ถาม:  (ไม่ชัด) ?
      ตอบ :  สวยแต่เสียดายว่างาช้างดำท่านเก็บไปแล้ว ไปครั้งสุดท้ายงาช้างดำท่านเก็บไปหรือโดนคนขโมยไปก็ไม่รู้ เพราะถ้านิสัยอย่างเราไปได้แล้ว มันคงจะเอาแน่ ๆ เลย สวยมากเลยงาช้างดำคู่นั้น งาช้างดำในชีวิตอาตมาเห็นอยู่ ๕ คู่ ต้องใช้คำว่า ๔ คู่กับ ๑ ข้าง ก็ที่น่านข้างเดียว แล้วก็ในสวนจิตรลดาคู่หนึ่ง ที่วัดอนาลโยหลวงพ่อไพบูลย์นี่คู่หนึ่ง
              แล้วก็มีโยมคนหนึ่งเขาได้ทิพพจักขุญาณ เขาไปขุดเอาที่สุดสานช้างมา ๒ คู่ แต่ว่ามันเป็นแบบดำสนิทแบบนิลคู่หนึ่ง อีกคู่หนึ่งมันเป็นสีน้ำผึ้งแบบที่แกะมาน่ะ มันจะไม่ดำสนิทมันออกสีน้ำตาล แต่ว่า ๒ คู่นี้มโหฬารเลยล่ะ ยาวคงจะเกิน ๒ เมตร เพราะว่าวางบนฟูกนี่มันหัวท้ายล้นน่ะ ฟูกนี้มันน่าจะอยู่ประมาณเมตรแปดสิบหรือเกินนิดหน่อย
      ถาม :  ..........................?
      ตอบ :  อุกกาบาตโบราณเรียกอุลกมณี เขาถือเป็นแก้วประเภทหนึ่งแต่ว่าเป็นแก้วที่มาจากฟ้า บึงลับแล ผมคิดว่าเป็นอุกกาบาต มันตกลงมา เพราะว่าถ้าหากว่าเป็นปากปล่องภูเขาไฟมันไม่น่าจะตัดลงไป ปากปล่องภูเขาไฟมันจะลาด และประเภทตัดฉากลงไปมันน่าจะเป็นอุกกาบาตถล่มลงไป
      ถาม :  .......................?
      ตอบ :  งานนี้มันสังหรณ์ใจว่าจะไม่รอด เพราะว่ารักษาการเจ้าคณะจังหวัด หรือเจ้าคณะจังหวัดองค์ต่อไป ก็คือลูกศิษย์หลวงพ่อ ท่านก็คงไม่เอาคนอื่น อาตมาเสร็จแหง ๆ เลย คือตัวอาจารย์เปี๊ยกที่เป็นลูกศิษย์อาตมาเอง ท่านทนการรีดไถตามลำดับชั้นไม่ไหว ท่านก็เลยลาออกจากเจ้าอาวาสและเจ้าคณะตำบลด้วย เจ้าอาวาสมันพอหาคนแทนได้ แต่เจ้าคณะตำบลนี่อย่างน้อย ๆ คุมวัดอื่นตั้ง ๘-๙ วัด มันก็เลยจะต้องหาที่พอจะมีลูกอึดบ้าง
              อาตมาหนีมาสองสามยกแล้วยกให้ลูกศิษย์เป็นแทน คราวนี้หนีไม่พ้นแล้วมั้ง ในเมื่อหนีไม่พ้นมันก็จำเป็นต้องรับ แต่ว่าถ้ารับนะแปดเก้าวัดนั้นซวยแน่ ๆ เลยเพราะว่ายังไง ๆ เราก็จะต้องไปกระชากมันกลับเข้ามาอยู่ในธรรมในวินัย แต่พวกนี้ดีอยู่อย่างคือเขาปรับตัวเร็ว มันเหมือนกับพวกข้าราชการที่ได้นักการเมืองใหม่มาปกครองนั่นแหละ มันจะพยายามปรับตามนโยบายเจ้านาย ถ้าเราไปเป็นเจ้านายมันก็เหนื่อยหน่อย
      ถาม :  เขาอาจจะมีเส้น ?
