ถาม:  ...................................... ?
      ตอบ :  รู้จักวิธีบนกรมหลวงชุมพรมั้ย ในเรื่องของคนเรื่องของอะไร ถ้าต้องการความสะดวกให้บนกรมหลวงชุมพร บนกรมหลวงชุมพรท่านให้จัดหมูต้ม ๑ ชิ้น ถ้าหากว่าได้หัวหมูยิ่งดี ตีซะว่าหัวหมู ๑ หัวแล้ว แล้วก็ไก่ต้ม ๑ ตัว ถ้าเป็นหมูต้มชิ้นหนึ่งต้องไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโล ก็เอาเป็นว่า หัวหมู ๑ หัว ไก่ต้ม ๑ ตัว ข้าวปากหม้อ ๑ ถ้วย ก็คือข้าวที่เราหุงเสร็จแล้วตักขึ้นมาก่อนที่เราจะกินน่ะ ทองหยิบฝอยทอง ทองหยิบฝอยทองนี่แล้วแต่เรา ชอบมากก็ใส่เยอะหน่อย ขนมจีนน้ำพริก ๑ ชุด มันจะมีน้ำยา มีน้ำพริก มีซาวน้ำ แต่ให้ใช้น้ำพริกเท่านั้นอย่างอื่นไม่เอา น้ำพริกมันจะเป็นน้ำยาหวาน ๆ น่ะ ไปบอกที่ร้านเขาจัดให้เองแหละ ขนมจีนน้ำพริกน้ำยามันจะทำด้วยถั่วพวกนั้นน่ะ ลักษณะเหมือนมังสวิรัติ มันไม่ใช่ปลาอะไรอย่างนั้น ของทั้งหมดให้วางบนผ้าขาวที่ปูกลางแจ้ง ตั้งโต๊ะซะตัวหนึ่ง ปูผ้าขาวแล้ว เอาของวางไว้ จุดธูป ๕ ดอกบนท่าน การบน ถ้าเป็นเวลาเช้าให้ใช้เวลา ๐๗.๕๐ น. อย่าผิดเวลานะ ของท่านสำคัญมากเรื่องเวลา ถ้าผิดเวลาคนอื่นรับไม่ใช่ท่านรับ ถ้าตอนบ่าย ๑๔.๕๐ น. เราเตรียมของเอาไว้ให้พร้อม พอถึงเวลาก็จุดธูปเลย บอกท่านให้สงเคราะห์ว่าต้องการความสะดวกยังไง ๆ บอกท่านไป แล้วพอเสร็จได้อย่างที่ต้องการแล้วให้จัดอย่างนี้ถวายท่านอีกชุดหนึ่ง เป็นอันว่าของท่านนี่จะสำเร็จไม่สำเร็จต้องจ่ายจก่อนครึ่งหนึ่ง พอสำเร็จต้องจ่ายอีกหนึ่ง
      ถาม :  ของที่ถวายแล้ว เอาไปไหน ?
      ตอบ :  คือของทุกอย่างเราลามาเราก็กินเอง สมัยอาตมาเป็นฆราวาสกวนท่านบ่อยเลย ที่กวนท่านบ่อยเพราะว่าของทุกอย่างลามันก็ของเราอยู่แล้ว เราเองก็ได้กินด้วยก็เลยขยันบน
      ถาม :  (ไม่ชัด) ?
      ตอบ :  ไม่ต้องหรอกจ้ะ ตั้งใจนึกถึงท่านแล้วก็จุดธูปกลางแจ้ง ของอื่นประเภทดอกไม้ธูปเทียนเราจะจัดอย่างไรก็ตามสบาย แต่ของหลักที่ว่านี้ห้ามขาด
              สมัยก่อนเขาต้องมีสาโทด้วย สมัยนี้ สาโทกำลังฮิต แต่ว่าท่านไม่เอาแล้ว ท่านบอกเป็นเทวดาผู้ใหญ่แล้วขืนมีสาโทเขานินทาเอา โดยเฉพาะเรื่องคน เรื่องบริวาร ลูกน้อง อะไรบนได้หมดเลย แต่ว่าที่ท่านเก่งที่สุดคือเรื่องตามคนหาย ถ้าหากว่าคนหายไป บนขอให้ท่านช่วยตามให้ ถ้าหากว่าตายไปแล้วก็ขอให้ได้ข่าวภายใน ๕ วัน ๗ วัน อะไรอย่างนี้
      ถาม :  บนองค์ไหน ขอให้รวย ขอให้รวย ?
