ถาม :  ได้หอพักที่หนึ่งก็ไปนอน คืนแรกก็ไม่เป็นไร คืนที่สอง คืนที่สาม คืนที่สี่นี่ก็จะฝันไปว่ามีดวงวิญญาณอยู่แถวนั้นเยอะเขาก็มาเหมือนกับว่ามา แล้วก็ด้วยความกลัวจิตมันเป็นไปเองมันไม่ได้ไปบังคับ จิตมันก็เลยขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า พ่นใส่เขาก็กลัวสิค่ะ เขาก็หนีเลย มีความรู้สึกว่า....?
      ตอบ :  คราวหน้าอุทิศส่วนกุศลแทน พวกที่เขามาส่วนใหญ่เขาจะลำบากเราไปนี่เราสร้างสมบุญเอาไว้เยอะทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนา ไม่เพียงแต่ชาติก่อน ชาตินี้ก็เอาไว้ทำไว้มาก เขาเจอเขาก็อยากจะเข้ามาขอความช่วยเหลือ แต่เรานี่ส่วนใหญ่แล้วมันจะกลัว คราวหน้าให้ตั้งใจว่า ผลบุญที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ขอให้เธอทั้งหลายได้โมทนา เราจะได้รับประโยชน์รับความสุขเท่าไรขอให้เธอได้รับด้วย แค่นั้นล่ะ รับรองได้ว่าเขารีบไปเลย เขาไม่อยู่เกะกะลูกกะตาเราหรอก ไม่ต้องไปไล่เขาด้วย
              ลักษณะอย่างนั้นมันเป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน แสดงว่าในอดีตเราเคยทำได้แล้ว ถ้าหากว่าสภาพจิตใจเรามันนิ่งพอ มันก็จะรับรู้เหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ ลักษณะของการนิ่งมันก็คือต้องหลับไปสักพักหนึ่ง โดยเฉพาะตอนใกล้ ๆ สว่างจิตที่วุ่นวายมาทั้งวันพอมันได้พักไป ก็เหมือนยังกับว่า รถถึงเวลาถึงเราจะดับเครื่องแล้ว แต่แรงเฉื่อยมันยังมีอยู่เรื่อย ๆ พอแรงเฉื่อยมันหมดมันนิ่งเมื่อไหร่ ตอนนั้นมันก็จะเริ่มแล้ว คราวนี้ไอ้โน่นก็มาไอ้นี่ก็มา ชักจะเห็น
      ถาม :  เขาพูดในลักษณะว่าเราเป็นอาจารย์เขา ?
      ตอบ :  อาจจะมียิ่งกว่านั้นอีก อาจจะเคยเป็นลูกเป็นหลานเป็นญาติ เป็นโยมอะไรเยอะกว่านั้นอีก
      ถาม :  เลยโทรไปหาลูกศิษย์ที่พิษณุโลก ว่าใครเป็นอะไรไปบ้าง เพราะว่าเห็นมาแล้วส่วนใหญ่.....แต่ช่วงนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ปฏิบัติ ไม่รู้ว่าได้ปฏิบัติรึเปล่า แต่พอดีอยู่แถวบางเขนซึ่งมีเครื่องบิน ๆ ผ่านตลอดเลย ได้ยินเสียงวืด ๆ ตลอดเลยดัง เรากลัวว่าเครื่องบินจะตก ก็เลยบอกว่าถ้าตายตอนนี้ นึกถึงพระพุทธเจ้าทุกครั้งที่เครื่องบินมันบินผ่าน ก็คือว่าถ้ามันหล่นนี่หนูต้องตายแน่ ก็กลัวมันจะหล่นโดนที่เราอยู่ ตอนนั้นบินมาทีไรก็เอาและต้องตายแน่เลย?
      ตอบ :  นี่เป็นคุณูปการของการบินไทย น่าให้รางวัล จริง ๆ สิ่งที่เรานึกเป็นสิ่งที่ดีมากเลย เพราะนึกถึงพระพุทธเจ้าก็เป็นพุทธานุสสติ นึกถึงความตายก็เป็นมรณานุสติ เป็นกรรมฐานใหญ่ทั้งสองอย่าง ซึ่งปกติเราจะทำได้ยาก แต่เนื่องจากว่าตอนนั้นน่ะมันกลัวตาย ใจมันจะเกาะมากเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นควรจะย้ายบ้านให้อยู่ใกล้กว่านั้นอีกหน่อยหนึ่ง เผื่อมันจะเกาะได้ดีขึ้น
      ถาม :  หนูยังงง ชาวบ้านอยู่ได้ยังไง ?
