ถาม:  บางคนเขาก็สงสัยว่าเป็นลูกหลวงพ่อ แล้วเส้นสายด้วยหรือ เวลาไปพบท่านลุงพระยายมที่นรกจะได้สิทธิพิเศษ หรือเป็นการที่เราได้ฝากบุญให้ท่านลุงได้โมทนา?
      ตอบ :  จะเป็นใครก็ตาม ถ้ารู้จักแล้วปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบของท่าน ท่านให้สิทธิพิเศษทั้งนั้น จะไปชมนรกท่านก็ให้คนพาไป ไม่ใช่เฉพาะลูกหลวงพ่อ แต่ว่าในสายตาหลวงพ่อนี่ท่านให้อยู่ข้อหนึ่งว่า ถ้าเวลาทำบุญให้บอกให้ท่านเป็นพยานให้โมทนาด้วย ถ้าเผื่อว่าเราคิดถึงบุญไม่ออกแล้วต้องผ่านการสอบสวนจริง ๆ ถึงเวลาท่านจะบอกให้ว่าทำอะไรมาบ้าง จะได้ไปรับความดีก่อน ตรงจุดนี้นี่เป็นการสงเคราะห์กันเฉพาะในสายเท่านั้น เพราะว่าถ้าคนที่มานอกสายไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลาน ถึงเขาได้ยินเขาก็ไม่เชื่อไม่ปฏิบัติตามหรอก แล้วถามว่าลักษณะนี้เป็นการเส้นกันหรือเปล่า ต่อให้ยกให้คนอื่นมีเส้นมันก็ไม่ใช้ เพราะฉะนั้นก็ถือว่าเป็นเส้นเฉพาะสายก็แล้วกัน
      ถาม :  คนที่แสดงละครหรือนำท่านพระยายมไปแสดงล้อเลียนให้ท่านมีเขา ตัวแดง มีหาง อย่างนี้เข้าข่ายปรามาสหรือไม่?
      ตอบ ท่านพระยายมท่านเป็นพระอนาคามี เท่ากับปรามาสพระอริยเจ้าเลย แย่เหมือนกัน เขาถึงได้บอกว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ เคยเห็นการ์ตูนเขียน คนเขายืนคลำหัวพระยายมอยู่ เอ๊ะ ลูกวัวใครหว่ามีเขาเพิ่งจะพ้นหู เดี๋ยวก็ลาบเสียหรอก มันล่อกันขนาดนั้นจริง ๆ พระยายมท่านไม่ได้มีเขาหรอก ท่านเป็นพรหมสวยเต็มบุญเต็มบารมีท่านอยู่แล้ว แต่เนื่องจากว่าท่านมีหน้าที่ที่จะช่วยเหลือคนไม่ให้ตกนรก คนที่ทำความดีก็จะเห็นท่านในทางที่ดี คนที่ทำความชั่วก็จะเห็นว่าท่านดุร้าย น่ากลัว มันเป็นการข่มคนชั่วอย่างหนึ่ง คนก็เลยเข้าใจผิดว่าเป็นพระยายมต้องมี สังวาลกะโหลก ต้องมีเขา พอไปวาดภาพก็ต้องให้ดุร้ายเข้าไว้
      ถาม :  ท่านเป็นพรหมแล้ว เวลาทำงานท่านก็ไปทำในนรกใช่ไหม?
      ตอบ :  อย่าลืมว่าตำหนักพระยายมไม่ได้อยู่ในนรกจ้ะ อยู่ปากทางนรกที่เป็นเขตของชั้นจตุมหาราช ชั้นจตุมหาราชจริง ๆ ก็เป็นพรหมเหมือนกันเพียงแต่เป็นพรหมที่ไม่ได้เข้าฌาน ตายก็เลยเป็นแค่เทวดา พอหมดอายุเทวดาเมื่อไหร่ท่านจะไปเป็นพรหม ถ้าท่านใดเป็นพระอริยเจ้าเข้าถึงที่สุดก็เข้าพระนิพพานเลย ไม่ต้องไปเกิดเป็นพรหมใหม่
      ถาม :  การที่เราจะได้เห็นภาพพระนิพพานทั้งในอารมณ์ของมโนมยิทธิหรือการนึกเห็นภาพพระนิพพาน จำเป็นหรือไม่ต้องมีอารมณ์ถึงฌาน ๔ ถึงจะเห็นภาพพระนิพพานได้?