      ตอบ :  บนได้ทุกองค์
      ถาม :  อย่างหนู ทำเกี่ยวกับพวกยานี่บนได้มั้ยคะ ?
      ตอบ :  บนได้จ้ะ แต่ว่าเรื่องยานี่ต้องมีหมอชีวกด้วย
      ถาม :  ต้องบนท่านยังไงคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ หมอชีวกท่านไม่ได้บอกไว้ว่าบนท่านยังไง จะถวายสังฆทาน เจริญกรรมฐาน รักษาศีลอะไรก็ได้
      ถาม :  .................. ?
      ตอบ :  เรื่องของร้านอาหารไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ยังไงก็ตาม มันขึ้นกับทำเลและฝีมือ โดยเฉพาะลูกค้าประจำสำคัญที่สุดจะไปพึ่งขาจรไม่ได้ ถ้าหากว่าเราย้ายเมื่อไหร่รายได้มันจะตกฮวบไปเลย
      ถาม :  หนูเคยพาไปหาหลวงพ่อสมปองช่วงที่ยังไม่เป็นหนี้ค่ะ หลวงพ่อบอกว่าต้องให้หมดเนื้อหมดตัวถึงจะเลิก
      ตอบ :  ถ้าอย่างนั้นให้กลับไปบอกท่านใหม่ว่า ให้รวยแล้วถึงจะเลิก แหมเล่นให้พระอย่างนั้นบอกให้หมดเนื้อหมดตัวเดี๋ยวก็แย่สิ ไปกราบท่านซะ บอกว่าสิ่งที่ท่านอวยพรนั้นตอนนี้มันเป็นจริงแล้ว ขอเปลี่ยนเป็นให้รวยแทน
      ถาม :  ตอนนั้นไป คิดว่าท่านเป็นเณร ?
      ตอบ :  จ้ะ อาตมาก็โดนคนเข้าใจว่าเป็นเณรบ่อย เพราะว่าของเรามันห่มพาดสังฆาฏิเขาคิดว่าเป็นเณรมันรัดอกด้วย มีโอกาสไปหาท่านใหม่ เอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบท่าน ที่ท่านให้พรไว้มันเกิดผลแล้วล่ะ ตอนนี้ขอพรใหม่ขอให้รวย เพราะว่าพระอย่างนั้นนี่พูดเล่นพูดจริงบางทีมันเกิดผลหมด พระที่ปฏิบัติถึงระดับหนึ่งแล้ววาจามันจะศักดิ์สิทธิ์ไปเอง ถึงเล่นกับท่านไม่ได้ คือพระระดับนั้นแล้วเล่นไม่ได้เลย หลวงพ่อท่านบอกท่านต้องระวังคำพูดท่านมากเลย เพราะท่านกลัวว่าเผลอไปแช่งใครเข้าแล้วคนนั้นจะเป็นไปตามปาก
      ถาม :  เคยถามว่าเมื่อไหร่จะเลิกได้ ท่านก็บอกว่าให้หมดตัวก่อนถึงจะเลิกได้ ถ้าติดการพนัน ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าตั้งใจเลิก ก็เอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาท่าน ขอให้รวยแทนจะได้ไม่เป็นหนี้ ของโยมผิดหลายยกจ้ะ คือยกแรก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอย่าให้เป็นหนี้ใคร ท่านว่า อิณาทานัง ทุกขัง โลเก การเป็นหนี้เป็นทุกข์ที่สุดในโลก แล้วมันทุกข์มั้ยล่ะ ? แล้วอีกอย่างท่านบอกว่า เรื่องของการพนัน เที่ยวกลางคืน คบคนชั่วเป็นมิตร ขี้เกียจไม่ยอมทำงาน ท่านเรียกว่า อบายมุข ปากทางที่นำเราไปสู่ความเสื่อม ของโยมมันเล่นซะทั้งบนทั้งล่างเลย
      ถาม :  ตอนเที่ยงผมไปฝึกมโนมยิทธิ ปรากฏว่าผมไม่เห็นอะไร เลยไม่แน่ใจว่าผมทำอารมณ์ไม่ถูกอย่างไร ?