      ตอบ :  ไม่มีปัญหา คือถ้าเขามีใหญ่กว่าเราก็จะงัดไอ้ที่ใหญ่กว่าออกมาให้ดู จนกระทั่งถึงใหญ่ที่สุด ถ้ายังเป็นของเรามันก็เลิกเองแหละ อยู่ที่โน่นนี่ไม่ค่อยได้เปิดเผยตัวหรอก แต่ส่วนใหญ่พอพระผู้ใหญ่ไปเขารู้จักเราแล้วพระพวกนั้นเขาจะทึ่งมากเลย วันก่อนมหาปรีชายังนั่งบ่นเลย
              เออ...ครูบาอาจารย์ของเราท่านรู้จักพระผู้ใหญ่หมดเลย รู้จักสมัยอยู่วัดท่าซุงโน่น ตอนนั้นหลวงพ่อท่านนิมนต์ไปประมาณ ๗๐-๘๐ รูป พูดง่าย ๆ ว่าเคยมีการประชุมมหาเถรสมาคมที่วัดท่าซุงน่ะ เพราะว่าบรรดากรรมการมหาเถรสมาคมไปกันเกือบครบขาดพระสังฆราชองค์เดียว แล้วตอนนั้นสมเด็จวัดสามพระยาท่านทำหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชอยู่ก็เลยประชุมไปเลย
              เคยกราบเรียนถามหลวงพ่อว่าที่หลวงพ่อนิมนต์มาบางรูปผมรู้ว่าเขาห่วยแตกมากเลยกำลังใจไม่เอาไหนเลย แล้วทำไมหลวงพ่อไม่นิมนต์พระดี ๆ มา หลวงพ่อท่านบอกว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ทั้งที่ดีและไม่ดี ในกาลต่อไปข้างหน้าเขาจะเป็นใหญ่เป็นโตไปในสายปกครอง ถ้าพวกแกรู้จักคุ้นเคยเอาไว้เสียตั้งแต่บัดนี้ ต่อไปทำอะไรก็สบาย จริง ๆ ทุกวันนี้อาตมาไปไหนสบายหมด เพราะว่ารู้จักมักคุ้นกับท่านไปหมดแล้ว
              จนกระทั่งบางทีคนอื่น ๆ เขายังคิดว่าอาตมาเป็นเจ้าคุณซะอีก เพราะไปคลุกคลีอยู่ในวงการนั้นต่างคนต่างรู้จักกันอะไรกัน ทักทายกันสนิทสนมเหมือนยังกับอยู่ระดับเดียวกัน คนอื่นมองเหมือนกับเราเป็นด้วยไง ถ้าไม่เป็นจะไปคุ้นกับเขาขนาดนั้นได้ยังไง
              อย่างช่วง ๑๐๐ วันที่วัดท่าซุงเหมือนกัน แต่ละท่านไปถึงก็ถามว่าคุณเป็นเจ้าอาวาสหรือ เพราะว่าหลวงพี่อนันต์ท่านจะไม่คุ้นกับงานอย่างนี้ เรื่องการรับพระผู้ใหญ่การอะไร ไม่ใช่หรอกครับ ผมเป็นพระบวชใหม่ได้ไม่กี่พรรษาเอง ตอนนั้นท่านคงตีราคาวัดท่าซุงสูงลิบเลย ขนาดพระบวชใหม่ยังได้อย่างนี้ เราก็ไม่ได้โกหกท่านน่ะ เพียงแต่ไม่ได้บอกว่าหลวงพี่เจ้าอาวาสท่านเป็นยังไง เพราะว่าท่านไว้วางใจมากว่าหลวงพ่อท่านจะอยู่นาน ขณะเดียวกันของเราไม่เคยไว้ใจเลยว่าหลวงพ่อจะอยู่ข้ามคืน ดังนั้นมีอะไรเราจะรีบโกยเอาไว้ ขณะที่ท่านอื่น ๆ ท่านจะสบายใจหลวงพ่อยังอยู่ ไม่พยายามทำอะไร
              ในเมื่อไม่พยายามทำอะไร พอสิ้นหลวงพ่อ โอ้โห วิ่งค้นหาตำรากันให้ควั่ก ค้นโน้นก็ยืมคนนี้ก็ยืม ปัจจุบันนี้ยังไม่รู้เลยว่าตำราที่จด ๆ เรื่องของหลวงพ่อไว้อยู่ที่ไหน กลายเป็นยืมแล้วก็ลืมเลย
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  พระธาตุข้าว เวลาจะใช้เขามีคาถากำกับอยู่ หลวงปู่ครูบาวงศ์ท่านบอกว่า ถ้าเวลาอดจริง ๆ น่ะ ให้อมพระธาตุข้าวเอาไว้ในปาก แล้วภาวนาคาถาจะไม่หิว ลองดูไหม ? อดข้าวสัก ๓ วัน คาถาเขาบอกว่า “ของให้ความหิวจางหายไปจากข้าพเจ้า ด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้า และพระธาตุข้าวพุทธปิณฑา” ปิณฑา ก็คือ บิณฑบาตนั่นแหละ แต่ใช้ ป.ปลา เก็บเอาไว้ต่างหากนะ อย่าไปปนกับพระบรมสารีริกธาตุ บาลีท่านบอกว่า ปิณฑิยาโลปะโภชะนัง นิสสายะ ปัพพัชชา
              ถ้าเป็นบาลีจะเป็น ป.ปลา ถ้าเป็นภาษาไทย เขาใช้คำว่า “บิณฑบาต” ปิณฑปาตัง แปลว่า ก้อนข้าวที่ตกลง เขาหย่อนใส่บาตร แสดงว่าคนลาวเยอะ ลาวเข้าปั้นข้าวเหนียวใส่บาตร
      ถาม :  ..........................
