สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ถาม: .................................
ตอบ : การปกครองของพม่ามันกระจายอำนาจออก เขาแบ่งออกเป็น ๗ รัฐ ๗ มณฑล ส่วนที่เรียกว่ารัฐ คือชนกลุ่มน้อย อย่างรัฐมอญ รัฐกะเหรี่ยง รัฐกะฉิ่น รัฐชิน รัฐยะไข่ อย่างนี้ ส่วนที่เป็นมณฑล ก็คือส่วนที่มีความเจริญอยู่ ส่วนใหญ่จะอยู่ด้านใน อย่างเช่นว่า มณฑลย่างกุ้ง มณพลมัณฑะเลย์ มณฑลหงสาวดี เป็นต้น
คราวนี้การปกครองของเขาเนื่องจากว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการ ทหารก็เลยเป็นใหญ่ ทหารเขาแบ่งการปกครองออกเป็น ๑๓ กองทัพภาพ แม่ทัพภาคแต่ละคน มีอำนาจสิทธิ์ขาดในพื้นที่ของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องฟังส่วนกลางก็ได้ เพราะว่าเขาอนุญาตให้หาประโยชน์ในพื้นที่ของตัวเอง แบบประเภทของใครของมัน มีกำลังติดอาวุธอยู่ในมือตัวเอง ก็เท่ากับรัฐอิสระดี ๆ นี่เอง
เพราะฉะนั้นจะสังเกตว่า เวลาเกิดเรื่องขึ้น เราติดต่อสายตรงกับย่างกุ้ง ระงับเหตุไม่ได้สักที เพราะมันไม่ฟังย่างกุ้งได้ มันถือว่ามันมีอำนาจรับผิดชอบในพื้นที่ เรื่องจะเงียบต่อเมื่อเราติดต่อเจ้าของพื้นที่ พวกพ่อค้าจะค้าจะขายอะไร ถ้าติดต่อตัวแม่ทัพภาคได้นี่ สบายมากในเขตของเขา เขารับผิดชอบได้ทั้งหมด ไปเซ่นเขาเสียหน่อยเดียว ต่อไปจะทำอะไรก็ง่ายไปหมด
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาข้ามไปพม่าเฉพาะด่านเจดีย์สามองค์ที่เป็นแค่อำเภอมีรถไทยโดนขโมยไปตกค้างอยู่ประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ คัน เพราะว่ารัฐบาลพม่ากำลังเอาใจคุณทักษิณ คุณทักษิณเขาไปลงทุนมือถือให้ขอให้ช่วยจัดการเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติด เรื่องการขโมยรถ เขาก็เลยสั่งปิด ห้ามนำรถเข้า ไม่อย่างนั้นของเขาแต่ละเดือน ๆ จะมีอนุมัติทะเบียนรถประมาณ ๒๐๐ คันต่อเมือง เมืองระดับอำเภอ แล้วลองคิดดูขโมยรถไปเท่าไหร่ ? กลายเป็นของถูกต้องหมด แล้วมันภูมิใจมากเลย สติ๊กเกอร์ต่างประเทศมันไม่แกะออกหรอก มีทั้งโตโยต้าพงษ์เพชร มีทั้งแหล่งตกปลาชะอำให้ยุ่งไปหมด พูดง่าย ๆ ว่าคันไหนใหม่หน่อย ชี้หน้าได้เลยรถไทยแน่นอน ในเมื่อทางส่วนกลางเขาไม่อนุมัติ เขาก็ใช้วิธีวิ่งเป็นพื้นที่ ออกเป็นทะเบียนมอญบ้าง ทะเบียนกะเหรี่ยงบ้าง เพราะว่าแต่ละเมืองที่เป็นเมืองระดับอำเภอ ที่เขาเรียกว่า เมี้ยว
แต่ละเมืองจะมีผู้บังคับกองพันอยู่ในพื้นที่คนหนึ่ง ก็เหมือนกับว่าผู้พันคนหนึ่งก็จะคุมอำเภอหนึ่ง ถ้าหากว่าวิ่งไปเส้นผู้พันคนนั้น แปลว่าในเขตอำเภอนั้นคุณจะทำอะไรก็เชิญ จะไปขี่ไปซิ่งท่าไหนก็ได้ ไม่มีใครเขาว่า แต่ถ้าออกนอกเขตไปมีปัญหาเมื่อไหร่ ถ้ามาบอกเขา เขาเคลียร์ให้ก็เลยกลายเป็นว่า ถึงแม้เขาจะห้ามได้ แต่ว่าในเขตตรงนั้นก็ยังมีการลักขโมยรถยนต์ เพื่อข้ามเขตกันอยู่ เพราะอำนาจมันตกอยู่กับทหารทั้งหมด คราวนี้มีอยู่จุดน่ากลัวอยู่ตรงที่ว่า ถ้าหากว่ามีใครรวมใจทหารได้ เอาสัก ๔-๕ แม่ทัพภาคลุยเข้าไปนี่ ปฏิบัติได้สบายเลย
ถาม : เหมือนการปกครองสมัยโบราณ
ตอบ : เขาทำคล้าย ๆ อย่างนั้น เหมือนกับประเทศจีนที่ส่งให้ไปเป็นอ๋องเมืองโน้นเมืองนี้ นี่ก็ลักษณะเดียวกัน เพียงแต่เป็นยศทางทหารเท่านั้นเอง สินค้าทุกอย่างเขาแทบต้องพึ่งเราทั้งหมด เข้าไปประเทศพม่าแล้วจะภูมิใจความเป็นไทย พวกเครื่องอุปโภค บริโภคพื้น ๆ ขึ้นไป ตั้งแต่ปลากระป๋อง น้ำมันพืช กระดาษทิชชุ ยี่ห้อไทยทั้งนั้น พอเข้าไปลึก ๆ ก็จะมีหรูหราหน่อย อย่างประเภทลิโพ หรือว่ากระทิง กระทิงแดงต้องเป็นแคนด้วยนะ ขวดไม่กิน มันไม่เท่ (หัวเราะ) ไปรอบ ๆ บ้านจองเรา ไม่ว่าจะลาว เขมร พม่า รู้สึกภูมิใจความเป็นไทย นั่นพวกพณิชการไร้สำนักนะ ไม่ใช่การสนับสนุนของทางการ ค้ากันเอง ลักษณะกองทัพมดบ้าง ข้ามไปแบบผิดกฎหมายบ้าง ถูกกฎหมายบ้าง ให้ยุ่งไปหมด ข้าม ๆ ไปบางทีเจอขนน้ำมัน ข้ามไปทีเป็นพัน ๆ ปี๊บ
เพราะพม่านี่ก็ลักษณะเดียวกับอินเดีย คือว่าอาหาราของเขาจะหนักเครื่องเทศ หนักน้ำมัน กินน้ำมันเฉลี่ยต่อคนน่าตายกับข้าว ถ้าสมมุติว่าเป็นชามหนึ่ง น้ำมันเกินครึ่ง แล้วก็เอาไว้คลุกข้าวกินกัน แต่ว่าที่พวกเขาไม่อ้วน เพราะว่าเขาใช้แรงงานมาก ทำงานกันทั้งวัน แล้วของพม่านี่ เนื่องจากว่าประเทศเขาอดอยากกันมาก เงินทองหายาก ส่วนใหญ่ที่เจอคือ กินสองมื้อ มื้อเช้าจะเป็นพวกน้ำชา กาแฟหน่อยหนึ่ง ตอนสายหรือไม่อย่างเก่งก็ข้าวผัดจานหนึ่ง หรือขนมจีนจานหนึ่ง เสร็จแล้วก็ไปว่าเอาตอนบ่าย ๒-๓ อีกทีก็จบ ก็เลยอ้วนไม่ขึ้น ถ้ามันกินอย่างไทย ป่านนี้อ้วนตายไปแล้ว