      ตอบ :  ถ้าเห็นก็ประหลาด ต้องไม่เห็น ถ้าคุณคิดว่าเห็นก็บ้า...!
      ถาม :  แล้วต้องทำอย่างไร ?
      ตอบ :  การฝึกมโนมยิทธิ อย่าลืมคำว่า “มโน” คือห้วงนึกคือความคิดของเรา ไม่ใช่ตาเห็น ถ้าเราคิดว่าเป็นตาเห็นก็ผิดตั้งแต่ยกแรกแล้ว หลับตาอยู่จะไปเห็นอะไร
              คราวนี้ถามว่าแล้วเราเห็นลักษณะไหน ? เราเห็นลักษณะนึกถึงคน นึกถึงของ นึกถึงบ้าน ชัดไหมล่ะ ? แล้วใช่ลูกตาเห็นไหมล่ะ ? ไม่ใช่หรอก นั่นแหละมโน เขาเห็นกันอย่างนั้น คราวนี้แรก ๆ หากว่าสภาพจิตยังไม่สงบ ภาพจะไม่ปรากฎ ภาพไม่ปรากฎจะเป็นแค่ความรู้สึกในใจเท่านั้น รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น รู้สึกว่าเป็นอย่างนี้ รู้สึกว่าต้องอย่างนั้น รู้สึกว่าต้องอย่างนี้ ความรู้สึกอันแรกที่เกิดมามันใช่ จะถูกต้อง ขอให้น้อมใจเชื่อตามนั้น ถ้าเปรียบไปแล้วจะเหมือนคน ๆ หนึ่งอยู่ในห้องมืด ๆ แล้วเขาส่งของมาให้ชิ้นหนึ่ง เช่น เครื่องคิดเลข เราจับ ๆ คลำ ๆ ลูบ ๆ พักหนึ่ง เราก็ตอบได้ว่าเป็นเครื่องคิดเลข แต่ถ้าเราซ้อมบ่อย ๆ จนกระทั่งเคยชิน พอแตะปุ๊บ ก็บอกได้เลยว่าเป็นเครื่องคิดเลข อย่างนี้เป็นต้น
              คราวนี้พอเราซ้อมอยู่บ่อย ๆ โดยยอมเชื่อความรู้สึกแรก จนกระทั่งจับจุดได้ว่าความรู้สึกอย่างไรถึงจะถูกต้อง พอเกิดความมั่นใจแล้วสภาพจิตจะนิ่ง คราวนี้ภาพจะเกิด พอภาพเกิดปุ๊บ โดยสัญชาตญาณเราก็ไปเพ่งมัน อยากจะเห็นให้ชัด บอกแล้วว่าไม่ใช่ตาเห็น จิตเราต้องไปถึงสถานที่นั้น เราถึงจะเห็นภาพได้ การที่เรานึกถึงตา คือนึกถึงตัว คือการดึงจิตกลับมา ภาพจะหายไป เพราะเราไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว จะไปเห็นอะไรอีก พอถึงเวลาภาพหายไป ตั้งใจภาวนา พอกำลังใจไปถึงจุดนั้นก็เห็นอีก จะเป็น ๆ หาย ๆ อย่างนี้ บางคนเป็นอยู่ ๑๐ ปีก็มี ประสาทจะกลับก็มี แค่เราทำใจว่า ก่อนหน้านี้แค่ความรู้สึกก็ถูกต้องอยู่แล้ว การเห็นภาพไม่จำเป็นต้องมีสำหรับเราก็ได้ จะเห็นหรือไม่เห็นก็ช่าง เราจะไม่ใส่ใจอีก ถ้าทำกำลังใจอย่างนี้ได้ ภาพจะเกิดขึ้นและปรากฎอยู่นาน
