ถาม: สำนวนไทย ปากร้ายใจดี ท่านกล่าวว่า ธรรมทั้งหลายล้วนมีใจเป็นประธาน มีหรือคนที่จิตใจดี มีสัมมาทิฏฐิ และใช้คำพูดด้วยคำร้ายทิ่มแทง ?
ตอบ : มี...! พระอรหันต์ด้วย พระปิลินทวัจฉะเถระ ท่านเรียกคนอื่นท่านจะเรียกว่า ไอ้ถ่อย คนก็เลยเกลียดปากท่านทั้งบ้านทั้งเมือง เพระว่าในอดีตท่านเคยเกิดเป็นพราหมณ์มา ๕๐๐ ชาติติดต่อกัน เนื่องจากว่า เกิดอยู่ในวรรณะอันสูง เลยเห็นคนอื่นเขาต่ำหมด เรียกคนว่า ไอ้ถ่อย จนชิน ชาวบ้านเขาก็เลยไม่ยินดี เพราะตามประวัติท่านกล่าวว่า มีวันหนึ่งท่านเดินกำลังจะออกจากประตูเมือง พอดีมีพ่อค้าเข็นดีปลีจะมาขายในเมือง ท่านเลยถามว่า เฮ้ย...ไอ้ถ่อย เอาอะไรมา ? พ่อค้าได้ยินไม่พอใจ เลยบอกว่า ขี้หนู ปรากฏว่าท่านเองท่านก็ไม่ว่าอะไร พอรู้ว่าเป็นขี้หนู ท่านก็เดินไป แต่ว่าพ่อค้าพอไปถึงตลาด เปิดเสื่อลำแพนออกมาดีปลีทั้งคันรถกลายเป็นขี้หนูหมด เลยรู้ว่าล่วงเกินกับพระอริยเจ้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เลยรีบตามไปกราบขอขมา พอไปกราบขอขมา ขี้หนูก็กลับกลายเป็นดีปลีตามเดิม เลยมีคนเขารู้ว่า จริง ๆ แล้วที่ท่านว่าคนอื่นลักษณะของปากร้าย แต่ใจของท่านดีถึงที่สุด แล้วท่านก็รู้ตัวว่า ถ้าท่านอยู่ต่อไปจะเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น ท่านก็เลยหนีไปอยู่ป่า ปรากฏว่ากลายเป็นที่รักของเทวดา เทวดามาให้การสงเคราะห์ยิ่งเสียกว่าอยู่ในเมืองมนุษย์เสียอีก ท่านก็เลยกลายเป็นเอตทัคคะ คือเป็นผู้ยอดเยี่ยมในด้านเป็นที่รักของเทวดา นั่นน่ะปากร้ายใจดีชัดที่สุดเลย จะใจดีขนาดนั้นก็หายากซะด้วย
ถาม : เมื่อหลายปีก่อนได้ฟังการแปลคำทำนายของนอสตราดามุส โดยศาสตราจารย์ท่านหนึ่ง เขาบอกว่า จะมีสงครามใหญ่ และหลังจากนั้นคนก็จะแสวงหาความสุขทางใจกันมากขึ้น โดยจะมุ่งฝึกกับพระที่มีไม้เท้า เขาตีความว่า เป็นพระองค์หนึ่งในภาคกลาง ที่ไม่ใช่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ และในระหว่างสงครามก็จะมีอุบาสิกาท่านหนึ่งคอยปกป้องโดยการออกไปปัดลูกระเบิดให้ ทั้งระเบิดนิวเคลียร์ และสิ่งเหล่านี้เขาก็ใช้เป็นวิธีการในการปลูกฝังศรัทธาพระศาสนาต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ในแนวทางพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็มีคนปฏิบัติได้อย่างนี้อยู่มาก ทั้งในด้านมโนมยิทธิ และอภิญญาสมาบัติมาก แต่ก็ไม่ได้โฆษณามาก ข้อเท็จจริงเป็นประการใด ?