      ตอบ :  ไม่จำเป็น การแค่เห็นภาพเป็นอุปจารสมาธิก็เห็นได้ แต่การที่จะไปให้ได้นั้นต้องได้ฌาน ๔ ถึงไปได้ ดังนั้นคนที่ฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลัง ถ้าหากว่าเราไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพานได้ ขอให้รู้ว่าท่านไปด้วยกำลังของฌาน ๔ ไม่ใช่กำลังของอุปจารสมาธิ อุปจารสมาธิแค่เห็นเท่านั้น ถ้าไปได้อยู่ในสถานที่นั้นได้เป็นกำลังของฌาน ๔ เพียงแต่เป็นฌาน ๔ ใช้งาน ก็เลยไม่ได้หนักแน่น จนเรารู้สึกว่าถ้าคนที่ไม่คุ้นชินจริง ๆ จะไม่รู้เสียด้วยซ้ำ ว่าตัวเองได้
      ถาม :  หลวงพ่อท่านเคยกล่าวถึงบางท่าน ซึ่งแม้แค่อ่านหนังสือเล่มเดียวก็มาหาหลวงพ่อ มาปฏิบัติ ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นพวกที่มีบารมีล้น จะถามว่าเมื่อท่านมีบารมีล้นแล้ว ท่านจำเป็นต้องปฏิบัติอะไรเป็นพิเศษต่อไป และอย่างไรจึงเรียกว่า บารมีล้น ?
      ตอบ :  คำว่า บารมีล้น หมายความว่า ต้องเป็นปรมัตถบารมี คือกำลังใจขั้นสูงสุด
              สามัญบารมี บารมีขั้นต้นให้ทานได้ รักษาศีลเจริญภาวนาไม่เป็น
              อุปบารมี บารมีขั้นกลาง ให้ทานได้ รักษาศีลได้เจริญภาวนาไม่เป็น
              ปรมัตถบารมี บารมีขั้นสูงสุด ให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาได้
              พวกนี้ถ้าหากนับแล้วส่วนใหญ่กำลังใจมากกว่าระดับอื่น เขาก็เลยกลายเป็นพวกห้าสลึง หรือไม่ก็หกสลึง เกินบาท ก็เลยกลายเป็นว่าบารมีล้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้กำลังใจของท่านมุ่งมั่นตรง ถ้าหากว่าเขาถูกทางก็ไปเร็วเลย
      ถาม :  กระเทย เป็นผลมาจากเศษกรรมข้อที่ ๓ ไม่ใช่หรือครับ?
      ตอบ :  กระเทย เป็นผลมาจากการที่เคยทำกรรมด้วยการตอนสัตว์เอาไว้ แหม! บอกว่ามาจากเศษกรรมข้อ ๓ ไปทำให้สัตว์ไม่มีเพศ เพศตัวเองก็เลยไม่ชัดเจนไปด้วย
      ถาม :  คนเป็นกระเทย บวชพระได้หรือไม่?
      ตอบ :  ไม่ได้ ห้ามไว้เลย เขาเรียกว่า วิบัติ คำว่า วิบัติ ก็คือคุณสมบัติไม่พอที่จะบวช ถ้าหากว่าบวชไปท่านบอกให้ นาสนะ คือ สึกเสีย ปรับโทษ อุปัชฌาย์ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ลำบากเหมือนกันนะเป็นพระ
      ถาม :  เมื่อคราวที่แล้วได้ถามเรื่อง พระนิพพานเป็นเชิงโวหารว่า เป็นธรรมอันวิเศษ แต่ถามต่อเนื่องอีกนิดว่า ถ้าจะเปรียบสภาพพระนิพพานในเชิงอุปมาว่า พระนิพพานเหมือนกับทางที่อยู่ระหว่างทางสามแพร่ง ที่ด้านซ้ายเป็นอกุศล ด้านขวาเป็นกุศล กับบันได ๓ ขั้น ที่อกุศลเป็นบันไดขั้นที่ ๑ และพระนิพพานอยู่สูงสุด อย่างไรดีครับ ?
