ถาม :  ถ้าเรียนภาษานี่ มันก็ใช้อย่างเช่นมีนิทานบาลี ?
      ตอบ:  นิทานบาลีนี่แหละเพี้ยนเลย เพราะว่าของเขาจะเป็นคำสั้น ๆ แต่ใจความแฝงมันเยอะ อย่างในปัญญาวาปุริโสใช่มั้ย ? ปัญญาวา มีปัญญา ปุริโส คือบุรุษ ว่าตามภาษาของเราว่าบุรุษมีปัญญา ปุริโสเป็น นามนาม ปัญญาวา เป็น คุณนาม คุณนามคืออาการแสดงซึ่งลักษณะของนามนามว่าเป็นอย่างไร ดี ชั่ว สูง ต่ำ ดำ ขาว อ้วน ผอม อะไรอย่างนั้น ก็จะแยกออกมาของเราเองไม่นึกว่าจะไปไกล พอไม่นึกว่าจะไปไกลก็เลยว่าผิดไปคำหนึ่งเพราะว่าคำฉัน จริง ๆ มันเป็น สรรพนาม แต่ของเราเอาเป็น สาธารณนาม สาธารณะนามคือฉัน ฉันคนไหนล่ะ ? มันต้องเป็นสรรพนามใช้แทนนาม เอาไว้เดี๋ยวมันจะมีกองทัพวัดท่าขนุน พอถึงเวลาแล้วจะมีคล้าย ๆ กับว่าหนังสือยืนยันว่าคุณมีความรู้ แล้วคราวนี้ตำแหน่งจะไหลมาเทมา มันไม่เชื่อความสามารถ เชื่อหนังสือฉบับเดียว เขาจะเอากระดาษแผ่นเดียว ที่ วิทยากร เชียงกรู เขาเขียนกลอนของเขา “ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย หวังจักเก็บได้อะไรมากมาย สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว” นี่ตัวปฎิวัติเลยนะ ด่าการศึกษาตั้งแต่สมัยโน้น สมัย ๖ ตุลา ๑๔ ตุลา อะไรพวกนั้น
      ถาม:  ..............................
      ตอบ:  บางทีครูบาอาจารย์ไม่สามารถที่จะย่อยสลายความรู้ของตัวเองเพื่อป้อนให้กับศิษย์ได้ ครูเก่ง แต่เก่งแบบที่ต้องระดับครูถึงจะรู้ พูดแบบที่ต้องอยู่ระดับเดียวกันถึงรู้ เด็กก็เดี้ยงหมด
      ถาม:  .............................
      ตอบ:  ด๊อกเตอร์โกมล เวลาไปบรรยายด้วยกัน ด๊อกเตอร์โกมล แพรกทอง ก็บรรยายไปเรื่อย ๆ แต่บรรยายแบบด๊อกเตอร์รู้ อยู่กลางดงกระเหรี่ยงไปอุปโภคปริโภคอะไรอย่างนี้ พวกนั้นรู้แต่ออหมี่ ออที ต้องไปแปลของยากให้เป็นง่ายทุกทีแหละ ประสาทจะกิน
      ถาม:  ...............................
      ตอบ:  จริง ๆ ต้องวัดจากคุณภาพของนักศึกษามากกว่า แต่ว่าขณะเดียวกันเขาต้องใช้คำว่าอะไรล่ะ ? ไอคิวของคนที่เขาว่าแบ่งออกเป็น ๗ ประเภทด้วยกัน จะมีไอคิวด้านการศึกษา ไอคิวด้านคำนวณ ไอคิวด้านดนตรี ด้านศิลปะ ด้านการทำความเข้าใจตนเอง การทำความเข้าใจคนอื่นเสร็จแล้วพอถึงเวลาคนมันเก่งอย่างเดียวล่ะ เก่งอย่างเดียวคำนวณได้เต็มแต่ระดับไอคิวเท่าคนปัญญาอ่อน คำนวณเร็วกว่าเครื่องคิดเลขอีก ถ้าหากว่าไปเจออย่างนั้นเข้าแล้วเราก็ไปวัดคุณภาพนักเรียนก็แย่เหมือนกันอย่างพวกเด็ก ๆ ที่เพิ่งได้เหรียญทองเคมีเหรียญทองคณิตศาสตร์โอลิมปิคอะไรมา เขาบอกเขาเรียนอ่อนจะตายไป คนเก่งเคมีบอกชีวะเกือบตก เขาชอบของเขาอย่างนั้นเขาก็ทำได้ดี
      ถาม:  ถ้าไม่จบปริญญาเอก เขาก็จะไม่สอนในคอร์สปกติ ?
