินพระพุทธเจ้า ปล่อยเขาไปเถอะ
ถาม : การอธิษฐานให้บรรลุความเป็นอรหัตผลโดยฉับพลัน ?
ตอบ : เรามีสิทธิ์อธิษฐาน ก็ลองดูสิว่าจะเป็นได้ไหม ?
ถาม : ประเภทปุ๊บปั๊บฉับพลันนี่ อยู่ที่แรงกรรมของเราใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียวนะ อย่างพระพาหิยทารุจีริยะ ท่านฟังเทศน์แค่ว่า พาหิยะเธอจงอย่าสนใจในรูป ท่านเป็นพระอรหันต์เลย แล้วไปบอกท่านบรรลุเร็วเหลือเกิน รู้ไหมว่าก่อนหน้านั้นท่านเกิดมากี่ชาติ ? ท่านทำมาเท่าไรที่ว่าเร็วที่สุด ในชุดของท่าน ท่านบรรลุช้าที่สุดองค์อื่นเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว เป็นพระอนาคามีไปแล้ว ตัวท่านเองท่านยังไม่ได้อะไรเลย
มาชาตินี้ยังหลงคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ จนกระทั่งเพื่อนที่เป็นพรหมทนไม่ไหวต้องมาบอกว่า ท่านยังไม่ใช่พระอรหันต์ มีพระอรหันต์จริง ๆ อยู่คือพระพุทธเจ้า ให้ไปหา นั่นแหละ...กว่าท่านจะตะเกียกตะกายไปถึงท่านทำมาก่อนตั้งเท่าไร แต่เราไปดูชาติสุดท้ายชาติเดียว ไปดูผลตอนท่านรับสตางค์ ไม่ได้ดูตอนท่านทำงานเหนื่อยเลย เพราะฉะนั้น...ไปปุ๊บปั๊บฉับพลันไม่มีหรอก ต้องทำมามากพอ มากจนกระทั่งสร้างเหตุนั้นเพียงพอแล้ว ผลถึงจะเกิด
ถาม : ความลังเลสงสัยยิ่งมีมากนี่หมายความว่า ?
ตอบ : ต้องดูว่าสงสัยเรื่องอะไร อย่างพวกเราที่เป็นนักปฏิบัติที่ก้าวเข้าจนถึงจุดนี้แล้ว ตัววิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัยในการปฏิบัติแทบจะไม่มี ถ้ามีก็ไม่มาทำหรอก ตอนนี้ของพวกเราก็แค่เอ๊ะโน่น เอ๊ะนี่ นิด ๆ หน่อย ๆ ในส่วนของธรรมะที่ละเอียดเท่านั้น
ถาม : ถ้าคนที่เอ๊ะในส่วนที่หยาบคือ ?
ตอบ : ก็ยังจะต้องพยายามกันอีกเยอะ
ถาม : อาจมีอะไรมาขวาง หรือกรรม ?
ตอบ : ส่วนนั้นจะหยาบมากเลย เพราะเป็นขั้นต้นยังไม่ถึงปฐมฌาน ถ้าถึงปฐมฌานขึ้นไป ตัวนี้จะหายไป เพราะตัวลังเลสงสัยเป็นนิวรณ์เป็นเครื่องกั้นฌาน ถ้าถึงปฐมฌานขึ้นไปกั้นไม่อยู่แล้ว
ถาม : อยากรู้ตอนนี้เราถึงไหนแล้ว ?
ตอบ : นั่นเรื่องปกติจ้ะ เหมือนเราเดินทางมาก็เงยหน้ามองบ้าง ไม่อย่างนั้นเดินนาน ๆ ก็เซ็งเหมือนกัน เอ๊ะ..ได้ ไม่มีใครว่าหรอกจ้ะ เพราะเป็นการทบทวนตัวเอง ตัววิมังสา ตรึกตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ตอนนี้เราทำอะไร ทำไปได้แล้วเท่าไร ยังเหลืออีกเท่าไรที่เราต้องทำ
ถาม : ปลาทับทิมควรเอาไปปล่อยไหมคะ เพราะไม่ใช่ปลาธรรมชาติ ?