      ตอบ :  พอจะได้สะเก็ด ๆ นิดหนึ่ง ไม่ต้องไปเปรียบหรอก ไม่มีอะไรเปรียบได้ คำว่า นิพพาน กระทั่งความคิดที่จะเปรียบเทียบในความคิดของอาตมายังไม่มีเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปเปรียบ การเข้าถึงที่แท้จริงใช้ภาษามนุษย์ไม่ได้ ใช้ตัวหนังสือไม่ได้ มันละเอียดกว่าภาษาหรือหนังสือจะกล่าวได้ จะพูดถึงได้ จะเขียนถึงได้
      ถาม :  หลวงพ่อท่านเคยกล่าวไว้ว่า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันตผล ท่านทั้งหลายไม่มีความเข้าใจผิดในศาสนา ความเข้าใจผิดในศาสนานี้ท่านหมายถึงเรื่องใดบ้าง?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่ก็คือว่าการเข้าใจผิดในการปฏิบัติ ให้มันเป็นสัมมาทิฐิ หมายความว่าเรื่องของมรรค ๘ ถ้าหากว่าตราบใดที่ไม่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน เริ่มด้วยสัมมาทิฐิ เราก็จะเป็นมิจฉาทิฐิเสียแล้ว แต่ถ้าหากว่าเป็นพระโสดาบันขึ้นไป สัมมาทิฐิเที่ยงแท้แน่นอน และก็มีแต่เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปไม่ถอยอีกแล้ว
      ถาม :  เขาบอกว่าคนเรามีดีอวด แต่อย่าอวดดี อันนี้ใช้ได้หรือไม่ และถ้าท่านผู้ที่มีความดีอยู่จริง ๆ แล้วควรเอาสำนวนนี้ไปเปรียบเทียบกับท่านจะใช้ได้หรือไม่?
      ตอบ :  ถ้าหากว่านับถึงพระอริยเจ้า ท่านไม่ใช่อวดอย่างเดียว ท่านเก็บเงียบเลย แต่จะว่าไปแล้ว วิสัยของคนมีอยู่ ๔ ประเภท ประเภทที่ ๑ เรียกว่า หม้อเปล่าปิด เป็นหม้อเปล่า ๆ แต่ปิดเรียบร้อย รู้ตัวไม่มีอะไรก็เลยไม่โอ้อวดใคร ประเภทที่ ๒ เรียกว่า หม้อเปล่าแต่เปิด พวกนี้ไม่มี ประเภทว่ามีหนึ่งก็โม้จะร้อยอย่างนั้นแหละ ประเภทที่ ๓ เรียกว่า หม้อเต็มแล้วปิด ประเภทนี้จะเก็บตัวเงียบอย่างที่เมื่อกี้ว่ามา ประเภทสุดท้ายเรียกว่า หม้อเต็มแล้วเปิด ท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่มีภาระหน้าที่ ถ้าหากว่าไม่เปิดแล้วคนบางทีก็ไม่เชื่อ ก็จำเป็นต้องเปิดให้เขาดูเสียหน่อย เดี๋ยวไม่เชื่อว่ารวยจริงใช่ไหม ใส่หม้อเอาไว้เหลือง ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นกระโถนหรือว่าหม้อทอง ก็เลยต้องเปิดให้เขาดูหน่อย
      ถาม :  คำว่า อสงไขย มีหน่วยเปรียบเทียบหรือไม่ หรือว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากจนไม่มีที่เปรียบ?
      ตอบ :  สามารถเปรียบเทียบได้ อสงไขยเขาตั้งเลข ๑ ขึ้นมา แล้วต่อด้วยเลข ๐ จำนวน ๑๔๐ ตัว คุณสามารถอ่านได้ไหม เป็นเลข ๑๔๑ หลัก มนุษย์ของเรานี่คำนวณไปไม่ถึง แต่ว่าเทวดา พรหม ตลอดจนพระ หรือผู้ได้อภิญญา ได้ปฏิสัมภิทาญาณ ท่านรู้ว่ามากเท่าไร คนทั่ว ๆ ไปไม่สามารถรู้ได้ ท่านก็เลยใช้คำว่า อสงไขย หาที่สุดไม่ได้ จริง ๆ มันมีที่สุดของมัน
      ถาม :  คำว่า ไพเราะ ในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในที่สุด มีความหมายอย่างไร?