      ตอบ:  เอาเหอะ มันสำคัญตรงถ่ายทอดได้ ก็แบบเดียวกับ คุณเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ตอนที่ไปเรียนที่ คอร์แนล ไง ประเภทโดนโปรเฟสเซอร์กระแทกแล้วกระทุ้งอีก นวดซะจนน่วมเลยนั่นนะ พอจบการศึกษาเสร็จเขาบอกว่าตอนนี้คุณไม่ต้องเรียกผมว่าโปรเฟสเซอร์ แต่คุณเรียกเรียกผมว่าจอห์น เราเป็นเพื่อนกัน ตอนนั้นหน้าที่ ผมมีหน้าที่อัดคุณจนกว่าคุณจะมีความรู้ จริง ๆ แต่ตอนนี้คุณมีความรู้จริงแล้ว เราเป็นเพื่อนกัน
              มันก็ลำบาก ตอนที่สอนเขาอยู่ก็บอกพวกนี้ นักศึกษาบาลีนักธรรมบอกว่าอันดับแรกต้องจับให้ได้ก่อนว่าข้อใหญ่ใจความคืออะไร ? แล้วหัวข้อหลักคืออะไร ? หัวข้อย่อยคืออะไร ? แล้วทีนี้ก็ฟังคำอธิบายอย่างเดียวจนคุณมั่นใจว่าคุณอธิบายได้ก็แปลว่าคุณเข้าใจแน่นอน เสร็จแล้วก็เขียนภาพรวมให้เขาดู พอเขาเห็นภาพรวมปุ๊บเขาจะเข้าใจเลยว่าอ๋อที่แท้หลักมันมีแค่นี้เอง พอมาถึงประเภทที่วิภัตติแยกแยะ ก็ไล่ตั้งแต่ ๑,๒,๓,๔,๕,๖,๗,....ยังมี อาลปนะ ที่ยังไม่เหมือนเขาอีกอะไรอย่างนี้ ตายชักกันพอดี แต่ว่าของบาลีมันแย่ตรงที่ต้องอาศัยความจำซะเกือบ ๑๐๐% แต่รับรองได้ว่าถ้าผ่านไปถึงเปรียญ ๙ ด้วยฝีมือจริง ๆ เรียนอะไรไม่มียากเพราะที่โหดที่สุดก็คือนี่แหละ
      ถาม:  ท่องจำนะ ?
      ตอบ:  โดยเฉพาะจำสิ่งที่เราไม่คุ้นเคยเลย บางอย่างมันค้านนะนั่น ในนั้นเขาเรียกว่า การันต์ พออ่านแล้วเข้าใจไอ้คำว่าการันต์ มันคืออะไรล่ะ ?
      ถาม:  ตัวการันต์ ?