      ตอบ :  เขาเคยชินไง เขาเคยชิน แล้วก็อยู่ในความประมาทเป็นปกติ ถ้าหล่นมาเราไม่ต้องทำยังไงหรอกจ้ะ คนอื่นเขาทำให้แหง ๆ เลย (หัวเราะ) ถ้าหล่นเราก็แบนแต๋เลย ไม่ต้องทำยังไงหรอก เกาะพระให้ทันอย่างที่ทำก็แล้วกัน
      ถาม :  แต่ว่าไอ้ความตั้งใจมันก็ยังอยู่ คือมันก็ไม่ได้ตายสนิท ?
      ตอบ :  คือจิตแรก คิดถึงอะไรมันก็จะไปที่นั่น ใจคิดถึงพระพุทธเจ้าปุ๊บ เครื่องบินทับแบนแต๋มันก็ไป กำลังบุญมีแค่ไหนส่งถึงแค่นั้น ถ้าไม่นิยมการเกิดไปถึงนิพพานได้เลย
      ถาม :  ทั้ง ๆ ที่เราแบบว่ามุ่งมั่นจะเรียนต่อ แต่ก็จะตายจริง ๆ เครื่องบินจะหล่นมา ก็ไม่เอาแล้วล่ะปริญญาเอกน่ะ ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) จริง ๆ แล้วเราว่าเราไม่ค่อยได้ทำความดีมันก็ไม่ใช่ การที่เรามุ่งมันอยู่กับการเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือ ตั้งใจท่องตำรา ตั้งใจจำมันเป็นสมาธิอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันเป็นสมาธิที่ใช้งาน มันไม่ใช่สมาธิแบบที่เรามานั่งฝึก ก็เลยใช้ลักษณะที่ว่า ถ้าหากว่าเวลางานใจเราให้อยู่กับงาน ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็มานั่งภาวนาของเรา ต่อให้จบด็อกเตอร์มันก็จะประเภทไม่ถึงพระโสดาบันก็ยังมีสิทธิลงนรกอยู่นั่นล่ะ เพราะฉะนั้นเอาให้มันเยอะ ๆ เข้าไว้
      ถาม :  บางทีตั้งนาฬิกาปลุกไว้น่ะค่ะ ตีห้า พอตีห้าปุ๊บเราก็ปิดนาฬิกาปลุกแล้วหลับต่อ สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงตื่นได้แล้ว ตีห้าแล้วตื่นเถิดอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ ?
      ตอบ :  ยังดีที่บอกว่าตีห้าแล้ว ยังบอกว่ายังไม่ถึงตีห้า เพราะมันเลยไปแล้ว คราวหน้าก่อนหลับให้ตั้งใจว่าจะตื่นเวลาไหน นึกถึงภาพนาฬิกาเลยตอนที่เข็มมันชี้ตรงนั้นล่ะ แล้วกำหนดให้แน่ ๆ ด้วยนะ ว่าเป็นอีกกี่ชั่วโมงข้างหน้านี่ รึว่าภายในคืนนี้ไม่อย่างนั้นบางทีมันข้ามวันเลยนะ ถ้าเรากำหนดใจในลักษณะอย่างนั้นพอถึงเวลามันจะตื่นเอง
      ถาม :  หนูมีข้อสงสัยอีกข้อหนึ่งค่ะว่า ในช่วงที่เราท่องสหัสเนตโตปึ๊บ ความรู้สึกเหมือนบอกว่าช่วงท่องเวลาที่เรานั่งอ่านหนังสือ เทวดาท่านจะมา รู้สึกน่ะค่ะ ว่าจะมีเทวดาท่านจะมา มาหมดเลย ตอนนั้นหนูขอบารมีกรมหลวงชุมพรด้วยค่ะ เพราะว่าเคยไปเรียนที่อังกฤษ และหนูก็กำลังจะไปก็เลยขอบารมีท่านมาช่วยด้วย รู้สึกว่าท่านก็มาเทวดาก็มารู้สึกเองน่ะค่ะ แล้วช่วงเวลาที่อ่านหนังสืออยู่ บังเอิญลืมท่องจบ หนูมีความรู้สึกว่า พออ่านเสร็จแล้วเราไม่ท่องปิดท่านก็ยังอยู่ท่านยังไม่ไปไหน (หัวเราะ) นี่เราเข้าห้องน้ำอยู่น่ะนี่เราอาบน้ำอยู่นี่ท่านยังอยู่น่ะ หนูเอ๊ะ...ตาย อุ๊ยตาย...เราลืมกำลังนั่งอึอยู่ในส้วม ตายแล้วลืมท่องปิดรีบนั่งท่องอยู่ในส้วมเลยเพราะกลัวท่านจะ...หนูก็เลยว่ามันเป็นอย่างนี้ตามที่หนูคิดหรือเปล่าค่ะ ?