      ตอบ :  โบสถ์วัดท่าขนุน สร้างปี ๒๔๙๘ ก็ ๔๘ ปีมาแล้วใช่ไหม ? ๔๘ ปีนี่พระประธานไม่มีใครปิดทองเลย แล้วโบสถ์ก็ไม่ได้ซ่อมเลย ท่านกิตติชัยเคยกราบเรียนถามหลวงปู่สาย สมัยท่านยังอยู่ว่า หลวงปู่ครับ ทำไม่ไม่ซ่อมโบสถ์ครับ ? ท่านบอกว่า ต่อไปจะมีพระโพธิสัตว์ท่านมาทำให้เอง ท่านกิตติชยท่านก็รอ รอจนอาจารย์สมเด็จสึก จนอาจารย์สมพงษ์ขึ้นเจ้าอาวาส ก็ไม่มีทีท่าจะซ่อมเสียที จนกระทั่งเราไป แล้วค่อยไปปิดทองพระแล้วก็ซ่อม
      ถาม :  ..........................
      ตอบ :  ระวังเอาไว้อย่างหนึ่ง อะไรก็ตามที่ดี ๆ ที่เราได้ตอนบวชน่ะ มันยังไม่พอจะสู้กับโลก ออกไปพักเดียวจะโดนกลืนไปเกลี้ยงเลย เพราะฉะนั้นต้องรีบขวนขวายให้เยอะเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นเสร็จมันแน่ ๆ เลย การปฏิบัติยิ่งทำไปยิ่งเห็นผล ความเชื่อมั่นก็ยิ่งเกิดมากขึ้น ๆ คราวนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราทำจริงแค่ไหนเท่านั้นเอง บวชอยู่กับหลวงพ่อสมเด็จ ตอนนี้สึกออกมาสู้โลกต่อไป สู้โลกนี่ สู้เมื่อไหร่ก็แพ้เมื่อนั้น อย่าไปสู้มันเลย ทำไม่รู้ไม่ชี้ดีกว่า
              ความคิดเราว่า ถ้าเป็นเราบวช เราจะไม่สึก อย่าไปใช้อย่างนั้น ถ้าใช้อย่างนั้นตายจริง ๆ มารมันไม่เลี้ยงเลย มันอยากรู้ว่าเราแน่แค่ไหน มันดีตาย เพราะฉะนั้นต้องตั้งความคิดว่า ถ้าหากว่าสู้ไม่ไหวเมื่อไหร่ ? เราจะสึกทันที ถ้าอย่างนั้นสบายหน่อย ไม่บีบคั้นตัวเองมาก ในเมื่อไม่บีบคั้นตัวเองมาก มีช่องทางให้ไป จะไม่เครียด บางทีเหมือนกับเราหลอกมัน แต่ความจริงมันน่ะหลอกเรา มันหลอกให้เราเปิดช่องซะโร่เลย พร้อมที่จะไปได้ทุกเวลา ไม่ต้องใช้ความพยายามมาก ผลัดกันหลอกคนละที
              เรื่องมารเขาเก่ง ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างของเรา จะเป็นคน คนที่เรารักก็ดี คนในครอบครัวของเราก็ดี คนรอบข้างก็ดี เขาใช้เป็นเครื่องมือได้หมด วัตถุทุกอย่างรอบข้าง เขาใช้เป็นเครื่องมือได้หมด คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของอะไรก็ตาม เขาใช้เป็นเครื่องมือทำให้เรา ไม่พอหู ไม่พอตา ไม่พอใจได้ตลอดเวลา ถ้าเราเผลอสติเมื่อไหร่ก็เสร็จมัน ถ้าเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เอ้อระเหยลอยชายถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ตายแล้วจะไปสวรรค์ไปนรกอย่างไรก็ได้ นั่นเขาไม่ยุ่งกับเรามาก
              ถ้าตั้งใจว่าเกิดมาชาติหนึ่งต้องทำความดีให้ได้ ต้องเอาดีให้ได้ โอ้โห..! ตีกันแหลก อาตมาขอยืนยันว่า มารทั้ง ๕ มีตัวตนจริง ๆ มีตัวมีตนมาเป็นตัว ๆ เลยล่ะ เพียงแต่ว่ามันจะมาให้เราเห็นไหม ? หรือว่าเราจะรู้จักเขาไหม ? บางทีอยู่ตรงหน้าเรา ยังไม่รู้จักมันเลย เพราะฉะนั้นยืนยันมันมีตัวตนจริง ๆ มาเป็นตัว ๆ เลยแหละ มากันทีไม่ต้องนับกันเลย
