ถาม:  ถ้าอย่างนี้เทวดาที่ท่าน (ไม่ชัด) ?
      ตอบ :  จริง ๆ อยู่เขตเดียวกันนะ เพียงแต่เว้นช่วงจากกันเท่านั้น ไม่ได้ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ เหมือนตึกของเรา จะเป็นเขตพื้นที่ติดต่อกันไป แต่จะเว้นช่วง ๆ เว้นช่วงน่ะ ในความเป็นเทวดานิดเดียว ถ้านับเป็นระยะทางมนุษย์แปดพันวาห่างกันแต่ละชั้นที่ว่านั่นน่ะ เพราะฉะนั้น...น่าจะเรียกว่าเขตมากกว่า
              อย่างสวรค์มีหกเขต แต่มักจะไม่นับอย่างนั้น ไปนับว่าสวรรค์มีหกชั้น พวกเราเคยชินกับคำว่าชั้นมากกว่า ที่เขาต่างกันคือบุญบารมีที่สร้างสมมาต่างกัน อย่างเช่น ชั้นจาตุมหาราช ส่วนใหญ่เคยได้ฌานสมาบัติ แต่ตอนตายไม่ได้เข้าฌานตาย
              ชั้นดาวดึงส์ จะได้ทำบุญใหญ่มา อย่างเช่น พวกสังฆทาน ส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในมิสบูชา ชั้นยามา จะเป็นพวกชอบนั่งกรรมฐาน ชอบสวดมนต์ พวกสวดมนต์นี่จะไปอยู่ยามาเยอะมากเลย พวกมโนมยิทธินี่ถ้าไปแล้ว ไม่เจาะจงคุยกับใคร เขาสวดมนต์กันกระหึ่ม หรือต่างคนต่างแยกย้ายกันไปนั่งปฏิบัติของตัวเอง
              ชั้นดุสิต ยิ่งจำกัดใหญ่ เทวดาที่จะอยู่ชั้นดุสิตต้อง ๑. เป็นพ่อแม่ของพระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ๒. เป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้ว ๓. เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป หนักเลย...ใช่ไหม ?
              ส่วนชั้นที่ห้านิมมานรดี พวกนี้ได้อภิญญากันมา แต่ทรงไว้ไม่อยู่ มาเป็นเทวดาแล้วก็ยังคันอยู่ ยังอยากเล่นอยากสนุก อยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ พวกนี้ก็จะเนรมิตโน่น เนรมิตนี่ให้ยุ่งไปหมดเลย ถ้าให้ท่านได้ทำท่านจะมันมาก ไม่ใช่ได้ฌานแล้วจะอยู่นิ่ง ๆ เหมือนพรหมเขา
              ส่วนชั้นสุดท้ายปรนิมมิตวสวัตตี ชื่อเขาบอกตรง ๆ เลย อยู่เพื่อสวยความสุขจากชั้นนิมมานรดีเขาทำให้ มึงเสกอะไรมาสร้างอะไรมากูใช้หมด เพราะท่านทำบุญมาเยอะกว่า มีหน้าที่อยู่อย่างเดียวแหละ ใครทำอะไรมา ผลิตอะไรมา มีหน้าที่ใช้ ต่างกันตรงบุญที่สร้าง
              แต่ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยหลัก ๆ คือ มีหิริ รู้ละอายแก่ใจ ไม่กล้าทำบาป โอตัปปะ เกรงกลัวผลของบาปนั้นจะให้ผล ทำให้ตัวเองต้องทุกข์และต่ำสุดต้องมีศีลห้าครบ ต้องมีศีลห้า ประกอบไปด้วยหิริ โอตัปปะ เรื่องของฌานสมาบัติหรือการเข้าถึงการเป็นพระอริยเจ้านั้นของใครของมัน ถือเป็นผลกำไร ทำมากก็ได้มาก
      ถาม :  ทำอย่างไรจะไม่ให้ไฟไหม้ไร่อ้อยคะ นี่เริ่มจุดกันแล้ว โรงงานน้ำตาลบอกว่า ใครจุดจะไม่รับหีบให้ นี่เริ่มขโมยจุดกันเป็นร้อย ๆ ไร่แล้ว ?