      ตอบ :  อันนั้นไม่ใช่คิดจ้ะ คิดยังไงก็คิดแบบนั้นไม่ได้ ความรู้สึกอันนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามนั้นเลย เพราะอย่าลืมว่าคาถานี้เป็นของท่านปู่พระอินทร์ ท่านปู่พระอินทร์ถือว่าเป็นนายของเทวดาทั้งหมด ถ้าหากว่าเรามีอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือในขณะนั้น เทวดาที่อยู่ในบริเวณนั้นทั้งหมดก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องช่วยเรา เพราะอย่างน้อย ๆ เราก็ประเภทเด็กเส้นของเจ้านายอะไรอย่างนี้ ในเมื่อมาแล้ว แล้วไม่บอกให้ไปก็อยู่ก่อน คราวหน้าเลี้ยงข้าวด้วยนะ
      ถาม :  บางครั้งยังรู้สึกเลยว่ากรมหลวง ขณะเราเข้าห้องน้ำ พออึเสร็จน่ะค่ะ ลืม ๆ ต้องปิด แล้วเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วเรานั่งฟังเพลง ฟังเพลงไปเรื่อยเพราะเราว่าอ่านเสร็จแล้วลืมท่องปิด ตอนนี้ฟังเพลงไปเรื่อยรู้สึกว่ากรมหลวงท่านอยู่แถวนั้น ?
      ตอบ :  ยังดีที่ไม่เขกกะบาลเอา
      ถาม :  หนูก็เลย อุ๊ยตาย...นี่เราลืมท่องปิด พอรู้สึกว่าท่านยืนปึ๊บเราจะเอะใจ อุ๊ยตายเราลืมท่องปิด ก็เลยต้องมาท่องปิดก่อนแล้วมาฟังเพลงใหม่ ?
      ตอบ :  จ้า...แหมเชิญมาแล้วก็ส่งกลับด้วยสิ
      ถาม :  การที่ท่องคาถาหลังจากอ่านจบนี่เป็นการปิดหรือคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วมันอยู่ที่เรา ถ้าใจของเรายึดถือมั่นคง ท่านก็พร้อมที่จะสงเคราะห์ให้ คราวหน้าบอกท่านก็ได้ว่าหนูเรียกมาแล้ว ถ้าหากว่าหนูไม่ได้ส่งกลับก็กลับเองด้วยน่ะค่ะ (หัวเราะ) ถ้าอยู่ที่นี่มันจะมีแต่ประสบการณ์อย่างนี้ทั้งวันแล้วเราจะรู้ว่าตัวเราผิดปกติ คนอื่นเขาดีหมด (หัวเราะ) ไม่ใช่คนอื่นบ้าแล้วเราดีอยู่คนเดียว ตัวเราผิดปกติคนอื่นเขาดีหมด ตกลงว่าจะไปแน่ ๆ เมื่อไหร่
      ถาม :  เมื่อคะแนนผ่านน่ะค่ะ ?