ตอบ : ข้อเท็จจริงเป็นประการใด ? อาตมาก็ไม่รู้ ต่อเนื่องกันมาหลายช่วงเหลือเกิน โดยเฉพาะคำทำนายของนอสตราดามุส ท่านผูกไว้ลักษณะเป็นปริศนาคำโคลง คนก็ตีความกันไปต่าง ๆ นานา ส่วนอีกคำหนึ่งว่า พอถึงเวลาถึงวาระแล้วคนจะมาแสวงหาความสงบทางใจมากขึ้น นี่เรื่องจริง คนเราส่วนใหญ่ไม่เห็นโลงไม่หลั่งน้ำตา ถึงเวลาเดือดร้อนเมื่อไร ? เข้าวัดกันให้ตรึมเลย หลวงพ่อท่านเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยอยู่วัดประยูรวงศาวาส วันไหนข้าศึกมาทิ้งระเบิด รุ่งขึ้นใส่บาตรจนพระฉันไม่ไหว กลัวตายเลยรีบทำบุญ แต่ว่าที่บอกว่า ฝึกกับพระที่ถือไม้เท้า แต่ไม่ใช่หลวงพ่อ ใครบอกว่าพระถือไม้เท้าต้องเป็นหลวงพ่อล่ะ ? อาตมาเห็นพระที่ถือไม้เท้าเยอะแยะไป ส่วนใครจะไปปัดลูกระเบิด ก็เรื่องของท่านเถอะ
ถาม : คนบางคนถ้าเขาเห็นคนรู้จักสวดมนต์ไหว้พระหรือปฏิบัติธรรม ถ้าเป็นผู้ชาย เขาก็บอกว่า เป็นมหา แต่ก็เรียกว่า มหา ในลักษณะล้อเลียนหรือเป็นเรื่องตลก หรือพูดจาในทำนองไม่เห็นความสำคัญ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงเขาก็บอกว่า เป็นพวกมีปัญหาชีวิต อกหัก สามีทิ้ง ไม่มีคนเลี้ยงดู การพูดอย่างนี้มีผลอย่างไรบ้าง ?
ตอบ : มีแน่ ๆ เลย นั่นแหละ ปิสุณาวาทีขนานแท้เลย ส่อเสียดผู้อื่นก็ดูตัวอย่างตกน้ำตายไปเลย
ถาม : ยะโสอิสสะริยังโลเก ตามความหมายที่แท้จริง คืออะไร ?
ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกัน ยังไม่จบมหา ไปถามคนจบ ความหมายคือยศเป็นใหญ่ในโลก ยศในที่นี้หมายถึงผู้นำที่ได้รับการยกย่อง
ถาม : นักปรัชญาบางพวก เขาบอกว่า การที่ไปเคารพรูปปั้น เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พวกนี้เป็นพวกเปลือก สำคัญอยู่ที่ใจเรามากกว่า แต่ก็ไม่เห็นทำอะไร ? ด่าคนอื่นเป็นหลัก คิดเห็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : อ้าว...! คุณสรุปแล้วจะถามอีกทำไมล่ะ ? ก็สรุปแล้วว่า ดีแต่ด่าคนอื่น (หัวเราะ)
ถาม : มีคนเขาคิดกันว่า ทำบุญอะไร ? เกิดมาชาติหน้าก็จะได้อย่างนั้น เช่น ทอดไข่ถวายพระ ชาติหน้าจะมีไข่กิน ถวายหม้อเก่าก็จะได้หม้อเก่า ถวายเครื่องใช้ไม้สอยอะไร ? ชาติหน้าก็ได้อย่างนั้น
ตอบ : อันนี้ไม่จริง การที่เราให้ทาน ผลของท่านในด้านโลกียะ จะเป็นมหาเศรษฐี เพราฉะนั้น...ถึงคุณให้หม้อเก่าก็จริง ของที่จะได้กลับมาก ก็จะกลายเป็นของดี ถึงจะได้หม้อเก่า ๆ ถ้าเป็นหม้อทองคำ ก็เอาเถอะ...! อานิสงส์จะทำให้เป็นมหาเศรษฐี เรื่องของทาน มี ทาสทาน สหายทาน สามีทาน ทาสทานให้ของกินของใช้ที่แย่กว่าที่ตัวเองกินตัวเองใช้อยู่ สามีทานให้ของที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้ อานิสงส์ก็มีสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไปตามระดับของเราที่เราให้
ถาม : มีคนเขามีปัญหาคือ เห็นคนแล้วมีความรู้สึกไม่อยากยกมือไหว้ใคร เขาบอกว่า คนเขาก็รู้ว่าคนเราควรมีความอ่อนน้อมถ่อมตน เขาคนนี้ควรแก้ไขหรือไม่ ?
