ถาม:  ไม่กี่วันมานี้ฝันดีมากเลย ฝันว่าได้ไปเห็นพระธาตุใกล้ ๆ กับตา แล้วองค์ใหญ่ด้วย องค์ใหญ่ ๆ นี่ต้องเป็นพระบรมสารีริกธาตุของใคร ?
      ตอบ :  อาตมาเคยฝัน องค์ขนาดนี้ หล่นลงมาแต็มไปหมดเลย สารพัดสี เราก็เลือกเก็บ เลือกเก็บ อันโน้นสวยกว่าเก็บอันโน้น อันนี้สวยกว่าเก็บอันนี้ เก็บไปเก็บมา เสียงด่าลงมาว่า เฮ้ย อย่าโลภมากนัก แบ่งให้คนอื่นเขามั่งซิเว้ย
      ถาม :  นี่มันมีนิมิตครับ แสดงว่าเริ่มดีแล้ว คิดดีไว้ก่อน ?
      ตอบ :  น่าจะใกล้ได้บวชแล้ว กับช่วงก่อนจะบวชมันมีนิมิตอยู่สองสามอย่าง ที่มารู้ทีหลังว่ามันก็คือนิมิตที่เว่าเราจะต้องบวช ครั้งแรกมันรู้สึกว่าตัวเองเป็นพระห่มจีวรถือตาลปัตรจะไปงานใครไม่รู้ แต่ยังนุ่งกางเกงอยู่ คราวนี้พอเข้าไปถึงในงาน ก็เห็นพระหนุ่ม ๆ นั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยดูน่าเลื่อมใส แต่จิตของเรามันบอกเดี๋ยวนั้นเลยว่า พวกนี้มันดัดจริตแหกตาหลอกชาวบ้านเขา ดังนั้นก็เลยไปนั่งแถวพระแก่ท่าน ไปนั่งต่อจากหลวงปู่มหาอำพัน ก็ดึง ๆ จีวรปิดกางเกงไว้แล้วก็สวดมนต์ไปกับเขาด้วย
              พอมาอีกทีหนึ่ง มันเหมือนกับว่าเราไปอยู่ในงานสำคัญอะไรซักอย่างหนึ่ง ที่เขากั้นเขตเฉพาะไว้มันเป็นลวดหนาม แล้วคนเป็นหมื่น ๆ เลยอยู่หลังลวดหนาม ส่วนทางอีกด้านหนึ่งมันเป็นเต๊นท์เป็นอะไรที่มันร่มเย็นมาก เป็นปะรำพิธีอะไรของเขา เราก็ เอ๊ะ กูจะมายืนทำไม ไอ้ลวดหนามแค่นี้กั้นกูไม่ได้อยู่แล้ว ก็เลยกระโดดข้ามไปฝั่งโน้น กระโดดข้ามลวดหนามไปเลย และก็เข้าไป อ้าว เจอหลวงปู่อีก ก็เลยไปกราบ ๆ หลวงปู่ ไปนั่งสนทนากับท่าน ปล่อยให้คนอื่นมันตากแดดร้อนของมันไป มันเกิดนิมิตนี้ขึ้นมาสองที พอบวชแล้วถึงจะรู้ อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง สัญญาณมันบอกชัดเลยว่าเราจะไปแล้ว
      ถาม :  แต่เราต้องตั้งใจมาก่อนเกิด ?
      ตอบ :  จริง ๆ บางอย่างมันเป็นนิมิตที่บอกให้รู้ล่วงหน้า นิมิตนี้มันจะบอกเหตุล่วงหน้า ก็เคยบอกท่านกอล์ฟเอาไว้ว่า วันนั้น เวลานั้น ถ้าหากว่าป้ายวัดเกาะพระฤๅษีเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ผมจะไม่ได้อยู่ คือนิมิตมันเกิดล่วงหน้าบอกไว้ก่อน
              คราวนี้พอป้ายเกาะเขาเอาไปทำให้ด้วยความเมตตา เขาไม่รู้หรอกเขาไปทำป้ายให้เสร็จ ก็บอกท่านกอล์ฟ วันนี้ผมอยู่ไม่ได้แล้ว ผมจะดูว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ทำไมถึงอยู่ไม่ได้ แล้วอยู่ ๆ ท่านเจ้าคุณจังหวัดก็สั่งให้ไปอยู่ที่วัดท่าขนุน
      ถาม :  ใช่องค์ที่เพิ่งมรณภาพหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ คนละองค์ เจ้าคุณราชธรรมโสภณ มันรู้ล่วงหน้านาน แต่ว่ามันไม่มีเหตุที่ทำให้เราต้องไป เราก็ไม่อยากไปอยู่แล้ว ทำไมมันจะต้องย้ายต้องอะไร ตอนแรกพวกป่าไม้ได้ยิน เดี๋ยวผมไปรื้อป้ายออก ไม่มีประโยชน์หรอกเพราะว่ามันเกิดขึ้นแล้ว มันอยู่ลักษณะอย่างนี้
      ถาม :  ดูลมหายใจทีไรตัวมันโยกทุกที แล้วมันติดอยู่ตรงนี้ ?