      ตอบ :  เอา ๆ ลองดู
      ถาม :  ก็อธิษฐานอยู่ทุกวันน่ะค่ะ ทำบุญทุกวันขอให้ผ่าน ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ประเภทพอผ่านเสร็จเรียบร้อยลืมทำบุญ ก็ดียังมีแรงเรียนเอาไว้ก็ดี เดี๋ยวไฟมันมอดซะก่อนกว่าจะลุ้นฝนจบด็อกได้ หลวงพ่อเหนื่อยเกือบตาย ปริญญาตรีแค่เรารู้ตามครูสอนก็พอแล้วไง ถ้าปริญญาโทนี่จะต้องเกลี้ยกล่อมให้ครูเขาคล้อยตามให้ได้ว่าเรารู้จริง ถ้าปริญญาเอกนี่มันจะต้องหลอกครูได้ เจ้าฝนเขาเรียนนี่ศศินทร์ เรียนของแพง
      ถาม :  ตอนที่ท้อ ๆ น่ะค่ะ หนูก็เลยคิดว่า .....?
      ตอบ :  โทรได้จ้ะ ถ้าโดนด่าแล้วจะมีไฟขึ้น
      ถาม :  (หัวเราะ) กลัวโดนด่า เลยไม่กล้าโทร ?
      ตอบ :  ขึ้นอยู่กับจังหวะเหมือนกัน ถ้าผิดจังหวะล่ะได้แน่ ๆ หลังสงกรานต์ลงไปปักษ์ใต้ไปเจอที่หนึ่งน่าอยู่มากเลย มันเหมือนกับเขตหวงห้ามเล็ก ๆ เนื้อที่ซัก ๒๐๐ ตารางวาเท่านั้นล่ะ จะเป็นตำหนักในลักษณะที่ว่าคล้าย ๆ กับศาลเจ้าพ่อทางบ้านเรา เขาเรียกตำหนักโต๊ะชายดำ โต๊ะชายดำปกติลงไปก็ผ่านไปผ่านมาอยู่เป็นประจำแล้วมันไม่มีอะไร งวดนี้ไปเขาขอความช่วยเหลือ ว่าให้ถวายสังฆทานให้เขาบ้าง เขาบอกว่าความจริงในอดีตก็เคยเนื่องกันมา เพราะว่าในสมัยที่กรุงแตกจากการล้อมตีของพม่าเขา คณะของเขาเห็นว่ามันไม่ไหวจริง ๆ ก็เลยอพยพหนีออกจากกรุงไปก่อน อพยพหนีไปก่อน ไปยันโน่นแน่ะ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เขาก็ไปตั้งรกรากกันอยู่ตรงนั้น โดยเฉพาะทรัพย์สินอะไรที่ขนไปก็เอาไปฝังรวมกันไว้ตรงนั้น ทำตัวเป็นชาวบ้านธรรมดา ทำมาหากินไปตามปกติ กะว่าถ้าหากว่ามีใครกู้บ้านกู้เมืองคืนขึ้นมาได้เมื่อไร ก็จะมาร่วมงานกับเขา แต่บังเอิญว่าไปไกลไปหน่อย แล้วพระเจ้าตากสิน ท่านทำงานเร็วมากเลย แปดเดือนก็เรียบร้อยแล้ว กว่าข่าวจะไปถึงก็เลยอยู่กันตรงนั้น อยู่กันสองร้อยกว่าเกือบ ๆ สามร้อย
              เราผ่านไปผ่านมาหลายทีวาระบุญวาระกรรมมันยังไม่เปิดให้ มันก็เนื่องกันมาไม่ถึง เขาไม่สามารถที่จะติดต่อเพื่อแสดงให้รู้ได้อะไรได้ คราวนี้งวดนี้ลงไปได้รับการติดต่อมาว่าให้ทำบุญให้เขาก็เลยไปกัน ไปถวายสังฆทานก็มีพระพุทธรูป มีผ้าไตรจีวร แล้วก็ชาวบ้านเขาเลี้ยงพระซะจนไม่มีปัญญาจะฉัน ตัวเรานั่งอยู่นี่กับข้าวมันไปเลยเสาโน้นอีก แล้วมันเหลือเชื่อว่า อำเภอตากใบ คนตรงจุดนั้นมันเป็นไทยล้วน ๆ ปกติมันน่าจะมีอิสลามบ้าง