              สมัยเด็ก ๆ ไปท่องบทสรรเสริญพุทธคุณ “ปางเมื่อพระองค์ปรมพุทธ” เคยท่องกันใช่ไหม ? ท่านบอกว่า “รุมพลพหลพยุหะปาน พระสมุทรนองมา” พญามารเขายกพหลพลโยธามา เหมือนกับแม่น้ำ เหมือนกับมหาสมุทรที่ทะลักล้นขึ้นฝั่งมา มันเยอะขนาดนั้น จะเป็นไปได้อย่างไร ? พอไปเจอเข้าจริง ๆ เพิ่งจะรู้ว่าที่เขาเปรียบเทียบไว้ยังน้อยเกินไป มันมานี่บอกไม่ถูกว่าเยอะแค่ไหน เพียงแต่ว่ากระแสพลังของเขาที่กดดันลงมา ตัวเราเหมือนกับขาดใจตายลงไปได้ทุกวินาที สติสัมปชัญญะเหลืออยู่นิดเดียว กำลังเหลืออยู่นิดเดียว ที่เหลืออยู่นิดเดียวก็คือ เหลือในส่วนความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งชีวิตฆราวาสและพระที่ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติมา ทำให้เรามั่นใจว่า คุณพระรัตนตรัยดีแน่ ไม่ว่ามันจะข่มขู่หลอกหลอนแบบไหนก็ตาม ว่ามันเก่งกว่า มันดีกว่า มันแน่กว่า พระพุทธเจ้าถ้ามันไม่ปล่อยให้ ไม่มีทางรอดไปได้ แต่ที่มันยอมปล่อยให้ เพราะว่าเคยเป็นเพื่อนกันมา เราเองก็ยังคงมั่นคงต่อพระรัตนตรัย บอกกับมันอย่างเดียวว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีพระอรหันต์ โลกนี้ไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วจะยอมมัน แต่ถ้าตราบใด โลกนี้ยังมีพระอรหันต์ มีพระปัจเจกพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้า เราจะยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เราจะไม่ยอมมัน มันบีบจะตายเอา
              ตอนนั้นความรู้สึกเข้าใจเลยว่า เวลาลูกไก่ไปอยู่ต่อหน้างูตัวเบ้อเริ่ม มันรู้สึกอย่างไร ? จะโดนมันกลืนลงไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แค่กระแสพลังของมันที่กดลงมาแค่นั้น ทำให้เรามืออ่อน เท้าอ่อน ความคิดตีบตันไปหมด กระทั่งความคิดที่จะสู้จะต่อต้านยังไม่มีเลย เขาทำได้ขนาดนั้น...! ถามว่าถ้าสู้ จะตายไหม ? ถ้าวาระของอกุศลกรรมแทรกตอนนั้นพอดี ตัวมัจจุมาร คือตัวความตาย จะทำให้เราตายได้ อาตมาเองก็หมดลมไปพักหนึ่งช่วงนั้น บังเอิญยังไม่ถึงที่ตาย ก็เลยโดนลากกลับมาใหม่
              ตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นกิเลสมาร ขันธมาร มัจจุมาร เทวปุตตมาร อภิสังขารมาร อะไรทุกอย่างมะรุมมะตุ้ม ฟัดแหลกเลย ลุ้นกับมันอยู่สองเดือนกว่า เกือบ ๆ สามเดือน กว่ามันจะยอมถอยไป เพราะมันเห็นว่าเราบ้าจริง...! (หัวเราะ) เป็นคุณ ๆ เอาไหม ? อยู่ในลักษณะอย่างนั้น เหมือนขึ้นไปต่อยกับไมค์ ไทสัน อยู่สองเดือนกว่า มีแต่จะถูกมันบี้ตายอยู่ข้างเดียว (หัวเราะ) ของเรารู้อยู่อย่างเดียวว่ายืนต่อไป อย่างไรเราก็ไม่ยอมแพ้ เพราะเรามั่นใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดีแน่...! ถ้าแพ้..ก็ให้มันตายคาอยู่ตรงนี้แหละ มีใครเคยเจอมันมาเต็ม ๆ บ้างไหม ? ไม่ต้องเอาเยอะหรอก แค่ตัวสองตัวก็พอ โอ้โห..ไม่นึกเลยว่าผมจะเจอมันหนักขนาดนั้น
              มาตอนหลังท่านแสงบอกว่า “หลวงพี่ครับ อย่างน้อย ๆ หลวงพี่ก็ภูมิใจได้นะครับ ว่ามันเห็นคุณค่าของเราจริง ๆ มันถึงได้มาขนาดนั้น” (หัวเราะ) ก็เออ...ฟัง ๆ ดูก็รู้สึกภูมิใจหน่อย ๆ เหมือนกันว่ะ (หัวเราะ) แต่ตอนอยู่เกือบตาย จะตายลงไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ? ปลอบใจได้ดีมากเลย ดันมาปลอบตอนหนังเลิก ตอนตีกันอยู่ดันไม่มาปลอบ ตอนนั้นสติสัมปชัญญะที่จะนึกเรื่องอื่นไม่มีเลย เหมือนกับน้ำที่ดันมาแล้วเขื่อนจะแตกทำอย่าไร ? ที่จะยันให้อยู่
      ถาม :  ประมาณพรรษาไหนครับ ?