ตอบ : ถึงไม่ควรแต่ก็ปล่อยได้ เพียงแต่พวกนี้หากินเองไม่ค่อยเป็น แต่อย่างไรก็ตะเกียกตะกายหากินจนได้แหละ ขอให้ได้ปล่อยดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
ถาม : เมื่อวานเป็นความโง่ของหนูค่ะ หนูไปซื้อปลา เขากำลังจะทุบหัวปลา ปลาทับทิมนี่แหละ แล้วบังเอิญมีคนมายืนรอหน้าร้าน ถ้าเขาไม่ฆ่าตัวนี้เขาก็ต้องฆ่าตัวที่เหลือ คือเกินกำลังของหนูที่จะช่วยทั้งกระชัง เลยชวนกันเดินหนี พอหลังจากนั้นเดินกลับมา เพิ่งรู้ว่าเขาทุบไว้ขาย ยังไม่ได้ขายซะหน่อย คงเป็นกรรมของปลาที่จะต้องตาย แล้วเราก็ลังเลด้วยไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร เราคิดว่าถ้าเราช่วยสามตัวนี้ ที่เหลืออีกทั้งกระชังเราไม่รู้จะช่วยอย่างไร ?
ตอบ : พวกเดียวกัน สมัยก่อนหลวงพ่อท่านสั่งให้ปล่อยปลาที่ขายเพื่อฆ่าเดือนละตัวสองตัว ไปทีไรเห็นตาปริบ ๆ ทนไม่ได้ก็เหมาหมดทุกที ถึงได้เต็มหน้าวัดท่าซุงไปหมด นั่นปล่อยอยู่เจ็ดแปดปี คราวนี้พอปล่อยเยอะ เขามารวมตัวกันบ้าง พวกมาใหม่บ้าง ออกลูกออกหลานบ้าง เลยเยอะอย่างที่เห็น
ถาม : คนจะไปขอลูกจะไปขอที่ไหนคะ ?
ตอบ : ที่ไหนเขาว่าขลังก็ที่นั่นแหละ แต่ถ้าตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงแนะนำ ท่านให้บนกับท่านปู่พระอินทร์ ให้อธิษฐานว่า เทวดาหรือนางฟ้าท่านใดที่ตั้งใจจะไปเกิดเพื่อสร้างบารมีต่อ ขอให้มาเกิดกับเรา แต่ตัวเราต้องมีความดีพอนะ คือต้องรักษาศีลอย่างน้อยศีล ๕ เป็นปกติ ไม่อย่างนั้นเขาไม่มาหรอก
ถาม : บนที่ไหนคะ บนที่พระพุทธรูปที่บ้าน ?
ตอบ : จุดธูปกลางแจ้งก็ได้ ถ้าจะเอาประเภทเผื่อเหนียวไว้ ก็จัดเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่ไว้ก่อนเลย
ถาม : ให้บนอะไรคะ ?
ตอบ : แค่บอกท่านอย่างนั้น บวงสรวงบอกท่านปู่พระอินทร์ บอกหัวหน้าเทวดา เพราะอย่างน้อย ๆ ท่านคงจัดคิวให้จนได้แหละ
ถาม : การรักษาศีลอย่างข้อมุสา แล้วเรามุสาเพื่อที่จะเอาตัวรอดนี่ ถือว่าบาปแรงไหมคะ ?
ตอบ : มุสาวาทที่เกิดโทษสูงสุด คือหลอกลวงคนอื่นแล้วผลประโยชน์ของการหลอกลวงตกอยู่ที่เรา อย่างอื่นก็ลดน้อยไปตามส่วน
ถาม : ถือว่าศีลขาดไหมคะ ?