      ตอบ :  ก็ปล่อยให้มันโยกไปเต็มที่สิ ไม่ต้องไปสนใจอาการ ปล่อยมันเต็มที่ ไปเลยทีเดียว แล้วมันจะเลิกเอง ถ้าเรามัวแต่ไปกังวลมันจะติดอยู่แค่นั้น ถ้าไม่กังวลมันก็จบแค่นั้น
      ถาม :  เรื่องการประเคน ?
      ตอบ :  เรื่องของที่จะขาดประเคนน่ะ ต่อให้เราทิ้งเอาไว้แล้วคนอื่นมาหยิบมาจับมาต้อง ถ้าจิตของเราผูกอยู่มันยังไม่ขาดประเคน เพราะฉะนั้นมันก็อยู่ที่เจตนาว่าเราจะให้ขาดประเคนแล้วให้คนอื่นเขานำไปเก็บ ถ้าบอกเขาอย่างนั้นไป มันขาดประเคน ถ้าเอามาต้องประเคนใหม่ แต่ถ้าสมมติว่าอาหารเป็นของเรา เช่นว่า ขนมหรือว่าอะไรอย่างนี้ เรายกให้เณรไปโดยบอกว่า เณรไปหยิบเอานะ เอาเท่าไหร่ก็ได้ ที่เหลือทิ้งไว้ให้หลวงพี่นะ นั่นยังเป็นของเราอยู่ ถ้าหากว่าก่อนเพลไม่ต้องประเคนใหม่ แต่ว่าถ้าให้เขาไปหมดแล้ว เขากินไม่หมดเอามาคืน อันนั้นต้องประเคนใหม่เพราะเป็นสิทธิ์ของไปแล้ว
      ถาม :  ของที่ขาดประเคนแล้ว เก็บไว้ในกุฏิได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้ว เก็บในกุฏิมันโดนอาบัติ อย่าลืมว่ามันมีอันโตวุฏฐะ อันโตปักกะ สามปักกะ มันอยู่ที่ว่าหุงต้มเอง เก็บไว้เอง เก็บไว้ภายในกุฏิตัวเอง โดนทั้งหมด เรื่องของพระมันละเอียด คือจริง ๆ ท่านป้องกันว่าเก็บไว้ภายในกุฏิจะไปแอบกินซะเอง มันเลยเวลาแล้วโซ้ยเฉยเลย
      ถาม :  ในกรณีที่มันไม่มีที่เก็บข้างนอก ?
      ตอบ :  ไม่มีที่เก็บข้างนอก ถ้าหากว่ามันไม่ใช่พวกเภสัชไม่ต้องไปเก็บมัน
      ถาม :  เป็นพวกเภสัช ๕ แต่ว่าเราเก็บไว้จนขาดประเคน ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าขาดประเคนโดยตรง มันจะต้องเสียสละ เพราะฉะนั้นจดวันไว้ดีกว่า สมัยที่พวกผมอยู่ที่วัดท่าซุงนี่ ขีดปฏิทินเขียนไว้เลยว่าประเคนวันไหน พอถึงเวลาวันนั้นก็อย่าให้พระอาทิตย์ตกดิน เรียกเณรมาประเคนใหม่ นับหนี่งใหม่วันนั้น ถ้าพระอาติทย์ตกดินก็ขาด
              เรื่องของการประเคนของน่ะ สาเหตุแรกเริ่มมาจากพระที่ไปพักอยู่ในป่าช้า เมื่อพระไปพักอยู่ในป่าช้า ญาติคนตายเขาเอาอาหารไปเซ่นคนตาย ทำในลักษณะที่เรียกว่า ปุพพเปตพลี คือทำบุญให้คนตายในลักษณะนั้นน่ะ พระเจ้าเห็นของเขาคงไม่ได้เอาแล้ว ก็เลยเอาไปกิน ปรากฎว่าคนที่หวงมันมี ในเมื่อคนที่มันหวงมี ก็เลยอยู่ในลักษณะที่ว่า