      ตอบ :  พรรษาที่ ๑๐ ก่อนหน้านั้นตีกันมาเรื่อย อยู่ในลักษณะว่า มึงที กูที มันไม่ได้มาเยอะขนาดนั้น อย่างเก่งก็ ๖,๗,๘ ตัว หรือไม่ส่วนใหญ่ก็มาเดี่ยวมาในลักษณะหลอกให้เราหลงอย่างนี้ พอเราไม่หลงทาง เราเก็บแต้มได้ ก็หาวิธีหลอกที่ละเอียดลึกซึ้งกว่านั้นมาอีก มาทีละนิดทีละหน่อย ก็ชิงกันไปเรื่อยว่าคะแนนต่อไปใครจะได้ ตอนที่แพ้ชนะก้ำกึ่งกัน คะแนนสูสีกัน โอ๊ย...! มันมากเลย ประเภทหนังละครอะไรก็ไม่อยากจะดู คอยระวังใจตัวเองอยู่อย่างเดียว ชิงกันนิดเดียวว่า แต้มต่อไปใครจะได้ แล้วอยู่ ๆ ช่วงหนึ่งก็หายเงียบไปเลย อยู่เป็นปี ๆ ไม่มีเลยนะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมระวังอยู่ ไม่ว่าจะเป็น รัก โลภ โกรธ หลงก็ดี โลกธรรมทุกอย่างก็ดี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อะไรก็ตามที่ระวังอยู่ตลอดเวลา มันหายเงียบไปเฉย ๆ เราก็เฮ้ย...! ปีหนึ่งแล้วนะ สองปีแล้วนะ มันผิดวิสัย มารู้ตัวเอาปีที่สามอยู่ก้นเหวพอดีเลย...! มันเก่งจริง ๆ ครับ มันเหมือนกับพื้นดินมันลดลงทีละเซ็นต์หรือไม่ก็ลดลงทีละกระเบียด กว่าจะรู้ตัว เราอยู่ก้นเหวพอดี ผมอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก แต่บอกได้อย่างเดียวว่า มันละเอียดลึกซึ้งเหลือเกิน ลึกซึ้งชนิดที่เรานึกไม่ถึงว่ามันจะลึกซึ้งได้ขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่เราระวังอยู่ตลอดเวลา แต่มันหลอกเราได้ กว่าเราจะรู้ตัวอยู่ก้นเหวพอดีเลย ตอนนั้นก็ได้แต่แปลกใจว่า เอ๊ะ…!มันเป็นอย่างไร ? มันหายไปไหนเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่ปกติมันจี้เราแทบตาย เก่งจริง ๆ
      ถาม :  แล้วตอนที่รู้ตัวว่าอยู่ก้นเหว ?
      ตอบ :  ก็รีบตะกายกลับสิครับ หลงทางให้มันไปแล้ว ความดีกับความชั่วหน้าตามันเหมือนกันทุกอย่าง มันต่างกันผลสุดท้ายเท่านั้น ผลสุดท้ายน่ะ ความดีพาเราขึ้น แต่ความชั่วพาเราลง อย่างสังฆทานนี่ สมัยนั้นผมอยู่วัดท่าซุง เขาจะมีสังฆทานชุดละ ๑๐๐, ๕๐๐, ๑,๐๐๐, ๒,๐๐๐ บาท ผมได้สตางค์มา ๓๐๐ บาท ถ้าถวายสังฆทานชุดละ ๑๐๐ ได้ ๓ ชุดใช่ไหม ? เอาชุดใหญ่หน่อยนะ ค่อยสะใจหน่อย ก็รอเก็บให้ได้ ๕๐๐ บาท ปรากฏว่า ไม่ได้ ๕๐๐ สิครับ เกินมา ๗๐๐-๘๐๐ ผมก็รอ เออ...เดี๋ยวให้ได้ ๑,๐๐๐ ก่อน แล้วก็จะเกิน ๑,๐๐๐ บาทลักษณะนี้ ผมก็ทำอย่างนี้มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันนั้นบังเอิญไปเห็นหน้ามันเข้า ถึงได้รู้ว่า ตายห่า...! นี่ถ้ากูตายเสียแต่แรก ร้อยเดียวกูยังไม่ได้ทำเลย
              แล้วคุณลองนึกดูว่า นี่เป็นความดีหรือเปล่า ? ความดีแท้ ๆ เลย แต่มันใช้เป็นเครื่องมือหลอกเราได้ พอตามทันไหมโยม? นี่อธิบายง่าย ๆ แล้วนะ แต่ว่าตอนที่มันหลอกเรา มันละเอียดลึกซึ้งมากทุกอย่างเลย ขนาดมันเอาความชั่วมาหลอกเราไม่ได้ เพราะเราระวังชั่วอยู่ มันเอาความดีมาหลอกเรา ถึงได้เต็มปากเต็มคำว่า ความดีกับความชั่ว มันเดินมาทับรอยกันเลย เพียงแต่ก้าวสุดท้ายเท่านั้น ที่มันจะแยกขึ้นกับแยกลง