ตอบ : มีศีลขาด ศีลด่าง ศีลทะลุให้ยุ่งไปหมด ก็ถือว่าพร่องอยู่
ถาม : เราควรจะเลี่ยงอย่างไรคะ ?
ตอบ : เลี่ยงให้เต็มที่เท่าที่จะเป็นไปได้ เป็นไปไม่ได้ก็จงโกหกต่อไป แหม...จะเอาตัวรอด ก็ให้รอดไปก่อน ถึงจะมีโอกาสรักษาศีล ไม่อย่างนั้นตายก่อน โอกาสจะรักษาก็ไม่มี
ถาม : ถ้าอ้อม ๆ ถือว่าโกหกไหมคะ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าถ้าโกหกเต็มที่ คือหลอกลวงเขาแล้วผลประโยชน์อยู่ที่เรา อันอื่นก็ลดโทษไปตามส่วน
ถาม : มีทางช่วยแก้เรื่องการขาดมุทิตาไหมคะ ?
ตอบ : ขาดมุทิตาต้องใช้พรหมวิหาร พยายามตั้งกำลังใจไว้ สมัยที่อาตมาทำเต็มที่เลยนะ เวลาเดินบิณฑบาต ก็แผ่เมตตาเป็นปกติ เห็นรถยนต์วิ่งมาก็คิด เออ...ดีจังเลย เขาทำบุญเอาไว้ดี ชาตินี้เลยมีรถดี ๆ ขับไปยันโน่น ไม่ได้อิจฉาเขาเลย ยินดีด้วยจริง ๆ
ถาม : เราแผ่เมตตาไปเรื่อย ๆ
ตอบ : ว่าไปเรื่อย บางครั้งธุดงค์อยู่ในป่า เวลาปักกลดนั่งภาวนาไปเสียงสัตว์ร้อง เออ...ขอให้เธอทั้งหลายอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอให้หากินได้อิ่มปากอิ่มท้องเถิด ท่านทั้งหลายที่มีความสุขอยู่แล้ว ก็ขอให้มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป กำลังใจจะเป็นอย่างนั้น
ถาม : อารมณ์ของพระอรหันต์ ระดับของความเมตตาจะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าในระดับของความเมตตาแล้วเหมือนกัน คือเป็นอัปปมัญญา หาจุดจำกัดไม่ได้ ไม่เลือกสัตว์ แต่คราวนี้กำลังตอนที่ส่งเมตตาออกไป ต้องดูด้วยว่ากำลังท่านเท่าไร ถ้าเป็นอภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ กำลังท่านจะสูงกว่า แต่ระดับโน้นแล้วเหลือเฟืออยู่แล้ว ของท่านประเภทสป็อตไลท์เป็นล้าน ๆ แรงเทียน ส่องออกไปอย่างไรก็สว่างกว่าไฟฉายปกติ
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ลักษณะอย่างนั้นก็ได้ คือเหมือนกระเพื่อมออกจากตัวเรา ตัวเราเป็นศูนย์กลาง กำหนดใจเบา ๆ สบาย ๆ ตั้งใจไว้ว่า มนุษย์ทั้งหลายสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก เศร้าหมอง เดือดร้อน ลำเค็ญ ทุกข์กายทุกข์ใจ เจ็บไข้ได้ป่วย พิกลพิการใด ๆ ก็ตาม ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ได้ล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายนั้นเถิด
กำหนดตัวเราเป็นศูนย์กลางความเมตตา เหมือนกระแสสีขาวแผ่กว้างออกไป ตอนแรก ๆ กว้างออกไปทั่วห้องนี้ ทั่วทั้งเขตสถานที่นี้ อาจจะเป็นตึกทั้งตึก บ้านทั้งหลังอะไรอย่างนี้ ทั่วทั้งหมู่บ้าน ทั่วทั้งตำบล ทั่วทั้งอำเภอ ทั่วทั้งจังหวัด ทั่วทั้งประเทศ ทั่วทั้งโลก ส่งออกไปหลาย ๆ จักรวาล หลาย ๆ ภพ หลาย ๆ ภูมิไปเรื่อย จะกว้างออกไปลักษณะนั้นแหละ ยิ่งออกไปยิ่งกว้างทุกที ทุกที พอกำลังใจรู้สึกไม่ชัดก็ตั้งใจอธิษฐานใหม่ มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น มีความสุขความเจริญดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น มีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเถิด ว่าไปเรื่อย ๆ พอกำลังใจทรงตัว ก็ภาวนาจับอานาปานสติต่อไปเลย
ถาม : ตอนแรกอาจต้องฝืน ๆ บ้างใช่ไหมคะ ?