ถ้าจะดูตัวอย่างการจัดการ ให้ดูออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เยี่ยมเลย บ้านเราไม่มีอย่างนั้น ของเขา หมู่บ้านหนึ่ง มีคนอยู่ ๖ คน แต่เขาไม่ต้องการให้มีเหมืองถ่านหินอยู่ในหมู่บ้านเขา รัฐบาลต้องย้าย ไม่แน่ใจว่า ๖ หรือ ๖ ครอบครัว ต่อให้ ๖ ครอบครัวก็ไม่มากนะ เหมืองถ่านหินต้องย้ายออกไป ๙๑ ไมล์ เพื่อให้พ้นจากบ้านเขา เสร็จแล้ววิ่งเข้าเมืองมา คุณอยากทำเหมืองคุณต้องลงทุน เสร็จแล้วก่อนจะขึ้น ต้องล้างน้ำก่อน ล้างน้ำเสร็จเรียบร้อยขนขึ้นรถ ปิดเสร็จสรรพเรียบร้อย ฝุ่นซักเม็ดไม่ให้กระเด็นน่ะ พอวิ่งเข้ามาก่อนเข้าเขตเมือง ล้างอีกที ล้อห้ามเปื้อน แล้วค่อยวิ่งเข้าไป เขาจัดการได้ขนาดนั้น บ้านเราทำไม่ได้ บ้านเราขนาดโรงไฟฟ้าหินกรูด บ่อนอกอย่างนี้
บ่อนอกนี่ ขนาดปลาวาฬมาฮุบปลาให้เห็น ๆ ซึ่ง ๆ หน้ายังปฏิเสธว่าไม่มี เป็นไปได้อย่างไร ? พื้นที่ตื้นแค่นี้ ปลาวาฬจะเข้ามาหากิน ปลาก็อย่างกับประชด บอกกูไม่มีหรือ...! โผล่มาให้เห็นเลย ถ่ายวีดีโอ ถ่ายรูปมาเต็มไปหมด เพราะว่าฝูงปลาพวกปลากะตัก เวลารวมฝูงเป็นแสน ๆ ตัว พวกปลาวาฬพวกนี้ปกติกินพวกเพลงตอน หรือว่าสัตว์เล็ก ๆ เป็นอาหาร ในเมื่อมีชิ้นใหญ่กินง่ายกว่า มันก็ไม่ไปเอาสัตว์เล็กหรอก มาถึงอ้าปากรอเลย เวลามันงับเหยื่อแต่ละที เหมือนกับทะเลเดือด เพราะปลาอื่น ๆ ต้องชิ่งหนีสุดชีวิต แล้วก็กระจายซ่าน้ำเป็นฟอง บางทีไม่ได้เฉย ๆ บางทีโผล่มาครึ่งตัว ประเภทชาร์จจากข้างล่างขึ้นมาตักขึ้นข้างบนไปเลย ในทีวีถ่ายมาก็เลยเห็นชัด ๆ ขนาดนั้นยังปฏิเสธบอกว่าไม่มีอะไร พวกลงไปถ่ายรูปปะการังสวย ๆ ที่หินกรูด ที่บ่อนอกมาให้ดู เขาก็บอกว่าเอาภาพที่อื่นมา ปฏิเสธกันหน้าตาเฉย พวกเอ็น.จี.โอ ที่ประท้วงก็ประท้วงไม่จริง เพราะว่าเขาไม่ใช่คนในพื้นที่ คุณส.ศิวลักษณ์ เคยไปประท้วงท่อแก๊สที่เมืองกาญจน์ แล้วโดนจับ บอกมันไม่แน่จริงหรอก เล่นไปนอนประท้วงที่ปลอดภัยนี่หว่า แน่จริงคุณไปนอนประท้วงที่ป่าสาละวินดูสิ ก็โดนหมกป่าอยู่ตรงนั้นแหละ ตกลงว่าคนเสียสละบ้านเรา ก็ยังเสียสละไม่จริง
พวกเอ็น.จี.โอ เมืองกาญจน์ จะมีตัวแสบอยู่กลุ่มหนึ่ง จะอยู่ในลักษณะที่ว่าประท้วงทุกอย่างที่ขวางหน้า ที่ประท้วงนี่เขาได้ทั้งขึ้นทั้งร่อง อันดับแรก ถ้าชนะได้ผลงาน อันดับที่สอง ถึงแพ้ก็ตาม เราได้ทำงานแล้ว สามารถเอาผลงานไปอวดผู้ให้ทุน เพื่อจะได้ขอทุนต่อได้ มันได้ทั้งขึ้นทั้งร่อง เท่ากับมันย้ายที่กินเหล้าเฉย ๆ ถึงเวลากูอยากกินเหล้าตรงนี้ กูก็ย้ายไปประท้วง ตรงนี้เรื่องซาไปเดี๋ยวไม่มัน ย้ายไปประท้วงเขื่อนปากมูล มีคนจ่ายเงินให้กินเหล้า ได้เที่ยวอีกต่างหาก
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : อย่าเพิ่งเชื่อว่ามันไม่เกิด แต่ว่าเมื่อสองวันที่ผ่านมา หลวงพ่อลำไยมรณภาพไป ๑ องค์แล้ว เท่าที่สังเกตมาว่า ขณะไหนก็ตามที่โลกหรือว่าประเทศชาติกำลังเดือดร้อน ถ้ามีพระดีทิ้งสังขารไปนี่ เรื่องหนักจะกลายเป็นเบา เรื่องเบาจะกลายเป็นหาย
ถาม : .............................
ตอบ : นาม คือส่วนที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถจะมองเห็นได้ แต่ถ้าหากว่ายังสามารถสัมผัสได้ อย่างเช่นว่า หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส เขาเรียกว่ารูปในนาม คือสามารถสัมผัสได้ แต่มองไม่เห็น ถ้าหากว่าเป็นนามเฉย ๆ จะเป็นแค่ความรู้สึก เอาเป็นว่าอารมณ์ใจคิดอย่างนี้
ถาม : รัก เกลียด โกรธ อย่างนี้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ได้ มันไม่ใช่รูป มันเป็นนาม
ถาม : พิจารณารูปกับนาม มันไม่เข้าใจค่ะ
ตอบ : ถ้าเราไม่ถนัด แล้วจะไปทำให้เสียเวลาทำไมล่ะ หลวงพ่อท่านก็บอกแล้วว่า ถ้าเราถนัดข้อไหนให้ทำข้อนั้น
ถาม : สำนักเขาพอเราไปอยู่ เขาให้พิจารณาอย่างนี้
ตอบ : เราก็ทำตามของเราไปสิ เราก็นั่งภาวนาของเราไป พอเขาถามว่าเป็นอย่างไร ? เราก็ว่าให้จ๋อยไปเลย ตอนนี้กำลังพิจารณาอยู่จ้ะ อาหารเขาไม่ถูกปากหน่อยเลยไม่ชอบ
ถาม : ฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ
ตอบ : นาม รูป เขาให้พิจารณา การเกิด การดับ ตอนนี้มันเกิดขึ้น ตอนนี้มันตั้งอยู่ ตอนนี้มันดับไป รู้หนอ รู้หนอ จริง ๆ แล้วเป็นมหาสติปัฏฐานอย่างหนึ่งเหมือนกัน
ถาม : ยากเกินไป
ตอบ : ไม่ยาก เราไม่ชินเราเลยว่ามันยาก
ถาม : ของหลวงพ่อง่ายกว่า
ตอบ : ไม่ใช่ง่ายกว่าหรอก ง่ายที่สุด อาตมาก่อนจะมาสายหลวงพ่อนี่ปล้ำของเขามาทั่วทิศแล้วจ้ะ โดยเฉพาะของพุทธทาสภิกขุ อ่าน ๓ วัน ยังตีความไม่ออกเลย มันอะไรกันแน่ ของท่านยากต้องให้คนเก่งไปเรียน ไอ้เรามันเก่งไม่พอ เอาง่าย ๆ ดีกว่า
ถาม : แล้วอย่างนี้ เมื่ออาจารย์ได้กล่าวว่า ถ้าชอบสายไหนให้ฝึกสายนั้น
ตอบ : ถ้าหากาพื้นฐานเก่าของเรามาอย่างไรให้ทำอย่างนั้น มันจะได้ง่ายกว่า
ถาม : แล้วเราจะใช้อะไรเป็นตัวตัดสินในการที่จะบอก ?