              หลักการที่สอง ทำให้ได้อย่างที่ครูฝึกเขาบอก จะต้องมีการพิจารณาตัดร่างกา ยอย่าให้จิตเกาะร่างกายนี้ อย่าให้จิตเกาะโลกนี้ เพราะถ้าจิตเกาะยึดเกาะร่างกายนี้หรือโลกนี้ มันจะไม่ไปไหน มันห่วงร่างกาย มันห่วงโลก แต่ถ้าเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ เราไม่อยากได้จริง ๆ จิตจะไม่ห่วง จะไปได้ง่าย แล้วจะเห็นภาพได้ชัดเจนแจ่มใสด้วย
      ถาม :  แล้วต้องนึกถึงพระ (ไม่ชัด)
      ตอบ :  สมควรที่สุดที่จะทำอย่างนั้น กำลังใจของเราไม่มีอะไรกั้นได้ นึกถึงบ้านตอนนี้ ถ้าคนได้อภิญญา เขาเห็นเราอยู่ที่บ้านแล้ว ไม่ต้องเปิดประตู ไม่ต้องลงบันได้ ไม่ต้องเรียกแท็กซี่ ไม่ต้องขับรถเอง แค่นึกก็ถึงแล้ว ระยะทางของโลกถึงดวงอาทิตย์ ๙๓ ล้านไมล์ แสดงเดินทางด้วยความเร็ว ๑๘๖,๐๐๐ ไมล์/วินาที ใช้เวลาประมาณ ๘ นาทีมาถึงโลกเรา แต่ถ้าเรานึกถึงดวงอาทิตย์แค่ไม่ถึง ๑/๑๐ ของวินาที จิตเราอยู่ที่นั่นแล้ว
              เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเรานึกถึงจุดไหนก็ตาม จิตจะไปปรากฎอยู่ตรงจุดนั้น คราวนี้เรานึกถึงบ้าน จิตจะไปปรากฎอยู่ที่บ้าน เห็นบ้านสภาพบ้านชัดเจน ลักษณะบ้านเป็นอย่างไร ประตูอยู่ตรงไหน ห้องน้ำอยู่ตรงไหน ห้องนอนอยู่ตรงไหน รู้หมด อันนั้นเกิดจากเราเคยชินกับมัน คราวนี้ไปเทวดา ไปพรหม ไปนิพพาน เราจะไม่เคยชินกับสถานที่ละเอียดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นขอให้เชื่อความรู้สึกแรก รู้สึกว่าอย่างไร ถ้าครูฝึกถามให้ตอบไปตามนั้น ไม่จำเป็นต้องเห็น ทำตามขั้นนี้ไปก่อน
      ถาม :  ถ้าทำเองที่บ้าน ?