แล้วสถานที่นั้นมันเป็นเขตลักษณะเหมือนเขตหวงห้าม มีต้นไม้ใหญ่มีอะไรร่มเย็นน่าอยู่มากเลย แล้วก็มีพวกลักษณะเขาทำไว้เหมือนยังกับศาลเจ้าอย่างศาลเจ้าพ่ออย่างนั้น แล้วก็จะมีลักษณะเหมือนยังกับที่นั่งเล่น เป็นที่นอนได้ มีกระทั่งห้องน้ำและก็มีบ่อน้ำ พร้อมทุกอย่างแต่ไม่มีใครอยู่ได้ โดยเฉพาะพวกที่เข้าไปบริเวณนั้นแล้วเข้าไปล่าสัตว์ เพราะว่าพื้นที่ของเขามีสัตว์ชุกชุมมาก มักจะเจอดีจนกระเจิดกระเจิงออกมาหมด ไปเห็นปุ๊บแล้วติดใจเลย สถานที่มันสงบน่าอยู่จริง ๆ ไม่มีใครไปกวน
              แต่ว่าวันนั้นพอเขาเห็นพระไปเขาก็เข้าไปกัน ไปทำบุญบ้างไปอะไรกันบ้าง มันก็เลยสบายตกลงว่าพวกเก่าเขาเลี้ยงดีกินไม่ไหว อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เขาเรียกว่า โคกอิฐ ก่อนจะถึงโคกอิฐนี่ถ้าหากว่ามาจากทางด้านปัตตานี่ไปนราธิวาส ถนนเส้นนอกมันจะมีป้ายบ้านโคกยางก่อน พอเห็นบ้านโคกยางปุ๊บก็ไปยูเทินร์เลี้ยวกลับ แล้วก็จะมีบ้านโคกกระท่อม พอเห็นบ้านโคกกระท่อมก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปได้เลย ตรงนั้นเขาเรียกโคกอิฐ แสดงว่าแถวนั้นมีแต่ที่สูงมันมีแต่โคกทั้งนั้นล่ะ
              เคยไปตากใบมั้ย โห...เสียชาติเกิดจริง ๆ อยู่ใต้ไม่เคยไปตากใบ (หัวเราะ) น่าอยู่เสียดายที่เลยล่ะ สงบเหมาะที่พระจะอยู่ปฏิบัติเป็นที่สุด อย่ากลัวผีก็แล้วกัน ไปนี่พักพวกบานเบิกเลย
      ถาม :  แช่งคน .....?
      ตอบ :  แช่งนี่เขา คือพุดอะไรไปมันจะเป็นตามนั้น อย่างหลวงพ่อเดิม ข้าวในนาชาวบ้านเขากำลังงาม ๆ อยู่ ๆ ม้าของหลวงพ่อเดิมก็ไปกิน เจ้าของนาแกเป็นผู้หญิงปากร้ายแกก็มาเท้าเอวด่า ๆ ๆ ไม่รู้จักจบ ไม่ใช่หลวงพ่อเดิมสิ หลวงพ่อเขียน ๆ ก็โผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างบอกอีปากเน่า ด่ากระทั่งพระกระทั่งเจ้าไม่รู้จักเลิก ปรากฎว่าไม่รู้แกเป็นอะไรล่ะ เกิดปากเปื่อยขึ้นมาเฉย ๆ ล่ะ ลักษณะอย่างนั้นไม่ขอขมาพระไม่หายหรอก
              เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าทำคาถานี่ขึ้นอย่าเผลอ หลวงพ่อท่านถึงได้บอกว่าท่านเองท่านกลัวจะเผลอ ถ้าเผลอไปว่าไม่ดีมันจะเกิดไม่ดีกับคนจริง ๆ จริง ๆ ก็คือกำลังของเจ้าของคาถาแช่งคนนั้นมันเป็นของท้าวมหาพรหมท่าน
      ถาม :  ทำอาหารถวายพระ ท่านเป็นหมูอ่อนใช่มั้ย พระพุทธเจ้าเสวยเสร็จก็บอกว่าที่เหลือให้เอาไปฝังเป็นเพราะอะไร ?