ตอบ : ก็ควรจะแก้ไขอย่างยิ่ง นั่นแสดงว่าเกิดมานะถือตัวถือตนขนาดหนักเลย ที่แน่ ๆ ก็คือ ขาดบุญกุศลไปอย่างหนึ่ง โดยที่น่าเสียดายมาก บุญกุศลตัวนี้เขาเรียกว่า อปจายนมัย การรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนต่อคนอื่น ถามว่าได้บุญตรงไหน ? คือคนเห็นแล้วเย็นตาเย็นใจ เกิดความรักใคร่เมตตาเรา ในเมื่อเราทำให้จิตใจคนอื่นเขาดีขนาดนั้น เราก็เลยมีผลในส่วนบุญนั้นด้วย ขาดอปจายนมัยไปอย่างน่าเสียดาย เป็นบุญที่ได้ง่ายมากเลย
ถาม : จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า คนเรานั้นในอดีตชาติไม่เคยทำความดีมาเลย จู่ ๆ เกิดมาชาตินี้ถึงนิพานเลยชาติเดียว มีไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี...! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดเลย คนที่จะมาถึงระดับนั้นได้ ทาน ศีล ภาวนาต้องเต็มที่มาแล้ว โดยเฉพาะชาติสุดท้าย บารมี ๑๐ ต้องเต็ม อยู่ ๆ เข้านิพพานเลย แหม...ตูก็หวังฟลุกอย่างนั้นเหมือนกันว่ะ...!
ถาม : ถ้าคนเขาทำบุญขนาดนั้น โดยไม่เคยอธิษฐานนิพพานเลย ก็ไม่มีสิทธิ์หรือคะ ?
ตอบ : ก็มีสิทธิ์เหมือนกันแต่ช้า เพราะว่าจะค่อย ๆ สะสมความดีจนในที่สุดก็ไปถึง คราวนี้ตัวไม่อธิษฐาน เป้าหมายไม่แน่นอน ก็เลยช้ากว่าเขา
ถาม : ในตำราพระไตรปิฎกได้พบว่า มีพระอริยสงฆ์อยู่หลายรูปที่เป็นตัวอย่างในตำรา แต่ในความเป็นจริง สรรพสัตว์ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงโปรดจนเข้ราพระนิพพาน มีมากว่าในตำราหรือไม่ ?
ตอบ : มากกว่าจนนับไม่ได้ ท่านโปรดไปทีบางทีเขาเรียกว่า บรรลุมรรคผลกันที่เป็นโกฏิ เอาอย่างน้อย ๆ ก็ตอนโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ท่านพาไปแสนสองหมื่นคนได้เป็นพระอริยเจ้าไป หนึ่งแสนหนึ่งหมื่น เข้าถึงพระรัตนตรัยเป็นหนึ่งหมื่น นั่นอย่างไม่ได้ ๆ นะ เขาเรียกว่า สิบสองนหุต นหุตหนึ่ง เท่ากับหนึ่งหมื่น สิบสองนหุตก็แสนสอง
ถาม : จะคาดการณ์สถานการณ์สงครามที่เกิดขึ้น ว่าอิรักจะใช้อาวุธเคมีชีวภาพในวาระอันใกล้นี้หรือไม่ ? พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธพจน์ว่า หลังกึ่งพุทธกาล ยักษ์นอกศาสนาจะรบพุ่งกัน สมณชีพรามหณ์จะตายฝ่ายละกึ่งหนึ่งจึงจะเลิกรา คำว่า สมณชีพราหมณ์ หมายถึงทหารอย่างเดียวหรือประชาชนทั้งหมด