ตอบ : แรก ๆ ก็ต้องฝืนบ้าง ทั่ว ๆ ไป ก็ให้คนที่เรารักก่อน แล้วก็ให้คนที่เรารักน้อย ให้คนที่เราไม่รัก ให้คนที่เราไม่เกลียด ให้คนที่เราเกลียดน้อย ให้คนที่เราเกลียดมาก อยู่ ๆ ไปนึกถึงคนที่เราเกลียดสุด ๆ เลย ให้ไปนี่เด้งกลับ เพราะกำลังยังไม่พอที่จะอภัยแก่เขา
ถาม : คนช่างกังวล กังวลใจอยู่ตลอด ทำอะไรก็ไม่ได้ดี มีอะไรที่จะแก้ได้ไหมคะ ?
ตอบ : วิตกจริต คืออาการมักคิด ตรองไม่ตก ให้แก้ด้วยอานาปานสติอย่างเดียว
ถาม : ในบางครั้งเหมือนกับไม่ได้กังวล พอไปฝันจะรู้เลยอย่างนี้เรากังวลนะ เรพาะเราฝันถึงเรื่องพวกนี้ แปลว่ากังวลลึก ๆ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรค้างคาใจก็เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว กังวลได้...แต่เมื่อครู่ตัวก็เลิกคิด ถ้ากำลังสมาธิสูงขึ้น จะตัดกังวลไปได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ถาม : ถ้าเราเคยปรามาสพระอริยเจ้า ?
ตอบ : มีอเวจีเป็นที่ไปจ้ะ แก้ด้วยการขอขมา แต่ขอขมาตรงต่อท่านก็แก้ไม่ได้ เพราะพระอริยเจ้าท่านไม่เคยถือโทษเคืองใครอยู่แล้วให้ขอขมาตรงต่อพระพุทธเจ้า ถ้าได้มโนมยิทธิให้ส่งใจขึ้นไปกราบขอขมาต่อพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ถ้าไม่ได้ก็กราบขอขมาที่หน้าหิ้งพระนั่นแหละ ใช้ดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ตั้งใจอธิษฐานว่า กรรมอันใดที่ลูกได้เคยล่วงเกนิต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จะด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจก็ดี ต่อหน้าหรือลับหลังก็ดี ลูกกราบขอขมากรรมนั้นต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดเมตตาอดโทษนั้นแก่ลูก ตั้งแต่บัดนี้ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด
เชื่อเถอะ....พวกเราที่ไม่เคยปรามาสไม่มีหรอก เพราะทันทีที่กำลังใจของเราเริ่มเข้าสู่อุปจารสมาธิ มารเขารู้แล้วว่าเราจะพ้นมือเขาแล้ว เนื่องจากว่าถ้าเป็นกำลังของปฐมฌานเมื่อไร ความมั่นคงในพระรัตนตรัยจะแน่นแฟ้นทันที เขาต้องพยายามขัดขวางเราทุกวิถีทาง วิธีขัดขวางที่ง่ายที่สุดก็คือ หลอกให้เราปรามาสพระรัตนตรัย