พอพระไปกินของเขาเข้าเขาไม่พอใจไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็เลยบัญญัติเอาไว้ว่า ถ้าหกาว่าจะไปกินอะไรต้องให้ประเคน คือเป็นการแสดงออกซึ่งการให้อย่างแท้จริงก่อน ถ้ายังไม่แสดงออกในลักษณะนั้น ก็อย่าไปแตะต้องของเขา การประเคนองค์ประเคน คือทำอย่างไรถึงจะประเคนได้ถูกต้อง ท่านบอกว่าผู้ประเคนต้องอยู่ในหัตถบาสคือเอื้อมมือถึง
              อันดับที่สอง ของที่ประเคนนั้นต้องไม่ใหญ่เกินไป ต้องสามารถยกได้ด้วยกำลังของผู้มีกำลังปานกลาง แต่เพียงคนเดียว อันดับที่สาม ให้ประเคนด้วยความเคารพ คือน้อมให้ด้วยความเคารพ ถ้าถามว่าอันไหนสำคัญที่สุด ตัวจุดให้ด้วยความเคารพสำคัญที่สุด แต่ว่ามันมีข้อแม้ อย่างเช่นว่า สมัยก่อนบ้านเศรษฐีรั้วเขาสูง ประเภทยังไงล่ะ เมียหลวงก็เยอะเมียน้อยก็เยอะ เขาหวงของเขา ถึงเวลาถ้ายังไม่เห็นสมควรเขายังไม่เปิดรั้วให้ แต่พระมาบิณฑบาตแล้ว ท่านบอกว่าถ้าในลักษณะอย่างนั้น ถ้าเจตนาจะใส่บาตร โยนข้ามรั้วมาก็ถือว่าเป็นการประเคนแล้ว มันต้องดูด้วยว่าอะไรเป็นอะไร คราวนี้ก็อย่างที่ว่า ถ้าหากว่าจิตของเรายังผูกอยู่ สิ่งนั้นยังเป็นของเราอยู่
      ถาม :  เวลาประเคน บางทีต่อกันเยอะ ๆ ถือว่าอนุโลมหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ก็ถือว่าโดยอนุโลม เพราะว่ายังไงมันก็เอื้อมไม่ถึงอยู่แล้ว ก็ให้จับแตะต่อ ๆ กันไป ถ้าอย่างทางของพม่านี่เขาจะไม่ใช้คนเดียว เขาจะใช้สองคนสามคนยกประเคนทั้งโต๊ะเลย ลักษณะนั้นจริง ๆ มันผิด เพราะว่ามันไม่ได้ยกได้ด้วยกำลังของคนคนเดียว แต่ว่าเราดูเจตนาว่าเขาให้ ในเมื่อเจตนาของเขาให้เราแน่นอนแล้ว เสร็จแล้วเขาชอบจัดให้เสร็จทั้งสำรับแล้วก็ยกมา แบบที่ภาษาอิสานเรียกพาข้าว เขาเล่นยกพาข้าวมาทั้งสำรับเลย มันก็ต้องช่วยกันยกเพราะคนเดียวมันเอาไม่ไหว ถ้าลักษณะนั้นก็ต้องอนุโลมให้เขา เพราะท้องถิ่นเขานิยมอย่างนั้น
      ถาม :  แปลกดีครับ ผมเห็นที่ราชบุรีเขามีสร้างพระพุทธรูปปางโปรดยักษ์อะไรน่ะ องค์ใหญ่มากอยากสร้างด้วย ?
      ตอบ :  ปางโปรดยอาฬวกยักษ์ใช่มั้ย อาฬวกยักษ์นี่เขาอยู่ที่เมืองอาฬวี คราวนี้ว่า พระเจ้าอาฬวีน่ะท่านเสด็จไปล่าสัตว์ เสร็จแล้วก็ล่วงล้ำเข้าไปในเขตพวกยักษ์ ยักษ์มันก็จะจับท่านกิน
      ถาม :  สมัยก่อนยักษ์มีจริง ๆ หรือคะ ?