      ตอบ: ใช่ ถ้าคุณใช้ความรู้สึกอันนี้ก็เดี้ยงไปเลย การันต์ของเขาแปลว่าสระที่อยู่ที่สุดของคำ อย่างเช่น อุตุ สระที่อยู่ที่สุดของคำก็คือเสียงสระอุ พอเรากำหนดสระที่อยู่ที่สุดของคำได้เราก็จะเริ่มว่ามันอยู่ในเพศไหนหรือไม่ก็มันอยู่ในระดับของการแยกวิภัตติไหน จะเป็นปฐมา ทุติยา ตติยา จตุตถี ปัญจมี ฉัฏฐี สัตตมี อย่างนี้ นั่นแหละ แล้วมันถึงจะค่อย ๆ แยกอีกทีหนึ่ง พอแยกออกแล้วเราก็จะได้แปลอีกทีหนึ่งว่ามันเป็นยังไง อย่างเช่นประเภทว่า ปุริสะ คน ๆ เดียวอย่างนี้ พอไปเป็นปุริโสเป็นคนหลายคนเราจะแปลว่ายังไง ไหวมั้ยล่ะ ? มันเท่ากับท่องภาษาไทยทั้งหมดในโลกนี้ที่มีอยู่
      ถาม:  สรุปว่ามันต้องท่องไม่ใช่หรือคะ ?
      ตอบ:  ท่อง ท่องให้ได้ก็แล้วกัน ยืนยัน ไวยากรณ์ของประโยค ๑ ๒ มี ๔ เล่ม เพียง ๔ เล่มเท่านี้ ต้องท่องให้ได้ทุกเล่ม หน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายมีกี่ตัวอักษร แล้วตอนนี้มหาปรีชาเขาบอก “อาจารย์ครับ ขอทุนหน่อยครับ” ถามว่าทำไม ใครท่องได้เล่มหนึ่ง ถวายพันหนึ่ง บอกโอเค ตกลงแต่ถ้าผมท่องได้ก่อน มันทั้งหมดต้องให้ผมคนละพันนะ ใครมันจะเอา.....ก็ตกลงเราจ่ายฝ่ายเดียว
              สำหรับเยาวชนรุ่นเยาว์ ต้องบอกให้เขาเป็นผู้มีสติ อย่าหลงไปตามแรงโฆษณาที่ทำให้เราเกิดความต้องการเทียมขึ้นความต้องการที่แท้จริงของมนุษย์มีแค่ ๔ อย่าง คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคเท่านั้น ปัจจัยอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เกินความจำเป็น เป็นการโฆษณาเพื่อการค้าโดยใช้การกระตุ้นบ่อย ๆ ด้วย สินค้าที่สีสันสดใสบ้างฟรีเซนเตอร์ที่หล่อ ๆ สวย ๆ บ้าง ทำให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นหลงผิดแล้วก็ไปใช้ตาม โดยที่ไม่ได้นึกดูก่อนว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจำเป็นสำหรับตนหรือไม่
              อย่างเช่นว่าวัยรุ่นสมัยนี้ก็ใช้พวกเครื่องประทินผิว บำรุงผิว เครื่องสำอางอะไรต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็น เด็กวัยรุ่นสภาพร่างกายกำลังเจริญเติบโต มันจะสวยงามเป็นปกติตามธรรมชาติอยู่แล้ว ใช้ไปก็เท่ากับสูญเปล่าเพราะร่างกายเขาสามารถที่จะสร้างสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นได้เป็นปกติอยู่ ไม่ใช่คนอายุมากขึ้น คนอายุมากขึ้นน้ำเลี้ยงร่างกายบกพร่องบ้างอะไรบ้างจำเป็นที่จะต้องอาศัยสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เสริมเข้าไป แล้วอีกอย่างหนึ่งการโฆษณาที่ปราศจากจรรยาบรรณมักจะบอกแต่เฉพาะด้านที่ดี ๆ แต่ว่าไม่ได้บอกด้านที่เสีย โดยมุ่งเน้นการค้าเป็นหลัก ทำให้คนขาดสติไหลตามกระแสไป ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็จะทำให้เกิดรายจ่ายอย่างมหาศาล โดยที่ตนเองยังไม่สามารถที่จะหารายได้มาได้ด้วยตัวเอง ก็เดือดร้อนถึงพ่อแม่ เมื่อพ่อแม่ไม่สามารถสนองความต้องการได้ ก็อาจจะมีการ....