หลอกให้เราคิด หลอกให้เราพูด หลอกให้เราทำ ในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม เราปรามาสพระรัตนตรัยแม้ไม่มีเจตนาของตนเองร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม แต่โทษของการปรามาสก็มีอยู่ คือไม่ได้เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จากใจจริง จึงพร้อมที่จะเลี้ยวลงต่ำ กลายเป็นบริวารของเขาต่อไป ต้องตั้งใจขอขมาทุกวัน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้สอนพวกเราว่า ก่อนจะสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนจะเจริญกรรมฐาน ให้ขอขมาพระรัตนตรัยทุกครั้ง พวกนี้ถ้าเราตื๊อมาก ๆ เข้าเขาก็ถอย เขากลัวลูกตื๊อเท่านั้น
ถาม : การที่เราไม่ปรามาสพระรัตนตรัย ค่อนข้างจะง่ายกว่าการที่เราปรามาสพระรัตนตรัย ?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ...โอกาสที่จะพลาดไปปรามาสมีมากกว่าหลายเท่า เพราะฉะนั้น...หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้สอนพวกเราให้ขอขมาทุกครั้ง รู้ก็ดีหรือไม่รู้ก็ดี ก็ต้องขอขมาด้วย คราวนี้เข้าใจหรือยังว่าถ้าฆราวาสเป็นพระอรหันต์ทำไมถึงต้องตาย ? เพราะอยู่แล้วถ้าเขาปรามาสขึ้นมา จะเป็นโทษต่อผู้อื่นมาก เลยตัดให้ไปเสียก่อน จะได้ไม่เป็นโทษต่อผู้อื่นเขา
ถาม : พระท่านที่ได้อภิญญาหรือเป็นปฏิสัมภิทาญาณอย่างนี้ ต้องเข้าป่าไหมครับ ?
ตอบ : ในสมัยของหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ท่านเข้าป่า ส่วนใหญ่เพราะครูบาอาจารย์รู้ว่าถ้าท่านอยู่จะเป็นโทษต่อชาวบ้านเขา อย่างหลวงพ่ออีกสององค์นั้นท่านซน เรื่องแกล้งชาวบ้านมีเป็นปกติ ยายจันทร์มาถึงกราบ ๆ ท่านก็ถาม
เป็นอย่างไรยายจันทร์ เอาแกงอะไรมา ?
แกงไก่เจ้าค่ะ
ไม่ชอบ...ข้าอยากกินแกงปลาไหล
โห...หน้านี้ปลาไหลหายากเจ้าค่ะท่าน
หายากก็หาได้ไม่ใช่หรือ ?
ก็พอได้เจ้าค่ะ
ถ้าหาได้ ทำไมไม่หามา พรุ่งนี้แกจะเอาแกงปลาไหลมาหรือเปล่า ?
พรุ่งนี้คงไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ..หาไม่ทัน
ถ้าไม่เอามา แกก็หัวเดินแทนเท้าก็แล้วกัน
ยายจันทร์แกนั่งอยู่ดี ๆ หัวทิ่มลงก้นชี้ฟ้าเฉยเลย ยายก็ได้แต่ กลัวแล้วเจ้าค่ะ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอามาให้ สนุกไหม ? ท่านเล่นของท่านอย่างนั้น ไม่มีจิตคิดร้ายอะไรกับใครเลย แกงปลาไหลก็ไม่ได้ต้องการหรอก หาเรื่องแกล้งชาวบ้านเขาเล่นสนุกเฉย ๆ แต่ชาวบ้านเขาเดือดร้อน หลวงปู่ปานถึงต้องให้เข้าป่าไป
ถาม : ทุกวันนี้ท่านยังอยู่ไหมคะ หรือไปแล้ว ?