ตอบ : ประชาชนทั้งหมด ทานบอกว่า สมณชีพราหมณ์จะเดือดร้อนล้มตาย ต่างคนต่างตายไปฝ่ายละกึ่งหนึ่งจึงยุติ แหม...ไม่ใช่ตายเฉพาะพระ เดี๋ยวตูเดือดร้อน สถานการณ์หรือ? พูดง่าย ๆ ว่า อิรักพยายามดึงเกมส์ให้ยาวที่สุด เพื่อสร้างแรงกดดันร่วม จนกว่าคนเขาจะเห็นด้วยว่าสหรัฐเกเรจริง ๆ พอมีแนวร่วมแล้ว คราวนี้สหรัฐลำบาก เพราะจะมีคนช่วยกันวางมวยเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น...ต่อให้ตีกรุงแบกแดดได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะจบง่าย ๆ
ถาม : คนที่มีชื่อเสียงบางคนในสังคมไทยบางคน เขาโกหกจนได้ดีจากการโกหก ทำให้คนอื่นสงสาร ฐานะร่ำรวยดีมีชื่อเสียงในสังคม สิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บางคนเขาคิดกันว่า ทำความชั่วหรือความเลวในทางผิดศีลห้า ทำให้คนได้ดี เพราะคนทำแล้วก็ไม่เป็นไร ชาติหน้านั้นไม่เป็นอะไรหรอก รอไม่ไหว เอาตอนนี้เห็นตอนนี้เลยดีกว่า อันนี้เป็นอย่างไร ?
ตอบ : อันนี้เขาเรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ ต่ำ ๆ ก็อวเจีมหานรก ถ้าหนักก็อาจจะถึงโลกันต์เลย คนที่ได้ดีในปัจจุบัน เกิดจากผลดีในอดีตที่เขาทำส่งผลอยู่ คนประเภทนี้ดีแต่กินของเก่า ไม่รู้จักสร้างของใหม่ ถ้าถึงวาระผลบุญเก่าหมดลงเมื่อไร ? ตอนผลกรรมสนองนี่สาหัสกว่าคนทั่วไป เพราะกำลังบุญไม่มีอยู่ช่วยเลย
ถาม : ได้ยินนักร้องทุกคน เวลาเขาจะขายของ เขามักจะบอกว่า อัลบั้มชุดนี้เป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา ชุดนี้มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าชุดที่ผ่านมา โตขึ้น ให้ลองฟังดูแล้วจะรู้สึกถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา ผมยังคิดไม่ออกว่า แค่รู้ตัวตนของเขานั้น ผลจะเป็นอย่างไร ?
ตอบ : ลูกเกดออกอัลบั้มหรือเปล่า ? ถ้าออกจะได้มาเปิดดูตัวตนที่แท้จริง อย่างไร ๆ ก็ไม่จริงหรอก เพราะว่าสิ่งที่เขาทำ เป็นประสบการณ์ของแต่ละระดับชีวิต พอระยะเวลายาวนานไป ความนึกคิดความรู้สึกประสบการณ์ต่าง ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป ก็จะมีตัวตนที่แท้จริงใหม่ ถ้าลูกเกดตอนนี้ออกอัลบั้ม ก็พอจะดูตัวตนที่แท้จริงได้ ถ้าอีก ๒๐-๓๐ ปี ก็ชักเหี่ยวเกิน...!