      ตอบ :  ในขณะที่นายจุนทะ เขาทำอาหารนั้นน่ะ เทวดาเขาก็อยากได้บุญ ก็เขาพวกเครื่องทิพย์มาโปรยผสมลงในอาหารนั้น คราวนี้ส่วนที่มันได้รับการผสมลักษณะนั้น ธาตุของคนจะย่อยไม่ไหว คนละเรื่องกันเลยน่ะนะ จากที่ร่างกายของคนทั่วไปมันจะย่อยได้จะดูดซึมได้เอาไปใช้งานได้มันจะทำไม่ได้ แต่ว่าธาตุของพระพุทธเจ้ายังย่อยได้อยู่ เพราะว่าท่านเป็นบุคคลพิเศษนี่ ในเมื่อถ้าหากว่าบุคคลอื่นกินเข้าไปไม่ย่อยมันจะเป็นอาหารเป็นพิษ ท่านก็เลยสั่งให้ไปฝังทิ้งซะ แล้วก็ยังบอกเอาไว้อีกว่า หลังจากนี้ไม่นานท่านจะปรินิพพานคือจะตาย ถ้าหากว่าคนคิดว่าท่านฉันอาหารของนายจุนทะแล้วตายให้พระบอกไว้เลยว่าพระพุทธเจ้าตั้งใจจะปรินิพพานวันนั้นเวลานั้นอยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นเพราะว่าฉันอาหารของนายจุนทะเข้าไป
              เพราะพระองค์ยังตรัสว่าทานที่บุคคลให้ในวันแรกที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมมาสัมโพธิญาณกับวันสุดท้ายที่จะปรินิพพานเป็นทานที่มีผลมากที่สุด คนที่ถวายก่อนจะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณคือนางสุชาดา ถวายข้าวมธุปายาสไปแล้ว ก็คนที่ถวายคนสุดท้ายคือนายจุนทะ
      ถาม :  ข้าวมธุปายาสเป็นยังไง ?
      ตอบ :  มธุปายาสอย่างน้อย ๆ ต้องเลี้ยงวัว ๔๙ ตัวจ้ะ เขาจะรีดนมวัวจาก ๗ ตัวแรกกรองให้สะอาดแล้วก็ไปให้ ๗ ตัวที่สองกินเข้าไป รีดนมวัดจาก ๗ ตัวที่สองมากรองให้สะอาดให้ ๗ ตัวที่สามกินเข้าไปจนกระทั่งชุดสุดท้าย ๗ ตัวนั่นล่ะ รีดเอานมนั้นมาหุงข้าว ลองดูมั้ยล่ะ ?
      ถาม :  ปัจจุบันยังมีมั้ยเจ้าค่ะ ?
      ตอบ :  มีจ้ะ เพิ่งจะฉันมาเพราะว่าลงไปปักษ์ใต้งวดนี้ไปเจอสาวฮินดูคนหนึ่ง ชื่อสุภิตา คานธี นามสกุลคานธีด้วยนะ ก็แม่สาวนี่ล่ะที่ถามซะจนพระรำคาญนั่นล่ะ จนกระทั่งพระท่านบอกให้ถามได้ไม่เกินหนึ่งข้อต่อวัน เขาก็ยังสงสัยอีกว่าถ้าสงสัยเกินข้อหนึ่งแล้วทำยังไง พระท่านก็ให้มาถามอาตมา อาจจะให้ไปถามคนอื่นก็ได้ แต่บังเอิญชื่อเล็กเหมือนกัน เขามาควานเจอเราเข้าก็เอาล่ะ เขาก็เลยไปหุงข้าวมธุปายาสมาถวาย
              ครั้งแรกเราดู ๆ ก็นึกว่ากับข้าว จ้วงเข้าไปซะเต็ม ๆ ปรากฏว่ามันออกหวาน ๆ เหมือนขนมมากกว่า
      ถาม :  แล้วอย่างในปัจจุบันล่ะเจ้าคะ ที่เรานำข้าวไปถวายที่วัดแล้วถาดที่เรายกถวายท่าน ท่านฉันเสร็จท่านก็ลุกไป ชาวบ้านทั่วไปจะยกอันนั้นมาทานต่อ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าพระฉันเหลือแล้ว ชาวบ้านกินได้เขาเรียกว่าวิทาสาโท รับของที่เป็นเดนแล้ว แต่ถ้าจะให้ดีน่ะ ให้พระวัดนั้นมีการอุปโลกน์ซะก่อน การอุปโลกน์นี่คือก็จะสมมติขึ้นมา อย่างเช่นว่าเขาจะประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า