ตอบ : เราเคยเริ่มอย่างไรล่ะ ถ้าเริ่ม สัมมาอะระหัง มาก็ สัมมาอะระหัง ต่อไป เริ่ม นะ มะ พะ ธะ มาก็นะ มะ พะ ธะ ต่อไป เริ่มยุบหนอ พองหนอ มาก็ ยุบหนอ พองหนอ ต่อไปเริ่มสมาธิหมุนมา ก็หมุนไป เพราะว่าสิ่งที่เราทำจนชินแล้ว พื้นฐานมันได้ไปแล้วระดับหนึ่ง ถ้าอยู่ ๆ มาให้เปลี่ยนใหม่บางทีจิตมันจะต้านเสียด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเคยทำมาพอมีพื้นฐานระดับหนึ่งเราจะต่อมันง่าย
ถาม : เรื่องกิเลสมาร มารนี่ตกลงว่าเป็นกิเลสหรือว่าเป็นเทวดา ?
ตอบ : เป็นตัวตนจริง ๆ ไม่ใช่เทวดา เป็นมาร ฟังให้ดี ๆ
ถาม : มีตัวตนจริง ๆ เลยหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าในพระสูตรต่าง ๆ อย่าง ธัมมะจักกัปปะ วัตตะ นะ สูตร จะบอกไว้ชัดเลย เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เทวดาก็ดี มารก็ดี พรหมก็ดี เพราะฉะนั้นมารนี่สูงกว่าเทวดาอีก
ถาม : อยู่ในกามาวจรหรือครับ ?
ตอบ : อยู่ในกามาวจร แต่ท่านอยู่สวรรค์ชั้นที่ ๖ คือ ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี แบ่งเขตต่างหากจากเทวดาคนละครึ่ง มีโอกาสทำบุญใหญ่ แต่เนื่องจากเจตนาทำบุญไม่บริสุทธิ์ ลักษณะที่ว่าบังเอิญได้ทำทั้งที่ไม่คิดอยากก็ได้ หน้าที่ของท่านก็เลยมาคอยขัดคอชาวบ้าน
ถาม : แล้วท่านไม่ต้องรับกรรมหรือครับ ?
ตอบ : หน้าที่ หน้าที่นายนิรบาลไล่ทุบไล่ฆ่าสัตว์นรก เขาต้องรับกรรมไหมล่ะ ไม่ต้อง เป็นหน้าที่เขา
ถาม : อยู่ในเขตพระพุทธศาสนา นับถือพระพุทธเจ้าหรือครับ ?
ตอบ : คุณจะอยู่ตรงไหนก็โดน แต่ที่เขตพระพุทธศาสนาโดนมากที่สุด เพราะว่าหนทางของเราหลุดพ้นได้จริง ในเมื่อหลุดพ้นได้จริง แปลว่าจะพ้นจากอำนาจเขา เขาต้องพยายามขวางให้มากที่สุด เขารักเรามากไม่อยากให้เราจากไปเลย
ถาม : แต่การหลุดพ้นก็คือ ต้องผ่านการปฏิบัติใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าศาสนาอื่นเขามีอริยสัจ หรือว่าศาสนาอื่นมี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ครบ เขาก็หลุดได้เหมือนกัน แล้วเราเห็นไหมว่าอันอื่นมีไหมล่ะ ถ้ามีก็หลุดได้ ถ้าไม่มีก็หลุดไม่ได้
ถาม : จะเอาอะไรมาสู้กับมารครับ ?
ตอบ : สติ สมาธิ ปัญญา ทุกอย่างต้องสมบูรณ์พร้อม เผลอเมื่อไหร่ โดนสอยร่วงเมื่อนั้น อันดับแรก วิธีง่ายที่สุดคือ อยู่กับลมหายใจเข้า-ออก ถ้าหากว่าสติสัมปชัญญะของเราอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก ชนิดรู้ลมอัตโนมัติ พวกนี้ทำอันตรายกับเราได้ยาก
เพราะว่าขณะนั้นความชัดเจนแจ่มใสของจิตมันมีเยอะ เนื่องจากว่าจิตมันสงบ มันนิ่งอยู่ในระดับหนึ่ง เพราะพอจะรู้ทันลีลาบางส่วนของมัน ฉะนั้นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ ถ้าหากทรงฌานได้ อย่าเผลอหลุดออกมาเป็นอันขาด หลุดออกมามันตีตายเลย
ถาม : วัตถุมงคลพอจะช่วยได้ไหมครับ ?
ตอบ : อย่างนั้นเสร็จเขาหมด เพราะเขาแน่กว่า เรื่องการรบสู้กันมันเป็นงานของเขาโดยเฉพาะ เขาเก่งกว่าเราเยอะ กำลังของเรานี่เสร็จมันทั้งขึ้นทั้งล่อง สู้เราแพ้ เพราะถ้าสู้แปลว่าเราจะต้องมีพื้นฐานมาจากโทสะ เข้าทางมันพอดีเลย มันอยากให้เราเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าไม่สู้ ใช้แผ่เมตตาอย่างเดียว กำลังเราก็ไม่พอขนาดพระพุทธเจ้าเสียด้วย ตกลงสู้ก็แพ้ ไม่สู้ก็แพ้
ถาม : ตกลงอย่างไรครับ ?