      ตอบ :  มีจริง ๆ จ้ะ ยักษ์มันก็จะจับท่านกิน คราวนี้ท่านก็เลยบอกว่า ถ้ากินท่านมันก็จะอิ่มครั้งเดียว แต่ถ้าปล่อยท่านไปท่านเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ ท่านจะส่งคนมาให้กินทุกวัน ตกลงมั้ย ยักษ์มันก็เออ จริง เพราะว่าถ้ากินไปตอนนี้มันก็อิ่มทีเดียว แต่ถ้าปล่อยเขาไป กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำอยู่แล้ว มีความมั่นคงต่อสัจจะอยู่แล้ว ก็เท่ากับว่าได้กินอยู่ทุกวัน ก็ตกลงปล่อยไป พระเจ้าอาฬวีไปก็ทำตามสัญญา ส่งนักโทษประหารไปให้วันละคนวันละคนจนนักโทษประหารหมด พอนักโทษประหารหมด ท่านก็ส่งพวกนักโทษที่ไม่ถึงประหารไป จนกระทั่งนักโทษมันหมดคุก พอมันหมดคุกก็ใช้วิธีให้ไปจับเด็ก ๆ ส่งไปให้ยักษ์
              คราวนี้พอจับเด็ก ชาวบ้านชาวเมืองก็แตกตื่นกันหมด ประเภทหอบลูกจูงหลานหนีไปปเมืองอื่นกันหมดเลย พอถึงวันนั้นมันฉุกเฉินขึ้นมาตามสัญญาแล้วมันไม่ ก็เลยต้องส่งพระราชกุมารลูกของตัวเองไปแทน ตัวเองไม่ยอมให้กินหรอกส่งลูกไป
              ตอนเช้าวันนั้นพระพุทธเจ้าท่านเล็งพระญาณดูสัตว์โลกว่าจะไปโปรดผู้ใด ก็เห็นอาฬวกยักษ์กับหัตถอาฬวกกุมารเข้ามาอยู่ในข่ายพระญาณ ก็เลยตั้งใจไปโปรด ปรากฏว่าวันนั้นอาฬวกยักษ์เข้าไปในที่ประชุมของสมาคมของยักษ์ เหมวตยักษ์ที่ไปทีหลังผ่านที่อยู่ของอาฬวกยักษ์ เข้าไปถึงก็ จ๊ะเอ๋ พระพุทธเจ้านั่งอยู่บนแท่นเลย พวกบรรดายักษ์สาว ๆ ก็มาช่วยกันปรนนิบัติพัดวีเป็นการใหญ่ เหมวตยักษ์รู้จักพระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐขนาดไหน ก็ดีอกดีใจผ่านมาโดยไม่คิดก็ได้นมัสการ นมัสการพระพุทธเจ้าเสร็จก็ลาเพื่อจะไปเข้าที่ประชุม เข้าไปถึงก็แจ้งอาฬวกยักษ์ ลาภใหญ่มาถึงท่านแล้ว เพราะว่าขณะนี้พระสมณโคดมผู้เลิศที่สุดในสามโลก อยู่ในที่อาศัยของท่าน
              อาฬวกยักษ์พอได้ยินแทนที่จะดีใจ แหม ฉุนขาดเลย ใครวะย่องเข้าไปในบ้านกู มีแต่สาว ๆ เพียบเลย แกก็เลยรีบลาท้าวเวสสุวรรณกลับออกมา พอไปถึงเห็นพระพุทธเจ้านั่งประทับอยู่ท่ามกลางสนมกำนัลของแก แกก็ตวาดไล่ออกมาว่า พระพุทธเจ้าเป็นสมณะทำอย่างนี้ผิด เป็นพระแล้วไปอยู่ร่วมกับผู้หญิงเยอะ ๆ ได้ยังไง พระพุทธเจ้าก็ไม่ว่าอะไร ก็เดินออกมา อาฬวกยักษ์ ก็เอ๊ะ เขาลือกันว่าพระสมณโคดมเป็นผู้มีอำนาจที่สุด ไม่เห็นจะมีจริงเลยนี่นา พอบอกอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ว่าง่ายซะด้วย ความโกรธมันก็เลยลดน้อยลง พอความโกรธลดน้อยลงก็บอกพระพุทธเจ้า นิมนต์นั่งในที่ของตัวก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็เสด็จกลับเข้าไปนั่งใหม่
              อาฬวกยักษ์ก็อยากจะลองดูว่าตัวเองสั่งพระพุทธเจ้าได้จริงไหม ก็บอกว่าให้ออกไป พระพุทธเจ้าท่านก็ลุกออกไปอีก เดินเข้าเดินออกกันอยู่สามครั้ง พออาฬวกยักษ์เห็นอย่างนั้น จิตใจก็เลยอ่อนลง ที่คิดจะโกรธจะแค้นก็น้อย พระพุทธเจ้าท่านก็เลยตั้งใจเทศน์โปรด พอเทศน์โปรดเสร็จ อาฬวกยักษ์ก็เลยเข้าถึงพระไตรสรณาคมน์ ตั้งใจว่าจะรักษาศีลตลอดชีวิต ก็พอดีราชบุรุษเอาหัตถอาฬวกกุมารไปถึง พอเอาไปส่งให้อาฬวกยักษ์แกก็เขิน ก็เลยเอาไปประเคนถวายไว้แทบเท้าของพระพุทธเจ้า เพราะว่าถือว่าเป็นสมบัติของตัว พระราชามอบให้แล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็อวยพรให้เป็นผู้ที่มีอายุมั่นขวัญยืน แล้วก็ส่งมอบให้ราชบุรุษต่อไป