ประเภทที่เรียกว่าไปหาเงินในทางที่ผิด ๆ ดังที่รู้ ๆ กันอยู่ ขณะเดียวกันกระแสโลกที่มาแรงทำให้ไม่รู้จักยั้งคิด ขนเอาเครื่องอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นแก่ตัวเองเลยเข้ามาไว้เต็มบ้านเต็มช่อง
              โดยเฉพาะระบบเงินผ่อน ระบบเงินผ่อนจูงใจให้คนต้องการของสิ่งใดก็สามารถหามาได้ โดยที่ใช้เงินดาวน์เพียงเล็กน้อยแต่ขณะเดียวกันต้องกลายเป็นหนี้ระยะยาว ถ้าไม่มีปัญญาส่งต้นส่งดอกก็โดนเขายึดข้าวของไป เมื่อขาดสติยั้งคิดคล้อยตามกระแสโลกไป เหมือนกับคนที่ตกลงไปในกระแสน้ำที่ไหลพัดอย่างรุนแรง ช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากกระแสได้ยาก รังแต่จะจ่อมจม แล้วก็พาให้ตัวเองตายไป ระบบเงินผ่อนอย่างหนึ่ง ระบบบัตรเครดิตอย่างหนึ่ง เป็นการเอาเงินในอนาคตของเรามาใช้ ทำให้เราต้องมีพันธะ ผูกพันกลายเป็นทาสเขาตลอดไป จนกว่าจะหลุดพ้นไปได้ จนกว่าที่จะเลิกนิสัยอันนั้นได้ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเลิกไม่ได้ อีกประการหนึ่งการดำเนินชีวิตเมื่อมันเร่งรัดขึ้นมาถึงระดับนี้ ถึงเวลาก็กลายเป็นคนใจร้อนใจเร็วไม่มีความอดทน ลงทุนแต่ละทีก็หวังที่จะร่ำรวยในทีเดียวก็ต้องลงทุนสูง เมื่อต้องลงทุนสูง ปัจจัยไม่เพียงพอก็มีการกู้ยืมมา เริ่มแรกก็เป็นหนี้แล้ว ถ้าหากว่าการดำเนินการผิดพลาดก็รังแต่ผูกมัดตัวเองให้จมอยู่กับหนี้ที่มากขึ้นไปทุกที ไม่สามารถที่จะแก้ตัวหรือว่าหลุดพ้นเป็นไทแก่ตัวเองได้ ระบบบัตรเครดิตนำเงินของเราเองมาให้เรากู้โดยใช้เพียงความสะดวกที่เราจะพึงรับเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน แม้ว่าปัจจุบันนี้จะอ้างว่าบัตรเครดิตดอกเบี้ย 0 % แต่ว่าในสัญญาที่เราเซ็นต์เอาไว้มักจะมีข้อความว่าสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตตราดอกเบี้ย โดยที่ให้เป็นสิทธิ์เฉพาะของทางธนาคารเท่านั้น ถ้าหากว่าเราเพลิดเพลินไปซักระยะหนึ่ง เขามีการคิดดอกเบี้ยขึ้นมาเราก็ต้องลำบากเดือดร้อนอีก สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่อยู่รอบตัวของเรา สิ่งยั่วยุต่าง ๆ ที่มาทางตา หู จมูก ลิ้น อะไรก็ตาม มีแต่จะดึงเราให้จมไปกับมันทุกทีทุกทีถ้าหากว่าไม่มีสติ จึงอยากจะให้เยาวชนของเรารู้จักคิด รู้จักตรองเห็นว่าอะไรสมควรไม่สมควร โดยควรจะยึดพระราชดำรัสของในหลวงเป็นหลักว่าเราจะซื้อก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น การอยู่ให้อยู่ระดับเศรษฐกิจพอเพียง สิ่งใดก็ตามที่ตอนนี้ยังไม่จำเป็นก็ไม่ต้องหามา สิ่งใดก็ตามที่สามารถทดแทนได้ด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่หามาโดยไม่ต้องสิ้นเปลืองมากนักก็ใช้สิ่งที่เรียกว่าง่าย ๆ ว่าถูกลงให้เป็นบ้าง เพื่อที่จะได้มีปัจจัยเหลืออยู่นำไปทำสิ่งอื่นที่ดีกว่านี้