ตอบ : สู้! อาตมาฟัดกับมันมาเยอะแล้ว ถึงได้บอกกับมันว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีพระอรหันต์ ไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่มีพระพุทธเจ้า จะยอมไหว้มัน แต่ถ้าตราบใดยังมีอยู่ เอ็งอย่าหวังเลย มันเก่งจริง ๆ ยอมรับว่ามันเก่ง เพียงแต่ว่ามันใช้ความเก่งในทางที่ผิดเท่านั้นเอง ไม่ต้องกลัว เขาไม่ใช่ศัตรู เขาเป็นครูที่ดีที่สุดของเรา จำไว้ ไม่มีครูคนไหนขยันขนาดนี้หรอก ตรวจสอบเรา ออกข้อสอบให้เราทุกวินาที ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี เขามีหน้าที่ขวาง ก็ให้เขาขวางไป เรามีหน้าที่หนีเราก็หนีของเราไป หมดภาระหมดหน้าที่ต่างคนต่างไปนิพพาน อย่าคิดว่ามารเขาไปไม่ได้นะ
พระสารีบุตรท่านบอกว่า ท่านเคยเป็นมารมาก่อน พอพ้นจากตรงนั้น ขึ้นมาความเป็นสัมมาทิฐิเข้าถึง ก็เริ่มปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในที่สุดก็หลุดพ้นเข้านิพพานเหมือนกัน อยากจะบอกเคล็ดลับอย่างหนึ่ง ขณะใดที่กำลังใจวุ่นวายและย่ำแย่มาก ๆ เพราะบรรดากิเลสต่าง ๆ มันตีเอา ขณะนั้นเราใกล้ความดีมากที่สุด ถ้าเรายังไม่ใกล้ความดีมันไม่ลงมือให้เสียเวลาหรอก บังเอิญว่าเราใกล้ความดี ใกล้ประตู มันทำอย่างไรจะให้คุณเบนออกจากประตูเพื่อมิให้เราหลุดไป คุณต้องรวบรวมสติสัมปชัญญะทั้งหมดที่มีอยู่ พิจารณาย้อนหลังไปว่า คุณคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไร ปฏิบัติภาวนาอย่างไร แล้วย้ำทำอันนั้นอีก ทำแล้วทำอีก แค่ตรงจุดนั้น แสดงว่าจุดนั้นคือจุดที่เราจะหลุดพ้น ไม่อย่างนั้นมันไม่กั้นเราให้เสียเวลา
คุณสังเกตดูอีกทีว่ามันจะมาตอนอารมณ์ใจคุณดีที่สุด ก่อนหน้าที่คุณจะย่ำแย่ไม่เอาอ่าวนั่นแหละ มันจะอยู่ในลักษณะที่ประเภทยอดเยี่ยมมากเลย กำลังเจ๋งที่สุด จนกระทั่งเราภูมิใจ แล้วเผลอนิดเดียวโดนมันสอยร่วงไปเลย มันจะมาจังหวะนั้นทุกที เพราะว่าเป็นจังหวะที่เราจะพ้นมันได้ แล้วตราบใดที่อารมณ์ใจมันย่ำแย่ที่สุด จงภูมิใจเถอะว่าเราใกล้ความดีมากที่สุด
ตั้งหน้าตั้งตาฟื้นกำลังขึ้นมาสู้ใหม่ อีกนิดเดียวเราก็จะพ้นแล้ว ถ้าพ้นเมื่อไหร่ เครื่องรับรู้มันจะเกิดขึ้น หรือไม่พระพุทธเจ้าท่านจะเสด็จมาบอกเอง แต่ว่าที่บอกให้นี้เพ่อให้มั่นใจว่า ถ้าเราไม่ใกล้ความดีจริง ๆ มันไม่แตะเราให้เสียมือมันหรอก
ถาม : เวลาเจออะไรที่มันแย่มาก ๆ แล้วรูสึกว่ายิ่งเจอยิ่งรับมือได้ แบบไวขึ้น ง่ายขึ้น แสดงว่าจะไปได้ใช่ไหม ?
ตอบ : ยัง เพียงแต่เก่งกว่าเดิมหน่อยหนึ่ง
ถาม : ต้องไปหาเรื่องใส่ตัวอีกใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ลองดูก็ได้ เพราะฉะนั้นภูมิใจเถอะว่าตอนนี้เราใกล้ความดีแล้วล่ะ นึกทบทวนไป เราทำอะไร มาอย่างไร คิดอย่างไร พูดอย่างไร ปฏิบัติภาวนาอย่างไร ซ้ำอันเดิมไปเรื่อย ๆ ต่อให้ย่ำเท้าอยู่กับที่ก็ซ้ำไปเรื่อย ๆ ตรงนั้นแหละจุดที่เราต้องเจาะทะลวงเพื่อผ่านไปให้ได้ ผ่านได้เมื่อไหร่ เราจะมีพื้นฐานของใจระดับหนึ่ง ถ้าพื้นฐานตัวนี้เกิดขึ้นต่อไปโดนตีขนาดไหน มันจะร่วงไม่เกินนั้น จะฟื้นตัวได้เร็วมาก พอถึงตอนนั้นก็มาเถอะ พอจะลุ้นได้แล้ว อยู่ที่วาแต้มต่อไปใครจะได้เท่านั้นเอง ปล่อยให้พลาดมาเสียเยอะ ไม่เป็นไร เริ่มต้นใหม่ได้
ถาม : โดยปกติคนเราปล่อยวางอย่างไร ?
ตอบ : ปล่อยวางเรื่องอะไรก่อน รัก โลภ โกรธ หลง อย่างไหนมาก่อนให้ละอย่างนั้น จะถามว่าอันไหนก่อนไม่ได้ เพราะว่า ๔ ตัวนี้ มันเหมือนโต๊ะ ๔ ขา ถ้าตราบใดที่มันอยู่ครบ โต๊ะตัวนั้นจะแข็งแรงมั่นคงมาก คุณจะต้องจัดการเลื่อยขาใดขาหนึ่ง แต่จำไว้เลยว่าจะละอันไหน จะตัดอันไหน อันนั้นมันจะลองเราหนักหน่วงที่สุด หนักชนิดที่เราคิดไม่ถึง บอกแล้วมันไม่เลี้ยงเราหรอก มันเอาแค่ตาย เราต้องประกอบไปด้วยความอดทน พากเพียร พยายาม ความตั้งใจมั่นทุกอย่าง
สรุปว่าบารมี ๑๐ ต้องครบ ถ้าบารมี ๑๐ อย่างไม่ครบ สู้มันไม่ไหว สนามรบวาระสุดท้ายจะเหลือแค่สังโยชน์คือเครื่องร้อยรัด ๑๐ อย่าง กับบารมี ๑๐ เครื่องมือที่จะต่อสู้กับมัน มันมีหน้าที่รัดมันก็รัดไป เรามีหน้าที่ดิ้นเราก็ดิ้นไป หลุดพ้นเมื่อไหร่ก็จบ ยิ่งฟังยิ่งง่าย หรือยิ่งฟังยิ่งยาก มันต้องง่ายสิ มันก็เลยสึกง่าย ๆ ถ้าเป็นอาตมาระยะเวลาที่คุณบวชนี่ผ้ายังไม่ได้ซักเลย สึกแล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าตำหนิ การบวชทันทีที่ญัตติเสร็จ อุปะสัมปันโน สังเฆนะ ตอนนั้นอานิสงส์เราได้เต็มที่แล้ว ๖๐ กัป อยู่ที่อยู่ต่อ ถ้าทำดีก็บวกขึ้นไป ถ้าทำชั่วเมื่อไหร่ก็โดนตัดไปเรื่อย
เพราะฉะนั้นบวชน้อยแต่ทำดีมาก ก็มีค่ามากเหมือนกับเพชรนั่นแหละ เม็ดเล็กราคาก็สูง แต่บวชนานทำชั่วมาก มันก็ขี้ดี ๆ นี่เอง ยิ่งกองใหญ่ก็ยิ่งเหม็น ไม่ใช่เรื่องน่าตำหนิ ถ้าเราเข้าใจเสียอย่างเราก็เป็นมวยเก็บคะแนนก็ได้ โฉบไปก็โฉบมา เก็บทีละ ๖๐ ไปเรื่อย ๆ เพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะเอาจริงเสียทีเท่านั้นเอง แหม! อย่างคุณอย่างผมนี่มันคิดผิด มันประเภท ไมค์ ไทสัน ถ้าน็อคเขาไม่ได้ ตัวเองก็โดนน็อค
ถาม : ๖๐ คืออะไรครับ ?
