ถาม :  พวกนิยายนี่....
      ตอบ :  พวกจินตนาการนี่บางทีมันก็มีส่วนของ.... เขาเรียกว่า อนาคตังสญาณเหมือนกัน ดูอย่างสุนทรภู่ไง สุนทรภู่เขาเขียนมีพราหมณ์สามพี่น้อง วิเชียร โมรา สานนท์ ที่เป็นเพื่อนของพระอภัยมณี ศรีสุวรรณ คนหนึ่งยิงธนูได้ครั้งละเจ็ดดอก สมัยนี้กราดทีเป็นชุดจะเอากี่ร้อยนัดก็ได้ อีกคนหนึ่งเก่งผูกหุ่นยนต์เป็นเรือเล่นไปได้ทั้งในน้ำและบนบก สมัยนี้โอเวอร์คร๊าฟเยอะแยะไป จะลงน้ำมันก็เป็นเรือ ขึ้นบกมันก็เป็นรถ ทำได้จริง ๆ ก็คิดได้
              แล้วอีกอย่างหนึ่งมันเป็นหีบกล เขาใช้คำว่าหีบกล พอเข็นขึ้นมาแล้วมีเสียงดนตรีดัง สมัยนี้เทปเยอะแยะไป เขาคิดของเขาได้ แล้วสถานที่หลายอย่างมันเป็นจริง ๆ นะ อย่างที่เขาว่านาควารินทร์ นาควารินทร์นั่นมันหมู่เกาะนิโคบาร์ ที่เขาว่า
              “ทะเลนี้มิใช่แคว้นแดนนุษย์       ปรอทแร่แม่เหล็กก็มีมาก
              ชื่อว่านาควารินทร์สินสมุทร       ฝูงนาคมาอาศัยด้วยไกลครุฑ
              ถ้ายั้งหยุดอยู่ที่นี่จะมีภัย       จงเร่งรัดตัดไปทิศอีสาน
              จะพบพานผู้วิเศษข้างเพทไสย”

              จะไปพบพระฤๅษีที่เกาะแก้วพิศดารไง ปรากฏว่าไปได้จริงเขาให้ไปทิศอีสานตะวันออกเฉียงเหนือ แสดงว่าของเขาเองมันไม่ใช่หูป่าตาเถื่อนอยู่ในราชสำนักใช่มั้ย พวกต่างประเทศมาก็ต้องมีการสอบถามว่ามาจากไหน มีประสบการณ์เดินทางเป็นยังไง เล่าไปเล่ามาแกจินตนาการออกมาเป็นเรื่องราวเลย แต่ว่าอย่าลืมว่าสมัยนั้นเรื่องวิทยุโทรทัศน์มันยังไม่มี เขาสามารถจินตนาการเกี่ยวกับหีบกล่องเสียงมาได้นั่นถือว่ายอดเลย
              เสียดายเพชรเม็ดนั้นจังเลย โครตเพชรเม็ดเท่าหัวปลี ที่สุดสาครกับนางอรุณรัศมีไปเอามา ไปอ่านพระอภัยมณีให้จบ พวกเราอ่านมันไม่ค่อยจะจบกัน มีอาตมาคนเดียวกวาดมันหมดห้องสมุดเลย เล่มหนา ๆ อย่างนี้อ่านมันหมดเลย มีชื่อยืมอยู่คนเดียว อยู่ชั้น ป. ๒ อ่านหนังสือหมดไปห้องสมุดหนึ่ง อ่านหมดแล้วมันดันทะลึ่งจำได้ด้วยซิ ตอนที่อ่านน่ะเจตนาชัดเจนก็คือว่าจะอ่านหนังสือให้แตก
              สมัยโบราณเขาเรียกอ่านหนังสือให้แตกคืออ่านให้คล่องอ่านให้ได้ทุกตัว อ่านจนหมดแล้วไปเจอเล่มสุดท้าย แหม! มันสะใจมากเลย มันอ่านยาก ตำราเพศศึกษาด๊อกเตอร์คินซีย์ แปลภาษาไทยแล้วยังมีภาษาอังกฤษอยู่ (หัวเราะ) คราวนี้คำแปลนี่มันอ่านยากมากเลย เพราะมันเขียนทับศัพท์ภาษาอังกฤษไปถามครู ครูหัวเราะกันกลิ้งเลยถามว่า ถามจริง ๆ เถอะจะอ่านไปทำอะไร บอกอยากจะรู้ว่ามันอ่านยังไง ผมอยากอ่านให้ได้หมดทุกคำ อยู่ ป. ๒ อ่านหนังสือหมดห้องสมุดไปห้องสมุดหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นอยู่โรงเรียนไหนก็โรงเรียนนั้นนั่นแหละ เล่มไหนที่เขาไม่ยืมจะยืมอยู่คนเดียว พวกพระอภัยมณี ขุนช้างขุนแผน เพื่อนไม่มีใครอ่านจบซักคน อาตมาว่าซะเหี้ยนเลย ยังจำได้มั้ย เด็ก ๆ สมัยนี้มันได้ท่องหรือเปล่าล่ะ