เป็นเรื่องน่ากลัว แต่ก็ยืนยันอีกทีว่า เขาไม่ใช่ศัตรู อย่าไปเห็นเขาเป็นศัตรู มารไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นครูที่ดีทีสุดของเรา เป็นครูที่ขยันอย่างชนิดที่บอกไม่ถูก เผลอเมื่อไหร่ ? เป็นโดนข้อสอบ ในเมื่อเผลอไม่ไหร่เป็นโดนข้อสอบ หน้าที่ของเราก็ระวังให้ดี เขามีหน้าที่ขวาง เขาก็ขวางของเขาไป เรามีหน้าที่หนี เราก็หนีของเราไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่มีใครเป็นศัตรูของใคร ถ้าข้อไหนเขาทดสอบแล้วเราผ่านได้ ต่อไปเราจะไม่พลาดตรงจุดนั้นอีก
              แต่ถ้าหากว่าเราพลาด เขาก็เป็นผู้ขวางผู้ฆ่าเราจากความดี แต่ถ้าเราข้ามไปได้ มันกลายเป็นว่า สิ่งที่เขาพยายามออกข้อสอบให้กับเรา ก็คือสิ่งที่หนุนเสริมเราให้มั่นคงในพระรัตนตรัยยิ่งขึ้นไป มั่นคงในความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็เลยว่าไม่จำเป็นต้องทำตัวให้เป็นศัตรูกับใคร
              แรก ๆ ผมไม่รู้ ตีกันแหลเลย มาตอนหลังตั้งหน้าตั้งตาเป็นเด็กดี ทำข้อสอบ ก่อนนั้นเป็นเด็กเกเร คอยตีกับเขา ตอนนี้กลายเป็นเด็กเรียน กว่าจะเข้าใจได้ ตีกันแทบตาย เจอเข้าสักครั้งแล้วจะมัน ฟ้าถล่มดินทลายดี ๆ นี่แหละคุณเอ๊ย..!ดิน น้ำ ลม ไฟ ทุกอย่างมันใช้เป็นเครื่องมือได้หมด ชนิดความรู้สึกของเราเหมือนกับจักรวาลทั้งจักรวาลอยู่ในอุ้งมือของมันคนเดียว ทำไปเถอะ ยิ่งทำยิ่งมัน ขอให้สู้มันจริง ๆ เท่านั้นแหละ
              ชีวิตฆราวาสนี่แหละดีนัก เพราะว่า รัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างมันรอเราอยู่ ไม่มีศีลใหญ่ที่ละเอียดอย่างของพระเป็นกรอบ ชีวิตฆราวาสผมเคยเปรียบว่าเหมือนกับเราเดินอยู่ในป่าที่มีเสืออยู่ตัวหนึ่ง บางทีทั้งปีเราไม่เจอเสือตัวนั้นหรอก แต่ชีวิตของพระนี่ เขาเอาเรากับเสือตัวนั้นยัดอยู่ในกรงเดียวกัน มันฟัดเราอยู่ทุกวัน ก็เลยต่างกัน เพราะว่าโอกาสที่เราจะเผชิญหน้ากับมันมีอยู่ทุกวัน ถ้าสติสัมปชัญญะของเราดี ปัญญาของเราดี จะข้ามได้เร็ว เจอข้อสอบอยู่ทุกวัน ของพระนี่กว่าจะรู้ แหม...นั่งกรรมฐานซะหน้าตาผ่องใส ออกไปชนโครมเดียว พัง...! แต่ของเราชนอยู่ทุกวันได้เปรียบกว่า แล้วอีกอย่างกิติกามันน้อย ศีลแค่ ๕ ข้อเท่านั้น ถนนที่มีอยู่ ๕ หลุม หลีกไปหลีกมา โอกาสพ้นมันมี แต่ถนน ๒๐๐ กว่าหลุม คุณลองไปเดินดูซิ ตกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ใช่ไหม (หัวเราะ)
              เรื่องของฆราวาสบางทีเรายังต้องเกรง เรื่องของพระประเภทต้องไม่เลี้ยงกันแล้ว เพราะว่าสมัยหลวงพ่ออยู่ ท่านบอกว่า พระที่บวชเข้ามาถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว อะไรดี? อะไรชั่ว? เรารู้อยู่ เพราะฉะนั้นอย่าผิดนะ ถ้าผิดผมไม่เลี้ยงไว้แน่ ท่านใช้คำนี้ ตอนนั้นรู้สึก โอ๊ย...! เหงาเหลือเกิน เป็นฆราวาสจะไปหาหลวงพ่อนี่ วิ่งถึงได้ทุกเวลา เกาะแข้งเกาะขาอย่างไรก็ได้ แต่เป็นพระนี่ โน้น...ต้องคอยเล็งอยู่ไกล ๆ เวลาท่านลงรับแขก แอบอยู่ในหอระฆัง ข้างล่างเป็นห้องยาม คอยแอบเล็งดู เมื่อไหร่หลวงพ่อจะมา ได้มองให้ชื่นใจเสียหน่อย ท่านก็เดินลงแวบ...ก็ขึ้นศาลาไปแล้ว เราก็ไปนึก ก่อนหน้านี้เรานั่งอยู่ตรงนี้ หลวงพ่อก็คุยกับเราอย่างนี้ ขนาดอยู่ในวัดแท้ ๆ เหงาแทบตาย เพราะว่าเกาะผิดที่ ไปเกาะองค์หลวงพ่อท่าน