ตอบ : คืออานิสงส์ คือผลบุญที่ได้จากการบวช พระที่บวชจะมีอานิสงส์ ถ้าขึ้นไปเป็นเทวดาจะมีอายุได้ ๖๐ กัป พ่อแม่จะได้คนละ ๓๐ กัป ผู้ที่เป็นเจ้าภาพบวชให้จะได้คนละ ๑๕ กัป คนที่ตั้งใจไปช่วยงานบุญงานบวชให้สำเร็จลงจะได้คนละ ๘ กัป
ถาม : ถึงขั้นไหนครับ ?
ตอบ : ขั้นไหนก็ช่างหัวมันเถอะ นับเป็นกัปให้ ถ้าสมมุติว่าขั้นต่ำสุดคุณก็ประเภทตาย ๆ เกิด ๆ เกิด ๆ ตาย ๆ อยู่ตรงนั่นแหละ จนกว่าจะครบ ๖๐ กัป ไม่ต้องไปที่อื่นเลย
ถาม : แล้วทำบุญอะไรถึงจะได้บวชได้นาน ๆ ครับ ?
ตอบ : เนกขัมบารมี คือการงดเว้นจากกามารมณ์ทั้งปวง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส พยายามตัด ถ้าตราบใดที่บุญเนกขัมมะบารมีของคุณยังทรงตัวอยู่ ตราบนั้นจะบวชอยู่ได้ ถ้าบุญเนกขัมมะหมดลงเมื่อไหร่ มันดิ้นรนจะสึกวันละเป็นร้อยครั้ง ที่เขาเรียกผ้าเหลืองมันร้อน เท่าที่สังเกตดูบุญหมดเมื่อไหร่ไปเมื่อนั้น ไม่ใช่คนที่เขาอยากอยู่ต่อ แล้วมีเหตุจำเป็นให้ต้องสึก แต่ไอ้พวกนี้มันอยู่ต่อไม่ได้เลย ยังไง ๆ ก็ต้องสึกให้ได้ ถ้าสึกไม่ได้นี่อกแตกตายแน่เลย
ถาม : การที่อยู่ต่อไม่ได้นี่เพราะมีกรรมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อันนั้นจะเรียกว่า มีกรรม มันก็มี ถามว่ามีบุญไหม มันก็มี เพราะว่าถ้าเราอยากหลุดต้องรู้จักทุกข์ให้ครบ ออกไปรู้ทุกข์ให้มันเยอะ ๆ หน่อย พอรู้เห็นทุกข์มาก ๆ เดี๋ยวก็เบื่อไปเอง
ถาม : แสดงว่าบุญเนกขัมมะให้ผลมากนะครับ
ตอบ : ก็พยายามสร้าง ทาน ศีล ภาวนา ไว้เรื่อย ๆ สิครับ ประมาทได้ที่ไหนล่ะ บางคนก็สงสัยทำไมผมทำแทบเป็นแทบตาย ถึงได้บอกว่า ผมทำขนาดนี้ผมยังคิดว่าผมไม่พ้นนรกเลย แล้วไอ้ของเขามันดีแค่ไหน มันคิดว่าจะพ้น
ถาม : ถ้าอารมณ์ถึงพระอริยเจ้าแล้ว ที่จะสึกออกมามีไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระอริยเจ้าเข้าจริง ๆ ถ้าไม่ใช่กฎของกรรมใหญ่ ๆ จริงท่านไม่สึกเพราะว่า พระอริยเจ้าจะเคารพในพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจ ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินทั้งกาย วาจา ใจ ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง
ในเมื่อตัวท่านเองเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยอยู่แล้ว ก็ไม่รู้จะสึกกันมาทำเกลืออะไร ยกเว้นกรรมใหญ่จริง ๆ ที่เคยทำในอดีตมันอาจจะตามทัน มามีเหตุให้ต้องสึก แต่ไม่ได้หมายความว่าสึกจากพระแล้วความเป็นอริยเจ้าจะเสื่อม เพราะว่าพระอริยเจ้าขั้นต้นอย่างพระโสดาบันนี่ ถ้ายังไม่ใช่โกลังโกละ หรือเอกวิชี ก็ชาวบ้านธรรมดานี่เองแหละ เพียงแต่เป็นชาวบ้านชั้นดี เพราะว่ามีศีลเป็นเครื่องคุ้มตัว ตายดีกว่าศีลขาด ท่านก็ยังมีครอบครัวได้ ทำมาหากินตามปกติ ไม่มีอะไรน่าตำหนิกัน เพียงแต่ว่ามีเหตุจำเป็นที่ต้องสึกเท่านั้นเอง ปล่อยให้ท่านสึกไปเถอะ ถ้าของแท้เขาทนต่อการพิสูจน์ ต้องดูกันนาน ๆ ถ้านานไม่พอก็ดูต่อไป ทองแท้ไฟเผาเมื่อไหร่มันก็ยังเป็นทองอยู่
เพราะฉะนั้นของแท้จะทนต่อการพิสูจน์ที่ท่านบอกว่าระยะทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์คนนั้น เรื่องจริง อย่างที่ท่านกอล์ฟ ใช้คำพูดง่าย ๆ เขาเป็นเจ้าอาวา วัดพุทธบริษัท เขาพูดว่า ถ้าหางจิ้งจอกยังไม่โผล่ก็แล้วไป ถ้าหากจิ้งจอกโผล่ให้ผมจับได้เมื่อไหร่ ผมก็เลิกคบ
ถาม : การเป็นฆราวาสก็พยายามจะฝึกปฏิบัติในเรื่องของวาจา มันยากมากเลยนะครับ คือการพูดเพ้ยเจอ การพูดเล่นอะไรเหล่านี้ครับ
ตอบ : จำไว้ว่า คำว่าพูดเพ้อเจ้อของแต่ละระดับใจไม่เท่ากัน ถ้ายิ่งใจละเอียดมากก็จะยิ่งเห็นวาจาที่พูดเพ้อเจ้อมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าใจอยากอยู่ไอ้วาจาบางอย่างเราก็จะเห็นว่ามันดีมันสมควร
เพราะฉะนั้นการพูดเพ้อเจ้อขึ้นอยู่กับระดับใจของเรา ยิ่งใจละเอียดมากเท่าไหร่ เราก็จะเห็นชัดว่าวาจาเพ้อเจ้อมันมีเท่าไหร่ มีแค่ไหน ถ้าจะเอาไปหาวิธีปฏิบัติ โดยเฉพาะธรรมวิภาคของนักธรรมตรีมานั่งอ่านดูจะเห็นชัดเลยวาจาอะไรที่ชักให้สงัดชักให้ออกจากกาม ชักให้เคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ชักไม่ให้ระคนด้วยหมู่ ชักให้มีญาณทัศนะ ให้เห็นธรรม ท่านถือว่าเป็นวาจาที่ไม่เพ้อเจ้อ ถ้าพ้นจากนี้แล้วใช่ทั้งนั้น แม้กระทั่งที่มานั่งคุยกันอยู่นี่ บางทีก็ถือว่าเพ้อเจ้อ
เพราะฉะนั้นสิ่งเพ้อเจ้อมันขึ้นอยู่กับระดับใจของเรา ใจยิ่งมากเท่าไหร่ ความเพ้อเจ้อก็น้อยลงเท่านั้น ถามว่าจำเป็นต้องเป็นพระอริยเจ้าไหมถึงจะระงับวาจาเพ้อเจ้อได้ ไม่จำเป็น แต่คุณทรงฌานมันก็จะรู้แล้ว
คนทรงฌานระยะแรก ๆ เขาขี้เกียจคุยเพราะต้องรักษาใจตัวเองจริง ๆ เรื่องของวาจาเพ้อเจ้อนี่ระวังยากมาก ถ้ารักปฏิบัติเขาเอากันแค่ตาย ไม่ต้องไปกลัว ถ้ายิ่งกลัวอยู่เสร็จเขาแหง ๆ เอาอย่างอาตมาก็ได้ ไม่ใช่พูดเพ้อเจ้อหรอก แต่พูดโกหก
สมัยฝึกใหม่ ๆ เป็นฆราวาสมันฝึกยากฝึกเย็น ใช้วิธีเอาเหรียญอมไว้ในปาก พอขยับปากพูดปุ๊บมันติดเหรียญนี่ มันรู้ เออ! เราตั้งใจว่าจะไม่โกหก มันจะได้มีสติ อนุญาตให้เลียนแบบได้ ถ้าอมเหรียญแล้วยังไม่ค่อยมีสติ ก็อมถ่านร้อน ๆ จะได้มีสติ
ถาม : .........................................