      ตอบ :  ทำไมไม่ทำแนวกันไฟไว้ก่อนล่ะ ?
      ถาม :  กันไม่อยู่ค่ะ พอลมมาแรงก็ไหม้ข้ามแนวไปเป็นร้อย ๆ เหลือแค่พระจะช่วยอย่างเดียว ?
      ตอบ :  รอพระจะช่วยอย่างเดียว เอาทรายหลวงพ่อวัดท่าซุงไป เดินวนขวาสาดให้ทั่ว ว่าคาถานกคุ่มกันไฟ “สันติปักขา อะปัตตะนา สันติปาทา อะวัญจะนา มาตาปิตาจะ นิกขันตาฯ”
              สมัยพระพุทธเจ้าท่านเกิดเป็นลูกนกคุ่ม ไฟไหม้มารอบไปหมด ลุกท่วมสูงตั้ง ๑๖ กรีส โอ้โฮ...ไหม้รอบไปหมดเลย จะมาถึงตัวอยู่แล้ว พ่อแม่ก็ไม่อยู่ ออกไปหากิน ไม่มีใครช่วย จึงต้องตั้งสัจจะอธิษฐาน
              สัจจะอธิษฐานคือการกล่าววาจาที่เป็นจริงในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ แล้วก็อธิษฐานขอให้สัจจะอันนี้ส่งผลให้เกิดผลอย่างไร ท่านบอกว่า “สันติปักขา อะปัตตะนา มีปีกบินก็ยังบินไม่ได้ สัติปาทา อะวัญจะนา มีเท้าก็ยังเดินไม่ได้ มาตาปิตาจะ นิกขันตา พ่อแม่ก็ออกไปหากิน”
              สรุปว่าไม่มีใครช่วย ท่านเลยประกาศว่า ด้วยสัจจะที่ว่านี้ ขอให้ไฟที่ไหม้มาจงหยุดลงหรือดับลง ไม่น่าเชื่อว่าไฟที่ลุกท่วมสูงขนาดนั้น ดับหมดเลย เพราะฉะนั้น...สัจจะบารมี ไม่ใช่แต่คน สัตว์ยังทำได้เลย ขอให้มีความมั่นใจก็พอ ของเราอาศัยทรายเสกหลวงพ่อวัดท่าซุง พอถึงเวลาไหม้จริง ๆ กลัวจะเข้าเขตของเราก็เอาธงแดงหลวงพ่อไปด้วย อาราธนาเสร็จแล้วโบกขอให้ลมพัดไปทิศอื่น ขอให้ลมเปลี่ยนทิศเท่านั้น รับรองว่าไม่เข้าที่ของเราหรอก แต่อย่ามาใช้ตูอีกแล้วกัน ตูขึ้เกียจไปไล่ลมให้
      ถาม :  แหม...ก็จนใจ ?