      ตอบ :  ไพเราะ ในเบื้องต้น คือ กล่าวถึงเรื่องของทาน ไพเราะในท่ามกลางคือ กล่าวถึงเรื่องของศีล ไพเราะในที่สุด คือ กล่าวถึงการภาวนา ก็คือ ทาน ศีล ภาวนา ค่อย ๆ ไล่ระดับขึ้นไปจนถึงความเป็นพระอริยเจ้าจนถึงระดับสูงสุด
      ถาม :  อสงไขย ต่อด้วยเลข ๐ จำนวน ๑๔๐ ตัว แล้วกัปละคะ?
      ตอบ :  อันนั้นเขาเรียก อสงไขยปี ถ้าหากว่าจะ ๑ อสงไขย ๑ ถ้านับเป็นปีก็เท่ากับว่า ตั้งเลข ๑ ขึ้นมา แล้วมี ๐ ต่อท้ายไป ๑๔๐ ตัว ในเมื่อ ๐ ต่อท้ายไป ๑๔๐ ตัว นับเทียบอายุมนุษย์นี่เขาเวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี ให้ลดไป ๑ ปี ๑๐๐ ปี ให้ลดปีหนึ่ง อย่างสมัยพุทธกาลอายุขัย ๑๐๐ ปี เราผ่านมา ๒๕๐๐ ปี ๑๐๐ ปี ลดลงปีหนึ่ง เท่ากับลดไป ๒๕ ปี อายุขัยปัจจุบันก็อยู่ในระดับ ๗๕ ปี หรือ ๗๕ ปีเศษ ๆ คราวนี้เขาก็ใช้หลักการแบบนี้แหละ ๑๐๐ ปี ลดปีหนึ่ง ๆ ๆ จนอายุจาก ๑ อสงไขย ของมนุษย์ยุคแรกเริ่มลงมาเหลือแค่ ๑๐ ปี เป็นประมาณ พอเหลือ ๑๐ ปี เป็นประมาณ แล้วเห็นโทษของการทำความชั่วก็เริ่มทำความดี พอทำความดีปรากฏอายุขัยก็มากขึ้น พอมากขึ้นก็เริ่ม ๑๐๐ ปี เพิ่มปีหนึ่ง ๆ ๆ จนเข้าไปถึงอสงไขย ๑ เหมือนเดิม จาก ๑ ต่อด้วย ๐ จำนวน ๑๔๐ ตัว ลงมาถึง ๑๐ จาก ๑๐ เพิ่มขึ้นไปจนกระทั่งถึง ๑ ต่อด้วย ๐ จำนวน ๑๔๐ ตัว เรียกว่า ๑ อันตรกัป ๖๔ อันตรกัป จะเท่ากับ ๑ อสงไขยกัป ๔ อสงไขยกัปเท่ากับ ๑ มหากัป ตกลงคำว่า กัป จบแค่นี้แล
      ถาม :  ปฏิปทาอย่างหนึ่งของหลวงปู่ปานคือ การกราบศพที่มาทำพิธีที่วัด ๓ ครั้ง หลวงพ่อท่านเคยถามท่าน ท่านบอกว่าท่านกราบสัจจธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า คนเราเกิดมาตายทั้งหมด และในบัดนั้นหลวงพ่อได้พิจารณาว่าคนเราเกิดมาตายทั้งหมด ตายแล้วร่างกายย่อมแตกสลายไปในอากาศธาตุ และยังบังเกิดฌานในอากาสานัญจายตนะ อารมณ์แบบนี้เป็นอารมณ์ อรูปฌานอย่างเดียว หรือควบวิปัสสนาไปในตัว?