              “บัดเดี๋ยวดังหง่างหง่างวังเวงแว่ว       สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา
              เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา       ประคองพาขึ้นไปบนบรรพต”

              สุดสาครโดนชีเปลือยผลักตกเหวไง กลับไม่ได้ นึกถึงครูบาอาจารย์ โยคีเลยมาช่วย
              “แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์       มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
              อันเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด       ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
              มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน       บิดามารดารักมักเป็นผล
              ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่ใจตน       เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา
              ถ้าใครรักรักบ้างอย่าชังตอบ       ใครไม่ชอบหลีกให้ไกลนะหลานหนา
              รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา       รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี”

              เขาสอนแล้วทั้งนั้นนะ สมัยนี้ขี้เกียจอ่าน มันแปลไม่ค่อยออก แปลไทยเป็นไทยมันแปลยาก
      ถาม :  ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน หรือใจตนคะ ?
      ตอบ :  ไม่มั่นใจ คือเขาสอนให้พึ่งตัวเอง อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ อย่าไปพึ่งคนอื่นเขา อย่าไปไว้ใจใครอะไรทำนองนั้น คราวนี้จำได้ไม่ลืม เล่นเรือไปแล้วหลง เมื่อกี้ท่องไปหมู่เกาะนิโคบาร์ เลยมีการทรงเจ้าถามเจ้าที่ ถามผีเจ้าที่ ปู่เจ้ามาก็ฟาดวิสกี้เสียเต็มที่เลย เมาเสร็จแล้วค่อยบอก มันถึงได้บอก บอกว่าตรงนี้ไม่ใช่เขตของคนเขาแล้วเป็นนาควารินทร์สินสมุทร ฝูงนาคมาอาศัยด้วยไกลครุฑ
              ขนาดพญานาคอยู่กันเพียบ ถ้ายั้งหยุดอยู่ที่นี่จะมีภัย ที่ว่าปรอทแร่แม่เหล็กก็มีมาก มันทำให้เข็มทิศเดินเรือมันเสียหมดเพราะว่าเข็มทิศนี้มันจะชี้ทิศเหนือตามแม่เหล็กโลกอยู่เสมอ คราวนี้มันไปเจอแม่เหล็กที่ไหนมันก็หันใส่ มันก็หลงกันตายชัก
      ถาม :  อย่างเช่นเรื่องที่นอน ก็คือห้ามยัดด้วยนุ่นเกินกว่าหนึ่งคืบไง แต่สมัยนี้มันเป็นแบบสปริงน่ะครับ ?