              เพราะฉะนั้นการอยู่ในโลกยุคปัจจุบันของวัยรุ่นจำเป็นที่สุดก็คือการอยู่กับมันอย่างมีสติ รู้ยั้ง รู้คิด มองให้เห็นความเป็นจริงว่า ขณะนี้ทุก ๆ คนกำลังตกเป็นเหยื่อของบุคคลที่มีอำนาจไม่ว่าจะในการผลิตเครื่องอุปโภคบริโภคก็ดี จะอยู่ในลักษณะที่เรียกว่ายึดกุมสภาพของเศรษฐกิจก็ดี การเงินก็ดี ถ้าเรายังหลงอยู่ในวังวนแห่งนี้ก็ไม่สามารถถอนตัวออกมาได้ มีแต่จะจมลงไปทุกวัน ๆ
ดังนั้นการมีสติ มีปัญญาให้สมกับเป็นวัยรุ่นสมัยใหม่ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่สมควรที่วัยรุ่นทั้งหมดควรที่จะคิดให้เป็น ทำให้เป็น พูดให้เป็น คือคิดให้ดี ทำให้ดี พูดให้ดี อยู่อย่างคนมีสติ อยู่อย่างคนมีปัญญา จึงจะสมควรกับที่จะเป็นเด็กยุคอินเตอร์เนตดอทคอม
      ถาม:  ทนายจำเป็นต้องว่าความให้กับคนผิด ?
      ตอบ:  ยังไง ถ้าว่าตรงไปตรงมาตามวิชาชีพทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาผิด มันก็เท่ากับเราเข้าข้างคนผิดด้วยใช่มั้ย ?
      ถาม:  แต่ถ้าเกิดเราไม่รู้ล่ะครับ แต่ว่าสมมติจำเลย...?
      ตอบ:  คุณอย่าไปสนใจตรงจุดนั้นสิ ถ้าหากว่าต้องการจะตัดปัญหาไปจริง ๆ ให้ว่าไปตามหลักฐานที่มีอยู่ ถ้าหากว่าเราว่าไปตามหลักฐานที่มีอยู่นี่เราไม่ต้องไปรับรู้ รู้อยู่อย่างเดียวว่าถ้าเขาเป็นลูกความของเรา เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด อันนี้ก็จบ เฮ้อ ! แต่หนักใจ
      ถาม:  แล้วศาลล่ะครับ เรื่องการตัดสินประหารชีวิตบาปไหม ?
      ตอบ:  ถ้าหากว่าทำหน้าที่โดยการโกรธแค้นกันเป็นส่วนตัว กลั่นแกล้งเขา นั่น ๑๐๐% เต็ม แต่ถ้าหากว่าทำตามหน้าที่เพื่อความสงบความเรียบร้อยของส่วนรวม ถือว่าทำเพื่อส่วนรวม เจตนาที่จะฆ่าเขาโดยตรงมันไม่มี โทษมันก็น้อยลงไปแต่ไม่มีโทษเลยนั้นเป็นไปไม่ได้
      ถาม:  แต่คือมันมีบ้าง ?
      ตอบ:  มีอยู่แต่มันน้อยลง ก็ถึงได้บอกว่าหนักใจไง มีนิทานเรื่องหนึ่งเขาบอกว่านรกมันขยายกิจการจนไปรุกพื้นที่ของสวรรค์ จอมเทพก็เลยลงไปต่อว่าซาตานว่าทำอย่างนี้ได้ยังไง ถ้าหากว่ายังไม่หยุดการขยายขอบเขตขึ้นมาจนลุกล้ำเขตสวรรค์อีกล่ะก็จะฟ้องร้องล่ะนะ ซาตานก็บอกว่าคุณแน่ใจแล้วหรือ ทนายฝีมือดี ๆ อยู่กับผมหมดเลยนะ ตกลงว่าทนายไม่ได้ขึ้นข้างบนซักคนหนึ่งอยู่กับซาตานหมด ทนายมือดี ๆ อยู่กับเขาหมด อันนี้เป็นนิทาน
      ถาม:  อย่างนี้ก็คิดยาก ?