      ตอบ :  งวดนั้นหมดท่าล่ะสิ โทรเรียกพระช่วย เล่นเอาตูต้องไปไล่ลมแทบแย่ เป็นคนอื่นขอทางโทรศัพท์คงได้อยู่หรอก ต้องอาราธนาขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ขอให้ลมเปลี่ยนทาง ให้พัดกลับไปทางเดิม ไม่ให้พัดมาทางนี้ หรือถ้าคนไหนจุดก็ให้พัดไปบ้านมันเลย
      ถาม :  มีลูกศิษย์หลวงพ่ออยู่เหนือบ้านไปอยู่ ๓-๔ คน ไฟไหม้ครั้งแรกเขาวิ่งไปเลย บ้านงานเขาบวชพระก็วิ่งไปเลย เขาบอกไปถึงปุ๊บลมหวน ส่วนที่ไม่ใช่ลูกศิษย์หลวงพ่อไหม้หมดเลย
      ตอบ :  แสดงว่าพวกดิน น้ำ ลม ไฟ ก็มีลูกตา รู้ว่าใครเป็นใคร ถ้าเรามั่นใจก็ใช้ได้ แต่เรื่องของธรรมชาติลมฟ้าฝนไฟ เราไม่สามารถที่จะไม่ให้เขาเป็นอย่างนั้น แต่จะขอให้เขาช้า เร็ว ก่อน หลังหรือเปลี่ยนทิศทางนี่พอจะขอกันได้ ห้ามเขาตรง ๆ เลยห้ามไม่ได้ ฝืนธรรมชาติ อย่างของอาตมานี่เรื่องทรัพย์สินเงินทองไม่ได้ห่วงเลย อย่างไร ๆ ชาตินี้ให้เขาเอาไว้เยอะ โอกาสที่จะเสียยาก ต่อให้จุดไฟเผาก็เชิญเผาไปเถอะ
              วันก่อนเด็กมาเอาหนังสติ๊กมายิ่งใส่ แล้วกุฏิอาตมาเป็นประตูกระจกเสียงดังปังสนั่นเลย อาตมาคิดว่าหมดแล้ว ออกไปดูปรากฏว่าโดนตรงกึ่งกลางพอดีเลย ตรงที่เป็นขอบอลูมิเนียมอย่างนี้แหละ ถ้าเป็นของคนอื่นคงไม่พอดีขนาดนั้นหรอก
              ต้องชมว่าเด็กยิ่งแม่น เขาไล่ยิงเพื่อน เพื่อนชกแล้ววิ่งหนี เลยเอาหนังสติ๊กยิง ดันทะลึ่งยิงมาทางกุฏิ อาตมาโผล่หน้าออกไปก็วิ่งหนี ตะโกนเรียกก็ไม่มา อาจารย์อ้วนแกก็โวยวาย ๆ เรียกเป็นภาษาพม่า ก็เด็กพม่านี่ เลยบอกอาจารย์อ้วนว่า “ไปตามมา ถ้าไม่มา พ่อจะไล่ออกจากวัดทั้งหมดนั่นแหละ...!” เล่นเอาพระอาจารย์อ้วนวิ่งตับแล่บเลย กลัวตัวเองโดนไล่ออกไปด้วย
      ถาม :  วัดสร้างเสร็จหมดหรือยังคะ ?
      ตอบ :  หลังนั้นกำลังตีฝ้าอยู่ แต่ศาลาวัชโรทัยที่อยู่ข้าง ๆ ซ่อมเสร็จไปแล้ว กำลังเริ่มศาลาธรรมสังเวชอยู่ ของข้างในรื้อทิ้งหมดแล้วทำใหม่ กำลังขึ้นโครงหลังคา สรุปว่าหลังนั้นเสร็จช้าเพราะทำประณีตหน่อย คือจะลองตีฝ้าทั้งหลังเป็นหลังแรกดู โห...เฉพาะค่าไม้ตีฝ้าหมดไปหกหมื่นกว่า ยังไม่รู้ว่าจะพอใช้หรือเปล่า ? ไม้หน้าสามนี่ซื้อทีสี่ร้อยตัว หน้าสามยาวสี่เมตร สั่งทีสี่ร้อยตัว ไม้แพงหูตูบเลยไม่ต้องห่วง
      ถาม :  ไม่ได้ใช้ฝ้าลอยหรือคะ ?
      ตอบ :  ฝ้าลอยไม่มีประโยชน์ โดนความชื้นประเดี๋ยวก็โก่งหมด เล่นกระเบื้องแผ่นเรียบธรรมดา แล้วทาสีทับไปเลย
      ถาม :  ที่โน่นคงหนาวมากเลยใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ช่วงนี้ ๑๔ องศาเซลเซียส
      ถาม :  ว่าง ๆ ว่าจะไป อยากไปเจออากาศหนาว ๆ ประทับใจ ?
      ตอบ :  เดินบิณฑบาตก้าวแรก ๆ ขาแข็ง ๆ อย่างไรไม่รู้ ไปสักครึ่งกิโลเมตรค่อยเดินคล่องขึ้น
      ถาม :  อยู่บ้านจะคิดถึงอากาศที่ทองผาภูมิ ?