      ตอบ :  สมัยนี้มันหายากนะที่คืบหนึ่งน่ะ จริง ๆ แล้ว ตัวนั้นเขาห้ามเพราะว่ากลัวเราจะติดในความนุ่มนิ่ม หรือไม่ก็คิดถึงเนื้อผู้หญิง ถ้าหากว่ากำลังใจของเราไม่ยึดตรงนั้นก็นอนไปเหอะ คือ ตัวท้าย ๆ ของศีลแปด มันไม่ใช่ตัวศีล มันเป็นตัวธรรมะ คือว่าเราสามารถทำละเอียดได้ ส่วนของธรรมะจะก้าวหน้าขึ้น แต่ถ้าหากว่าเราล่วงไปไม่ตกนรก แต่ว่าส่วนของธรรมะมันหมองลง อย่างเช่นว่าการกินข้าวเย็นมันก็มัวแต่ไปกังวลว่าจะกินมันอยู่ใช่มั้ย ศีลมันไม่ได้ขาดแล้วตกนรกอะไรหรอก แต่ว่าส่วนของธรรมะมันบกพร่อง
      ถาม :  แต่ถ้าเกิดทำได้มันก็ดีกว่าปกติ
      ตอบ :  ทำได้มันดีกว่า คราวนี้ว่าสมัยนั้นที่นอนสูงที่นอนใหญ่ขนาดนั้นมันก็หายากเต็มทีแล้ว หรือไม่ก็เล่นที่นอนสายรุ้งที่มันบาง ๆ หน่อยเดียว แต่ถ้าไม่ได้ติดมันจริง ๆ ล่ะก็ ตีลังกามันได้เลยหนาเท่าไหร่ก็ช่างมัน
      ถาม :  แล้วเกี่ยวกับเครื่องประทินผิวล่ะครับ ถ้าเกิดไม่ทาแล้วหน้ามันจะเป็นสิว
      ตอบ :  (หัวเราะ) คือว่าถ้าหากเป็นการรักษาโรค ไม่เป็นไรอย่างเช่นว่าบางคนเขาแต่งเป็นปกติ ประเภทเขียนคิ้วทาปากเป็นปกติอย่างนี้ ถ้าหากไม่ได้เขียนแล้วมันรู้สึกว่าออกข้างนอกไม่ได้ มันอายเขามันเขิน เลยแต่งเพื่อสังคมอะไรอย่างนั้นน่ะได้ ที่แต่งตัวประทินผิว ใช้ของหอมเครื่องย้อมเครื่องทาน่ะเขาหมายถึงจะเอาไว้ยั่วกิเลสเพศตรงข้าม ถ้าเจตนาของเราไม่มีอย่างนั้นน่ะใช้ได้ แล้วอีกอย่างของเราถ้าหากใช้เป็นยาแก้สิว ก็ถือว่าเราเป็นคนป่วย จะใช้ก็ใช้ไปเหอะ
      ถาม :  ถ้ามันเป็นครีมบำรุง แต่ว่าเราถือว่า ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเจ็ดวันมันคงไม่ถึงกับสิวเต็มหน้าล่ะมั้ง ใช้ไปเหอะ ถ้าขืนไม่ใช้แล้วคนไม่เข้าใกล้มันจะยุ่ง
      ถาม :  แล้วถ้าเกิดว่าปากแห้งนี่จะใช้ลิปมันได้มั้ย ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) ไอ้นี่ข้อเรียกร้องมาก เดี๋ยวเจ็ดวันไม่ให้อาบน้ำซะเลย
      ถาม :  ยาสระผม ครีมนวด อะไรอย่างนี้ ?
      ตอบ :  ใช้ไปเหอะ ใช้ไปเหอะ ไม่มีใครเขาว่าหรอก บอกแล้วว่าไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอก
      ถาม :  การถือศีล ๘ กับเจริญพระกรรมฐาน การเจริญพระกรรมฐาน ถือศีล ๘ อย่างน้อยเท่าไหร่
      ตอบ :  เอามันซักเช้าเย็น เช้าชั่วโมง เย็นชั่วโมงก็ได้ แต่ว่าในวันทั้งวันกำลังของศีลของเราต้องให้ทรงตัวอย่าให้บกพร่อง
      ถาม :  คือเน้นเรื่องสีลานุสสติ
      ตอบ :  อือ ก็เอาอย่างนั้นแหละดี
      ถาม :  ถ้าเกิดทำอย่างนี้ ไม่ต้องนั่งกรรมฐานเป็นชั่วโมง ๆ
      ตอบ :  ที่เราทำน่ะมันเป็นกรรมฐานอยู่แล้ว อย่าลืมว่าถือศีลน่ะ สีลานุสสติ มันเป็นกรรมฐาน เพียงแต่ว่าตัวเจริญกรรมฐานนี่ท่านหมายถึงนั่งภาวนา นั่งภาวนาจะมากจะน้อยอยู่ที่เราพอใจแต่ควรจะรักษากำลังใจให้ทรงตัวเอาไว้ทั้งวัน
      ถาม :  เวลาเราไม่สู้กับตัวเองล่ะครับ สมมุติว่ามีราคะกับโทสะมันจะมีบางอย่างแรงบางอย่างอ่อน ?