      ตอบ:  ถึงได้บอกว่าเอาไปตามหลักฐานสิ อย่าไปสร้างหลักฐานเท็จแล้วกันตรงไปตรงมาตามวิชาชีพของเรา ถ้าหากว่าเป็นอัยการเป็นศาล มีหน้าที่ส่งฟ้อง มีหน้าที่ตัดสิน อะไรก็ตามก็ว่าให้ตรงไปตรงมา ตงฉินให้มันเลื่องลือซะที
      ถาม:  ก็ถือว่าศีลไม่บริสุทธิ์
      ตอบ:  เราไม่ได้ทำตลอด ๒๔ ชั่วโมง เวลาของการทรงความดีของเราก็มีอยู่ ก็ตีซะว่าตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนไปถึงที่ทำงานเรารักษาศีลของเราทุกข้อ กลับจากที่ทำงานมาถึงบ้านเรารักษาศีลของเราทุกข้อ ในระหว่างที่ทำงานก็ว่ามันไปตามนั้น อย่าให้มันขาดทุนตลอด ๒๔ ชั่วโมงก็แล้วกัน ให้มีส่วนของความดีเอาไว้
      ถาม:  ต้องสอบ ๒ วิชา บริหาร เศรษฐศาตร์ อะไรก็ไม่รู้เรื่อง ?
      ตอบ:  มองภาพรวมไม่ออก จับใจความหลักไม่ได้ ยากที่จะเรียนรู้ ต้องมองภาพรวมให้ออก การเรียนเรื่องอะไร เรื่องนั้นแบ่งออกเป็นหัวข้อหลักอย่างไรบ้าง หัวข้อย่อยยังไงบ้าง ถ้าจับตรงจุดนี้ได้เสร็จแล้วก็พยายามฟังเนื้อหาให้เข้าใจ จนกระทั่งคิดว่าเราดูแค่หัวข้อย่อยเราก็สามารถอธิบายเนื้อหาได้แค่นั้นแหละจบ ส่วนใหญ่จับจุดกันไม่ค่อยถูก ไปควานหาอะไรก็ไม่รู้ อันโน้นก็สำคัญ อันนี้ก็สำคัญ
      ถาม:  .................................
      ตอบ:  นั่นยิ่งเหลวไหลใหญ่เลย ถ้าหากว่าอ่านทำความเข้าใจทั้งหมดก็ไม่ต้องไปเสียเวลาไปเดา แต่อย่างว่านั่นแหละ พวกเราพอมาอยู่ช่วงอายุอย่างนี้ สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าการเรียนมันมีเยอะโดยเฉพาะกิจกรรมบางทีก็ทำกันซะจนเหมือนตา ชาติชาย อาจารย์เขาออกข้อสอบประชดว่าอาจารย์ผู้สอนวิชานี้ชื่ออะไร มันยังตอบไม่ได้เลย ถึงขนาดนั้นจริง ๆ แต่ว่าครั้งสุดท้ายเขาสอบได้ที่ ๑ ของคณะ มีเวลา ๒๕ วันก่อนสอบ มันอ่านหนังสือจนหัวแทบระเบิด หนังสือกองเรียงเป็นตั้งเลย ตั้งหน้าตั้งตาอ่าน อ่าน ๆ ๆ มีเวลากินข้าวแค่ ๑๐ กว่านาที แล้วก็อ่านต่อ รอบแรกไม่รู้เรื่องอ่านรอบที่ ๒ รอบ ๒ อ่านไม่รู้เรื่องอ่านรอบที่ ๓ รอบ ๓ อ่านรู้เรื่อง อ่านรอบที่ ๔ อ่านของมันไปเรื่อย เขาทำได้จริง ๆ ๒๕ วัน สอบได้ที่ ๑ ของคณะ คนเรียนมาทั้งปีสู้คนเรียน ๒๕ วันไม่ได้ ก็มันเหลืออยู่แค่นั้นน่ะ มันไม่บ้าก็ไม่ได้แล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านอย่างเดียว