      ตอบ :  เป็นอรูปฌาน แต่ว่าอรูปฌานนี่อยู่ในลักษณะของการพิจารณา ส่วนหนึ่งเหมือนกับวิปัสสนาญานด้วย ถ้าหากว่าคนที่ไม่มีพื้นฐานอรูปฌานมาก่อนก็จะเป็นวิปัสสนาญาน แต่ถ้าหากว่ามีพื้นฐานอรูปฌานมาก่อน ถึงเวลาถึงวาระอารมณ์ใจจะดึงเข้าสู่อรูปฌานระดับนั้น ๆ ไปเอง
      ถาม :  คนที่กำลังอกหักเพราะการเสียคนรักจากไป คนที่เสียใจเพราะญาติตายไป เวลาคนอื่นเสียใจก็มีความคิดกันว่า เขาจากเราไปแล้ว เขาไม่น่าจากเราไปเลย ทำไมต้องเป็นแบบนี้ แล้วร้องไห้ แล้วก็คิดใหม่แบบเดิมอีก ร้องไห้อีกหลาย ๆ รอบ นับร้อยนับพันครั้ง หรือบางคนก็คิดทบทวนไปจนตลอดชีวิตจนกระทั่งตายไปเลยก็มี การที่จะไปบอกคนที่กำลังเสียใจ หรือการปลอบใจคน ปลอบใจเขาก็ปลอบแบบคิด แล้วเขาก็คิดเรื่องเดิมอีก ผู้ที่สามารถให้การถอนกำลังใจให้ได้ผลชะงัด ควรจะเป็นใคร แล้วอารมณ์ใจอย่างไร?
      ตอบ :  ควรเป็นพระพุทธเจ้า ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือ พระนางกีสาโคตรมี ท่านไม่เคยเห็นคนตายมาก่อนเลย พอลูกตายก็เลยไม่เชื่อว่าตายอุ้มลูกไปเที่ยวให้คนโน้นช่วยรักษา คนนี้ช่วยรักษา ไม่มีคนช่วยได้ จนเขาทนรำคาญไม่ไหวไล่ให้ไปหาพระพุทธเจ้า พอเจอพระพุทธเจ้าบากหน้าไปขอให้รักษา พระพุทธเจ้าบอกว่าสบายมากโรคนี้รักษาได้ ก็เลยสบายใจขึ้นมาหน่อย ไม่คร่ำครวญแล้ว แล้วถามท่านว่าจะรักษาอย่างไร ท่านบอกว่าแค่เมล็ดพันธุ์ผักกาดนี่แหละ เธอไปขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดมากำหนึ่ง ตถาคตจะประกอบยาให้ แต่ว่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดนี้เธอต้องขอมาจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตายเลย
              นางกีสาโคตรมีท่านก็ไปเที่ยวถามเขา บ้านเธอมีเมล็ดพันธุ์ผักกาดไหมจ้ะ บ้านนายมีเมล็ดพันธุ์ผักกาดไหมจ้ะ บ้านของท่านมีเมล็ดพันธุ์ผักกาดไหมจ้ะ เขาก็บอกว่า มี ๆ ๆ พอถามต่อว่าบ้านท่านเคยมีคนตายไหม ทุกบ้านก็บอกว่ามีตายแล้วทั้งนั้น ไม่เด็กก็ผู้ใหญ่ ไม่หญิงก็ชาย ไม่ปู่ ย่า ตา ทวด ลงมาก็พ่อ แม่ ลูก ถามไปถามมาก็เกิดได้สติขึ้นมา เอ๊ะ นี่มันตายกันทุกบ้านนี่หว่า แล้วเราจะมาทุกข์อยู่กับลูกที่ตายแล้วทำไม ก็เลยเอาลูกไปวางทิ้งเอาไว้ที่กองขยะ แล้วก็เข้าไปหาพระพุทธเจ้า ขอบวช พิจารณาธรรมแล้วกลายเป็นพระอรหันต์ เป็นมหาสาวิกา ผู้เป็นเอตทัคคะด้านความเป็นเลิศในการครองจีวรเศร้าหมอง
              เพราะฉะนั้นถ้าถามก็ต้องเอากันขนาดนั้นเลย ไหวไหม จริง ๆ แล้วคนที่ไปปลอบเขานั้นควรจะมีความรู้ทางธรรมะเพื่อชี้แจงให้เห็นความไม่เที่ยง แล้วการยึดติดนั้นมันเป็นทุกข์ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรดำรงทรงตัวอยู่ได้ ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไป ถ้าอย่างนั้นเขาพอจะได้สติขึ้นมาบ้าง จริง ๆ ตัวเขาเองตอนนั้นโดนฉาบย้อมด้วยตัณหาหนักไปหน่อย ตัณหา ๓ ตัว มีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ส่วนเขาอยู่ในวิภวตัณหา ไม่อยากให้แก่ ไม่อยากให้ตาย ตายไปแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก
      ถาม :  พระพุทธองค์เป็นพระผู้มีสัพพัญญู ท่านมีคำสอนที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบอาชีพธุรกิจ หรือในทางเศรษฐศาสตร์ไว้บ้างหรือไม่?