      ตอบ :  ถ้าเราไม่หลุดออกจากคำภาวนา ราคะ โลภะ โมหะ โทสะ ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
      ถาม :  นี่คือช่วงก่อนเป็นนะครับ แล้วแบบเวลาจะสู้กับกิเลสล่ะครับ จะสู้กับตัวที่แรงก่อน หรือตัวที่อ่อนก่อน ?
      ตอบ :  อยู่ที่เรา จริง ๆ แล้ว กำลังมันเท่ากัน เพียงแต่ตัวไหนมันนำหน้ามา ตัวที่นำหน้ามาเราจะรู้สึกว่ามันแรง ก็ลองให้ตัวนั้นมันหลบไปอีกตัวมาแทนแรงพอกันนั่นแหละ
      ถาม :  แล้วบางที เราอยากจะตัดเรื่องราคะ เรื่องของวัยรุ่นอย่างงี้ครับ ?
      ตอบจะตัดตัวไหนตัวนั้นจะมาลองเป็นเรื่องปกติเลย ถ้าเราสามารถแยกอารมณ์ออกได้ว่าเรื่องของ ราคะ โลภะ โทสะ เป็นเรื่องของกาย ใจเราไม่ยุ่งกับมันด้วย เราแยกใจของเราออกมานี่ มันจะอยู่ไม่นาน ที่มันอยู่ได้เพราะว่าจิตใจเราไปปรุงแต่งเพิ่มเติมกับมัน นึกว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น นึกว่ามันควรเป็นอย่างนี้ นึกว่ามันสวยอย่างนั้น ถ้าเราไม่ไปร่วมนึกกับมันด้วย มันไปไม่รอดหรอก พักเดียวมันก็ตายแหง
      ถาม :  แล้วอีกอย่างเรื่องการสะเดาะเคราะห์นี่ การที่เราไปจะมีอยู่สองรอบใช่มั้ยครับ ถ้าเราเข้าสองรอบจะมีผลเพิ่มขึ้นมั้ยครับ ?
      ตอบ :  สองรอบ รอบแรกสะเดาะเคราะห์ รอบที่สองใส่คืนเข้าไป (หัวเราะ) พูดเล่นนะ จริง ๆ ถ้าทำแล้ว พระท่านสงเคาะห์รอบเดียวก็เหลือเฟือแล้ว ไอ้ประเภทที่ว่าถ้ารู้สึกว่ามันดีได้เข้าสองรอบก็เอา ไม่มีใครเขาว่าหรอก ยกเว้นไปเกะกะที่เขาไล่ออกมาเท่านั้นแหละ
      ถาม :  แล้วอย่างไปด้วยตัวเอง กับฝากเงินไป ?
      ตอบ :  ควรจะไปด้วยตัวเอง ถ้าไปด้วยตัวเองอยู่ในพิธีกำลังใจมันจะดีกว่า ฝากสตางค์ไปมันได้แค่ทำบุญ เพราะตัวไม่ได้อยู่ในพิธีหรือไม่ได้ตั้งใจรับ บางทีมันไม่ได้อะไร เมื่อกี้เขาถามว่าเจริญกรรมฐานนี่ใช้ลูกกลิ้งดับกลิ่นได้มั้ย ใช้ไปเหอะถ้าไม่ใช้เดี๋ยวคนจะไม่เข้าใกล้
      ถาม :  ไม่มั่นใจครับ
      ตอบ :  ถ้าขืนไม่อาบน้ำตั้งแต่ตีห้าอย่างอาตมานี่ยุ่งแน่เลย ตื่นขึ้นมาทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย เผลอเพล็บเดียวคนมันมาแล้ว ยังไม่หกโมงเลย (หัวเราะ) ก็เป็นอันว่าไม่ต้องทำอะไรแล้ว สู้เจ้าแดงเขาไม่ได้ เจ้าแดงเขาบอกว่า หมามันยังไม่อาบเลย ว่าแล้วมันก็ดองต่อไป
      ถาม :  แล้วการที่เราเกิดมาเดี๋ยวก็ตาย ใคร่ครวญอย่างนี้ตลอดเวลานี่ ?