ถาม : การไต่ถามคำถามเพื่อขอความรู้ จะทำให้เกิดอานิสงส์ถึง ๕๐๐ ชาติของการเป็นเศรษฐี และการให้ธรรม เป็ฯการชนะการให้ทั้งปวง อยากถามว่า การให้ธรรมนั้น มีอานิสงส์มากกว่าการให้อย่างอื่นเป็นอย่างไรบ้าง ? และผมไม่แน่ใจว่าผมทำมากี่ครั้ง ? แต่เข้าใจว่าประมาณ ๑๐ ครั้ง รวมแล้วผมจะได้เกิดเป็นเศรษฐีถึง ๕,๐๐๐ ชาติ ผมขอนอบน้อมถวายอานิสงส์แด่สาธุชนทุกคน
ตอบ : สาธุ...! แต่เข้าใจผิดนะ เศรษฐีตัวนี้ เขารวยความรู้ ส่วนธรรมทานมีระดับของเขา ธรรมทานบริสุทธิ์ ชนะทานทั้งปวงแน่นอน เพราะว่าจะสร้างปัญาให้เราเกิดเข้าถึงพระนิพพานได้ง่าย แต่ถ้าหากว่า ธรรมทานส่วนอื่น ๆ ถ้าหากว่าไม่ใช่ธรรมที่แท้ ก็มีผลเหมือนกัน ทำให้เราเป็นผู้มีปัญญา รวยความรู้ รวยปัญญา
ถาม : ทำอย่างไรเราจะทำให้การละสังโยชน์ ๓ ทรงตัวได้ และมั่นใจว่าทรงตัวได้ต่อ ๆ ไป ?
ตอบ : ทรงตัวได้และให้มั่นใจด้วย คนที่เขาทรงตัวไม่มีใครมั่นใจสักคน อยู่ที่ศีลข้อเดียว เรารักษาศีล เพราะเราจะเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรารักษาศีลเพราะเราจะไปนิพพานนั่นแหละ คิดอยู่เสมอว่า เราจะตาย เรารักษาศีลเพราะเรารู้ว่าเราจะตาย ถ้าตายเราจะไปนิพพาน สรุปแล้วลงที่ศีลตัวเดียว
เพราะฉะนั้น...แต่ละวันทบทวนศีลของเราให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ ดูเช้าดูเย็นไปเรื่อย ถึงวาระถึงเวลา ถ้าหากว่าศีลบริสุทธิ์แล้ว เราก็พยายามอย่ายุยงให้คนอื่นเขาล่วงในศีล ไม่อย่างนั้นเราไม่ทำ ยุให้คนอื่นทำ ในเมื่อเราไม่ล่วงในศีล ไม่ยุให้คนอื่นล่วงในศีลแล้ว เห็นคนอื่นเขาล่วงในศีล ก็อย่ายินดีด้วย ถ้าหากว่าสังโยชน์ ๓ ศีลเป็นหลักเลย คิดให้เป็นเท่านั้นเอง ถ้าคิดให้เป็นสังโยชน์ ๓ ไม่ยากหรอก รักษาศีล เพราะว่าจะตาย รักษาศีลเพราะเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รักษาศีลเพราะเราจะไปพระนิพพาน
ถาม : แล้วตัวโทสะ ทำอย่างไรจะได้เบาลงได้ครับ ?
ตอบ : เรื่องของโทสะอีกเรื่องหนึ่งนะ เรื่องของโทสะมีพรหมวิหาร ๔ ที่เป็นคู่ต่อกรกันโดยตรง และก็กสิณ ๔ คราวนี้ต้องขยันภาวนาและขยันสร้างอารมณ์ที่จะเมตตา มีรัก กรุณา สงสารให้เป็นปกติ คือให้เห็นว่าคนทั้งหลายเหล่านั้น จริง ๆ แล้วไม่น่าโกรธ สิ่งที่เขาทำไม่ดีกับเรา เป็นความไม่ดีของเราจริง ๆ คือเขาสะท้อนให้เห็นภาพความไม่ดีของเรา เราจะได้แก้ไขตัวเอง เท่ากับว่าเขาเป็นครู ในเมื่อเขาเป็นครู เป็นผู้ที่ทำให้เรารู้เห็นตัวตนที่แท้จริง เราก็ไม่ควรจะไปโกรธครูเขา