ตอบ : แค่ไหน ? มันต้องตะเกียกตะกายมาทำบุญกับหลวงพ่อลำไย ส่วนหลวงพ่อลำไย ท่านมีเวรมีกรรมคล้าย ๆ อาตมานี่แหละ ท่านดังตั้งแต่หนุ่ม ๆ ท่านดังตอนอายุ ๓๓ แล้วท่านอยู่มาจน ๗๘ ปีแล้ว คิดดูก็แล้วกันว่ามันเหนื่อยปางตายขนาดไหน ท่านเองท่านก็ไม่ได้เจตนาจะดังหรอก งานนั้นท่านไปงานพุทธาภิเษกแทนคนอื่นเขา แต่ปรากฏว่าถึงเวลาเขาก็ให้ท่านไปจารแผ่นทองเพื่อเอาไปหลอม ท่านก็นั่งจารของท่าน พอถึงเวลาเขายื่นพานไปรับ พอท่านวางลงบนพาน ไอ้คนรับมันชัก เขาก็ยังคิดว่ามันบังเอิญ ปรากฏว่าตอนที่เทลงเบ้า แผ่นทองของท่านไม่ละลายมันลอยอยู่แผ่นเดียว วันนั้นก็เลยจารมือหงิกอยู่นั่นไม่ต้องไปไหนเลย คนเป็นร้อยเป็นพันไม่ต้องไปไหน มันคว้าอะไรได้มันให้หลวงพ่อลำไยนั่งจารนั่งเขียนอยู่นั่นแหละ คือลักษณะที่ว่ารับแล้วเกิดชักขึ้นมา จริง ๆ แล้วเป็นอาการของปิติอย่างหนึ่ง เพราะว่าความบังเอิญทำให้จิตมันเปิดแล้วรับกระแสได้
เคยมีคนไปหาหลวงพ่อที่ซอยสายลม พอท่านเอาไม้คทาแตะหัว มันดิ้นพราด ก็ลักษณะนั้นแหละ เป็นลักษณะโอกกันติกาปิติ ร่างกายมันจะดิ้นของมันเองบังคับไม่ได้ อาตมาเองก็เคยเผลอทีหนึ่ง พอหลวงพ่อท่านส่งย่ามให้เราก็ล้วง ความซนอยากรู้ว่าท่านมีอะไรบ้าง พอล้วงเข้าไป โอ้โห! ไฟมันช็อต อย่างกับเป็นหมื่น ๆ โวลต์ ช็อตกระโดดเลย หลวงพ่อท่านหัวเราะ สมน้ำหน้ามึง คือล้วงเข้าไปแล้วเจอมีดหมอของท่านพอดี ใจของเราตอนนั้นมันเปิดในช่วงจังหวะกำลังสบาย ๆ อยากรู้ว่าหลวงพ่อมีอะไรเท่านั้นเอง ล้วงเข้าไปโดนช็อตเสียเกือบแย่ สรุปแล้วย่ามหลวงพ่อมีอะไร มีดหมอเล่มหนึ่ง แก้วจักรพรรดิ ๒ องค์ พระบรมสารีริกธาตุขวดเล็ก ๆ ขวดหนึ่ง แล้วก็ผ้าเช็ดน้ำมูกกับชุดเป่ายานัตถุ์ของท่านเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรเลย
ถาม : มีมีดหมอรุ่นไหนครับ ?
ตอบ : รุ่นไหนก็ได้ ยิ่งรุ่นหลังได้ยิ่งดี เพราะหลวงพ่อท่านบอกเอาไว้ว่า ของ ๆ ท่านยิ่งรุ่นหลังมากเท่าไหร่ยิ่งดีคือ เวลาพระหรือพรหมหรือเทวดาท่านมาสงเคราะห์ ถ้าเคยทำให้เท่าไหร่ครั้งต่อไปจะไม่ต่ำกว่านั้น แต่ถ้าหากว่ามีอะไรเพิ่มเติมมากขึ้นท่านจะบอก ก็เลยกลายเป็นว่ายิ่งรุ่นหลังยิ่งดี ท่านบอกไว้ชัดเลยท่านบอก จำไว้ของ ๆ ข้าเอ็งหารุ่นสุดท้ายไว้ รุ่นแรกไม่ต้องไปสนใจ ลักษณะนั้นคนรับก็คงสบายใจใช่ไหม
แหม! หลวงปู่หลวงพ่อดัง ๆ ข้างหน้าหมดแล้ว มาถึงองค์ท้ายสุดก็ยื่น นิมนต์ครับ พอหย่อนใส่พานดิ้นเลย ก็คิดดูว่าท่านดังตอนอายุ ๓๓ แล้วตายตอน ๗๘ มันจะเป็นอย่างไร สาหัสสากรรจ์มา ๔๐ ปี ตอนระยะหลัง ๆ ไม่กี่ปี ท่านหนีไปอยู่ตรงศูนย์สงเคราะห์คนชรา เลยวัดมาทางด้านทองผาภูมิประมาณสัก ๓-๔ กิโล ท่านสร้างเอาไว้เอง เป็นศูนย์สงเคราะห์คนชรา ถามว่าทำไมอยู่ในวัดแล้วพวกมัคคนายก พวกอะไรบ้าง มันกินวัดกันเก่งนัก ท่านก็ทิ้งวัดให้มันกินเสียให้พอ ตัวท่านไม่อยู่เสียอย่าง ดูสิใครจะเอาเงินไปให้มัน มาระยะหลัง ๆ เวลาพระเข้าพรรษาต้องไปทำวัตร คือแสดงความเคารพพระผู้ใหญ่ ของเราจะต้องแห่กันไปตรงนั้นแหละ เพราะท่านไม่อยู่วัด เสียดายเหมือนกัน กำลังวางแผนอยู่ว่าจะนิมนต์ท่าน
นิมนต์หลวงพ่ออุตตมะ แล้วก็นิมนต์เจ้าคุณจังหวะไปงานใหญ่พร้อมกันสักที ส่วนใหญ่จริง ๆ แล้วอายุท่านหมดแล้ว นี่เกินกำหนดมา ๓ ปีแล้ว อาตมาก็ไม่ได้เจตนาหรอกท่านเคยสัญญาไว้ว่าจะเป็นคนสุดท้าย เราก็เลี่ยงไปเรื่อย ไม่ให้ท่านสงเคราะห์สักที ทรมานคนแก่สงสัยกรรมจะสนอง ก็เคยกราบนิมนต์ท่านว่า ไม่ต้องถือสัญญาก็ได้ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ นิมนต์เลยครับ แต่ท่านไม่เอาเพราะว่า พระระดับนั้นท่านพูดคำไหนเป็นคำนั้น
ตอนทำพระกริ่งพิชัยสงคราม ก็ว่าจะขอให้ท่านช่วยพุทธาภิเษก เสร็จแล้วนึกไปนึกมาว่าท่านเองก็ไม่สบายอยู่ แล้วกวนพระระดับนั้นขืนเราอยู่ต่อไปนาน ๆ ตัวเรานั่นแหละจะสาหัส ถ้านิมนต์ท่านก็คงเรียบร้อยไปแล้ว ถ้าท่านทำงานให้เมื่อไหร่ แปลว่าใช้หนี้แล้ว มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เพราะว่าเจอหน้าที่