              จากพระมหากษัตริย์ให้ราชบุรุษ ราชบุรุษเอามาให้ยักษ์ ยักษ์ให้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าให้ราชบุรุษ ราชบุรุษเอาไปคืนพระราชบิดา ส่งกันมือต่อมือมือต่อมือ เขาก็เลยเรียกกันว่าหัตถอาฬวกกุมาร กุมารแห่งเมืองอาศวีที่โดนส่งไปเรื่อย ๆ มือต่อมือ
              มาตอนหลังท่านนี้เป็นอุบาสกผู้เป็นเอตทัคคะผู้เลิศยอดเยี่ยมกว่าคนอื่นในการสงเคราะห์ว่าลักษณะของการโปรดนี่ โบราณท่านแต่งเป็นฉันท์บทหนึ่งที่อยู่ในบทพุทธเจ้าที่ว่า สามารถที่จะเอาชนะอาฬวกยักษ์ที่ถือว่าเป็นผู้มีจิตใจที่กระด้างดุร้ายได้
      ถาม :  เด็กมันถามเรื่อยเลย แต่ผมก็ตอบไม่ค่อยได้ จากโสดาบันไปสกิทาคามี มันมีอะไรที่จะเป็นเครื่องบอกว่า เออ ถ้าเราบรรลุระดับนี้เรียกว่าโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อย่างถามว่าอย่างนางวิสาขานี่เป็นพระโสดาบัน แล้วเสร็จแล้วคนอื่นเป็นพระสกิทาคามี องค์อำนาจตรงที่บรรลุมรรคตรงนั้นน่ะ วัดกันที่ตรงไหน ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเรารู้จักสังเกต พระโสดาบันท่านรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต พระโสดาบันท่านจะไม่ล่วงศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ ส่วนพระสกิทาคามีท่านจะรักษากรรมบถ ๑๐ เป็นปกติ กรรมบถ ๑๐ มันมีศีล ๕ เป็นส่วนหนึ่งแล้ว ก็คือว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ แต่ว่าของท่านละเอียดกว่า จะไม่ทำร้ายสัตว์ให้ลำบากโดยเจตนาด้ว ยไม่ลักขโมยเขา และก็ไม่หยิบทรัพย์สินสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วย คนอื่นอาจจะถือวิสาสะได้แต่ของท่านละเอียดท่านจะไม่ไปแตะเขา และก็ไม่ประพฤติผิดในกามคือไม่ล่วงลูกเมียเขาด้วย ขณะเดียวกันเรื่องวาจาพระสกิทาคามีเน้นละเอียดมาก แต่ว่าทั่ว ๆ ไปนี่เขาแค่ไม่พูดปด ของพระสกิทาคามีจะไม่พูดคำหยาบด้ว ยไม่พูดส่อเสียดด้วย ไม่พูดวาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์ด้วย ขณะเดียวกันท่านสามารถทำให้ราคะโทสะมันเบาบางลงได้ด้วย ลักษณะเบาบางมันแทบจะไม่เกิด ประเภทด่าไปสามวันท่านคิดขึ้นมา อ๋อ ไอ้นั่นมันด่ากู พอความรู้สึกมันคิดขึ้นมาหน่อย ก็หายไปแล้ว
              เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าจะดูกันอย่างไร มีอะไรเป็นเครื่องวัด แต่ว่าของพระสกิทาคามีต้องเป็นกรรมบถ ๑๐ ส่วนพระอนาคามีนี่จะรักษาศีล ๘ ทรงตัวโดยอัตโนมัติเลย ส่วนของพระอรหันต์นี่ไม่ต้องไปวัดท่านหรอก ท่านกลับคืนเป็นคนธรรมดายิ่งกว่าธรรมดา
      ถาม :  อย่างคนที่ฝึกมโนนี่ ....(ไม่ชัด)
      ตอบ :  ก็ จะใช้คำว่าเป็นโคตรภูของพระโสดาบัน เพราะว่าการจะสัมผัสพระนิพพานได้ต้องมีอารมณ์เทียบเท่าพระโสดาบัน แต่ทีนี้มันเทียบเท่าไม่ใช่เข้าถึงจริง มันก็ควรจะเรียกว่าเป็นโคตรภูของพระโสดาบัน
      ถาม :  ........................?