      ตอบ :  ซ้อมบ่อย ๆ คุณใช้วิธีอย่างนี้ พอถึงเวลาคุณกราบพระเสร็จ ก็ ตั้งใจขอบารมีท่านว่าเราจะฝึกมโนมยิทธิ ขอให้ทำได้ชัดเจนแจ่มใส และคล่องตัวด้วย แล้วกำหนดความรู้สึกทั้งหมดของคุณให้อยู่ตรงหน้าคุณ เหมือนกับว่าเป็นคน ๆ หนึ่งอยู่ตรงหน้า จะเล็กจะใหญ่อยู่ที่เราถนัด เอาตัว เล็กตัวใหญ่แค่ไหนก็ได้ แล้วก็บอกให้เดินหน้า บอกให้ถอยหลัง บอกให้หัน ซ้าย บอกให้หันขวา ทำอย่างกับหัดแถวทหารอย่างนั้นแหละ บังคับให้ชิน พอหันขวาเราก็รู้สึกว่าหันตาม หันซ้ายเราก็หันตาม เดินหน้าเราก็เดินตาม ถอยหลังเราก็ถอยตาม ความรู้สึกของเราทั้งหมดให้อยู่กับตัวนี้ พอชินแล้ว ค่อย ๆ ทำนะ เดินวนรอบตัวก็ได้ วนช้า ๆ เพราะว่าถ้าความรู้สึกคล่อง แป๊บเดียวจะครบรอบเลย บอกให้เปิดประตู บอกให้ออกนอกบ้าน บอกให้ ค่อย ๆ เดินวนรอบบ้าน ทำตัวเป็นยามไปเลย ค่อย ๆ ดูไปทีละจุด เปิด ประตูใหญ่ เดินออกไปในซอย ค่อย ๆ ไปปากซอย คราวนี้ความรู้สึกของ เราที่ค่อย ๆ ไป แรก ๆ จะชัดเจน เพราะว่าสถานที่ต่าง ๆ เราคุ้นเคยดี
              แต่คราวนี้พอไกลออกไป ๆ เป็นปากซอย ความคุ้นเคยน้อยแล้ว พอไปถึง จุดที่เราไม่คุ้นเคย แต่ความรู้สึกยังปรากฏชัดอยู่ อาจจะตรงนี้ร้านขายยา ตรงนี้วินมอเตอร์ไซค์ตรงนี้เป็นเซเว่น อีเลฟเว่น จดเอาไว้ แล้วถึงเวลา รุ่งเช้าเดินไปดูว่าตรงไหม? ซ้อมอย่างนี้ทุกวันๆแล้วจะคล่องตัวมาก ต่อ ไปถ้าจะไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพานอย่างไร? ก็แค่นึกถึงสวรรค์ นึกถึง พรหม นึกถึงนิพพาน จะไปถึงเลย ทำอย่างนี้ทุกวัน ซ้อมบ่อย ๆ ถ้าไม่ ซ้อมสนิมขึ้น
      ถาม :  เวลาซ้อมนั่งหลับตา นึกว่ามีตัวเรา?
      ตอบ :  ใช่ นั่นแหละ แล้วก็บังคับตัวนั่นแหละ ให้ค่อย ๆ ไปเปิดประตู เปิดหน้าต่างทีละบาน เดินวนรอบบ้าน อะไรก็ได้ กวาดขยะ อะไรก็ได้ทำ ไปเลย ไม่มีใครว่า ทำอย่างนี้บ่อยๆแล้วจะคล่องตัว พอคล่องตัวจากสิ่ง ที่เราเคยชิน ค่อย ๆ ไปสู่สิ่งที่เราไม่เคยชิน แล้วก็พยายามจดจำ ไว้ว่าเป็นอย่างไร? ถึงเวลาเราก็ไปดูเพื่อเป็นการพิสูจน์ จะได้รู้ว่าเรารู้จริง ไหม? เห็นจริงไหม? อย่าลืมนะไม่ได้เห็นด้วยตา ใช้ตาเมื่อไหร่เจ๊งเมื่อ นั้นเลย
      ถาม :  อย่างวันนี้ที่ผมฝึกนี่ ครูฝึกเขาบอกว่าทั้งหมดตอนนี้ไปอยู่ข้างบน แล้ว อยู่ในแดนพระนิพพาน แสดงว่าจริง ๆ นี่ไปได้จริง ๆ
      ตอบ :  ถ้าเราคิดถึงตรงไหน จะไปถึงตรงนั้นเลย เพียงแต่ว่าเราเองจะรับรู้ ได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง บอกแล้วว่าไม่มีอะไรกั้นจิตได้ จิตคิดถึงตรงไหน จะไปถึงตรงนั้นเดี๋ยวนั้นเลย ขั้นตอนการใช้ร่างกายทำไม่เกี่ยวกับจิตเลย บอกแล้วไม่ต้องเปิดประตู ไม่ต้องลงบันได ไม่ต้องขับรถ ไม่ต้องขึ้นรถอะไร ทั้งนั้น แค่นึกก็ถึงแล้ว