      ตอบ :  ก็หัวใจเศรษฐีบอกเอาไว้ชัดเลย ถ้าทำตามนั้นไป เป็นเศรษฐีแน่นอน
      ถาม :  คนที่ต้องการสร้างกำลังใจด้วยการฟังเพลง ใช้เวลา ๓ นาที เป็นเพลงที่ให้ความหมายในการให้กำลังใจ ฟังเพลงจบ ๑ เพลง ก็กำลังใจหมดไปอีก พอกำลังใจหมดก็ฟังเพลงให้กำลังใจตัวเองใหม่อีก ทำอย่างนี้ไปเรื่อยไม่มีวันจบสิ้น ทำอย่างไรถึงจะทำให้จิตใจของตนเองไม่ต้องไปอาศัยเพลงที่ใช้เวลาการให้กำลัง?
      ตอบ :  มีจบสิ้นเหมือนกัน เพราะว่าถ้าหากเขารักษาระดับจิตใจให้ต่อเนื่องยาวนานไป ความเข้มแข็งจะค่อย ๆ มีขึ้น ไม่ใช่ไม่จบไม่สิ้น ไม่จบไม่สิ้นนี่เป็นคำพูดของเรา แต่ในความเป็นจริงถ้าเขาทำอย่างนั้นต่อไปบ่อย ๆ รักษาอารมณ์ใจให้มั่นคงทรงตัวยาวนานไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็จบ นั่นยังดีนะ แสดงว่าเป็นคนมีความฉลาดมาก เขารู้ตัวเองว่ากำลังใจมันไม่พอต้องอาศัยสิ่งหนึ่งเกื้อหนุน เขาก็พยายามที่จะทำอยู่บ่อย ๆ ส่วนพวกเรารู้ว่าความดีไม่พอแล้วไม่พยายามทำบ่อย ๆ นี่มันน่าตาย ..!
      ถาม :  ท่านบอกว่าการเดินทางสายกลางนั้น ไม่มุ่งไปในทางทรมานตนเอง กับไม่มุ่งไปในทางกามารมณ์มากจนเกินไป เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนที่ได้พบกับความสุขทางกามารมณ์หลาย ๆ อย่าง ทั้งหยาบและประณีตจนเต็มที่แล้ว เกิดความเบื่อหน่ายในอารมณ์อย่างยิ่ง?
      ตอบ :  เป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า การกินหนึ่ง การนอนหนึ่ง การเสพกามหนึ่ง การเสวยอำนาจหนึ่ง คนเราจะไม่มีวันเบื่อเด็ดขาด ยกเว้นบุคคลผู้เห็นภัยในวัฏสงสารเท่านั้นถึงจะหนีพ้นจากมันได้ ใครลองเถียงดูก็ได้นะ ลองไม่นอนสัก ๓ วันดูสิ บอกว่าเบื่อนอนเต็มที ไม่อยากนอนเป็นไปได้ไหม เบื่อกินอย่างนี้ไม่อยากกิน อดสัก ๗-๘ วัน ขี้คร้านวิ่งหากินเอง จำไว้นะ การกินอย่างหนึ่ง การนอนอย่างหนึ่ง การเสพกามอย่างหนึ่ง การเสวยอำนาจอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ใช่บุคคลผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ตั้งใจปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นแล้ว หนีมันยาก
      ถาม :  สมัยนี้เป็นยุคที่เสียงเพลงมีอิทธิพลต่อผู้คนทั่วประเทศและทั่วโลก ผู้คนใฝ่หาแต่เสียงเพลง บางคนกำลังคิดว่าในเมื่อศีล ๕ ไม่ได้มีความผิดในเรื่องเสียงเพลง แต่ผู้คนฟังเพลงแล้วก็อารมณ์คิดต่างกันออกไป เสียงเพลงมีจุดเริ่มต้นไปใช้สถานบันเทิงตามเทคและผับต่าง ๆ จิตใจของคนก็เพลิดเพลินในการดื่มสุรา เต้นอย่างสนุกสนาน เวลาจะอัพยาอียาเค เป็นองค์ประกอบให้เกิดจินตนาการ ในเรื่องของสัมมาอาชีโว พระพุทธเจ้าได้ทรงกำหนดแนวทางแห่งการเลี้ยงชีพไว้อย่างไรบ้าง เพราะปัจจุบันนักธุรกิจและผู้ประกอบการก็ก่อตั้งกิจการเสียงเพลงเป็นจำนวนมาก และการประกอบอาชีพโดยไม่ผิดศีล ๕ ?