อย่างหลวงพี่กิตติชัยเจอหน้า ท่านจับมือดูนานเลยแล้วก็เป่าหัวให้ ของเราพอไปถึงท่านก็ลากเข้าไปเป่าหัวให้ตัวลอยเลยล่ะ มันปิติอยู่ ๆ มันเย็นวาบไปทั้งตัว แล้วท่านใช้คำว่า เจ้าผู้เป็นเชื้อสายสักกเทวราช ท่านรู้ด้วยว่าเราเป็นเชื้อสายพระอินทร์ เจ้าผู้เป็นเชื้อสายสักกเทวราชเราจะสงเคราะห์เจ้าเป็นคนสุดท้าย ท่านว่าอย่างนั้น จนป่านี้ยังไม่ยอมให้ท่านสงเคราะห์ จนสิบกว่าปีแล้ว ตั้งแต่ท่านออกปากสัญญา บางวันภาวนา ๆ อยู่ท่านก็โผล่ วันไหนนึกสนุกท่านก็มา คนอื่นเห็นไม่เห็นไม่รู้ ท่านมาของท่าน บางทีเราพิจารณาร่างกายอยู่ ท่านบอกดูนี่บ้างสิ ท่านชี้ให้ดู โอ้โห! ในตัวเราพยาธิมันเลื้อยอยู่ เวลาท่านชี้ให้ดู โอ้โห! ตัวมันใหญ่อย่างกับปลาไหล ชัดจริง ๆ
หลวงพ่ออุตตมะเป็นพระวิชาสาม ใช้คำว่าวิชาสาม มันใช้ได้แค่นั้น คือพื้นฐานเดิมท่านเป็นอย่างนั้น หลวงปู่มหาอำพันยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เป็นพระสุกขวิปัสโก แต่อาตมาเห็นท่านทำฤทธิ์เหมือนอย่างกับอภิญญาชัด ๆ เลย มาตอนหลังพอไปศึกษาเรื่องฤทธิ์ถึงได้รู้ว่า ฤทธิ์มีหลายอย่าง
เรื่องของอภิญญา หรือวิกุพนาฤทธิ์ คือสามารถผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ได้อย่างที่ต้องการทุกอย่าง ยังมีฌานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่สำเร็จโดยฌาน ฐานาฐานะฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดขึ้นในฐานะอันสูง เช่น เป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ สั่งเป็นสังตายได้ ต้องการอย่างไรก็ได้ อธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดความตั้งใจมั่น บุญญฤทธิ์ ฤทธิ์เกิดจากบุญที่สั่งสมมา
คราวนี้พอพระไปถึงระดับนั้นแล้ว เหมือนอย่างกับสายน้ำที่เหลืออยู่ท่อเดียว ตัดท่อแยกหมดแล้ว กำลังมหาศาลมากเพราะพุ่งตรงอย่างเดียว กำลังใจขนาดนั้นต้องการอะไรก็ทำได้ จะให้ท่านฝึกอภิญญาก็คิดว่าคงไม่เกินชั่วโมงคงได้ แต่ว่าพระระดับนั้นท่านหมดอยากแล้ว ไม่รู้จะฝึกไปทำไป ในเมื่อหมดอยากแล้ว แต่ว่าพื้นฐานเดิมของท่านมันเป็นจิตที่ได้รับการฝึกดีแล้ว ต้องการจะให้เป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น
หลวงปู่มหาอำพัน เป็นพระสุกขวิปัสโก เรียกลม เรียกฝน ให้ดูหน้าตาเฉย หลวงพ่ออุตตมะท่าน ถึงเวลาท่านมาหาได้ อะไรได้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หลวงปู่มหาอำพัน ท่านอยู่โรงพยาบาลทหารเรือ เราก็มีหน้าที่เฝ้าไข้ เพราะว่าพระรูปอื่นเขาทนไม่ได้ประเภทนั่งเงียบ ๆ ทั้งวัน เขาจะคลั่งตาย พอเราไปคารวะ หลวงปู่ท่านยิ้มหวาน นิมนต์คุณกลับได้เลย บอกพระวัดเทพศิรินทร์ เราก็เฝ้าไป คือลักษณะนั้นต่างคนต่างภาวนาของตัวเองไป เสร็จแล้ววันหนึ่งหลวงปู่ท่านได้ข่าวว่า พลเรือโทประเสริฐ ท้วมเริงรมย์ เป็นลูกศิษย์ของท่านมาป่วยอยู่ห้องตรงข้าง ท่านมาผ่าตัดต่อมลูกหมาก แต่ว่าหลวงปู่ท่านเป็นถุงลมโป่งพอง หลวงปู่ท่านเดินไม่ได้ ท่านเดินเมื่อไหร่จะหอบ ต้องเข้าออกซิเจน ท่านก็เลยใช้วีถอดจิตไปหา บังเอิญได้เวลาออกตรวจของหมอพอดี หมอจับชีพจรหลวงปู่แล้ววิ่งตับแลบไปรายงานหัวหน้าตึกว่า หลวงปู่สิ้นแล้ว แห่กันมาเป็นตับเลย เราเห็นท่าวิ่งของหมอก็รู้แล้วเป็นเรื่องแน่เลย สะกิดหลวงปู่ครับ ๆ เรื่องใหญ่แล้วครับ หลวงปู่ท่านก็ลืมตายิ้มหวาน ถึงเวลาหมอมาเห็นหลวงปู่นั่งยิ้มอยู่ เขาก็สงสัยจับชีพจรใหม่มันก็เต้นปกติ
หลวงปู่ท่านบอกว่าเมื่อกี้ฝันว่าไปเยี่ยมลูกศิษย์มา นั่นน่ะ ฝันนะ แต่คุณประเสริฐแกเห็นไปเป็นองค์เลย ลักษณะของสมาธิถ้าใช้เต็มที่ร่างกายจะเหมือนกับตาย หลวงพ่อท่านถึงได้ล็อกประตูทุกครั้ง อาตมาก็ล็อกประตู แต่ว่าดันมีกุญแจสำรองเยอะ ตอนที่ป่วยหนัก ๆ แหม! มันเข้าไปยำเราเสียเกือบตาย ไอ้คนนี้ก็ไม่หายใจแล้ว ไอ้คนนั้นก็ตัวแข็งแล้ว ตื่นขึ้นมาตีสองกว่าแสบไปทั้งตัว มารู้ทีหลังว่าเขาเอาผ้าชุบน้ำร้อนถูกันใหญ่ น้ำร้อนอย่างเดียวก็จะแย่แล้ว ต้องไปนั่งทาครีมอยู่เป็นเดือน ๆ กว่าจะหาย มันถูเสียหนังถลอกปอกเปิกไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ แสบไปทั้งตัว จนกระทั่งต้องเตือนไว้ว่า คราวหน้าถ้าเห็นอย่างนั้นอย่าไปยุง ยังดีตอนเป็นฆราวาสเขาจะหามไปเผา ตอนเป็นพระแค่ช่วยกัน เขาบอกว่ามันเย็นไปทั้งตัวอยากจะช่วยให้ร้อน เอาผ้าชุบน้ำร้อนถูกันใหญ่ มันเป็นเวรเป็นกรรมมาก ใครที่ถือกุญแจกุฏิอาจารย์เล็กได้เขาจะรู้สึกเป็นเกียรติเป็นศรีมาก จนกระทั่งเดี๋ยวนี้นับ ๆ ดูมีอยู่ ๘ ดอก บางทีเข้ามาเราเช็ดเลย ไม่มีธุระ แหม! เข้ามาได้รู้สึกเป็นเกียรติมาก ครูบาอาจารย์จะทำอะไรบ้าง ไม่ต้อง เดี๋ยว ๆ ก็แป๊ก เดี๋ยว ๆ ก็แป๊ก
ถาม : ..............................