              เมื่อวานเรียนกันสนุกมาก คือพวกเราหลายคนพอปฎิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้วลืมพื้นฐาน พื้นฐานลืมไม่ได้ พื้นฐานมันต้องแน่น เมื่อวานก็เลยมีการย้อนทวนกันเพราะว่าสงสารเด็กเหมือนกัน เขาเรียนปริญญาโทเพิ่งจะจบมาใหม่ ๆ ช่วงที่ทำปริญญาโททำวิทยานิพนธ์จะประสาทกินกันไปตาม ๆ กัน ทุ่มเทกำลังใจไปทางด้านนั้นมาก เรื่องของการปฏิบัติก็เลยย่อหย่อนไป แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าหากว่ารักษาอารมณ์ปฏิบัติเป็น ขณะที่เราทุ่มเทอยู่กับงานสภาพจิตจะเป็นสมาธิอยู่แล้ว ได้เปรียบเขาอยู่แล้ว แต่คราวนี้เนื่องจากว่ารักษาอารมณ์ยังไม่เป็น ถึงเวลากำลังมันก็ค่อย ๆ คลายตัวลง รัก โลภ โกรธ หลง ก็เข้ามาแทน
              เมื่อวานก็ได้โอกาส เขาจบกันแล้ว ในเมื่อจบปริญญาโทกันแล้วก็ถือว่าว่างจากภาระ ว่างจากภาระก็เลยมารื้อฟื้นเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ ก็ยอมรับกันนะเออทิ้งมานานจริง ๆ พวกภาระต่าง ๆ ลักษณะนี้แหละว่าเราพยายามให้มันชินกับคำว่าจบ สังเกตมั้ย ทำงานชิ้นหนึ่งเสร็จรู้สึกโล่งใจจังเลย สบายใจอีกต่างหาก ทำใจของเราให้ได้ลักษณะนั้นคือให้มันโล่ง เบา สบาย ปล่อยวางได้ในลักษณะนั้น พยายามดึงเอาความคุ้นชินตรงจุดนั้นมาใช้ในชีวิตประจำวัน ทำสักแต่ว่าทำ ทำทีละอย่าง ทำทีละชิ้น ทำทีละขั้นตอน พอเสร็จแล้วก็ถือว่าจบภารกิจไป อันนี้คือเป็นภารกิจ แต่ถ้าหากว่าเป็นกิจทางพุทธศาสนา คุณจะจบกิจต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้นพวกเราทำตัวให้คุ้นชิน โดยการจบภารกิจบ่อย ๆ เดี๋ยวภาระทางใจก็จะพลอยจบไปด้วย เพราะว่ามันเริ่มตัดอารมณ์เป็น พอตัดอารมณ์เป็น ปล่อยวางเป็น งานก็ทำแต่เฉพาะหน้าที่เมื่อทำเฉพาะหน้า จบแล้วแล้วกัน นี่คือการมีตัวอุเบกขาในการปฏิบัติ ตัวอุเบกขาจะแทรกอยู่ในการปฏิบัติทุกขั้นตอน ถ้าหากไม่มีเอกัคตาและอุเบกขา การปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนาของเราจะไม่ก้าวหน้า ให้ทานก็ให้ลักษณะนี้ให้แล้วก็ยังมากำชับอีกว่าต้องใช้นะ ห้ามให้คนอื่นนะ ใช่มั้ย ? นี่ทานที่ปราศจากอุเบกขา อุเบกขาคือให้แล้วให้เลย เราได้ให้แล้วคือว่าจบสิ้นเรื่องของเราลงแล้ว ส่วนเขาจะเอาไปทำอะไรอีกเรื่องหนึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกันนี่คืออุเบกขา