      ตอบ :  ดีจ้ะ ตัวนี้เป็นวิปัสสนาญาณ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เขาเรียกอุทยัพพยานุปัสสนาญาน พิจารณาเห็นการเกิดและการดับ ถ้าภังคานุปัสสนาญาน นี่เห็นการดับอย่างเดียว คือทุกอย่างเกิดขึ้นก็ต้องพัง เกิดขึ้นก็ต้องพัง พังหนอ พังหนอ ภยตูปัฏฐานญานนี่เป็นภัย เป็นโทษกับเรา มันเหมือนกับเสือร้ายตัวหนึ่ง พอถึงเวลามันก็ขบก็กัดเรา วิธีขบกัดของมันก็คือ เหน็ดเหนื่อย หนาว ร้อน หิวกระหาย เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างนี้ มันกัดเราอยู่ตลอดเวลา มันเป็นทุกข์มันเป็นภัย เป็นของน่ากลัวไม่น่าคบหาสมาคมอีก นั่นแหละวิปัสสนาญาณเก้าอย่างค่อย ๆ ทำถึงจุดสุดท้ายมันก็เป็นสังขารุเปกขาญาณ สบาย
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  พิจารณาอยู่เสมอ ๆ น่ะดี เพราะว่าการพิจารณา ถ้าปัญญายอมรับมันจะได้เลย แต่ภาวนานี่ ถึงเวลาถ้าเราถอนขึ้นมาแล้ว ไม่ได้พิจารณา มันก็ได้แค่จิตสงบชั่วคราว แต่วิปัสสนานี่ถ้าสงบมันรับแล้วมันรับเลย ทรงตัวเลย
      ถาม :  ถ้าทำ ๆ อะไรอยู่ ไม่ได้นั่ง
      ตอบ :  ไม่จำเป็น ยืน เดิน นั่ง นอน หกคะเมนตีลังกา ทำอะไรก็พิจารณาได้ทั้งนั้น
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด) มีความรู้สึกว่าจะยาว
      ตอบ :  ยิ่งยาวเท่าไหร่ยิ่งดี ถ้ามันอยากคิดอยู่ เพราะว่าการที่มันยอมคิด มันยาก ส่วนใหญ่แล้วมันจะไม่ยอมคิดหรอก มันจะฟุ้งซ่านเรื่องอื่นซะมาก พอคิดไปคิดไป กำลังใจมันจะค่อย ๆ ทรงตัว มันจะเป็นการทรงฌานโดยอัตโนมัติ ฌานคืออารมณ์เคยชินใช่มั้ย ที่บอกว่าพระอริยเจ้าต้องทรงฌานได้ ถึงเป็นได้ พระอรหันต์ท่านทรงฌานสี่ แล้วถ้าเป็นพระสุขวิปัสสโกจะเอาฌานสี่ที่ไหนมา มันก็คือฌานสี่จากการพิจารณาของท่าน คิดไปคิดไปกำลังใจมันเคยชินมันก็ก้าวล่วงขึ้นไปเรื่อยจนกระทั่งถึงฌานสี่
      ถาม :  ไม่ใช่การฟุ้งซ่าน ?
      ตอบ :  ไม่เสียเวลาไปนั่งภาวนามัน คิดอย่างเดียวก็เป็น คราวนี้การคิดนี่ ถ้ามันฟุ้งซ่านมันเป็นการคิดที่เรียกว่าเปะปะวุ่นวาย แต่ถ้าหากว่าเราบังคับให้มันคิดตามกรอบตามแบบ ตามแนวที่พระพุทธเจ้าท่านสอน อย่างนั้นไม่เรียกว่าฟุ้งซ่านหางานให้จิตมันทำ