แต่ถ้าหากว่าเขาเป็นผู้ที่ไม่รู้เลย สิ่งที่เขาทำนั้นไม่ถูกต้องนะ คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำในสิ่งที่เป็นทุกข์เป็นโทษแก่ตัวเองและผู้อื่น คนที่ไม่มีปัญญาขนาดนั้นก็ไม่น่าโกรธ น่าสงสารมากกว่า ถ้าหากว่าเราคิดเป็นในลักษณะนี้ ก็จะไม่เสียเวลาไปโกรธเขา แต่ถ้าหากว่าขี้เกียจคิด ขี้เกียจพิจารณา จับกสิณ ๔ สีไปเลย สีเขียว สีขาว สีแดง สีเหลือง สีใดสีหนึ่ง กสิณสีจะเป็นตัวระงับโทสะ แต่จริง ๆ พื้นฐานการระงับโทสะอยู่ที่อานาปานุสติ เพียงแต่ว่า...กสิณสีถ้าหากว่าใช้สีได้เฉพาะ ได้ตรงกับจริตของตัวเอง จะช่วยได้มาก บรรเลงได้เลย
ถาม : ความทรงจำ เกี่ยวกับปัญญาด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : มีอยู่จริง ๆ แล้วมีพื้นฐานทางปัญญาทั้งนั้น ถ้าหากว่าสติ สมาธิทรงตัว ปัญญาก็เกิด ถ้าจะเอาพื้นฐานจริง ๆ อยู่ที่สติ สมาธิ ถ้าสติ สมาธิดีความจำจะดีเป็นปกติ
ถาม : ..... พระนางมหาปชาบดีโคตมี
ตอบ : กำลังใจเต็ม กับกำลังใจไม่เต็ม ต่างกันเหลือเกิน คิดดูสมัยก่อน ผู้หญิงเดินทาง โดยเฉพาะท่านอยู่ในลักษณะสุขุมาลชาต เป็นพระราชินีของแผ่นดิน เท้าจะแตะดินยังไม่เคยเลย เดินเท้าเปล่าข้ามประเทศตามพระพุทธเจ้า คือสมัยก่อนแต่ละเมือง ๆ เท่ากับสมัยนี้ข้ามประเทศกันเลย เพราะว่าการเดินทางสมัยก่อนไม่ง่าย สมัยนี้ของเรารถยนต์วิ่งข้ามประเทศใช้เวลาเท่านั้น สมัยก่อนเดินทางข้ามเมืองใช้เวลาเท่านั้น ไปถึงพอทราบว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้บวช ก็นั่งร้องไห้กัน พระอานนท์ก็ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า ท่านก็ยอมให้บวช แต่ต้องรับครุธรรม ๘ ประการก่อน สาหัสจริง ๆ ภิกษุณีแม้บวชเป็นร้อยปี มิพึงสั่งสอนภิกษุ มีแต่รับโอวาทคำสั่งสอนจากภิกษุนั้น ไหวไหม ? เป็นสมัยนี้ถือหัวตายเลย ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะแย่ เพราะว่าคนที่บวชเข้ามา เป็นญาติ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นผู้ใหญ่ของพระภิกษุก็มี มาถึงไม่เชื่อฟังลูกหลานตัวเองก็เรียบร้อย ท่านก็เลยต้องกำหนดเอาไว้
ถาม : ลูกประคำมีกี่เม็ดครับ ?