      ตอบ :  พูดถึงเรื่องกระสวยอวกาศนั่นนะ ช่วงที่บวชใหม่ ๆ ได้ธุดงค์ไปสถานที่ที่หนึ่ง มันจะมีวัสดุที่เขาต้องการได้มาเพื่อที่จะเอามาทำเป็นแผ่นเคลือบผิวยานอวกาศ วัสดุชนิดนี้ถ้าหากว่าเขาบดละเอียดแล้วปั๊มเป็นก้อนขึ้นมา เผาด้วยความร้อนหลาย ๆ พันองศาจนมันแดง แดงโร่เลยนะ ถ้าจับถูกมุมมันจะไม่ร้อน เขาถ่ายวีดีโอเป็นข่าวจับให้ดูแดงโร่เลยมันจะไม่ร้อน มันจะเป็นฉนวนกั้นความร้อนได้ เขาจะเอาด้านที่มันไม่ร้อนแปะเข้าหายานอวกาศ พอถึงเวลาที่มันแหวกอากาศมาด้วยความเร็วสูง จนกระทั่งประเภทลุกแดงทั้งลำคนข้างในก็ไม่เป็นไร เมืองไทยมีเพียบเลย ภูเขา ๔ ลูก เป็นสารตัวนี้ล้วน ๆ เลย อเมริกาเขาอยากได้ ถามเขาดูแล้ว เขาบอกว่าเขาให้กิโลละตอนนั้นล้านเหรียญนะ ถึงได้บอกว่าทรัพยากรเมืองไทยจริง ๆ มันมหาศาลเลย ของเราไปเดินเตะเล่น มันประเภทยังกะก้อนดินก้อนหิน แกล้ง ๆ หยิบมาก้อนหนึ่งก็เกินกิโลแล้ว ลองเอาใบมีดสารพัดประโยชน์ที่มันมีใบเลื่อยไปเลื่อยดูแล้ว เนื้อมันเหมือนกระเบื้อง มันเป็นฝุ่นสีเทา ๆ เขาจะเอาไอ้นี่แหละมาบดแล้วก็อัดเป็นแท่ง ๆ พออัดเป็นแท่งแล้ว ถึงเวลาถ้าหากว่าหันที่ถูกด้านออก มันเผายังไงมันร้อนขนาดไหน ความร้อนจะไม่เข้าไป
      ถาม :  อเมริการู้จักสารตัวนี้หรือยัง ?
      ตอบ :  เขาต้องการเลย เขาได้อยู่แล้ว แต่ว่ามันต้องใช้จำนวนมาก เพราะว่าพวกยานอวกาศเวลามันขึ้นลงแต่ละที แผ่นพวกนี้มันหลุดเยอะ ถึงเวลาถ้ามันขยายตัวมาก ๆ บางทีมันเกาะไม่ติดมันก็มีหลุดบ้างอะไรบ้าง กลับมาทีก็ต้องซ่อมกันที
      ถาม :  โห ถ้าอย่างนี้เมืองไทยทำเหมืองนี้ส่งออกอย่างเดียว เก็บภาษี ก็?
      ตอบ :  ไม่ต้องทำอะไรเลย ขุดเอาหน้าตาเฉยได้เลย ภูเขา ๔ ลูกเต็ม ๆ
      ถาม :  อยู่แถวไหนคะหลวงพ่อ ?
      ตอบ :  อยู่ในเมืองไทย หลวงพ่อท่านบอกว่า คุณน่ะมันดีอยู่อย่างหนึ่ง ไปไหนมีกล้องถ่ายรูปไปด้วย ถึงเวลาคุณถ่ายรูปมามันมีหลักฐาน ผมมันได้แต่นั่งพูดอยู่ที่นี่คนมันไม่เชื่อ
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  ทิ้งอยู่ที่เกาะ ๒ ก้อน น่าจะเกินครึ่งกิโล ไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้จักหรือเปล่า ถ้าเขาไม่รู้จักคิดว่าเราเก็บหินอะไรมาคงโยนทิ้งไปแล้ว คือเอาออกมาเป็นตัวอย่าง มันอยากได้ใจจะขาดเลย
      ถาม :  มันเป็นของสงฆ์ก็ไม่ควร ?