ตอบ : ไม่ได้ถามเสียด้วย พระอย่างนั้นเวลาท่านมาก็มาเป็นเนื้อ ๆ อยู่ตลอด โดยเฉพาะหลวงพ่อสององค์ พระวัดท่าซุงโดนต้มเปื่อยเป็นโจ๊กไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว คราวนี้รู้หรือยังว่าทำไมถึงต้องเข้าป่า อยู่เมืองแล้วชาวบ้านเขาเดือดร้อนกันเยอะ
ถาม : มีพระที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณมากมายที่ท่านอยู่ในเมือง...(ไม่ชัด)...?
ตอบ : จริตนิสัยเฉพาะตนไม่เหมือนกัน ท่านที่เปิดท่านก็เปิดหมดจริง ๆ พระพุทธเจ้าเจ้าท่านเปรียบไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติธรรมมี ๔ ประเภท
๑. เปรียบเหมือนดั่งกับหม้อเปล่าเปิด คือไม่มีอะไรเลย แต่ไม่ปิดจริยาตัวเอง คือไม่มีก็ให้เขารู้ว่าไม่มี
๒. เป็นหม้อเปล่าปิด ไม่มีอะไรเลย แต่ปกปิดจริยาตนเอง ถ้าคนไม่รู้อาจจะคิดว่ามีดี
๓. เป็นหม้อเต็มแต่เปิด ลักษณะอย่างหลวงพ่อสององค์ มีดีก็ให้รู้ชัด ๆ เลยว่ามีดี
๔. ประเภทหม้อเต็มแต่ปิด ท่านที่เป็นหม้อเต็ม แต่ปิดนี่อาตมาเจอมาเยอะ เมื่อไม่กี่วันนี้ก็เพิ่งจะมรณภาพไปองค์หนึ่ง สมเด็จพระวันรัตน์ (นิรันตรมหาเถระ) วัดเทพศิรินทราวาส นั่นสุดยอดเลย พระนั่งกันอยู่เต็มโบสถ์ อาตมาคิดอะไรท่านชี้หน้าพูดออกมาได้หมดเลย เสียใจด้วย...ตอนเป็น ๆ ท่านไม่อนุญาตให้อาตมาบอกใคร ตอนนี้มรณภาพแล้วเขาเก็บศพไว้ที่ศาลากวีนิรมิต วัดเทพศิรินทราวาส เริ่มงานตั้งแต่แปดโมงครึ่งทุกวัน จนกระทั่งสวดอภิธรรมกลางคืนเสร็จแล้วถึงปิด
ทางวัดจะเก็บไว้ร้อยวัน ไปกราบให้เป็นบุญแก่ตัวกันบ้าง เผาจ้ะเผาองค์นี้ปฏิปทาท่านบริสุทธิ์จริง ๆ เพราะเป็นถึงสมเด็จพระราชาคณะ แต่มรณภาพแล้วในกุฏิไม่มีสตางค์สักบาทเดียว มีแต่หนังสือหนังหาตำรับตำรากับพระพุทธรูปอยู่ไม่กี่องค์ อาตมายังมีพระมากกว่าท่านเลย เวลาอาตมาขึ้นไปกราบบนตัก ท่านกระซิบว่า เบา ๆ หน่อย เดี๋ยวคนเขารู้กันหมด
พระระดับนั้นท่านไม่ค่อยอยากให้ใครรู้ เพราะคนรู้แล้วไปกวนท่านมาก ส่วนใหญ่อายุมากแล้ว ท่านเหนื่อย...ทางฝั่งพม่าหลวงพ่อตามะยะก็มรณภาพไปอีกองค์ องค์นั้นพระโพธิสัตว์แท้ ๆ ท่านเลี้ยงคนเป็นแสน ๆ เลย วัน ๆ คนไปหาท่านกินอยู่กับท่านเป็นหมื่น ๆ คน รถเมล์เป็นสิบ ๆ สาย ต้นทางอยู่ที่วัดท่าน นึกเอาเองก็แล้วกันว่าคนไปหาท่านมากขนาดไหน อย่างกับยกเอาขนส่งหมอชิตไปไว้ที่วัด ท่านมรณภาพไปแล้วเหมือนกัน
|