      ถาม :  แต่ในความรู้สึกสัมผัสของเรา มันไม่ถึง
      ตอบ :  คราวนี้สำคัญตรงขยันซ้อม ต้องขยันซ้อม ทำบ่อย ๆ ทำทุกวัน ซ้อม ทุกวัน เพื่อให้เกิดความคล่องตัว ก่อนจะไปทำงานกำหนดใจสบาย ๆ นึก เลย วันนี้เราไปถึงที่ทำงานจะเจอใครก่อน คน ๆ นั้นผู้หญิงหรือผู้ชาย ใส่เสื้อ ผ้าสีอะไร แล้วก็จดไว้ พอถึงเวลาก็ไปดู ถ้าหากผิดก็ไม่ต้องสนใจ แต่ถ้าถูก พยายามนึกให้ได้ว่าเราทำกำลังใจอย่างไร? แล้วก็จำกำลังใจช่วงนั้น แล้ว ใช้ช่วงนั้นบ่อย ๆ จะคล่องตัวมาก อาตมาเองซ้อมบ่อย จะออกบิณฑบาตนึก ก่อนเลย วันนี้ใครจะใส่บาตรก่อน ผู้หญิงหรือผู้ชาย ใส่เสื้อผ้าสีอะไร มากลุ่ม นี้กี่คนอย่างนี้ นี่ขนาดนี้แล้วยังต้องซ้อมอยู่นะ ไม่อย่างนั้นสนิมกิน
      ถาม :  แก้ทุกข์ได้อย่างไร?
      ตอบ :  ถ้าเราไปนิพพานได้ ทุกข์ทุกอย่าง จบ! การที่กำลังใจเกาะอยู่บนนิพพาน รัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างกินใจของเราไม่ได้ ในเมื่อ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราไม่ได้ ก็แปลว่าไม่สามารถสร้างทุกข์ให้เราได้อีก มโนมยิทธิคุณค่ามหาศาลที่สุดก็คือ อันดับแรก เรารู้จักนิพพาน อันดับที่สอง เราไปนิพพานได้ อันดับที่สาม เป็นการตัดกิเลสอัตโนมัติ ถ้าเราซ้อม จนคล่องตัว ชนิดนึกก็ถึงแล้ว ถ้ารู้สึกว่าจะโกรธ อย่าเพิ่งให้โกรธขึ้นมา รีบพุ่งกำลังใจไปกราบพระบนนิพพาน ถ้ารู้สึกราคะจะเกิด ให้รีบพุ่งกำลังใจ ไปกราบพระบนนิพพาน ถ้าใจเราอยู่ตรงจุดนั้น จะตัดกิเลสอัตโนมัติ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ทุกอย่างเป็นสมบัติของร่างกายนี้ สมบัติชิ้นนี้จะเจริญ เติบโตงอกงามได้ ต้องมีคนเอาไปออกดอกออกผล ก็คือไปช่วยมันคิดช่วยมันปรุง
              คราวนี้เราส่งจิตขึ้นข้างบน ไม่มีจิตเป็นตัวคิด ตัวปรุง ตัวแต่ง รัก โลภ โกรธ หลง เจริญงอกงามไม่ได้ จะตั้งได้อยู่พักเดียวแล้วสลายไป ถ้าเราทำอย่างนั้นบ่อย ๆ มันก็จะขาดไปโดยอัตโนมัติ เข้าถึงความเป็น พระอริยเจ้าได้ง่าย ๆ นี่คือคุณประโยชน์มหาศาลที่สุดของมโนมยิทธิ แต่ปัจจุบันที่เขาไปใช้อยู่ส่วนใหญ่ใช้ผิด ไปดูอดีต ไปดูอนาคต ไประลึกชาติ แล้วแทนที่จะรู้สึกเข็ด รู้จักเห็นว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ ก็กลับไปนั่งฟื้น ความสัมพันธ์ใหม่ เธอเป็นอย่างนั้นกับฉัน เธอเป็นอย่างนี้กับฉัน แทนที่จะ "ละ"กลับไป"ยึด"ก็ยิ่งทุกข์หนักขึ้น ปัจจุบันเขาใช้ผิดกันเยอะ จำไว้ว่าที่ หลวงพ่อต้องการคือต้องการจุดนี้ อันดับแรก รู้จักพระนิพพาน อันดับสอง ไปนิพพานได้ อันดับสาม ตัดกิเลสอัตโนมัติได้