ยัคเฆ ภัณเต สังโฆ ชานาตุ ขอสงฆ์ทั้งหลายโปรดฟังคำข้าพเจ้า บัดนี้ได้มีทายก ทายิกาผู้มีจิตศรัทธาน้อมนำมาซึ่งภัตตาหาร ถวายเป็นสังฆทานในท่ามกลางสงฆ์ อันว่าสังฆทานนั้นย่อมมีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่มาก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ไม่ได้จำเพราะเจาะจงให้เฉพาะภิกษุ สามเณรรูปใดรูปหนึ่ง แต่ว่าสมควรแก่สงฆ์ทั้งสังฆมณฑล ให้แจกแก่สงฆ์ทั้งหลายในบรรดาที่มาถึงในสถานที่นั้น บัดนี้ข้าพเจ้าจะสมมติตนเป็นผู้แจกของสงฆ์หากสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควรก็ให้นิ่งอยู่ ถ้าหากว่าเห็นไม่สมควรก็ให้ทักท้วงขึ้นได้อย่าได้เกรงใจ ในเมื่อสงฆ์ทั้งหลายนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการสมควรแล้วก็จะแจกภัต ณ บัดนี้ แล้วก็เริ่มต้นว่า อะยัง ปะฐะมะภาโค มหาเถรัสสะปาปุนาต ส่วนที่ ๑ ก็พึงถึงแก่มหาเถระ ผู้เป็นใหญ่เหนือกว่าข้าพเจ้าอะวะเสสาภาคาอัมหากังสามเณรัญจะ ปาปุนาติ ส่วนที่เหลือก็ถึงแก่ข้าพเจ้าจนภิกษุสามเณรทั้งมัชชิมะ และนะวะกะคือผู้กลางและผู้ใหม่ทั้งหลายตลอดจนถึงสามเณร เมื่อเหลือจากพระภิกษุและสามเณรแล้วไซร้ ก็มอบให้เป็นของทายก ทายิกา ตลอดจนถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ต้องการมีส่วนร่วมในอาหารนี้ด้วยเทอญ อย่างนี้ถ้าพระสาธุก็เป็นอันว่ากินไปเถอะ
      ถาม :  ยังไม่เคยเห็นมีใครทำแบบนี้ ?
      ตอบ :  เขาทำกันเยอะเหมือนกัน หลายวัดเขาทำกัน วัดที่อาตมาอยู่ก็ทำเป็นปกติ กันนรกให้ เพราะว่าส่วนใหญ่นี่เขาไม่รู้กัน
      ถาม :  เห็นเขาใส่เป็นถาดแล้วก็ถวาย แล้วพระก็ฉัน พอฉันเสร็จ....?
      ตอบ :  ถ้าพระฉันเหลือแล้วจริง ๆ กินต่อได้น่ะ แต่ว่าอย่าเอาไปบ้าน ส่วนที่เหลือแล้วไม่ต้องขออนุญาตก็ได้แต่ห้ามเอาไปบ้าน ถ้าหากว่าลักษณะที่ว่านี่ ถ้าหากว่าเป็นพระสงฆ์อุปโลกน์ขึ้นมาแล้วทุกองค์ มีความเห็นร่วมกันว่าได้อย่างนั้นกินเสร็จถ้าเหลือขนกลับบ้านต่อไปเลย
      ถาม :  การใส่บาตรนี่ถ้าเราเตรียมข้าวไปแล้ว จำเป็นมั้ยจะต้องตักจนเหลือไว้ก้น ๆ หนึ่ง ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็น แล้วแต่เรา ถ้าหากว่าพระมีมากข้าวมีน้อยก็ตักกันจนหมดขูดกันไปเลยก็ได้ แต่ถ้าหากว่าพระมีน้อยข้าวมีมากก็เหลือกลับไปกินเป็นของเราก็ได้ เพราะว่าอันนั้นยังเป็นสมบัติของเราอยู่ ยังไม่ใช่ของสงฆ์
      ถาม :  ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ของเรา บางทีไปถวายแล้วพระบางองค์เขาบอกไม่ต้องตักหมดหมดหรอกเดี๋ยวเก็บไปบ้านอะไรอย่างนี้ ?
      ตอบ :  เผื่อไว้ส่วนที่เหลือจากการทำบุญถือว่าเป็นมงคล เก็บไว้กินเองบ้างเผื่อฟลุคจะได้รวย (หัวเราะ)