              ท่านบอกนักบอกหนา บอกว่า พวกแกอย่าเกาะข้า ถ้าจะเกาะให้เกาะในตัวสังฆานุสติที่เป็นสังฆคุณจริง ๆ ไหว้เมื่อไหร่ ? ก็ไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในใจ อย่าไปเกาะร่างกาย ถ้าเกาะร่างกายของใครแม้แต่พระพุทธเจ้า ถ้าสิ้นท่านเมื่อไหร่ ? เราจะไม่มีจุดยืน แล้วจะเคว้งกระจัดกระจายไปอย่างที่เห็น เพราะส่วนใหญ่จะไปเกาะร่างกายของท่าน พอหูตาสว่าง คราวนี้ก็เลือกในส่วนที่เป็นนามธรรม คือในส่วนความดี หรือถ้าหากว่าใครได้มโนมยิทธิ ก็คือเกาะร่างกายข้างบนของหลวงพ่อแทน ง่ายกว่ากันเยอะเลย ถ้าเกาะตรงนั้นอย่างไร ๆ ท่านก็ไม่มีวันตาย แต่ถ้าเกาะกายมนุษย์เมื่อไหร่ ? อาจจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
              ตัวอย่างเห็นชัด ๆ ตอนที่หลวงพ่อมรณภาพ พระที่บวช ๒๐ กว่าพรรษายังนั่งร้องไห้ ปล่อยให้อาตมารับโทรศัพท์อยู่คนเดียว สองวันสองคืน ตอนแมมมีไปถึงหลวงพ่อเป็นลมไปแล้วนั่นแหละ ไม่ได้พักเลย โทรศัพท์นี่วางไม่ได้เลยนะ วางเป็นดัง ๆ สองวันสองคืน แต่ละคนร้องไห้ขี้มูกโป่งมาทางโทรศัพท์ทั้งนั้นเลย ของเราก็ได้แต่ปลอบใจตายแล้วฟื้นออกจะบ่อยไปใช่ไหม? ครั้งนี้ท่านอาจจะฟื้นอีกก็ได้ พูดไปพูดมาเงยหน้าขึ้นมา โยมเต็มห้องยามเลย ถามว่ามาทำอะไรกัน? เขาบอกฟังหลวงพี่พูดแล้วค่อยมีความหวังหน่อยหนึ่ง ตกลงทั้งวัดนี่ไม่เอาใครเป็นความหวัง มันเอาอาตมาเป็นความหวังเสียแล้ว เกือบตายงานนั้น คนร้องไห้มาแล้วจะให้พูดอย่างไร? อย่างน้อย ๆ ปลอบใจกันหน่อยก็ยังดี กว่าจะรู้ตัวเป็นลม นั่งอยู่สองวันกับสองคืน ไปไหนไม่ได้เลย โทรศัพท์ดังตลอด โทรศัพท์สายนอกวัดท่าซุงตอนนั้นมี ๑๓ สาย เป็นโทรศัพท์ปกติ ๑๒ สาย แล้วก็มือถือ ๑ สาย มือถือตอนนั้นรุ่นแรก ๆ รุ่นกระเป๋าเอกสารน่ะ เอาไว้ทุบหัวหมาสลบไปเลยอย่างนั้น แล้วก็สายในมีอยู่ ๕๘ สาย ทำอย่างไรเราจะต่อให้ทันน่ะ โอเปอเรเตอร์ (หัวเราะ) ไม่มีใครคล่องกว่านั้นอีกแล้วล่ะ รับไปรับมา วันที่สองบ่าย ๆ เป็นลม เพิ่งจะรู้สึกว่า เออ...นี่เราไม่ได้พักเลยนะ
              แล้วก็ซาไปพักหนึ่ง สักประมาณวันที่ ๖ เอาอีกแล้ว โอ้โห...โทรศัพท์ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน หูดับตับไหม้ ทั้งในและนอกประเทศ ตอนนี้เขาลือว่า หลวงพ่อฟื้นแล้ว (หัวเราะ) นั่นน่ะตัวอย่างที่ชัดเจนตรงที่ว่าเกาะร่างกายจนเกินพอดี ในเมื่อเกาะร่างกายจนเกินพอดี พอถึงเวลาหลวงพ่อมีอันเป็นไป เขาทำใจกันไม่ได้ ๑๐ กว่าปีแล้วนะ ที่หลวงพ่อไม่ได้อยู่กับพวกเรา
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  อยู่พม่ามีโทรศัพท์มันเหมือนกับโก้ เพราะว่ามือถือแต่ละเครื่องของพม่า ราคาประมาณ ๗-๘ แสน ๗-๘ แสนพม่าตอนนั้นหมื่นหนึ่ง เท่ากับสองแสนห้า ดีว่าเครื่องหนึ่งประมาณ ๓-๔ หมื่นบาท