      ตอบ :  มันไม่ใช่ของสงฆ์ มันเป็นของหลวง มันก็อยู่ในลักษณะที่ว่าถ้าเราไปเอามาในลักษณะหาประโยชน์ เกินบาทเมื่อไหร่ขาดความเป็นพระ
      ถาม :  ไม่ อย่างของผมนี่ ?
      ตอบ :  อย่างของคุณก็ต้องเสี่ยงเอา เขาเรียกแร่อะไรไม่รู้จำไม่ได้ ถึงได้บอกอย่างอาตมาทุกวันนี้ที่มันอยู่อย่างสบายใจ เพราะว่าอยากรวยเมื่อไหร่ ก็สึกแล้วก็ไปขนเอา มันไปเห็นไปพบมาเยอะเหลือเกิน
      ถาม :  แร่ใสที่หลวงพ่อบอกอีก ?
      ตอบ :  มันขึ้นมาตั้งนานเนกาเลแล้วแร่ใส ที่ทางใต้เขานิยมเอามาทำเครื่องประดับกันอยู่พักหนึ่ง ที่เขาเรียกเพชรพังงา เพชรภูเก็ตนั่นน่ะ เคยได้ยินชื่อไหมล่ะ นี่แหละคือแร่ใสนั่นล่ะ
      ถาม :  ยังมีขายอยู่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่รู้เหมือนกัน ต้องลงไปถาม ๆ แถวนั้นดู
      ถาม :  มันยังไม่แพงใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่แพง เขารู้ว่ามันไม่ใช่เพชรจริง ๆ แต่ว่าพอเอามาเจียระไนแล้ว มันก็มีแสงแวววาวได้อะไรได้เขาไม่รู้ว่าถ้าหากวทำแกนกลางมันแตกตัวออกมาได้เมื่อไหร่มันยิ่งกว่าปรมาณูอีก เพียงแต่เทคโนโลยีของเรามันไม่ถึง คุณจะทำยังไงจะยิงให้นิวเคลียร์มันแตกตัวได้ ถ้าทำได้เมื่อไหร่คนที่แขวนอยู่ก็คงรวยไปตาม ๆ กัน
      ถาม :  แล้วตัวเขาเองที่เจียแล้ว มีพลังมั้ยคะ ?
      ตอบ :  ถ้ายังทำมันแตกตัวออกมาไม่ได้ มันจะไม่มีปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิคชั่น มันจะมีแต่ลักษณะที่ว่าเหมือนกับก้อนแร่ธรรมก้อนหนึ่ง
      ถาม :  แล้วพลังทางอำนาจ ทางจิตอะไรอย่างนี้ ?
      ตอบ :  นั่นมันก็แล้วแต่ว่าเราจะประจุมันเข้าไปมั้ย อยากได้ก็เอาไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกซะ เขาเจอมาหลายปีแล้ว น่าจะเกือบ ๑๐ ปีแล้ว เพราะว่าตอนช่วงนั้นก็ยังไงล่ะ อยากรู้ว่าหน้าตามันเป็นยังไง ปรากฎว่าเขาได้ขึ้นมาจากพวกเหมืองดีบุกนั่นแหละ ทำเหมืองดีบุกแล้วมันติดขึ้นมา เสร็จแล้วเอาไปให้ร้านเขาดู ร้านเขาบอกว่าไม่ใช่เพชร แต่ว่ามันเห็นว่าความแข็งพอก็เลยเจียระไนดูอกมาสวยดีพอขายได้ ราคามันถูกกว่าเพชรจริง ๆ มากเลย
      ถาม :  มันเป็นอะไรครับหลวงพี่ ?
      ตอบ :  ไม่รู้ ถามว่าอะไรบอกไม่ถูก หลวงพ่อท่านเรียกว่าแร่ใส ท่านบอกว่าถ้าใช้เป็นเชื้อเพลิง สตารท์เครื่องที่จากขั้วโลกใต้ยันขั้วโลกเหนือพอดี ยังไม่ทันจะเหยียบคันเร่งเลย คือความเร็วของเครื่องยนต์มันจะทำงานได้ถึงขนาดนั้น พูดง่าย ๆ คือว่าเดินทางไปต่างดาวสบายมาก
      ถาม :  ผมชอบนะครับที่เขาออกมาประกาศนโยบายสู้ยาเสพติด ท่าทางมันทำจริง ?