      ตอบ :  อย่าให้เหมือนอย่างปีนั้นก็แล้วกัน เจ้าประคุณเถอะ ไม่นึกว่าจะหนาวขนาดนั้น พาพระออกเดินธุดงค์พอดี ก็ว่าเอ๊ะ...ทำไมสองทุ่มถึงหนาวขนาดนี้ นั่งล้อมรอบกองไฟคุยกันอยู่ ควันออกปากอย่างกับสูบบุหรี่ นั่งข้าง ๆกองไฟนะ ไฟแรงขนาดนั้นไม่น่าจะเป็น...ใช่ไหม ? พอหนาวจัด ๆ เข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร อะไร ๆ ก็โปะเข้าไปหมดแล้ว เลยเอาผ้าพลาสติกปูนอนนั่นแหละมาพันตัวด้วยห่อเป็นดักแด้เลย ตื่นเช้าคลี่พลาสติกออกมาสะบัด น้ำไหลโจ๊กเลย ไอตัวขังอยู่ข้างในนั้นกลายเป็นน้ำ
              พอกลับมาปรากฏว่า ทางด้านศูนย์จัดการต้นน้ำเขาวัดอากาศอยู่ทุกวัน เขาจดเอาไว้ ๒.๕ องศาเซลเซียส ไม่แข็งเป็นไอศกรีมตั้งแต่อยู่ในป่าก็บุญโขแล้ว ๒.๕ องศาสเซลเซียส ความหนาวต่ำสุดที่เคยเจอ อย่างไปดอยอินทนนท์นั่นแค่ ๑๐ องศาเซลเซียส เห็นนกยอดหญ้าเกาะอยู่ อาตมาไปถ่ายรูป เออ...นกเชื่องดีไม่ขยับเลย ก็ถ่ายไปเรื่อย มารู้ทีหลังว่านกหนาวจนขยับไม่ไหว แค่หันมามอง ๆ แล้วขยับไปหน่อยหนึ่ง เดินสองสามก้าวแล้วก็หยุดให้ถ่ายต่อ ไปไม่ไหว
      ถาม :  อย่างนี้คนที่เป็นเตโชกสิณก็แก้ได้ ?
      ตอบ :  ได้เปรียบเขา แต่จริง ๆ ก็คือถ้ายังไหวต้องยอมทนไปก่อน นักปฏิบัติถ้าหวังมรรคผลต้องยอมรับกฎของกรรม อะไรก็ตามที่ร่างกายยังไหว ยังทนได้ ก็ต้องยอมรับไป ถ้าไม่ไหว ทนไม่ได้พังไปตอนนี้ก็ดี เราจะได้ไปพระนิพพาน
              แต่ถ้าจำเป็นขึ้นมาก็เอา มีอยู่เที่ยวหนึ่งไปพม่า ขากลับนี่ค้างคืนกลางป่าแล้วอากาศอย่างนั้นแหละ โอ้โฮ...หนาวอย่าบอกใครเลย อาตมากำลังมาลาเรียจับอยู่ ขืนเจออกาศหนาวอย่างนั้นต้องเสร็จแน่ ๆ ต้องใช้วิธีไม่รู้ไม่ชี้ อยากหนาวก็เรื่องของมึง กูจะนอน คนอื่นเขาลุกไปผิงไฟตั้งแต่สี่ทุ่มห้าทุ่มยันสว่าง อาตมาก็นอนไปเรื่อย ตีสี่แล้วค่อยลุกขึ้นไปล้างหน้า ถ้าทำไม่รู้ไม่ชี้อย่างนั้นได้ก็สบาย ถึงเวลาก็นอนไปเรื่อย ถ้าไม่ทำอีท่านั้นก็สั่งแหง็ก ๆ เหมือนเขา
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  ไม่รับรู้อาการทางร่างกายแล้ว ร่างกายหนาว แต่กำลังของฌานคุมเอาไว้ได้ มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ครั้งนั้นสาหัสที่สุด คือไปตัดต้นประดู่เลือดตรงข้างส้วมเก่าของเกาะพระฤๅษี ตรงข้างกุฏิสี่ห้อง ต้นนั้นไม่รู้ว่าใบอร่อยอะไรนักหนา บุ้งขนจะมระดมกินกันพรืดไปหมดทุกปีเลย แล้วขนมันปลิวมา คนจะเข้าส้วมหรือว่าจะนอนไม่ได้อยู่สุขกันหรอก เกาให้คะเยอกันหมด
              สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ วิธีที่ดีที่สุดคือโค่นทิ้ง คราวนี้ถ้าโค่นทิ้งก็ไม่รู้ว่าจะล้มไปทางไหน จึงต้องใช้วิธีตัดกิ่งข้างบนก่อน คราวนี้ไม่มีใครยอมขึ้นไปตัด กลัวคัน...ท่านตู่ก็ไม่เอาด้วย อาตมาจึงต้องขึ้นไปตัดเอง
              ปีนขึ้นไปได้ก็ตัดไปเรื่อย ขนบุ้งก็ร่วงใส่ ๆ คนอื่นตัดไม่ไหวก็เรื่องของเขา อาตมาตัดของเราไปเรื่อย กว่าจะเสร็จเรียบร้อยดูไม่ออกว่าตัวเองเป็นอย่างไร ตาหลับไม่ลง ผิวบวมเห่อหนาเตอะเป็นก้อนเลย ตุ่มขึ้นชั้นแล้วชั้นเล่า หนาจนกระทั่งลูบไม่ค่อยรู้สึก
              จึงต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ สรงน้ำเสร็จเรียบร้อยก็หายาหม่องมาละเลงทั้งตัว ท่านตู่ก็...อู้ฮู...หลวงพี่อยู่ได้อย่างไร บวมจนขนาดนั้น เออ...ช่างหัวมันเถอะ อย่าไปคิดสิวะ แม้แต่ในคอยังคันหมดเลย เพราะหายใจเอาขนบุ้งเข้าไป คอบวมหมด หายใจลำบาก แต่ก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำคนอื่นก็ไม่เอาอยู่แล้ว
              ลองดูบ้างไหม ? รู้สึกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ขนาดอยากหลับตา ตายังไม่ยอมหลับ ร่างกายไม่ใช่ของเราจริง ๆ บวมเป็นเม็ด ๆ เป็นชั้น ๆ จนกระทั่งหลับตาไม่ลง รู้สึกแข็งเป็นก้อน ง่วงตาจะปิดอยู่แล้วนะ แต่หลับตาไม่ลง อย่างนั้นถ้าไปรับรู้นี่ต้องเกาจนหนังถลอกหมด คันจริง ๆ ต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เกา จนอยู่สองวันกว่าจะยุบ
      ถาม :  การบรรลุมรรคผล ต้องเกิดเป็นคนเท่านั้นหรือคะ ?
      ตอบ :  เป็นเทวดาก็ได้ เป็นพรหมก็ได้ การบรรลุมรรคผลต่ำสุดต้องเกิดเป็นมนุษย์ และมีข้อแม้ว่า ต้องสร้างบารมีมาอย่างน้อย ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป ท่านที่เป็นเทวดา ท่านที่เป็นพรหมก็บรรลุได้ ถ้าอยู่ภูมิต่ำกว่านั้น ยังไม่สามารถที่จะบรรลุได้
      ถาม :  อย่างนั้นเป็นเทวดาท่านสามารถบรรลุมรรคผลมากกว่า ?
      ตอบ :  มากกว่ามหาศาล หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ลูกศิษย์ของท่านจะบรรลุมรรคผล ๑๗๕,๓๐๐ คน ที่เหลือจะไปบรรลุมรรคผลข้างบนตอนพระศรีอาริย์เทศน์โปรดพระมารดาอีกประมาณ ๗ แสน แสนเจ็ดกับเจ็ดแสนตัวเลขกลับกันพอดี มากกว่าเท่าไรล่ะ ?