ตอบ : แล้วแต่อารมณ์กัน บางสายนับดู ๑๑๓, ๑๑๔ ก็มี จริง ๆ สมัยก่อนเขาเอา ๑๐๘ เม็ด คือพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ยิ่งมากยิ่งดี จะได้ภาวนาได้มากขึ้น
ถาม : ไปทางภาคเหนือกลับมา เห็นพระท่านมาเล่าว่า ในคนเรามีจิต ๓๒ ดวง มีมหาจิต ๑ ดวง จริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่จริง จิตมีดวงเดียว ที่ท่านบอกนั่นเป็นอาการเคลื่อนไปของจิต ภาษาพระเรียกว่า ชวนะ เล่นจับอาการตั้งแต่ หูได้ยิน รับสัมผัส กำหนดรู้ คำนวณว่าคืออะไร ? แล้วลืมตาดู มองเห็นอย่างนี้ แต่ละขณะเขาถือเป็นจิตหนึ่ง จริง ๆ แล้วไม่ใช่ตัวจิตที่แท้จริง เป็นอาการเคลื่อนไปของจิต ชวนะ คือการเคลื่อนไปของจิต
ถาม : การแบ่งภาคมีจริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : แบ่งภาค เท่าที่เจอเขาไม่ค่อยแบ่งหรอก เขามาเลย (หัวเราะ)
ถาม : ที่เขาบอกว่า ตัวยังอยู่ข้างบน แต่ว่าแบ่งร่างลงมา
ตอบ : ไม่มี ถ้าหากว่าจะมี ก็มีลักษณะเข้าทรง แป๊บเดียวเท่านั้นเอง ไม่ใช่มาอยู่ยาวชั่วชีวิต จิตหนึ่ง ก็คือจิตเดียว เคลื่อนไปตามภพภูมิต่าง ๆ ตามวาระตามเวลา
ถาม : เขาบอกว่า ถ้าพระเณรไม่สบาย หลังเพลไปแล้ว สามารถฉันข้าวต้มได้
ตอบ : จริง ๆ แล้วท่านให้ฉันน้ำต้มเนื้อ ลักษณะน้ำซุป ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เป็นพวกแบรนด์อย่างนั้น แบรนด์ถือเป็นน้ำต้มเนื้อได้ใช่ไหม ? แต่ท่านบอกว่า ต้องป่วยจริง ๆ แล้วถ้าป่วยจริง ๆ ลักษณะนั้นภิกษุผู้เฝ้าไข้ก็ฉันได้ด้วย
ถาม : ช่วงตี ๒ ฉันได้ไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ต้องให้ได้อรุณก่อน แต่ว่ามีของทางพม่า เขาไม่ได้กำหนดอรุณ ประเภทแสงเงิน แสงทอง เหมือนของเรา เขากำหนดอรุณตามเวลา แต่ละเดือนจะได้อรุณเวลาไหน ? เพราะฉะนั้น...บางเดือนเขาก็จะฟาดกันตั้งแต่ตี ๔.๐๐ น. ตี ๔.๓๐ น.. ตำหนิเขาไม่ได้เพราะเขาถือเป็นระเบียบเดียวกันทั้งประเทศ แต่ของเรานี่ กำหนดว่าต้องได้อรุณก่อน แต่จริง ๆ ถ้าหากถือว่าเป็นมื้อเดียวนะ แล้วมื้อที่สองคือเพล คุณจะฟาดตีสองก็เรื่องของคุณ ที่เหลือหิ้วท้องไปเถอะ ถ้าอย่างนี้พอได้ เพราะอย่างน้อยยังเป็นโภชเนมัตตัญญุตา แต่จริง ๆ เรื่องของศีล เขาว่ากันตรงไปตรงมา ในเมื่อตรงไปตรงมา อรุณก็ต้องทนรอหน่อย
ถาม : เรื่องที่ผมได้ยินมาอาจจะไม่จริง เห็นเขาเล่าว่า หลวงปู่เกษมท่านปล่อยให้อาหารบูด แล้วไปฉันตอนตีสอง
ตอบ : เรื่องอาหารบูด ไม่ทราบเหมือนกัน แต่เท่าที่รู้ แกงหม้อหนึ่งท่านฉันเป็นเดือน ฉันไม่ให้คนห่วง สังเกตหลวงปู่บุดดาระยะหลัง ๆ เหมือนกัน ฉันไม่ให้คนห่วง บางก็จิบ ๆ เครื่องดื่มบำรุงกำลังไปหน่อยเท่านั้นเอง ก็อยู่ได้เป็นวัน ๆ จริง ๆ ท่านไม่ฉันเลยก็ได้ แต่คนไม่เข้าใจ จะห่วงท่าน ท่านก็ฉัน อย่างหลวงพ่อเกษมท่านก็ไปนั่งอุ่น ไปนั่งคนของท่านเอง แกงหม้อหนึ่งฉันเป็นเดือน ฉันคำสองคำ ให้คนเห็นว่าฉันแล้ว จริง ๆ แล้วท่านเอียนจะตายชัก ไม่รู้จะฉันไปทำไม ? ไม่ฉันท่านก็อยู่ได้ แต่ว่าคนไม่เข้าใจ จะแตกตื่นกันไปยกใหญ่
|