      ตอบ :  ตอนนี้พวกขาใหญ่มันเผ่นออกนอกหมดแล้ว เพราะว่าไม่มั่นใจว่าอยู่แล้วจะปลอดภัยกับชีวิตไหม เขาประกาศว่า ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมยังไม่ใหญ่แล้วใครมันจะใหญ่กว่าผม คือมันต้องเจอคนบ้า ๆ อย่างนี้แหละ มันถึงจะกลัว คนเราสมัยนี้มันไม่กลัวความดี มันกลัวแต่คนชั่วกว่า คือตอนนี้แกมีนโยบายว่ายิงทิ้งอย่างเดียว แต่ว่าหนังสือพิมพ์เขาบอกว่ามันจะเหมือนยังกับว่าทำให้ตำรวจยัดข้อหาให้กับคนดี ๆ ได้ มันก็จริง หลักการมันถูกต้องแต่มันอยู่ที่คนปฏิบัติ คนไหนประเภทขัดใจตัวเองหรือเป็นศัตรูก็ฉวยโอกาสยิงทิ้งแล้วอ้างว่าค้ายาเสพติดไปเลย
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  คือลักษณะของพวกนี้ยังไงล่ะ อยู่ในลักษณะว่า ถ้าเพื่อความสุขคนอื่นตัวเองจะเป็นยังไงก็ช่าง คราวนี้พอเขาประเภทกล้าคิดกล้าทำมันก็กล้าถามไปด้วย เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าไปเจอที่อื่นก็อาจจะโดนลูกศิษย์เขาไล่เตะเอา
      ถาม :  หนูไม่ซื้อก็ยังมีคนมายัดเยียดแล้วก็ถูกด้วย นานแล้ว ?
      ตอบ :  จ้ะ คนเราถ้าถึงเวลาบุญมันสนองยังไง ๆ มันก็ต้องได้ แล้วขณะเดียวกันคนถ้าหากว่ากรรมมันบังหรือว่าบุญไม่ถึงยังไง ๆ มันก็อด มีจ่านายสิบตำรวจอยู่คนหนึ่งซื้อหวยมาคู่หนึ่ง เสร็จแล้วเสียดายเงินไปยัดเยียดขายให้เพื่อน เพื่อนไม่เอาก็พยายามยัดเยียดให้จนกระทั่งลดเหลือคู่ละ ๕๐ บาท เพื่อนก็กัดฟันรับไป รุ่งขึ้นเพื่อนได้ ๖ ล้าน ตัวเองจะยิงตัวตาย อย่างนั้นมันไปบังคับเขาเอง ถือว่าบีบคอให้เขารวย มันช่วยไม่ได้จริง ๆ เลย
      ถาม :  เกี่ยวกับการส่งคนไปทำงานน่ะค่ะ ช่วงนี้มันเจอติดขัด ?
      ตอบ :  รู้มั้ยมันติดขัดอะไร มันติดขัดที่ปักษ์ใต้เขาน่ะ เขามีขาใหญ่อยู่รายหนึ่ง เขาใช้วิธีมอมยามันหลับไปพอตื่นก็ไปอยู่ที่นั่นแล้ว ถึงเวลาก็ต้องทำงานให้เขาไปเลย คราวนี้พอคนไหนขัดใจเขาก็มีรายการเก็บใส่หลุมถ่าย ทางใต้เขามีเผาถ่านยางพาราเยอะ ยัดใส่หลุมถ่านกว่าจะเผาถ่านเสร็จเรียบร้อยศพมันก็ไม่เหลือซากแล้ว เขาอยู่ในระหว่างที่สอบสวนกันอยู่ พออยู่ในระหว่างสอบสวนกันอยู่ เรื่องของการส่งคนออกนอกอะไรออกนอกระยะนี้มันก็เลยสะดุดติดขัดไปทั้งระบบ ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันหรือเปล่านะ แต่นี้เพิ่งขึ้นจากใต้มาไม่นาน เขาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
              พวกนั้นมันไปไม่ถูกระบบ แต่ว่ามันทำให้พวกที่ถูกระบบโดนตรวจสอบทั้งหมดเลย มันก็น่าคิดนะ ความโลภของคนมันทำให้ทำกันได้ขนาดนั้น เขาไปดี ๆ ไม่ได้ มันจะต้องหาคนไปส่งเขาตามสัญญา มันใช้วิธีประเภทเลี้ยงอาหารแล้วก็ใส่ยานอนหลับกินหลับไปเลย ถึงเวลาตื่นขึ้นก็ไปอยู่ในที่นั้นแล้ว กลับก็กลับไม่ถูกแล้ว อันนี้เพิ่งจะขึ้นจากใต้มา ขาใหญ่ทางใต้เขาเล่นกันอย่างนั้น คือตัวเองก็คงไปทำสัญญากับเขาว่าจะส่งคนไปเท่านั้นเท่านี้ แหม มันทำยังกับค้าทาส