      ตอบสัมมาอาชีโว ท่านบอกว่า อาชีพนั้น ๑. จะต้องไม่ผิดศีล ๒.จะต้องไม่ผิดธรรม ๓. จะต้องไม่ผิดกฎหมาย ท่านบอกว่า อาชีพ ๕ อย่าง ได้แก่ การขายสุรา ๑ ขายยาพิษ ๑ ขายมนุษย์ ๑ ขายอาวุธ ๑ ขายสัตว์ที่ยังมีชีวิตเพื่อให้เขาฆ่า ๑ ท่านบอกว่าพุทธมามกะไม่ควรทำ อันนี้บอกไว้ชัดเลย พวกนั้นเข้าข่ายขายสุราใช่ไหม ประเด็นของเขาคือมีเพลงด้วย แต่ความจริงเพลงกับพวกนั้นมันคนละเรื่องกันโดนจับโยงเข้าไปเป็นเรื่องเดียวกัน
      ถาม :  แล้วอย่างสัตว์เลี้ยง เลี้ยงไว้ขายล่ะคะ?
      ตอบ :  สัตว์เลี้ยงไว้ขาย แล้วเขาเอาไปฆ่าไหมล่ะ ถ้าหากว่าไม่ได้เลี้ยงเพื่อขายให้เขาไปฆ่าก็ไม่เป็นอะไร แต่ว่าการเลี้ยงสัตว์ถ้าไม่มีความดีอื่นเลย อานิสงส์จะทำให้ไปเกิดเป็นเวมานิกเปรต ถ้ามีอานิสงส์อื่นช่วยอยู่เป็นตัวเมตตาบารมีเสริมให้อานิสงส์นั้นสูงขึ้นไป
      ถาม :  นับตั้งแต่สมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมจนถึงปัจจุบัน มีพระพุทธเจ้าอุบัติมาในโลกแล้วนับไม่ถ้วน ผู้คนก็ทำบุญแล้วมากมาย แต่สงสัยว่าคนเรานั้นทำความดีมามากทำไมยังเข้านิพพาน หรือยังไม่เข้านิพพานกันหมด หรือว่าเวลาเขาได้รับกุศลก็เพลิดเพลินในสมบัติและทิพยสมบัติ แล้วทำความชั่วมาอีกเลยไม่ได้ไป หรือต้องเป็นเรื่องที่เป็น?
      ตอบ :  เจอพระพุทธเจ้าขนาดนั้น ทำไมยังไม่ไปนิพพานกันให้หมด แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ประเภทที่ ๑ ท่านตั้งใจจะเกิดเพื่อจะช่วยเหลือคนอื่นเขา การทำความดียังไม่ถึงที่สุด ประการที่ ๒ ยังอยู่ในภพภูมิที่ต่ำ ยังไม่เพียงพอที่จะบรรลุธรรม ก็เลยยังเวียนตายเวียนเกิดกันไปเรื่อย ๆ
      ถาม :  มีคำพูดของโกเล้งที่ว่า ข้าพเจ้าไม่ชอบการร่ำสุรา แต่ข้าพเจ้าชอบบรรยากาศที่ได้ร่ำสุรา คำพูดนี้มีอิทธิพลต่อนักดื่มมาก เพราะเคยเป็นนักดื่มเหมือนกัน ถ้าเขาเอาคำพูดนี้ไปกินเหล้าว่า ไม่เจตนากินเหล้า แต่อยากได้บรรยากาศของการกินเหล้า?
      ตอบ :  พอ ๆ ๆ ลงนรกเหมือนกัน ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าชอบบรรยากาศหรือชอบกิน ถามว่ากินไปหรือยัง ลักษณะแบบนี้เป็นแค่เล่นสำนวนเฉย ๆ ไม่มีประโยชน์หรอก ดูตรงการกระทำ มันอ้างไปเองแหละ คนมันจะกินเสียอย่าง มันก็หาข้ออ้างให้น่าฟัง