              คราวนี้นั่นแค่ตัวเครื่อง แล้วคิดดูค่าโทรอีก นั้นไม่ใช่เรื่องสนุกหรอก พวกบรรดาว้าแดงพวกนี้รวยมาก สารพัดของดีแค่ไหนก็มีใช้ ไปถึงใหม่ ๆ เราก็ขี่รถม้าบ้าง ขี่เกวียนบ้าง อยู่ ๆ ก็มีปาเจโร่ วีแปด วิ่งสวนมา คันหนึ่งประมาณ ๖๐-๗๐ ล้านพม่า ตอนนี้ไม่ใช่ ๖๐-๗๐ ล้านแล้วนะ เพราะว่าค่าเงินพม่าตกลงไปประมาณ ๕ เท่ากว่า เอา ๕ คูณเข้าไป ๓๐๐-๔๐๐ บ้านได้แล้วปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย
              แต่คราวนี้พวกว้าแดงเขาจะรวยจากยาเสพติด โดยเฉพาะส่งมาขายเมืองไทย ว้าแดงต่อไปข้างหน้าจะเป็นปัญหาใหญ่กับรัฐบาลพม่า เพราะว่าเหว่ยเซียะกังเขาเงินถึง เขาเข้าถึงพวกระดับสูง ๆ ในรัฐบาลพม่าได้หมด เขาก็เลยได้รับอนุญาต แต่ว่าการอนุญาตรัฐบาลพม่าเขามีข้อแม้ ผลิตยาเสพติดได้ แต่ห้ามขายข้างใน มันก็ต้องไหลออกจีน ไหลออกไทยหมด
              คราวนี้จีนเขาเข้มงวด เขาประหารอย่างเดียว แล้วเขาประหารกันจริง ๆ ไม่ต้องมาเสียเวลาตัดสิน จับได้ยิงทิ้งเลย แล้วจีนไม่แคร์ชาวบ้านเขา บ้านเราแค่ฆ่าตัดตอน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับตำรวจ ยังโดนด่าจมดินเลย จริง ๆ แล้วเดือนหนึ่งที่ผ่านมา ตำรวจเขาวิสามัญฆาตกรรมไปไม่ถึง ๒๐ ศพ ที่เหลือฆ่ากันเอง เพราะว่ากลัวจะสาวถึงตัวใหญ่ ฆ่ากันเองล่อเข้าไป ๘๐๐-๙๐๐ เฉลี่ยแล้ววันหนึ่งต้องเอาให้ได้ประมาณ ๓๐ กว่าศพไหวไหม ? แย่เหมือนกัน
              เพราะว่าเรื่องของยาเสพติดนี่ ผลประโยชน์มันมหาศาล ถ้าขึ้นชื่อว่าผลประโยชน์มหาศาล เงินมันถึงอย่างไรก็ทำได้ คิดดูว่ามันเลวขนาดไหน มันไปส่งยาเสพติด มันเอาเด็กบังหน้า ที่โดนยิงตายนั่นแหละ มันก็รู้ ๆ อยู่ว่า ถ้าเอาเด็กไปบังหน้า อาจจะอ้างได้ว่า เอาเด็กมาเที่ยว ตำรวจอาจจะไม่สงสัย แต่บังเอิญเขามีสายบอก พอจะขอตรวจค้นเข้า มีการต่อสู้ ยิงกันเข้า เด็กก็ตาย ตอนเด็กตายโวยวายกันทั้งประเทศ ตอนตำรวจตายไม่เห็นมีใครว่าสักคำ วันก่อนก็ทั้งเจ็บทั้งตายใช่ไหม ? นั่นขนาดใส่เสื้อเกราะแล้วนะ ใส่เสื้อเกราะมันไม่ยิงเสื้อ มันยิงหัวเลย
              เพราะฉะนั้นเรื่องของสงครามยาเสพติด มันมีทางเดียวคือ ต้องเด็ดขาด แล้วก็ต้องเอาตัวใหญ่ให้ได้ ส่วนใหญ่ตัวใหญ่เงินเหลือล้น ก็มักจะมีเส้นมีสายอยู่ในวงการ ทางด้านของว้าแดง เขาไปสร้างเมืองยอง เป็นฐานที่มั่นเขาอยู่ มีกองกำลังของตัวเอง ติดอาวุธของตัวเอง รัฐบาลพม่าเข้าไปตรวจสอบไม่ได้ ดู ๆ ท่าแล้วว่าเหว่ยเซียะกังเขาอยู่ในลักษณะที่ว่า ถ้าหากรัฐบาลพม่าเริ่มมีทีท่าว่าจะไม่เอาด้วยกับเขาเมื่อไหร่? เขาถอยเข้าที่มั่นตัวเองเมื่อไหร่ เขาพร้อมที่จะประกาศตั้งรัฐว้าอิสระเลย มันเตรียมการไว้ขนาดนั้นแล้ว ตอนนั้นของไทย ดันไปทุบหม้อข้าวของเขาเสียได้ เขากำลังจะตั้งโรงไฟฟ้าแล้วไทยไปยึดเทรลเลอร์เขาไว้ ๑๓ คัน พวกเครื่องมือสำหรับตั้งโรงไฟฟ้า ตลอดจนกระทั่งเครื่องผลิตทั้งนั้นเลย