ตอบ : เอาไว้สักวัน ตอนนั้นป่วยหนัก พอป่วยหนักรู้สึกว่าขี้เกียจไม่ทนเวทนาของทางกาย เราก็ทิ้งเลย ทิ้งเลยเขาก็ว่าเราตายแล้ว แตกตื่นกันเข้าไป หลวงพ่อท่านล็อกห้องทุกครั้งเพราะว่ากลัวคนจะไปยุ่งกับท่าน หมอเขาเคยเอาเครื่องวัดหัวใจมัดติดกับตัวเป็นเวลา ๑ เดือน เสร็จแล้วเอาไปตรวจสอบ ปรากฏว่าเครื่องวัดหัวใจมันขาดช่วงไป ๓๐๐ กว่าครั้ง คืนหนึ่ง ถ้าเป็นคนธรรมดา เท่ากับหัวใจหยุดเต้นไป ๓๐๐ กว่าครั้ง แต่มันไม่ใช่ เพราะว่าถ้าสมาธิลึกปั๊บสภาพร่างกายเหมือนยังกับคนตายคือ มันหยุดทำงานของมัน จะเหลืออยู่แต่ลมละเอียดนิดเดียววิ่งอยู่ระหว่างจมูกกับสะดือแค่นั้นเอง จะเป็นเส้นเล็ก ๆ บาง ๆ ใส ๆ เหมือนอย่างกับเส้นเอ็นใสแจ๋วนิดเดียว ถ้าเส้นนี้ขาดเมื่อไหร่ ตาย แต่บังเอิญตอนนั้นกำลังสมาธิดี ความละเอียดของจิตมีมากมันสามารถเกาะได้ตลอด ถ้ายังอยู่ไม่ตายหรอก
แต่ถ้าหากคนภายนอกมาจับลมหายใจหรือจับชีพจร เหมือนกับคนตายดี ๆ นี่เอง เขาเคยเอาไปเข้าคอมพิวเตอร์ตรวจร่างกาย ของเราเองถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็เกาะพระเป็นปกติ คราวนี้มันเกาะแน่นไม่ได้ ที่เกาะแน่นไม่ได้เพราะเวลาหมอเขาถามอะไรจะได้บอกเขาได้ เกาะแน่นไปบางทีมันพูดไม่ได้ หมอเขาตรวจทั้งร่างกายเสร็จแล้วเขาบอกว่า ปกติทุกอย่างครับ ยกเว้นหัวใจเต้นช้ามากไปหน่อย ไอ้เราก็ได้แต่นึกขันในใจ ถ้าเต้นช้านั่นแหละปกติ เพราะว่าสมาธิยิ่งลึกมันจะยิ่งเต้นช้าลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีอาการเหมือนกับไม่เต้นเลย คนตรวจเสียเงินฟรี ส่วนใหญ่อาการของโรคกรรมมันบัง วัดผลจากเครื่องมือวัดไม่ได้ ตรวจหาไม่เจอ ค่อย ๆ ทำถึงเวลามันเป็นเอง ไม่ต้องไปอยาก อยากเมื่อไหร่มันไม่ได้ โดยเฉพาะพวกเราส่วนใหญ่พอภาวนาไปลมหายใจเริ่มหมดเมื่อไหร่ ตะเกียกตะกายหายใจใหม่ ตกใจมันก็เจ็บล่ะสิ กลายเป็นว่าขึ้นไปแล้วถอยหลังมาใหม่ และก็ขึ้นอีก ลมหายใจมันจะแรง จะเบา จะสั้น จะมีหรือไม่มีคำภาวนา มันจะมีหรือไม่มี ไม่ต้องไปใส่ใจ เอาใจรับรู้ไว้อย่างเดียวว่าตอนนี้มันเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องไปดิ้นรน ไม่ต้องไปปรุงแต่ง ตามดูตามรู้อย่างเดียว แป๊บเดียวเท่านั้น ถ้าหากว่าเราทำอย่างนี้ไม่ได้ ก็จะขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่แคนนี้หาความก้าวหน้าได้ยาก มันหายใจอยู่ให้รู้วาหายใจอยู่ มันไม่หายใจให้รู้ว่าไม่หายใจ กำหนดสบาย ๆ
สรปุเรื่องทั้งหมดที่เล่ามาอำ อีตาวินทร์ เลียววาริณ มีทั้งเรื่องอำและไม่อำใช่ไหม ? แหม! เล่าเรื่องมาน่าสนใจมาก ตั้งแต่ต้นจนปลายมันบอกอำเขาหมด โกหก อันไหนจริงจะบอกว่าจริง อันไหนอำจะบอกว่า อำ เล่มล่าสุดนี่อำเขาตั้งแต่ต้นยันปลาย เขาบอกว่าท่านปู่ทากาฮิตะ แกเป็นคนของบริษัทคามิโอะทำมือถือรุ่นใหม่ขึ้นมา มือถือมีลักษณะเป็นนาฬิกา มันจะส่งคลื่นมีหูฟังลักษณะเป็นหูปลอมใส่เข้ามาได้ พอถึงเวลาก็กดการทำงานที่นี่ แต่หูฟังมันจะอยู่ตรงนี้และหูฟังมีลักษณะที่ว่าจะเลือกเอาเป็นลายการ์ตูนก็มี หน้าคนที่ตัวเองรักก็มี ลายดอกไม้ก็มี หรือจะเป็นแบบธรรมชิตก็มี แหม! ไอ้เราอ่านดูน่าสนใจ ปรากฏว่าไปถึงตอนท้าย ทั้งหมดที่เล่ามาเป็นเรื่องอำ ฟังดูมันเป็นไปได้ทั้งนั้นใช่ไหม ? แหม! ร้ายกาจจริง ๆ
|