      ถาม :  เป็นสมถะ? ตอบ:เป็นสมถะ ถ้าหากบรรลุ เขาเรียกว่า บรรลุโดยเจโตวิมุติ คือใช้ กำลังใจข่มกิเลสไว้ ไม่ใช่วิปัสสนาที่เป็นปัญญาวิมุติ ใช้ปัญญาคิดจน กระทั่งจิตยอมรับ
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  พยายามบ่อย ๆ ทำให้ต่อเนื่อง ต้องรักษาอารมณ์ให้เป็น ส่วนใหญ่ พวกเราพอนั่งภาวนาอารมณ์ใจทรงตัวเรียบร้อย ลุกขึ้นก็เลิกเลย เลิกไม่ได้ ลุกขึ้นต้องรักษาอารมณ์นั้น ให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ โดยเฉพาะอารมณ์ที่เกาะนิพพาน อารมณ์ที่ชินกับการว่างกิเลส แรก ๆ ก็อยู่ได้แป๊บหนึ่ง ก็พังไป พยายามบังคับจิตของเราให้นิ่งอยู่อย่างนั้น แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งซัก ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์เกาะพระนิพพานไว้เสมอ อีก ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ของเรา เราก็ประกอบหน้าที่การงานของเราไป พอสภาพจิตของเราเกาะอยู่ข้างบนตลอด ก็จะสุขจะเย็นอยู่ตลอด ในเมื่อ สุขเย็นอยู่ตลอด นานไป ๆ กิเลสงอกงามไม่ได้นี่ เพราะกำลังของฌานกดอยู่ งอกงามไม่ได้ก็เหี่ยวไปเรื่อย เฉาไปเรื่อย จนหมดสภาพก็ตายไปเอง
      ถาม :  ถ้าทรงได้อยู่เรื่อย ๆ ทรงได้อยู่บ่อย ๆ จะได้เป็นพระโสดาบัน ไหมครับ?
      ตอบ :  ดีไม่ดี ก็เป็นพระอรหันต์ไปเลย(หัวเราะ) ไม่จำเป็นต้องเป็นแค่พระ โสดาบัน บางทีอาจโดดเป็นสกิทาคามีไปเลย จากปุถุชนเป็นอนาคามี หรือ จากปุถุชนเป็นอรหันต์ไปเลยก็มี น้อยคนที่จะไปตามขั้น คราวนี้มาว่าต่อ การทำจิตให้ต่อเนื่อง คือเราต้องรักษาอารมณ์นั้นให้ได้ พอเริ่มได้น้อย ค่อย ๆ นานขึ้น ๆ เราเคยชินกับการประคับประคองอารมณ์นั้น อยู่ในท่าม กลางกระแสกิเลส คือต้องชนกับคนนั้น ต้องปะทะสังสรรค์กับคนนี้ เมื่อถึงวาระถึงเวลา เราประคองอารมณ์ของเราให้นิ่งอยู่ได้ ไปเรื่อย ๆ จากชั่วโมงก็จะเป็นวัน จากวันก็จะเป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์ก็จะเป็นครึ่งเดือน เป็นเดือน เป็นปีไล่ไปเรื่อย เพราะจิตเคยชินกับการที่ทรงอารมณ์ในลักษณะนั้นนาน ๆ ไป กิเลสจะหมดเอง เพราะว่ามันโดนทับเอาไว้ตายแหงไปเอง แต่ว่าอย่าเผลอนะ เผลอมันตีกลับเมื่อไหร่ สาหัสเลยล่ะ เหมือนกับหญ้าที่โดนหินทับไว้ จะตายแหล่มิตายแหล่ พอเปิดหินเปิดไม้ขึ้นมาเมื่อไหร่ คราวนี้มันงอกงามใหญ่โตเลย เพราะมันกลัวตัวเองจะตาย เพราะฉะนั้นอย่าเผลอปล่อยให้ขาดช่วง ต้องพยายามรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องให้ได้
      ถาม :  ถ้าไม่ต่อเนื่อง ปัญญาจะไม่เกิดเองหรือครับ?
      ตอบ :  อย่าลืมว่า จุดนี้คือตัวปัญญาเลยแหละ เรารู้อยู่ถ้าปล่อยมันเมื่อไหร่ กิเลสทำอันตรายเราได้ ก็อย่าปล่อยมัน ใช้กำลังของมันเกาะนิพพานเอาไว้ ตัวรูปราคะ อรูปราคะ ที่เป็นกิเลสใหญ่ คือการติดในรูปและอรูป ไม่มี อะไรที่ติดได้ง่ายกว่าการใช้กำลังของฌานสมาบัติอีกแล้ว เราก็แค่ใช้กำลัง ของฌานสมาบัติจะเป็นรูปฌาน หรืออรูปฌานเกาะนิพพานแทน ถ้าเรา เกาะถูกจุดไม่ถือว่าติด
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  เอาอารมณ์จับอยู่อย่างนั้นตลอด ที่บอกแบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่ง นึกอยู่เสมอนิพพานอยู่แค่นี้ พระพุทธเจ้าอยู่แค่นี้ไม่ได้อยู่ไกลเลย
      ถาม :  ลมหายใจ?
      ตอบ :  ลมหายใจ ถ้ารู้อัตโนมัติก็รู้ไป ถ้าไม่รู้ ให้ความรู้สึกอยู่แค่นี้ก็ใช้ได้ แต่ถ้าทำขนาดนั้นได้ ส่วนใหญ่จะรู้ลมอัตโนมัติอยู่แล้ว ถึงเวลาทำอะไร นึกถึงก่อน พระพุทธเจ้าอยู่นี่ ใสแจ๋วเลย ถ้ามัวเมื่อไหร่ ให้รู้เลยจิตของเรา ตอนนี้ความดีน้อยแล้ว รีบพยายามตั้งใจ นึกถึงท่านให้ชัดเจนแจ่มใสขึ้นมาใหม่ ชนไปชนมา เหลือพระพุทธรูปดำปี๋เลย เออ...ดำก็ยังดี ยังเหลืออยู่ อย่าให้หายไปก็แล้วกัน
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  พยายามนึกถึงลมหายใจเข้า-ออกใหม่ การนึกถึงลมหายใจเข้า- ออก เป็นการตั้งต้นในลักษณะควบคุมสติสัมปชัญญะของเราให้ทรงตัว พอทรงตัวถึงระดับฌานเมื่อไหร่ จะผ่องใสตามเดิม เพราะตอนนั้นแสดงว่า เราเผลอหลุด เผลอหลุดปล่อยให้กิเลสกินใจได้
      ถาม :  อย่างวันนี้ที่ไปฝึก เขาให้นึกถึงพระ แต่ว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
      ตอบ :  พระพุทธรูปก็นึกไม่ได้? น่าจะนึกได้
      ถาม :  ไม่ได้ครับ สว่างไปหมด แล้วก็มองอะไรไม่เห็น
      ตอบ :  อย่างนั้นไม่ต้อง ถ้าหากว่าสว่างไปหมด มองอะไรไม่เห็น ไม่ต้องไปนึก เรามั่นใจไหมว่าพระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้า ถ้ามั่นใจกราบลงตรงนั้นเลย
      ถาม :  ถ้าไม่มั่นใจล่ะครับ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าไม่มั่นใจว่ามี ก็ใช้วิธีหน้าด้าน เรามั่นใจตรงนี้เป็นนิพพาน พระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ไหนหรอก ต้องอยู่ตรงนี้แน่ ๆ ก็ตั้งใจกราบลงตรงนั้นเลย